มานัส วันเห่า 2552: การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอน แบบใช้นวัตกรรม และวิธีการสอนแบบปกติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 ในวิชาฟิสิกส์ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 2 125 หน้า. วัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของนวัตกรรมชุดทดลองการเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวดิ่งตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้นวัตกรรมที่สร้างขึ้นกับการเรียนแบบปกติ 3) เพื่อประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อนวัตกรรมที่สร้างขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี ซึ่งเป็นนักเรียน สายวิทย์ - คณิต ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) จากนักเรียน ม.4/1 จำนวน 30 คน ใช้วิธีการสอนโดยใช้นวัตกรรม และ ม.4/2 ใช้วิธีการสอนแบบปกติ จำนวน 30 คน โดยทั้ง 2 ห้อง ซึ่งนักเรียนทั้งสองห้องมีผลการเรียนใกล้เคียงกัน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือชุดทดลองการเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวดิ่งในรายวิชาฟิสิกส์ รหัสวิชา ว 41101 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่ผ่านการหาประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80 / 80 2 แผนการสอน ที่ได้มาตรฐานแล้วนำมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย Z-test แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ที่ได้มาตรฐานแล้วนำมาวิเคราะห์หาค่า IOC แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อนวัตกรรม การเคลื่อนที่ของวัตถุในแนวดิ่ง ที่ได้มาตรฐานแล้วนำมาหาค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) จากการวิจัยครั้งนี้พบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนที่ได้จากการเรียนการสอนแบบใช้นวัตกรรมกลุ่มที่ 1 เป็น 17.63 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.27 ความแปรปรวน 1.62 ค่าเฉลี่ยของคะแนนสอบที่ได้จากคะแนนสอบกลุ่มที่ 2 ที่มีการเรียนการสอนแบบปกติมีค่าเฉลี่ย 15.63 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.59 ความแปรปรวน 2.52 การทดสอบสมมติฐานของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม ใช้เปรียบเทียบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนกลุ่มใดดีกว่ากันมีประสิทธิภาพสูงกว่ากัน ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 จากการทดสอบโดยใช้สถิติทดสอบ Z – test พบว่าการเรียนการสอนแบบใช้นวัตกรรมมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนสูงกว่าการเรียนการสอนแบบปกติ มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เป็น 0.70 หมายความว่า นวัตกรรมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีความเที่ยงตรงถึง 70 %