ชาวกรีกโบราณเชื่อกันว่า จายา
(Gaia) หรือมารดาแห่งโลก คือ
เทพีแห่งพื้นพิภพที่เราได้อาศัยพักพิง
ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดเทพยูเรนัส
(Uranus) แห่งท้องฟ้า
และเทพเนปจูน (Neptune)
แห่งท้องทะเลสำหรับผู้นับถือศาสนาพราหมณ์และชาวไทยซึ่งรับวัฒนาธรรมมาจากศาสนาพราหมณ์
เชื่อว่าเทพแห่งพื้นพิภพนี้คือ
พระแม่ธรณี
ผู้ปกปักรักษาและให้ความร่วมเย็นแก่มนุษย์ทั้งปวง
เป็นที่น่าสังเกตว่าทั้งสองวัฒนธรรมที่มาจากรากเหง้าต่างกัน
กลับมีความเชื่อในเรื่องเทพของโลกคล้ายคลึงกัน
โลกเป็นดาวเคราะห์ที่ห่างดวงอาทิตย์ออกมาเป็นอันดับที่
3 ในระบบสุริยะ
ที่ระยะห่างนี้มีความเหมาะสมหลายประการ
เช่น บรรยากาศ น้ำ ผืนดิน
และพลังงาน
ซึ่งเอื้อให้เกิดการวิวัฒนาการของสสารขึ้นจนถึงระดับที่ซับซ้อนมาก
กล่าวคือ
มีการวิวัฒนาการจากสารเคมีและโมเลกุลซึ่งไม่มีชีวิตเกิดเป็นสสาร
อันมีชีวิตจิตใจและมีความคิดเชิงตรรกะที่ซับซ้อนยิ่ง |
|
การศึกษาในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่าสภาพอันเหมาะสมที่เกิดขึ้นบนโลก
มิใช่ความพิเศษอันเป็นของโลกเพียงแห่งเดียวในจักรวาล
เพราะมีการค้นพบน้ำ ออกซิเจน
รวมทั้งสารชีวโมเลกุลหลายชนิด
เช่น
น้ำตาลจากการส่องสำรวจบริเวณอื่น
ๆ
ในดาราจักรทางช้างเผือกของเราแล้ว
แต่บริเวณอื่นในจักรวาลจะมีสภาวะที่เหมาะสมธำรงอยู่เป็นเวลานานพอที่จะเกิดการวิวัฒนาการของสสารเช่นโลกได้หรือไม่นั้นยังคงเป็นคำถามที่นักดาราศาสตร์ไม่สามารตอบได้ |
|
นักดาราศาสตร์พบว่าดาวศุกร์และดาวอังคารต่างก็เคยมีน้ำ
บรรยากาศ
และอุณหภูมิในลักษณะที่คล้ายคลึงกับโลก
แต่ในเวลาต่อมาดาวศุกร์ซึ่งอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากเกินไปเกิดสภาวะเรือนกระจกแบบกู่ไม่กลับทำให้ดาวร้อนถึง
450 องศาเซลเซียส
ในขณะที่ดาวอังคารมีขนาดเล็กเกินไป
ภายในของดาวจึงเย็นตัวลงเร็วกว่าโลกมาก
ส่งผลให้ดาวอังคารไม่สามารถสร้างสนามแม่เหล็กเพียงพอที่จะปกป้องบรรยากาศและน้ำบนดาวจากลมสุริยะไว้ได้
ผิวดาวจึงเหลืออยู่เพียงความแห้งแล้งและเยือกเย็นในปัจจุบัน |
การเกิดสภาพที่เหมาะสมต่าง ๆ
บนโลกนั้น จึงควรเรียกว่า
“ความบังเอิญ”
ของจักรวาลมากกว่า
“ความพิเศษ”
และการที่สภาวะอันเหมาะสมธำรงอยู่ได้นานจนเกิดสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาเช่นมนุษย์ได้ก็เป็นความบังเอิญยิ่งขึ้นไปอีก
โลกมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 12,000 กิโลเมตร
มีสัณฐานกลมแป้นเล็กน้อย คือ
มีเส้นผ่านศูนย์กลางที่บริเวณขั้วโลกน้อยกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางที่เส้นศูนย์สูตรร้อยละ
0.3 |
|
|
พื้นผิวโลก 71%
ปกคลุมด้วยน้ำทั้งในรูปของมหาสมุทร
ห้วย หนอง คลอง บึง ต่าง ๆ
และอีก 29%
ที่เหลือคือแผ่นดินที่มนุษย์และสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่อยู่อาศัย
(ในแง่ของความหลากหลายทางชีวภาพ)
ผิวของโลกมีการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาหลากหลายรูปแบบที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ทุกดวงในระบบสุริยะ
ทั่งการเลื่อนตัวของเปลือกโลก
การกัดเซาะของน้ำ ลม
และน้ำแข็ง
การระเบิดของภูเขาไฟ
แผ่นดินไหว ฯลฯ
ทำให้ผิวโลกส่วนใหญ่ใหม่มาก
และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
บนผิวโลกจึงพบหลุมอุกกาบาตน้อยกว่าผิวของดาวเคราะห์ดวงอื่น
ๆ รวมทั้งดวงจันทร์มาก |
บริเวณใกล้ผิวโลกมีบรรยากาศที่หนาแน่นมาก
บรรยากาศนี้ประกอบด้วยก๊าซไนโตรเจนเป็นส่วนใหญ่
มีก๊าซออกซิเจนเป็นส่วนผสมประมาณ
20% และก๊าซอื่น ๆ เช่น
คาร์บอนไดออกไซด์ ไอน้ำ
อาร์กอน ฯลฯ
เจือปนอยู่เล็กน้อย
ที่ระดับสูงขึ้นไปบรรยากาศของโลกเบาบางลงอย่างรวดเร็ว
ที่ความสูงประมาณ 15,000 เมตร
จากระดับน้ำทะเลความดันบรรยากาศของโลกเหลืออยู่เพียง
10% ของความดันที่ผิวโลก
ในขณะที่สัดส่วนของก๊าซองค์ประกอบไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
(ไม่รวมถึงไอน้ำ
ซึ่งมีอยู่หนาแน่นเฉพาะบริเวณผิวโลกเท่านั้น)
และที่ความสูง 30,000 เมตร
บรรยากาศของโลกจะมีความดันเหลืออยู่เพียง
1 ใน 1,000
ของความดันที่ผิวโลกเท่านั้น
ยิ่งสูงจากผิวโลกขึ้นไปบรรยากาศก็ยิ่งเบาบางลงเรื่อย
ๆ
จนจางหายไปในความว่างเปล่าของอวกาศที่ความสูงประมาณ
500 กิโลเมตร เหนือผิวโลก |
|
|
ดวงจันทร์ |
ดวงจันทร์ (The Moon)
เป็นบริวารตามธรรมชาติ เพียงดวงเดียวของโลก มีขนาด
3,476 กิโลเมตร
และโคจรอยู่รอบโลกที่ระยะห่างเฉลี่ย 384,000
กิโลเมตร
ดวงจันทร์มีลักษณะคล้ายกับดาวพุธมากในแง่ของสภาพพื้นผิวและบรรยากาศ
(เบาบางมากจนเทียบได้กับสภาพสุญญากาศ)
ผิวของดวงจันทร์เต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่น้อยมากมาย
เนื่องจากดวงจันทร์ไม่มีบรรยากาศที่คอยปกป้องผิวจากการชนของอุกกาบาต
ไม่ว่าอุกกาบาตที่ตกลงสู่ผิวดวงจันทร์จะมีขนาดเล็กเพียงใดจึงตกลงถึงผิวดวงจันทร์ได้ทั้งหมด |
|
ผิวดวงจันทร์มีอุณหภูมิสูงกว่า 127 องศาเซลเซียส
(400 เคลวิน)
ในเวลากลางวันด้านที่หันเข้าหาดวงอาทิตย์)
และอุณหภูมิจะลดลงต่ำกว่า -173 องศาเซลเซียส (100
เคลวิน)
ในเวลากลางคืนการที่ดวงจันทร์มีความแตกต่างของอุณหภูมิเวลากลางวันและกลางคืนมาก
เป็นเพราะดวงจันทร์ไม่มีบรรยากาศที่สร้างสภาพเรือนกระจกและปรับอุณหภูมิพื้นผิวให้คงที่
ที่สภาวะสุดโต่งของอีกด้านหนึ่งคือ ดาวศุกร์
ซึ่งมีบรรยากาศหนาแน่นมากกว่าโลกถึง 90 เท่า
ทำให้สามารถรักษาระดับอุณหภูมิคงที่ ที่ประมาณ 467
องศาเซลเซียส (746 เคลวิน) ได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน |
|
ปัจจุบันโครงสร้างภายในของดวงจันทร์เย็นตัวลงเกือบทั้งหมดแล้ว
ทำให้ดวงจันทร์เป็นดาวที่ “ตายแล้วในทางธรณีวิทยา”
(Geologically Dead)
เพราะไม่มีปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาใด ๆ
เกิดขึ้นบนผิวดวงจันทร์อีกแล้ว
นอกจากนี้การที่ภายในเย็นตัวลงยังส่งผลให้ดวงจันทร์ไม่มีสนามแม่เหล็กเลยทีเดียว
มนุษย์สามารถเดินทางไปลงดวงจันทร์ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในวันที่
20 กรกฎาคม ค.ศ. 1969 โดยยานอะพอลโล 11 (Apollp)
ของสหรัฐอเมริกา ในช่วงปี ค.ศ. 1969 – 1972 โครงการอะพอลโลได้ส่งยานอวกาศไปลงดวงจันทร์อีก
5 ลำ โดยแต่ละลำมีนักบินอวกาศ 2 คน
ที่ลงไปปฏิบัติภารกิจบนผิวดวงจันทร์
ปัจจุบันจึงมีมนุษย์ทั้งสิ้น 12 คน
ที่ได้ไปเยือนดวงจันทร์ |
|