ความแตกต่างกฎหมายมหาชน&เอกชน
แบ่งออกเป็น 3 ประการ คือ
1) คุณลักษณะตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง เป็นความแตกต่างที่มองถึงคุณสมบัติของบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นสำคัญ ในแง่นี้กฎหมายมหาชน คือกฎหมายที่เกี่ยวกับสภาพอำนาจหน้าที่ และการใช้อำนาจของผู้ปกครอง เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองด้วยกันและเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครอง ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนผู้อยู่ใต้ปกครองด้วยกันเองเท่านั้น ซึ่งผู้ปกครองไม่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย
2) เนื้อหาของกฎข้อบังคับ เป็นความแตกต่างของเนื้อหาของกฎหมายแต่ละประเภท หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ผลประโยชน์ที่กฎข้อบังคับเหล่านี้ต้องการให้ความคุ้มครองป้องกันในแง่นี้กฎหมายมหาชน ได้แก่ กฎข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนนการของผลประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน หรือมักเรียก กันว่าประโยชน์สาธารณะ (Public Interest) ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นจะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนบุคคลของสมาชิกแต่ละคนในสังคม
3) พิจารณาจากวิธีการที่ใช้เกี่ยวกับผลบังคับของกฎหมาย เป็นความแตกต่างในเรื่อง รูปแบบความสัมพันธ์ทางกฎหมาย กล่าวคือ ลักษณะของกฎหมายมหาชนมาจากการใช้วิธีการบังคับ ฝ่ายเดียวบุคคลหนึ่งสามารถที่จะบังคับให้เกิดผลทางกฎหมายแก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้โดยไม่ต้องรับการยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ตรงกันข้ามกับกฎหมายเอกชนที่มาจากการถือหลักเจตจำนงตามความตกลง ยินยอมกัน ของคู่กรณีอย่างอิสระ โดยแสดงออกทางสัญญาต่างๆ เป็นสำคัญคือ บุคคลคนหนึ่งไม่สามารถที่จะบังคับบุคคลอีกคนหนึ่งให้มีผลผูกพันตามกฎหมายได้ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอม
แต่ทว่ากลับมีปัญหาที่ยุ่งยาก ก็คือ ขอบเขตของกฎหมายทั้งสองยากที่จะกำหนดให้แน่นอนได้ กล่าวคือการจำแนกกฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชนออกจากกันตามหลัก ๓ ประการข้างต้นยากที่จะยึดถือเป็นเกณฑ์แน่นอนได้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเลือกเอาหลักใดหลักหนึ่งที่ดีที่สุด ก็คือ จำแนกตามลักษณะตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยดูว่าเกี่ยวกับผู้ปกครองหรือผู้ถูกปกครองแต่หลักข้อนี้ไม่อาจนำมาใช้ในลักษณะเด็ดขาดได้
สรุปแล้ว กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่มีลักษณะเป็นการบังคับก่อพันธะขึ้นโดยฝ่ายหนึ่ง แม้ว่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของผู้ที่ต้องตกเป็นผู้มีพันธะ ส่วน กฎหมายเอกชนนั้น จะเป็นกฎหมายแห่งความเสมอภาคไม่มีการบังคับให้มีพันธะ โดยปราศจากความยินยอม