ดาวอังคาร (Mars)
เป็นดาวเคราะห์สีแดง
ทำให้ผู้คนเชื่อกันว่าเป็นเทพแห่งสงครามและการสู้รบความแข็งแกร่ง
และสัญลักษณ์ของเพศชาย
ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19
มีความเชื่อและข้อสันนิษฐานที่ได้รับการยอมรับทั่วไปว่าดวงอังคารเป็นดาวที่มีสภาพเอื้อต่อการกำเนิด
และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาเช่นเดียวกับมนุษย์
เพราะดาวอังคารเป็นดาวดวงที่อยู่ถัดจากโลกออกไปในระบบสุริยะที่มีขนาดเล็กกว่าโลกไปไม่มาก
และมีคาบการหมุนรอบตัวเองใกล้เคียงกับโลก |
|
ดาวอังคารมีบรรยากาศที่หนาแน่นไม่ถึง 1 ใน 100
ของบรรยากาศโลก แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีพายุใหญ่ที่พัดปกคลุมดาวทั้งดวงเกิดขึ้นประปราย
บรรยากาศของดาวอังคารประกอบด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่
จึงสร้างสภาพเรือนกระจกที่ทำให้ผิวดาวร้อนขึ้นประมาณ 5
องศาเซลเซียสจากค่าที่ควรจะเป็นหากไม่มีบรรยากาศ อย่างไรก็ตาม
ช่วงอุณหภูมิของพื้นผิวดาวอังคารก็ยังคงกว้างมาก คือ ตั้งแต่ - 133 องศาเซลเซียส
(140 เคลวิน) ที่ขั้วน้ำแข็งในฤดูหนาวไปจนถึงประมาณ 30 องศาเซลเซียส (303 เคลวิน)
ที่ด้านกลางวันในฤดูร้อน โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ – 55 องศาเซลเซียส (218 เคลวิน)
ภูมิอากาศบนดาวอังคารหนาวเย็นกว่าโลกเพราะดาวอังคารอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มากกว่าโลกเกือบ
1.5 เท่า จึงได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์เพียง 40% ของพลังงานที่โลกได้รับ |
|
น้ำบนดาวอังคาร |
|
|
ดาวอังคารมีร่องรอยการกัดเซาะและการไหลของน้ำปรากฏอยู่ทั่วทั้งดวง
แสดงให้เห็นว่าครั้งหนึ่งดาวอังคารเคยมีน้ำอยู่เป็นปริมาณมากและมีมหาสมุทรขนาดใหญ่ที่ลึกหลายร้อยเมตร
และมีลำน้ำไหลอยู่ทั่วทั้งดาว
(ในที่สุดแล้วข้อสรุปของโลเวลล์กลับถูกต้องโดยบังเอิญ)
ดาวอังคารเคยเกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อประมาณ
3.5 พันล้านปีมาแล้ว
เห็นได้จากร่องรอยของพื้นที่ที่ราบขนาดใหญ่ที่เกิดจากอุทกภัยขึ้นรุนแรง
ปัจจุบันลำน้ำบนผิวดาวได้แห้งไปหมดแล้ว
ทิ้งไว้แต่ปริศนาที่ว่าน้ำบนผิดดาวอังคารทั้งหมดหายไปได้อย่างไร |
ในปี ค.ศ. 2002
ผลการสำรวจของยานมาร์ส โอดิสซี
(Mars Odyssey)
ได้ค้นพบชั้นน้ำแข็งใต้ผิวดาวอังคารที่ความลึกเพียง
1
เมตรในบริเวณขั้วใต้ของดาวอังคาร
และมีความลึกมากขึ้นเมื่อเข้าใกล้บริเวณศูนย์สูตรของดาว
การค้นพบน้ำแข็งใต้ผิวดาวชี้ให้เห็นว่าร่องรอยน้ำท่วมและทางน้ำไหลอาจจะยังเกิดอยู่ต่อเนื่องถึงปัจจุบันโดยน้ำที่ละลายจากน้ำแข็งใต้ผิวดาวก็เป็นได้
แต่ผลการสำรวจนี้ยังไม่ได้ตอบว่ามหาสมุทรขนาดใหญ่ของกาวอังคารหายไปได้อย่างไร |
|
นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าในช่วงกว่า
3 พันล้านปีมาแล้ว
ดาวอังคารเคยมีลักษณะคล้ายโลกมาก
มีทั้งน้ำ ทะเล
บรรยากาศที่หนาแน่
สภาวะเรือนกระจกที่สมดุล
และอุณหภูมิที่อบอุ่น
แต่ต่อมาเมื่อภายในของดาวอังคารเย็นลงและเริ่มแข็งตัว
สนามแม่เหล็กที่ปกป้องบรรยากาศของดาวอังคารจากลมสุริยะและอนุภาคพลังงานสูงจากดวงอาทิตย์ก็อ่อนลงด้วย
บรรยากาศของดาวอังคารจึงหลุดลอยออกสู่ห้างอวกาศเพราะได้รับพลังงานจากสมสุริยะ
ส่งผลให้รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์แผ่ลงมาถึงผิวดาวและมหาสมุทรได้โดยตรง
เพราะไม่มีบรรยากาศคอยดูดซับเอาไว้ดังที่เคยเป็นโมเลกุลของน้ำ
มีสมบัติแตกตัวได้ง่ายเมื่อได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต
จึงแตกตัวออกเป็นอะตอมไฮโดรเจนและออกซิเจน
น้ำส่วนหนึ่งที่ซึมลงใต้ผิวดาวก็แข็งตัวเป็นน้ำแข็งอยู่จนถึงทุกวันนี้
อะตอมไฮโดรเจนส่วนใหญ่หลุดออกจากบรรยากาศของดาวอังคารไปเพราะมีน้ำหนักเบา
ส่วนออกซิเจนส่วนหนึ่งทำปฏิกิริยาเกิดเป็นสนิมสีแดงที่ทำให้ดาวอังคารมีสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์
ข้อสันนิษฐานที่กล่าวมาเป็นข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้มากสำหรับอธิบายการหายไปของมหาสมุทรบนดาวอังคาร |
|
|
ดวงจันทร์ของดาวอังคาร |
ดาวอังคารมีดวงจันทร์บริวารสองดวงชื่อ โฟบัส (Phobos)
และดีมอส (Deimos) ค้นพบโดย อะชาฟ ฮอลล์ (Asaph
Hall)
นักดาราศาสตร์แห่งหอดูดาวกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา
ในปี ค.ศ. 1877
ซึ่งเป็นปีที่ดาวอังคารเข้าใกล้โลกมากที่สุดครั้งหนึ่ง
ดวงจันทร์ทั้งสองมีขนาดเล็กมากจนแทบไม่สามารถสังเกตรายละเอียดพื้นผิวจากโลกได้เลย
รูปร่างลักษณะที่แท้จริงของดวงจันทร์ของดาวอังคารจึงเพิ่งเปิดเผยต่อสายตาชาวโลก
เมื่อยานไวกิง (Viling)
ของสหรัฐอเมริกาบินเฉียดดวงจันทร์ทั้งสองและถ่ายภาพส่งกลับมา |
โฟบัสมีขนาด
27*21.6*18.8 กิโลเมตร (รูปร่างคล้ายหัวมันฝรั่ง)
โคจรรอบดาวอังคารที่ระยะห่างเฉลี่ย 9.378 กิโลเมตร
โดยใช้เวลาโคจรรอบละ 7 ชั่วโมง 39 นาที
หากเราไปเที่ยวชมดาวอังคารเราจะเห็นโฟบัสขึ้นและตก
3 ครั้งต่อวัน โฟบัสมีหลุมอุกกาบาดสติกนี (Stickney
ชื่อภรรยาของ อะชาฟ ฮอลล์) ที่กว้างถึง 8 กิโลเมตร
ซึ่งเป็นลักษณะภูมิประเทศที่โดดเด่นที่สุดบนดวงจันทร์จิ๋วดวงนี้ |
ดีมอสมีขนาดเล็กยิ่งกว่าโฟบัสลงไปอีก
กล่าวคือ 15*12.2*11 กิโลเมตร
(รูปร่างคล้ายหอมหัวใหญ่)
โคจรรอบดาวอังคารที่ระยะห่างเฉลี่ย 23.459
กิโลเมตร โดยโคจรรอบดาวอังคารหนึ่งรอบในเวลา 1 วัน
6 ชั่วโมง 18 นาที |
|
การสังเกตดาวอังคาร |
|
ดาวอังคารสังเกตได้ง่ายเพราะมีสีออกแดงอย่างเห็นได้ชัด
โดยจะสว่างเป็นพิเศษเมื่อโคจรเข้ามาใกล้โลก
ช่วงเวลาที่สังเกตดาวอังคารได้ง่ายที่สุดคือ ช่วงออพโพซิชัน
(Opposition)
ซึ่งเป็นช่วงที่ดาวอังคารอยู่ใกล้โลกมากที่สุด
แม้ว่าระยะห่างระหว่างโลกและดาวอังคาร ณ
ออกโพซิชัน
แต่ละครั้งก็ไม่คงที่เพราะวงโคจรของดาวอังคารมีความรีพอสมควร
แต่ช่วงออพโพซิชัน
ก็ยังเป็นช่วงที่สามารถสังเกตได้ดีที่สุดในรอบวงโคจรนั้น
ๆ เสมอ |
|