ละครกรีก
ทีมงานละครในโรม
ทีมงานละครของโรมันต่างกับของกรีกเล็กน้อย รัฐบาลท้องถิ่นมีหน้าที่จ้างกลุ่มนักแสดง หัวหน้ากลุ่มนักแสดง โดมินุส (Dominus) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักแสดงนำจะจัดสรรเงิน ซื้อบทละครจากผู้เขียน จ้างนักดนตรี และหาเสื้อผ้าที่ใช้ในการแสดง คณะละครคณะหนึ่งจะมีสมาชิกอย่างน้อยหกคนผู้ชายล้วน โรมันไม่สนใจกฏนักแสดงสามคนของกรีก เทคนิคการแสดงของโรมันจะเน้นที่รายละเอียดของแพนโทมามและท่าทางการแสดงที่ใหญ่ซึ่งถูกบังคับจากขนาดของโรงละครโรมันตลอดจนการเปล่งเสียงที่ไพเราะ โรมันไม่นิยมความหลากหลายในการแสดงของนักแสดงแต่จะชื่นชมนักแสดงที่เก่งเฉพาะอย่างหนึ่งอย่างใด การแสดงทางสีหน้าไม่สำคัญเพราะถูกปิดด้วยหน้ากาก แค่นักแสดงมามเท่านั้นที่ไม่ใส่หน้ากาก
ละครโรมันแสดงเรื่องพื้นมาจากละครกรีกแต่โรมันไม่มีการสร้างโรงละครถาวรที่จะแสดงงานของเพลาตุสและเทอเรส การแสดงจัดขั้นบนเวทีชั่วคราวที่สร้างด้วยไม้ จน 55 ปีก่อนคริสตกาลจึงมีการสร้างโรงละครถาวร โรงละครของโรมันมีสามส่วนเหมือนโรงละครของกรีก คือ ที่นั่งครึ่งวงกลมที่ไล่ระดับกัน ที่ใช้ในการแสดงหรือ ออเคสตรา (Orchestra) อาคารเวทีการแสดง (Scaena) แต่ก็มีส่วนที่ต่างกันโรงละครของโรมันนั้นมีโครงสร้างที่พัฒนามากขึ้นโดยใช้เทคนิคทางวิศวกรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางการแสดงและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ชมมากขึ้น ดังนี้ที่นั่งของคนดูจะใหญ่กว่าของกรีกคือจุคนได้ถึง 25,000 คน ที่นั่งของคนดูจะเชื่อมติดกับส่วนของอาคารเวทีการแสดงไม่แยกกันเป็นคนละส่วนเหมือนของกรีก บริเวณออเคสตราเป็นครึ่งวงกลมไม่ใช่วงกลมอย่างของกรีก และส่วนใหญ่จะไม่ค่อยใช้เป็นส่วนการแสดงแต่จะเป็นที่นั่งของนักการเมืองท้องถิ่น ด้านหน้าของเวทีการแสดงยกพื้นสูงประมาณ 5 ฟุต ขนาดความกว้างยาวต่างกันประมาณ 100 × 20 ฟุต หรือ 300 × 40 ฟุต อาคารเวทีการแสดงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง 2-3 ชั้น ใช้เป็นที่เก็บฉากและเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย มีหลังคายื่นออกมาจากอาคารสู่ด้านนอกเพื่อป้องกันนักแสดงจากสภาวะอากาศในระหว่างที่มีการแสดง ปีกด้านข้างเชื่อมกับที่นั่งคนดู ด้านหน้าอาคารเวทีแสดงตกแต่งอย่างสวยงามมีทางเข้าออกถึง 3-5 ประตู
การเสื่อมสลายของละครโรมัน
ในศตวรรษที่ 4 หลังคริสตกาลเป็นช่วงที่เห็นได้ชัดว่าอาณาจักรโรมันเริ่มที่จะแตกแยก ในปี 330 จักรพรรดิ์คอนสแตนติน (Emperor Constantine) ก่อตั้งเมืองหลวงสองแห่งโรมในฝั่งตะวันตกและคอนสแตนติโนเปิลในฝั่งตะวันออก จากจุดนั้นศูนย์กลางของความสำคัญได้เปลี่ยนไปอยู่ที่สแตนติโนเปิล จนการล่มสลายของโรมในปี 476 หลังคริสตกาลโดยการถอดอำนาจของจักรพรรดิ์ของโรมันตะวันตกโดยผู้นำบาร์บาเรี่ยนเนื่องจากความแตกแยกไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทีมบริหารของชาวโรมัน และการปล้นโจมตีเมืองต่างๆของโรมของพวกบาร์บาเรี่ยนทางเหนือ การล่มสลายของอาณาจักรโรมันทำให้การละครของโรมันล่มสลายไปด้วย การล่มสลายของอาณาจักรไม่ใช่คำอธิบายเดียวที่ทำให้การละครเสื่อมไป เพราะตัวการแสดงเองก็ลดความเป็นศิลปะไปกลายเป็นความบันเทิงที่ต่อมาแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นการบูชา อันไหนเป็นการแสดงละครเร่ อีกส่วนหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการล่มสลายของการละครคือการเพิ่มหรือการมีอำนาจมากขึ้นของคริสตศาสนา ตั้งแต่เริ่มเป็นต้นมาโบสถ์ของคริสตศาสนาก็ตั้งตาเป็นศัตรูกับการละคร เนื่องจากว่าสาธุคุณของโบสถ์รู้สึกว่าตัวละครที่ไม่ดี ปีศาจที่แสดงบนเวทีสอนให้คนดูละครไม่มีศีลธรรม นอกจากนี้เนื้อหาของละครหรือการแสดงในลักษณะสองแง่สองง่ามที่มีการนำเสนอในรูปแบบความบันเทิงชาวบ้านที่แพร่หลายของชาวโรมันก็สวนทางกับสิ่งที่โบสถ์พร่ำสอน จากเหตุผลข้างต้นทำให้โบสถ์สาปแช่งการละครและออกข้อห้ามต่างๆมากมายหลายประการ จนกระทั่งในปี 398 หลังคริสกาลโบสถ์ได้ออกประกาศว่าถ้าผู้ใดชมการแสดลงละครแทนที่จะไปโบสถ์ในวันสำคัญทางศาสนาจะถูกตัดการสื่อสารกับคนอื่น และห้ามไม่ให้แสดงละครและการแสดงต่างๆในงานพิธีศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป การแสดงละครที่เป็นธรรมเนียมที่ยึดถือปฏิบัติเรื่อยมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายเป็นระยะเวลาเกือบ 1,000 ปี จากยุคกรีกในช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลเรื่อยมาจนถึงยุคต้นคริสตศาสนาเป็นอันถึงกาลอวสาน ในโลกของตะวันตกนั้นละครในฐานะของสถาบันการจัดกิจกรรมการแสดงหายสาบสูญไม่มีให้เห็นอีกเลย ในหลายศตวรรษต่อมาจนกระทั่งในยุคกลาง