พระพุทธรูปปางไสยาสน์
พระพุทธรูปปางนี้เป็นพุทธจริยาในอิริยาบถไสยาสน์ คือ
นอนตะแคงข้างใช้พระหัตถ์ซ้ายพาดทาบไปตามพระวรกาย พระกัจฉะ (รักแร้) ทับพระเขนย (หมอน) พระหัตถ์ขวาตั้งขึ้นประคองพระเศียร
สำหรับประวัติพระพุทธรูปปางนี้นั้น มีเรื่องเล่าว่า สมัยหนึ่งพระพุทธรูแประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี
ครั้งนั้นอสุรินทราหู
ซึ่งเป็นหนึ่งในพวกอสูรได้สดับเกียรติคุณของพระพุทธองค์มากมายหลายอย่าง อาทิว่า
พระองค์ดป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ
เป็นพระศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
จึงคิดอยากที่จะเข้าเฝ้าแล้วจะต้องก้มศีรษะพูดกับพระพุทธองค์เป็นการแสดงคารวะอีก
เพราะตนเองไม่เคยก้มศีรษะให้ใครจึงคิดตะขิดตะขวงใจอยู่นานแสนนาน
แม่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าพระพุทธองค์จะทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดังที่ชาวโลกน่ำลือกันหรือเปล่า จึงตัดสินใจเข้าไปเฝ้าถึงที่ประทับ ก่อนที่อสุรินทราหูจะเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทรงทราบความในใจของเขาด้วยอนาคตังสญาณ มีพระประสงค์จะทรมานให้คลายทิฎฐิมานะ
เมื่ออสุรินทราหูเข้าเฝ้าจึงเสด็จบรรทมในพระแท่นที่ประทับ
ทรงทำปาฎิหาริย์เนรมิตพระวรกายให้ใหญ่โตกว่าอสุรินทราหูหลายเท่า แม้พระบาททั้งสองที่ประทับซ้อนกันก็สูงกว่าอสุรินทราหูเสียอีก
แทนที่อสุรินทราหูจะก้มศีรษะสนทนากับพระพุทธเจ้าดังที่เคยคิดไว้กลับต้องแหงนหน้าขึ้นสนทนา และชมพระพุทธลักษณะอันงดงามยิ่งนัก
อสุรินทราหูเกิดปลื้มปีติอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ลดทิฎฐิมานะลงอย่างทันตาเห็น ประกอบกับมีใจเลื่อมใสในพระพุทธองค์ และยึดถือเป็นสรณะที่พึ่งตลอดไป
ด้วยพระพุทธจริยาตอนที่ทรงบรรทมเนรมิตพระวรกายให้ใหญาโตทรมารอสุรินทราหูให้คลายทิฎฐิมานะนี้เอง
เกิดเป็นต้นเค้าความคิดให้สร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขึ้นสักการบูชา ท่านโหราจารย์ได้กำหนดให้เป็นพระบูชาประจำวันอังคาร
ผู้ที่เกิดวันนี้ควรมีพระพุทธรูปปางนี้ไว้สักการบูชาเพื่อจะได้เป็นสิริมงคล อีกทั้งเป็นการบูชาพระถูกต้องตามประเพณีนิยม
|