ชื่อเรื่อง การพัฒนาทักษะการคิดเชิงมโนทัศน์ เรื่อง สารชีวโมเลกุล วิชาเคมี 4 รหัสวิชา ว40224 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยผู้วิจัย นายบุญส่ง จันทรปีที่พิมพ์ 2552 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ (1) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการคิดวิเคราะห์เชิงมโนทัศน์ เรื่อง สารชีวโมเลกุล วิชาเคมี 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สารชีวโมเลกุล วิชาเคมี 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียน (3) เพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงมโนทัศน์ เรื่อง สารชีวโมเลกุล วิชาเคมี 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย (ให้มีจำนวนนักเรียนไม่น้อยกว่า ร้อยละ 70 ที่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม) กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนน้ำคำวิทยาคม อำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร จำนวน 17 คน ที่ได้มาโดยการวิธีการเลือกแบบเจาะจง(purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการเรียนรู้ แบบวัดความสามารถการคิดเชิงมโนทัศน์ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อ ตั้งแต่ 0.20 ถึง 1.00 ค่าความยากตั้งแต่ 0.21 ถึง 0.74 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test แบบ dependent sampleการวิจัย ปรากฏผลดังนี้ 1. การพัฒนาทักษะการคิดเชิงมโนทัศน์ โดยการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย เรื่อง สารชีวโมเลกุล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.6834 แสดงว่า ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นหลังจากเรียน โดยจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย ร้อยละ 68.34 2. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย เรื่อง สารชีวโมเลกุล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .053. ผลการวิเคราะห์ทดสอบทักษะการคิดเชิงมโนทัศน์ เรื่อง สารชีวโมเลกุล วิชาเคมี 4 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยพบว่า นักเรียนมีคะแนนความสามารถในการคิดเชิงมโนทัศน์เฉลี่ย 16.00 คะแนน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 82.00 มีนักเรียนที่ได้คะแนนความสามารถในการคิดเชิงมโนทัศน์ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 (14 คะแนน) จำนวน 15 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 88.23 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย