เทศกาลไหว้พระจันทร์
เทศกาลไหว้พระจันทร์
ที่มา : http://i252.photobucket.com/albums/hh38/unlamun/moon.jpg
เทศกาลไหว้พระจันทร์
วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี เป็นวันไหว้พระจันทร์ของชาวจีน
ภาษาจีนเรียกวันไหว้พระจันทร์ว่า "จงชิว" (中秋) ที่มาของคำว่าจงชิวนี้คือ เดือนแปดตามปฏิทินจันทรคติตกอยู่ช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง (เดือนเจ็ดและเดือนแปดอยู่ในฤดูใบไม้ร่วง หนึ่งฤดูแบ่งเป็น เมิ่ง จ้ง จี้) ดังนั้นก็เลยเรียกว่า "จ้งชิว" ประกอบกับวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนแปดก็ตกอยู่ในช่วงกลางของเวลาที่เรียกว่าจ้งชิวนี้ จึงเรียกเทศกาลดังกล่าวว่า "จงชิว" ด้วย
เทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นเทศกาลดี เป็นเทศกาลที่มีความเกี่ยวข้องกับตำนานเรื่องดวงจันทร์ของชาวจีนอย่างแนบแน่น เช่นเรื่อง "ฉังเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์" (嫦娥奔月) ถือว่าเป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงมาก
วันไหว้พระจันทร์ เป็นการไหว้สาร์ทครั้งที่ 6 ในรอบปี เรียกการไหว้ครั้งนี้ว่า "ตงชิวโจ่ย" (จงชิวเจี๋ย - 中秋節) การไหว้พระจันทร์ของคนจีน เป็นที่รู้จักกันดีกว่าเทศกาลไหว้อื่นๆ เพราะมีเรื่องราวที่น่าสนใจ เป็นการไหว้เจ้าแม่กวนอิม และมีของไหว้ที่เป็นแบบเฉพาะ เช่นมีขนมไหว้พระจันทร์ มีต้นอ้อย โคมไฟ เทศกาลนี้เป็นอุบายในการปลดแอกชาติจีน ออกจากการปกครองของพวกมองโกล
วันไหว้พระจันทร์ ถือเป็นวันสารท เพราะตรงกับวันกลางเดือน คือวันที่ 15 ถ้าเป็นตรุษจะเป็นวันที่ 1 ของเดือน ตรงกับวันที่ 15 เดือน 8 ของจีน และถือเป็นวันกลางเดือนของเดือน กลางฤดูใบไม้ร่วง ด้วยว่าประเทศจีนนั้นแบ่งวันเวลา เป็น 4 ฤดูกาล ฤดูหนึ่งนาน 3 เดือน คือ ชุง แห่ ชิว ตัง (ชุน เซี่ย ชิว ตง - 春夏秋冬) คือฤดูใบไม้ผลิ ฤดูฝน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว ตามมลำดับ ขนมที่ทำมาเป็นพิเศษในเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้ก็คือ ขนมเปี๊ยะก้อนใหญ่พิเศษ ไส้หนา มีขนมโก๋สีขาว ขนมโก๋สอดไส้ ขนมโก๋สีเหลือง เมื่อไหว้เสร็จก็แบ่งกันรับประทานในครอบครัว
ตำนานที่มาของประเพณี
ชาวจีนไหว้พระจันทร์ในวันเพ็ญเดือนแปดมาตั้งแต่ช้านาน ไม่ปรากฏหลักฐานชี้ชัดว่าใครเป็นผู้ริเริ่ม ขณะเดียวกัน ก็มีตำนาน และ เรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ที่สามารถนำมาอ้างอิงถึงความสำคัญของการไหว้พระจันทร์ในวันเพ็ญเดือนแปดได้ ในสมัยโบราณก่อนประวัติศาสตร์จีนยุคต้น ชาวจีนต่างก็นิยมกราบไหว้เทพจันทราในวันเพ็ญเดือนแปด ครั้นล่วงเลยมาถึงยุคต้นของประวัติศาสตร์จีนในสมัยราชวงศ์โจว ชาวจีนก็นิยมไหว้พระจันทร์ในวันเพ็ญเดือนแปด เพื่อเป็นการต้อนรับสู่การย่างเข้าสู่ดูหนาว ซึ่งในสมัยราชวงศ์โจวนี่เอง ประเพณีการไหว้พระจันทร์เริ่มเป็นที่แพร่หลาย และมีเอกลักษณ์ของวันไหว้พระจันทร์ชัดเจนยิ่งขึ้น ได้แก่เครื่องเช่นไหว้ต่าง ๆ ซึ่งเครื่องเซ่นไหว้ที่เด่นชัดที่สุด และขาดเสียไม่ได้ในพิธีไหว้พระจันทร์ คือ ขนมไหว้พระจันทร์ และแตงโม
ในยุคราชวงศ์โจว เป็นยุคของนักปราชญ์ ( ราชวงศ์โจว อยู่ในช่วง 2500 ปี นับจากปีปัจจุบัน ) นักปราชญ์จีนสมัยโบราณ มักนำความคิด แนวปรัชญา นำมาสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน และสอนให้ปฏิบัติต่อกันมาเป็นประเพณี เสมอ ๆ โดยที่ชาวบ้านไม่รู้ความหมายที่แท้จริง หากแต่การปฏิบัติตามย่อมเกิดผลดี ชาวบ้านล้วนศรัทธราและให้ความร่วมมือ ในคืนวันไหว้พระจันทร์วันเพ็ญเดือนแปด แท้จริงแล้ว เป็นวันครอบครัวของชาวจีน ในสมัยราชวงศ์โจวนั่นเอง
ในคืนวันดังกล่าว พระจันทร์จะเต็มดวงและสวยที่สุดในรอบปี สมาชิกในครอบครัวจะมารวมตัวกันที่บ้าน สมาชิกในครอบครัวคนใดที่ทำงานต่างถิ่น ต่างหมู่บ้าน หรือแยกครอบครัวอยู่ ต่างเมือง เมื่อถึงวันเทศกาลเพ็ญเดือนแปด ก็จะเดินทางกลับมาที่บ้านเกิด ตามคำกล่าวของนักปราชญ์จีนในสมัยนั้นว่า “ ดวงจันทร์กลมเต็มดวงมากที่สุด สมาชิกในครอบครัวก็กลมเกลียวสามัคคีที่สุด ดั่งความกลมของดวงจันทร์ ” ในคืนวันดังกล่าว ยามเที่ยงคืนคาบเกี่ยวกับวันใหม่ หลังจากสมาชิกในครอบครัวทำพิธีไหว้ดวงจันทร์เสร็จแล้ว ต่างก็ร่วมกันรับประทานขนมไหว้พระจันทร์ เพื่อแสดงถึงความสามัคคี ความกลมเกลียวระหว่างมวลสมาชิกในครอบครัว ขนมไหว้พระจันทร์นั้น จะต้องนำมาหั่นแบ่งให้เท่ากับจำนวนคนในครอบครัวอย่างพอดี เกินหรือขาดก็ไม่ได้ และแต่ละชิ้นต้องมีขนาดที่เท่ากันด้วย ขนมไหว้พระจันทร์จึงเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี ความกลมเกลียว ในครอบครัวนั่นเอง ดังนั้น รูปลักษณะของขนมไหว้พระจันทร์ จะต้องทำเป็นก้อนวงกลมเท่านั้น ถึงจะให้ความหมายดังกล่าว
ปัจจุบันประเพณีวันไหว้พระจันทร์มีความหมายเปลี่ยนไป ทั้งชาวจีนในประเทศไทย และชาวจีนในประเทศจีนเอง ก็ให้ความสำคัญของวันเพ็ญเดือนแปด ในเชิงประเพณี แต่ไม่ยึดถือความหมายดั้งเดิม ขนมไหว้พระจันทร์มีการออกแบบเป็นรูปสี่เหลี่ยม ซึ่งไม่ได้มีความหมายถึงความกลมเกลียว ความสามัคคี ที่ประเทศจีนวัยรุ่นชาวจีนให้ความสำคัญกับวันไหว้พระจันทร์ไม่ต่างไปกับวันแห่งความรัก กลายเป็นวันที่จะนัดแนะกันไปเที่ยวยามค่ำคืน กลายเป็นกิจกรรมอื่น ๆ ที่มิใช่กิจกรรมแห่งวันครอบครัวอีกต่อไป
ที่มา : http://download.clib.psu.ac.th/datawebclib/exhonline/moon/image/1_566.jpg
ขนมไหว้พระจันทร์ จะต้องมีไส้หวาน หรือสอดไส้ด้วยธัญพืชที่มีรสหวานเท่านั้น เพราะฤดูไม้ร่วงกำลังจะผ่านไป กำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาวอันแสนลำบากในการดำรงชีวิตของชาวจีน การร่วมรับประทานของหวานในวันไหว้พระจันทร์กับครอบครัว เป็นนัยแห่งความหวานชื่น ความสุข ความอุดมสมบูรณ์ ก่อนที่จะเข้าสู่ภาวะแห่งความหนาวเหน็บ และขาดแคลนอาหาร สำหรับปัจจุบันนี้ ขนมไหว้พระจันทร์ มีทั้งไส้หมูแฮม ไส้หมูแดง ไส้หมูหยอง และไส้ต่าง ๆ ที่มีรสเค็ม รสเปรี้ยว ซึ่งไม่ได้ให้ความหมายใด ๆ มากไปกว่า “ขนม ” หรือ “ Moon Cake ” ที่รับประทานกันเพื่อความอร่อยเพียงเท่านั้น
ประเพณีวันไหว้พระจันทร์ เคยถูกนำมาใช้ในกิจกรรมทางการเมืองของจีนในอดีต ที่สำคัญคือการกู้ชาติจีนจากชาวมองโกล แผ่นดินจีนเคยถูกชาวมองโกลเข้ามาปกครอง และตั้งราชวงศ์ขึ้นมา ซึ่งก็ถือเป็นราชวงศ์หนึ่งในประวัติศาสตร์จีนด้วยเช่นกัน ได้แก่ราชวงศ์หยวน ชาวมองโกลปกครองคนจีนอย่างเข้มงวด การต่อต้านการปกครองจึงมีมากในหมู่ชาวบ้าน ในหมู่ประชาชนที่เป็นคนรากหญ้า ( สมัยนั้นชนชั้นเจ้า ขุนนาง และพ่อค้า ที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อมองโกล ต่างได้ดิบได้ดีกันถ้วนหน้า ) ประชาชนระดับรากหญ้าได้รับความลำบากทุกข์เข็ญ ก็เลยรวมตัวกันเพื่อต่อต้านชาวมองโกล มีชาวนาเป็นผู้นำ ชื่อ จูหยวนจาง ผู้นำต่อต้านมองโกล ได้อาศัยวันไหว้พระจันทร์ ซึ่งเป็นวันประเพณีที่แสดงออกถึงความสามัคคี ประกาศต่อต้านการปกครองของมองโกล โดยนำกระดาษที่เขียนข้อความนัดแนะกำหนดการขับไล่มองโกล ยัดใส่ไว้ในขนมไหว้พระจันทร์ เมื่อชาวบ้านได้รับขนมไหว้พระจันทร์ ก็ทราบกำหนดการที่จะร่วมมือกันขับไล่ชาวมองโกลออกจากแผ่นดินจีน อย่างนี้ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็น “ขนมไหว้พระจันทร์เมล์ Moon Cake Mail ” เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ประชาชนก็ลุกฮือขึ้น ขับไล่มองโกลออกจากแผ่นดินจีนอย่างประสบความสำเร็จ ผู้นำประชาชนชื่อ จูหยวนจาง ก็ได้เป็นกษัตริย์ ปกครองแผ่นดินจีน ตั้งราชวงศ์ใหม่ ชื่อว่า ราชวงศ์หมิง