นิทานพื้นบ้าน
กระต่าย 3 ขา
พระอาจารย์คง แห่งวัดพุทไธศวรรย์ ได้รับศิษย์ไว้เรียนวิชาอาคมด้วยผู้หนึ่งชื่อว่า เจ้าม่วง ซึ่งเป็นคนที่มีใจคอเด็ดเดี่ยวมั่นคง เจรจาสิ่งใดแล้วไม่ยอมคืนคำหรือเปลี่ยนใจอะไง่ายๆ วันหนึ่งมีคนนำกระต่ายสดมาถวาย อาจารย์คงสั่งให้เจ้าม่วงเอาไปปรุงเป็นอาหาร ขณะกำลังย่างไฟอยู่นั้นกลิ่นเนื้อกระต่ายหอมหวนชวนกิน จนเจ้าม่วงอดใจไว้ไม่ไหวต้องฉีกไปกินขาหนึ่ง
ครั้นถึงเวลาฉันเพลเจ้าม่วงก็นำกระต่ายย่างไปประเคน อาจารย์ถามว่าทำไมกระต่ายตัวนี้มีแค่ 3 ขา เจ้าม่วงบอกไม่ทราบเพราะ กระต่ายตัวนี้มีอยู่แค่ 3 ขาเท่านั้น อาจารย์คงนึกโกรธที่เจ้าม่วงไม่ยอมรับ แม้จะลงโทษอย่างไรก็ตาม
อาจารย์คงเฆี่ยนลูกศิษย์จนเหนื่อยจึงลงมือฉัน พลางนึกในใจว่าเนื้อกระต่ายทั้งหอมทั้งน่ากินอย่างนี้เจ้าม่วงคงอดใจไม่ไหว เมื่อฉันอิ่มแล้วอาจารย์คงได้ยกกระต่ายที่เหลือให้เจ้าม่วงพร้อมกับถามอีกว่ากระต่ายตัวนี้มีกี่ขา เจ้าม่วงยังคงยืนกรานคำตอบเดิม อาจารย์คงเห็นศิษย์ผู้นี้เป็นคนมีจิตใจเด็ดเดี่ยว ขืนตีไปก็ตายเปล่า จึงเอายามาทาแผลให้แล้วสอนคาถาอาคมต่างๆ
อยู่มาวันหนึ่งครั้นเห็นว่าแผลที่ถูกหวายเฆี่ยนหายสนิทแล้ว อาจารย์คงจึงเรียกเจ้าม่วงเข้ามาหาแล้วสอนวิชาหายตัวให้ โดยให้เอา ก้นพลูที่ท่านเสกไว้นี้ทัดหูติดตัวไปอย่าให้หล่น เจ้าม่วงอยากทดลองดูว่าหายตัวได้จริงหรือไม่ รีบก้มกราบอาจารย์แล้วนำก้นพลูทัดหู เดินออกจากวัดข้ามมายังฝั่งพระนคร เมื่องเดินเข้าประตูกำแพงวังปรากฏว่าพวกทหารยามไม่มีใครเห็น จึงผ่านเข้าสู่เขตพระราชฐาน ชั้นในจนถึงที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินได้อย่างสะดวก เดินไปเดินมาเจอห้องเสวยเข้าโดยบังเอิญ ครั้นเห็นอาหารบนโต๊ะมีแต่ของดีๆ ประกอบกับกำลังหิว เจ้าม่วงเลยแอบหยิบอาหารชิมอย่างละนิดละหน่อยพออิ่มก็เดินกลับวัดอย่างปลอดภัย
ฝ่ายพนักงานต้นเครื่องเห็นอาหารบนโต๊ะเสวยแป้วผิดสังเกตรีบกราบทูลให้พระเจ้าแผ่นดินทรงทราบ ครั้นเรียกโหรมาตรวจดู หลังจากลงเลขบวกลบคูณหารตามตำราอยู่ครู่หนึ่งโหรกราบทูลว่า ผู้มีวิชาล่องหนหายตัวได้แอบเข้ามาขโมยอาหารกินและตนมีวิธีจับตัว มาลงโทษ วันรุ่งขึ้น เมื่อได้เวลาเสวย เจ้าม่วงก็แอบเข้ามาขโมยอาหารบนโต๊ะกินเหมือนเดิม พอจะกลับจาห้องเสวยมองออกไปเห็น ทหารล้อมอยู่ข้างนอกเต็มไปหมดก็ตกใจรีบวิ่งหนี แต่พวกทหารนำชะแลงมาวางไว้ พอเจ้าม่วงวิ่งไปเหยียบก็เกิดเสียงดังขี้น บรรดาทหารที่ซุ่มอยู่ก็ช่วยกันเอาไม้กระบองไล่หวด เจ้าม่วงต้องกระโดดหลบไปมาจนก้นพลูหล่น จึงถูกจับตัวได้
เจ้าม่วงไม่ยอมบอกกับเจ้าหน้าที่ว่าตนเป็นใรมาจากไหน เพราะเกรงจะเกิดเสื่อมเสียชื่อเสียงถึงอาจาจารย์ เมื่อถูกสอบถามจึงได้ ตอบแบบเล่นลิ้นวกวนไปมา แม้จะโดนเฆี่ยนตีก็ไม่ยอมปริปากบอกความจริง พระเจ้าแผ่นดินจึงสั่งให้นำไปตระเวนรอบพระนคร แล้วสั่งให้เพชฌฆาตทำการประหารชีวิต
อาจารย์คงเมื่อรู้ว่าจะมีการประหารนักโทษที่ขโมยกินอาหารบนโต๊ะเสวย ก็ทราบทันทีว่าเจ้าม่วงเสียท่าถูกจับตัวได้ จึงรีบเข้าไปใน พระนครขออนุญาตเจ้าพนักงานประจำตะแลงแกงเพื่อเทศนานักโทษก่อนประหารชีวิต เมื่อได้รับอนุญาตอาจารย์คงก็บอกกับเจ้าม่วง ถ้าหากพูดความจริงจะช่วยชีวิต แล้วถามว่ากระต่ายมีกี่ขา เจ้าม่วงยืนยันว่ามี 3 ขา อาจารย์จึงเสกก้นพลูให้ลูกศิษย์ทัดหูไว้อันนึง แล้วเสกอีกอันเป็นร่างจำลองแทนตัวเจ้าม่วง หลังจากอาจารย์คงพาเจ้าม่วงกลับไปแล้ว เมื่อเพรฌฆาตลงดาบ ร่างเจ้าม่วงก็กลายเป็น ก้นพลูไป
เมื่อพระเจ้าแผ่นดินได้รับรายงานก็ทราบทันทีว่าพระภิกษุที่เข้ามาเทศนาเป็นอาจารย์มาช่วยจึงสั่งให้ทหารออกติดตามค้นหาตาม วัดต่างๆ ฝ่ายอาจารย์คงพาเจ้าม่วงกลับถึงวัดก็รีบเก็บข้าวของเฉพาะที่จำเป็น แล้วพากันหนีออกจากเมืองไปทางเหนือ จนพบวัดร้าง อยู่ริมแม่น้ำ เลยใช้เป็นสถานที่พัก
ไม่กี่วันต่อมาเจ้าม่วงก็นึกสนุกคิดจะเข้าไปเที่ยวเมืองหลวงอีก แต่คราวนี้เกิดอยากให้ผู้คนทั้งเมืองพากันเคารพ จึงขอให้อาจารย์คง เสกน้ำมนต์รดตนให้กลายเป็นพระพุทธรูป อาจารย์คงต้องการลองวิชาจึงยอมทำให้ เมื่อประชาชนเห็นพระพุทธรูปลอยน้ำมาก็พากัน กราบไหว้ จนมาถึงหน้าวังจันทรเกษมพระพุทธรูปได้ลอยวนอยู่เช่นนั้นไม่ไปไหน ประชาชนเห็นเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทราบเรื่องจึงจัดงานสมโภชเป็นเวลา 7 วัน แล้วเสด็จไปที่น้ำเพื่อทำพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปมาประดิษฐานที่วัง แต่ระหว่างทางมีชายชราคนหนึ่งบอกว่าอย่าเสด็จไปเลยเพราะเขาใช้วิชาลวงเอาเท่านั้น
ต่อมาไม่นานมีลุงคนหนึ่งบ้านอยู่บางน้ำผึ้ง ครั้นหลานชายรบเร้าให้พาไปไหว้พระที่ลอยน้ำมาจึงบอกว่านั่นไม่ใช่พระจริงพร้อมกับ พายเรือไปกลางน้ำทำเหมือนพระที่ลอยมาให้หลานดู พระเจ้าแผ่นดินจึงรับสั่งให้นำตัวลุงคนนั้นมา ลุงคนนั้นจึงกราบทูลว่าจะรับอาสา จับตัวมาถวายให้ ตาลุงได้นำเครื่องเซ่นพร้อมสายสิญจน์ไปที่ริมน้ำแล้วคล้องลากพระพุทธรูปขึ้นมาบนฝั่ง แล้วสาดด้วยน้ำมนต์ จึงปรากฏร่างของเจ้าม่วงขึ้น พระเจ้าแผ่นดินทรงพิโรธเพราะจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่มาขโมยเครื่องเสวย
ตาลุงจากบางน้ำผึ้งทูลว่าหากจะนำตัวไปประหาร เลือดก็จะตกแผ่นดินหาประโยชน์มิได้ ควรขุดท่อนซุงเป็นโพรงแล้วจับชายผู้นี้ ใส่ลงไปขังไว้พร้อมเสกน้ำมนต์รดกำกับและเอาไปถ่วงให้จมอยู่ใต้น้ำ พระเจ้าแผ่นดินเห็นชอบด้วย พอนำท่อนซุงโยนลงไปในน้ำ ท่อนชุงก็ไหลทวนน้ำไปอยู่หน้าวัดร้าง อาจารย์คงรู้ว่าเจ้าม่วงเสียที่อีก แต่ผู้มีวิชาด้วยกันไม่อยากทำร้ายถึงชีวิตจึงปล่อยให้กลับมา อาจารย์คงจึงทำน้ำมนต์รดให้ ท่อนซุงก็แตกออกเจ้าม่วงจึงปลอดภัย
นับแต่นั้นเจ้าม่วงก็สำนึกผิด จึงอยู่ปรนนิบัติอาจารย์ด้วยความซื่อสัตย์ ไม่คิดกลับไปก่อเรื่องยุ่งยากที่อยุธยาอีกเลย จากนิทานนี้ จึงมีคำเรียกผู้ที่ทำผิดแต่ยังยืนกรานไม่ยอมรับผิดว่า ยืนกระต่าย 3 ขา