ชื่อเรื่อง รายงานผลการพัฒนาและผลการใช้หนังสืออ่านเพิ่มเติม เรื่อง ชีวิตพืช กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ผู้ศึกษาค้นคว้า นางสุภาพร ฝนดี ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม อำเภอเมืองมหาสารคาม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามหาสารคาม เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการปีที่พิมพ์ 2551 บทคัดย่อ หนังสือเป็นสื่อการเรียนรู้ที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในการแสวงหาความรู้ และการอ่านหนังสือมีความจำเป็นต่อชีวิตของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคม ทั้งนี้การมีความรู้ ในด้านต่าง ๆ เป็นพื้นฐานย่อมทำให้บุคคลประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต ดังนั้นผู้ศึกษา จึงได้พัฒนาหนังสืออ่านเพิ่มเติม เรื่อง ชีวิตพืช กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วยหนังสืออ่านเพิ่มเติม เรื่องชีวิตพืช กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 2/4 ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยหนังสืออ่านเพิ่มเติม เรื่อง ชีวิตพืช กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ รวมทั้งยังศึกษาถึงความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/4 ที่เรียนด้วยหนังสืออ่านเพิ่มเติม กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/4 จำนวน 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย หนังสืออ่านเพิ่มเติม เรื่อง ชีวิตพืช กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 6 เล่ม แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้หนังสืออ่านเพิ่มเติม เรื่อง ชีวิตพืช ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 12 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนด้วยหนังสืออ่านเพิ่มเติม เรื่อง ชีวิตพืช กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลครั้งนี้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ t-test(Dependent Sample) นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ
ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า
1. หนังสืออ่านเพิ่มเติม เรื่อง ชีวิตพืช กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.64/86.43 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ 80/80 2. ดัชนีประสิทธิผลของหนังสืออ่านเพิ่มเติม เรื่อง ชีวิตพืช กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 0.7654 แสดงว่านักเรียน มีความรู้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม คิดเป็นร้อยละ 76.54 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยหนังสืออ่านเพิ่มเติม เรื่อง ชีวิตพืช กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยคะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 4. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/4 มีความพึงพอใจต่อการเรียน โดยใช้หนังสืออ่านเพิ่มเติม เรื่อง ชีวิตพืช กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ อยู่ในระดับมากที่สุด
ชื่อผลงานทางวิชาการ รายงานผลการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะประกอบวัสดุ ในท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมทักษะทางมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย ชื่อผู้ศึกษา นางสาวจารุวรรณ กู้เกียรติกำธร ปีการศึกษา 2555 ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- บทคัดย่อ รายงานผลการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะประกอบวัสดุในท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมทักษะทางมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะประกอบวัสดุในท้องถิ่น ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม และ 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะทางมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะประกอบวัสดุในท้องถิ่น กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ชาย – หญิง ที่กำลังเรียนอยู่ใน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 โรงเรียนบ้านหนองนา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 3 จำนวน 14 คน ซึ่งผู้ศึกษาได้รับมอบหมายเป็นครูประจำชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ 1) กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะประกอบวัสดุในท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมทักษะทางมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย 2) แผนการจัดประสบการณ์กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะประกอบวัสดุในท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมทักษะทางมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย และ 3) แบบประเมินเชิงปฏิบัติทักษะทางมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย วิเคราะห์ขอมูลโดย หาค่าเฉลี่ย ( ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะประกอบวัสดุในท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมทักษะทางมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยโดยใช้ค่าแจกแจง t แบบ Dependent Samples ผลการศึกษาพบวา 1. เด็กปฐมวัยมีทักษะทางมิติสัมพันธ์หลังการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะประกอบวัสดุในท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมทักษะทางมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย รวมทุกด้านสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม คือ ก่อนการจัดกิจกรรม มีคะแนนเฉลี่ย ( ) = 5.39 ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) = 1.34 และหลังการจัดกิจกรรม มีคะแนนเฉลี่ย ( ) = 15.89 ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) = 1.32
2. เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะประกอบวัสดุในท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมทักษะทางมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย มีทักษะทางมิติสัมพันธ์รวมทุกด้าน มีคะแนนเฉลี่ยหลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ชื่อเรื่อง รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ด้วยวิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของเมอรด็อค (MIA) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
ผู้ศึกษาค้นคว้า นางธิดารัตน์ วิเชียรลม ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ โรงเรียนหนองหลวงศึกษา
ปีที่พิมพ์ 2555
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจด้วยวิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของเมอรด็อค (MIA) ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ด้วยวิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของเมอรด็อค (MIA) (3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ด้วยวิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของเมอรด็อค (MIA) (4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ด้วยวิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของเมอรด็อค (MIA) ดำเนินการศึกษาโดยใช้รูปแบบการวิจัยแบบ one group pretest – posttest design และมีการเก็บข้อมูลระหว่างการทดลอง กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนหนองหลวงศึกษา อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ที่กำลังเรียนอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 จำนวน 25 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ในครั้งนี้ ประกอบด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจ จำนวน 6 ชุด และแผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ ด้วยวิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของเมอรด็อค (MIA) จำนวน 6 แผน จำนวน 18 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ (1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ มีค่าความยากง่าย (p) 0.21 – 0.65 ค่าอำนาจจำแนก (r) 0.21 – 0.54 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.83 (2) แบบสอบถามความพึงพอใจนักเรียน แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 15 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละ , ค่าเฉลี่ย , ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน , การทดสอบค่าที แบบ Dependent , ค่า E1//E2 ผลการศึกษาพบว่า
1. แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ด้วยวิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของเมอรด็อค (MIA) มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 81.60 / 83.11 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้
2. ค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ของแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ด้วยวิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของเมอรด็อค (MIA) มีค่าเท่ากับ 0.6923 แสดงว่าผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 69.23
3. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ด้วยวิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของเมอรด็อค (MIA) แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ด้วยวิธีสอนอ่านแบบบูรณาการของเมอรด็อค (MIA) โดยรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด
ชื่อเรื่อง
: การประเมินโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ โรงเรียนบ้านกระสัง อำเภอชุมพลบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์
เขต 2
ชื่อผู้ประเมิน : นายวัฒนา สุดชารี
ปีที่ประเมิน : 2554
บทคัดย่อ
การประเมินโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ โรงเรียนบ้านกระสัง อำเภอชุมพลบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์
เขต 2 ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการดำเนินงานตามโครงการโรงเรียนวิถีพุทธของโรงเรียนบ้านกระสัง
ทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านบริบท ด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการ ด้านผลผลิต และเพื่อประเมินผลความพึงพอใจของนักเรียนและผู้ปกครองนักเรียนที่มีต่อการดำเนินงานตามโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลจำนวนทั้งสิ้น 74
คน ซึ่งประกอบด้วย
ผู้บริหาร 1 คน ครู 5 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
จำนวน 7 คน ผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 25 คน และนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 36
คน โดยการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน คือ แบบสอบถาม จำนวน 6 ฉบับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการประเมิน ผลการประเมินด้านบริบทหรือสภาวะแวดล้อม
อยู่ในระดับมากที่สุด ผลการประเมินด้านปัจจัยเบื้องต้น อยู่ในระดับมาก ผลการประเมินด้านกระบวนการ
อยู่ในระดับมากที่สุด ผลการประเมินด้านผลผลิต
อยู่ในระดับมากที่สุด ผลการประเมินผลกระทบ บ้าน วัด และโรงเรียน ครูและบุคลากร คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครองนักเรียน
มีความคิดเห็นต่อ ด้านผลกระทบ โครงการโรงเรียนวิถีพุทธ โรงเรียนบ้านกระสัง
อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 อยู่ในระดับมากที่สุด
เป็นผลกระทบในด้านบวก
คือมีการพัฒนาที่ดีขึ้น เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุดทุกด้าน
ด้านที่มีผลกระทบสูงสุด คือ ผลกระทบต่อโรงเรียน รองลงไปคือผลกระทบต่อผู้ปกครอง ชุมชน บ้าน
และที่มีผลกระทบต่ำสุด คือ
ผลกระทบต่อวัด ครูและบุคลากร
นักเรียน คณะกรรมการสถานศึกษา และผู้ปกครองนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการดำเนินการโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ
อยู่ในระดับมากที่สุด
ดีมาค่ะ
ชื่อเรื่อง รายงานการใช้แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ตัวประกอบของจำนวนนับ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผู้ศึกษา บุญตา เกียวกุล ปีการศึกษา 2554 บทคัดย่อ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพแบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ตัวประกอบของจำนวนนับ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพ 80/80 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนกับหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านทัพหลวง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 3 ปีการศึกษา 2554 จำนวน 29 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง ตัวประกอบของจำนวนนับ จำนวน 20 แผน 2) แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ จำนวน 5 เล่ม 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ลักษณะเป็นแบบปรนัยเลือกตอบชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ โดยใช้มาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ 1) การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ ใช้ E1/ E2 2) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ตัวประกอบของจำนวนนับ จากแบบฝึกเสริมทักษะระหว่างก่อนกับหลังการใช้แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ ใช้ค่าที (t-test) 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการสอนโดยแบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ ใช้ค่าเฉลี่ยและค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการศึกษา พบว่า 1) แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ตัวประกอบของจำนวนนับ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่สร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ 86.58/82.87 ซึ่งสอดคล้อง ตามเกณฑ์ที่กำหนด 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง ตัวประกอบของจำนวนนับ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง ตัวประกอบของจำนวนนับ อยู่ในระดับมาก
ชื่อเรื่อง รายงานผลการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ แม่ ก กา เรื่องสระพาสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ชื่อผู้ศึกษา นายสวัสดิ์ บุญราช หน่วยงาน โรงเรียนบ้านหลัก ปีการศึกษา 2554 บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ การอ่านและการเขียนสะกดคำ แม่ ก กา เรื่องสระพาสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผล ของกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ แม่ ก กา เรื่องสระพาสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ แม่ ก กา เรื่องสระพาสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554 ของโรงเรียนบ้านหลัก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 จำนวน 19 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา มี 4 ชนิด ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ แม่ ก กา เรื่องสระพาสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 48 แผน ใช้ทำการสอนแผนละ 1 ชั่วโมง (หรืออาจปรับยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม) แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ แม่ ก กา เรื่องสระพาสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 24 ชุด ชุดละ 5 กิจกรรม และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านและการเขียนสะกดคำ มาตราแม่ ก กา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ซึ่งมีค่าความยาก ระหว่าง 0.50 ถึง 0.86 ค่าอำนาจจำแนก ระหว่าง 0.21 ถึง 0.47 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.86 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วย t-test for Dependent Samples ผลการศึกษาพบว่า 1. กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ แม่ ก กา เรื่องสระพาสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 86.54/86.31 2. ดัชนีประสิทธิผล ของกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและ การเขียนสะกดคำ แม่ ก กา เรื่องสระพาสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1 มีค่าเท่ากับ 0.7920 หรือคิดเป็นร้อยละ 79.20 3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ แม่ ก กา เรื่องสระพาสนุก กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
ชื่อเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะการคิดพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านโนนจันทึก กลุ่มสาระ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ หน่วยงาน โรงเรียนบ้านโนนจันทึก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ขอนแก่น เขต 3 ปีที่พิมพ์ 2554 ผู้ศึกษา นางรุ่งทิวา นาทศรีทา ที่ปรึกษา นางภาวนี อิศรา
บทคัดย่อ
1. การพัฒนาแบบฝึกทักษะการคิดพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 E1/E2 = 77.62/76.89 และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีผลการประเมินทักษะการคิดพื้นฐานทางคณิตศาสตร์คิดเป็นร้อยละ 82.87
2. ดัชนีประสิทธิผลของพัฒนาแบบฝึกทักษะการคิดพื้นฐานทางคณิตศาสตร์
เรื่อง เศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีค่าเท่ากับ 0.4549 แสดงว่าผู้เรียนมีความรู้
หรือมีพัฒนาการในการเรียนรู้เพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 45.49 3. ประสิทธิภาพความคงทนของแบบฝึกทักษะการคิดพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เปรียบเทียบกับการทำแบบทดสอบหลังเรียน ซึ่งได้ค่าเฉลี่ยที่ 75.89 และคะแนนจากการทำแบบทดสอบหลังการเรียน 15 วัน ประสิทธิภาพความคงทนของแบบฝึกทักษะการคิดพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 76.97 4. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการคิดพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน มีค่า S.D. 1.66 มีค่าเฉลี่ยที่ 4.33 อยู่ในระดับเหมาะสมมาก โดยสรุปแบบฝึกทักษะการคิดพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ผู้ศึกษาพัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สามารถนำไปใช้ ในการเรียนการสอนในรายวิชาคณิตศาสตร์ได้ และสามารถนำไปใช้สอนเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายของรายวิชาได้
ชื่อเรื่อง รายงานการพัฒนาและการใช้ชุดฝึกทักษะพื้นฐานกีฬาเซปักตะกร้อกลุ่มสาระการเรียนรู้ สุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ผู้รายงาน นายสัมฤทธิ์ ทองไทย สถานศึกษา โรงเรียนดงแสนแก้วดงสำราญ อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ ปีการศึกษา 2552 บทคัดย่อ
การจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ และบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้นั้น จำเป็นต้องใช้สื่อนวัตกรรมตลอดจนเทคนิค และวิธีการสอนในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้กิจกรรมการเรียนการสอนน่าสนใจ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความเข้าใจในเนื้อหาให้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น
การศึกษาครั้งนี้มีความมุ่งหมาย (1) เพื่อพัฒนาชุดฝึกทักษะพื้นฐานกีฬาเซปักตะกร้อ
กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (2) เพื่อหาประสิทธิภาพของชุดฝึกทักษะพื้นฐานกีฬาเซปักตะกร้อ กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะพื้นฐานกีฬาเซปักตะกร้อ กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน (4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกทักษะพื้นฐานกีฬาเซปักตะกร้อ กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและ
พลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้คือ ชุดฝึกทักษะพื้นฐานกีฬาเซปักตะกร้อ จำนวน 12 ชุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และการทดสอบสมมติฐานใช้ t-test Dependent
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะพื้นฐานกีฬาเซปักตะกร้อ กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และค่าดัชนีประสิทธิผลของการเรียนด้วยชุดฝึกทักษะมีค่าเท่ากับ 0.7628 แสดงว่าผู้เรียนที่เรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะ เซปักตะกร้อมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 76.28
3. การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยชุดฝึกทักษะพื้นฐานกีฬาเซปักตะกร้อ กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( = 4.47) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.59 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระดับความพึงพอใจของนักเรียนมีความสอดคล้องกัน
ชื่อผลงานวิจัย การพัฒนาและการใช้เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะเรื่อง เรือมปกาสตราว (รำกันเกรา) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนวีรวัฒน์โยธิน จังหวัดสุรินทร์ ชื่อผู้วิจัย นางสาวรุจีสวัสดิ์ ส่งเสริม ตำแหน่ง ครูชำนาญการ โรงเรียนวีรวัฒน์โยธิน อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ปีการศึกษา 2552 บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ(1) เพื่อพัฒนาเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่องเรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (2)เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังเรียน วิชานาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2552 (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อ การเรียน ตามเอกสารประกอบ การจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่องเรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2552 กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวีรวัฒน์โยธิน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 ปีการศึกษา 2552 ที่เรียนวิชานาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ รหัสวิชา ศ30221 จำนวน 41 คน ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย ( Simple Sampling ) จากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1-4/7 ชั้นละ 5 คนและชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/8 จำนวน 6 คน ตามตารางกำหนดขนาดตัวอย่างของ Taro Yamane ที่ระดับ ความเชื่อมั่น 95% ผลการวิจัยปรากฏว่า ประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่อง เรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) มีประสิทธิภาพ 90.24/91.81 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวีรวัฒน์โยธินที่เลือกเรียนรายวิชา นาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ ศ30221 จำนวน 1 ห้องเรียน 41 คน ปีการศึกษา 2552 สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นักเรียนมีความพึงพอใจหลังการใช้เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่อง เรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) อยู่ในระดับ มากที่สุด ค่าเฉลี่ยร้อยละ 4.65 คำสำคัญ เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะเรื่องเรือมปกาสตราว (รำกันเกรา )
ชื่อผลงานวิจัย การพัฒนาและการใช้เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะเรื่อง เรือมปกาสตราว (รำกันเกรา) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนวีรวัฒน์โยธิน จังหวัดสุรินทร์ ชื่อผู้วิจัย นางสาวรุจีสวัสดิ์ ส่งเสริม ตำแหน่ง ครูชำนาญการ โรงเรียนวีรวัฒน์โยธิน อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ปีการศึกษา 2552 บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ(1) เพื่อพัฒนาเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่องเรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (2)เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังเรียน วิชานาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2552 (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อ การเรียน ตามเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่องเรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2552 กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวีรวัฒน์โยธิน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 ปีการศึกษา 2552 ที่เรียนวิชานาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ รหัสวิชา ศ30221 จำนวน 41 คน ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย ( Simple Sampling ) จากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1-4/7 ชั้นละ 5 คนและชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/8 จำนวน 6 คน ตามตารางกำหนดขนาดตัวอย่างของ Taro Yamane ที่ระดับ ความเชื่อมั่น 95% ผลการวิจัยปรากฏว่า ประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่อง เรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) มีประสิทธิภาพ 90.24/91.81 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวีรวัฒน์โยธินที่เลือกเรียนรายวิชา นาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ ศ30221 จำนวน 1 ห้องเรียน 41 คน ปีการศึกษา 2552 สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นักเรียนมีความพึงพอใจหลังการใช้เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่อง เรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) อยู่ในระดับ มากที่สุด ค่าเฉลี่ยร้อยละ 4.65 คำสำคัญ เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะเรื่องเรือมปกาสตราว (รำกันเกรา )
ชื่อผลงานวิจัย การพัฒนาและการใช้เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะเรื่อง เรือมปกาสตราว (รำกันเกรา) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนวีรวัฒน์โยธิน จังหวัดสุรินทร์ ชื่อผู้วิจัย นางสาวรุจีสวัสดิ์ ส่งเสริม ตำแหน่ง ครูชำนาญการ โรงเรียนวีรวัฒน์โยธิน อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ปีการศึกษา 2552 บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ(1) เพื่อพัฒนาเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่องเรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (2)เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังเรียน วิชานาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2552 (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อ การเรียน ตามเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่องเรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2552 กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวีรวัฒน์โยธิน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 ปีการศึกษา 2552 ที่เรียนวิชานาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ รหัสวิชา ศ30221 จำนวน 41 คน ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย ( Simple Sampling ) จากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1-4/7 ชั้นละ 5 คนและชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/8 จำนวน 6 คน ตามตารางกำหนดขนาดตัวอย่างของ Taro Yamane ที่ระดับ ความเชื่อมั่น 95% ผลการวิจัยปรากฏว่า ประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่อง เรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) มีประสิทธิภาพ 90.24/91.81 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวีรวัฒน์โยธินที่เลือกเรียนรายวิชา นาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ ศ30221 จำนวน 1 ห้องเรียน 41 คน ปีการศึกษา 2552 สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นักเรียนมีความพึงพอใจหลังการใช้เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่อง เรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) อยู่ในระดับ มากที่สุด ค่าเฉลี่ยร้อยละ 4.65 คำสำคัญ เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะเรื่องเรือมปกาสตราว (รำกันเกรา )
ชื่อผลงานวิจัย การพัฒนาและการใช้เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะเรื่อง เรือมปกาสตราว (รำกันเกรา) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนวีรวัฒน์โยธิน จังหวัดสุรินทร์ ชื่อผู้วิจัย นางสาวรุจีสวัสดิ์ ส่งเสริม ตำแหน่ง ครูชำนาญการ โรงเรียนวีรวัฒน์โยธิน อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ปีการศึกษา 2552 บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ(1) เพื่อพัฒนาเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่องเรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (2)เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังเรียน วิชานาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2552 (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อ การเรียน ตามเอกสารประกอบ การจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่องเรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2552 กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวีรวัฒน์โยธิน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 ปีการศึกษา 2552 ที่เรียนวิชานาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ รหัสวิชา ศ30221 จำนวน 41 คน ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย ( Simple Sampling ) จากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1-4/7 ชั้นละ 5 คนและชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/8 จำนวน 6 คน ตามตารางกำหนดขนาดตัวอย่างของ Taro Yamane ที่ระดับ ความเชื่อมั่น 95% ผลการวิจัยปรากฏว่า ประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่อง เรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) มีประสิทธิภาพ 90.24/91.81 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวีรวัฒน์โยธินที่เลือกเรียนรายวิชา นาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ ศ30221 จำนวน 1 ห้องเรียน 41 คน ปีการศึกษา 2552 สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นักเรียนมีความพึงพอใจหลังการใช้เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่อง เรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) อยู่ในระดับ มากที่สุด ค่าเฉลี่ยร้อยละ 4.65 คำสำคัญ เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะเรื่องเรือมปกาสตราว (รำกันเกรา )
ชื่อผลงานวิจัย การพัฒนาและการใช้เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะเรื่อง เรือมปกาสตราว (รำกันเกรา) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนวีรวัฒน์โยธิน จังหวัดสุรินทร์ ชื่อผู้วิจัย นางสาวรุจีสวัสดิ์ ส่งเสริม ตำแหน่ง ครูชำนาญการ โรงเรียนวีรวัฒน์โยธิน อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ปีการศึกษา 2552 บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ(1) เพื่อพัฒนาเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่องเรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 (2)เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังเรียน วิชานาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2552 (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อ การเรียน ตามเอกสารประกอบ การจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่องเรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2552 กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวีรวัฒน์โยธิน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 ปีการศึกษา 2552 ที่เรียนวิชานาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ รหัสวิชา ศ30221 จำนวน 41 คน ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย ( Simple Sampling ) จากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1-4/7 ชั้นละ 5 คนและชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/8 จำนวน 6 คน ตามตารางกำหนดขนาดตัวอย่างของ Taro Yamane ที่ระดับ ความเชื่อมั่น 95% ผลการวิจัยปรากฏว่า ประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่อง เรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) มีประสิทธิภาพ 90.24/91.81 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวีรวัฒน์โยธินที่เลือกเรียนรายวิชา นาฏศิลป์พื้นเมืองสร้างสรรค์ ศ30221 จำนวน 1 ห้องเรียน 41 คน ปีการศึกษา 2552 สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นักเรียนมีความพึงพอใจหลังการใช้เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะ เรื่อง เรือมปกาสตราว (รำกันเกรา ) อยู่ในระดับ มากที่สุด ค่าเฉลี่ยร้อยละ 4.65 คำสำคัญ เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ศิลปะเรื่องเรือมปกาสตราว (รำกันเกรา )
ชื่อเรื่อง รายงานการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ประกอบแผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง เศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผู้ศึกษา นายสุทาน มีเจริญ
โรงเรียน โรงเรียนบ้านชุมแสง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2
ปีที่พิมพ์ 2553 บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะ ประกอบแผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง เศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เพื่อศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้โดยใช้ แบบฝึกทักษะ ประกอบแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง เศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะ ประกอบแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง เศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และเพื่อศึกษา ความพึงพอใจในการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ประกอบแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง เศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านชุมแสง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 จำนวน 16 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง เศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 9 แผน ทำการสอนแผนละ 2 ชั่วโมง รวม 18 ชั่วโมง มีระดับ คุณภาพความเหมาะสมอยู่ระหว่าง 4.60 ถึง 5.00 และมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.76 ซึ่งมีความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด แบบฝึกทักษะ เรื่อง เศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีระดับคุณภาพความเหมาะสมอยู่ระหว่าง 4.60 ถึง 5.00 และมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.94 ซึ่งมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.23 ถึง 0.73 ค่าความเชื่อมั่น 0.93 แบบวัดความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ประกอบแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง เศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 15 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกรายข้อตั้งแต่ 0.31 ถึง 0.88 ค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดความพึงพอใจทั้งฉบับเท่ากับ 0.91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาปรากฏดังนี้ 1. แบบฝึกทักษะ ประกอบแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่องเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 89.49/85 สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 80/80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2. ดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ประกอบแผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่องเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าเท่ากับ 0.7750 หรือคิดเป็นร้อยละ 77.50 3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ประกอบแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่องเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีคะแนนการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 4. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะ ประกอบแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่องเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เฉลี่ยเท่ากับ 4.72 ซึ่งแสดงว่านักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด โดยสรุป แบบฝึกทักษะ ประกอบแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค STAD เรื่อง เศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น จึงควรสนับสนุนให้ครูคณิตศาสตร์นำรูปแบบไปใช้ในการเรียนการสอนทุกระดับชั้น
ชื่องานวิจัย การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาเคมี
เรื่อง ธาตุและสารประกอบในอุตสาหกรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ชื่อผู้วิจัย นายสะอาด คงช่วย
ตำแหน่ง ครูชำนาญการ โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์
ปีการศึกษา 2552
บทคัดย่อ
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ (1) พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาเคมี เรื่องธาตุและสารประกอบในอุตสาหกรรม ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 / 80 (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่อง ธาตุและสารประกอบในอุตสาหกรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนเรียนกับหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (3) สำรวจความพึงพอใจของนักเรียนหลังการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาเคมี เรื่อง ธาตุและสารประกอบในอุตสาหกรรม
กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล จำนวน 36 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาเคมี เรื่อง ธาตุและสารประกอบในอุตสาหกรรม (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่อง ธาตุและสารประกอบในอุตสาหกรรม (3) แบบสำรวจความพึงพอใจของนักเรียนหลังการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาเคมี เรื่อง ธาตุและสารประกอบในอุตสาหกรรม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การหาประสิทธิภาพของบทเรียน ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t – test)
ผลการวิจัยพบว่า
1. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาเคมี เรื่อง ธาตุและสารประกอบในอุตสาหกรรม
ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 85.07/82.29 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี เรื่อง ธาตุและสารประกอบในอุตสาหกรรม
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05
3. ความพึงพอใจของนักเรียนหลังการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาเคมี เรื่องธาตุและสารประกอบในอุตสาหกรรม อยู่ในระดับมาก
บทคัดย่อ เรื่อง การสร้างแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องระบบจำนวนเต็ม เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 โรงเรียนระโนดวิทยา อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ผู้ศึกษา : นายพฤฒพงศ์ สุวรรณรักษา ครูชำนาญการ โรงเรียนระโนดวิทยา อำเภอระโนด จังหวัด สงขลา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสงขลา เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีที่ศึกษา : ปีการศึกษา 2552 การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องระบบจำนวนเต็ม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีประสิทธิภาพ และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องระบบจำนวนเต็ม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประชากรที่ใช้ในการศึกษา เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนระโนดวิทยา อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา 4 ห้องเรียน จำนวน 152 คน และกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 จำนวน 39 คน ได้จากการสุ่มโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูล ในการหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องระบบจำนวนเต็ม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการหาประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ใช้สถิติพื้นฐานและกำหนดเกณฑ์ E1/E2 เท่ากับ 80/80 ส่วนการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนใช้การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนเฉลี่ยวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนการเรียนกับคะแนนเฉลี่ยวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะ โดยใช้การทดสอบที (t-test) แบบสัมพันธ์กัน (t - test dependent Sample) ผลการศึกษาพบว่าแบบฝึกทักษะ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบจำนวนเต็ม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ 83.51/83.13 สูงว่าเกณฑ์ที่กำหนด และการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังการเรียน พบว่าหลังการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ระบบจำนวนเต็ม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 นักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนการใช้แบบฝึกทักษะ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ประกอบด้วย แบบฝึกทักษะ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องระบบจำนวนเต็ม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แบ่งเป็น 6 ตอน จำนวน 46 ชุดและแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องระบบจำนวนเต็ม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 23 แผนใช้เวลา 23 ชั่วโมง ส่วนเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก 1 ฉบับ จำนวน 25 ข้อ และแบบทดสอบย่อยท้ายแบบฝึกทักษะ แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 6 ฉบับ
ชื่อเรื่อง การพัฒนาการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์เรื่องเศษส่วนและทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์
ชื่อผู้จัดทำ มาลัย นิติวิศิษฎ์กุล
โรงเรียน ทุ่งหว้าวรวิทย์ จังหวัดสตูล
ปีการศึกษา 2552
บทคัดย่อ
รายงานการพัฒนาการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์เรื่องเศษส่วนและทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อหาประสิทธิภาพของ
ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์เรื่องเศษส่วนและทศนิยม เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังใช้ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์เรื่องเศษส่วนและทศนิยม และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์เรื่องเศษส่วนและทศนิยม กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 จำนวน 42 คน เครื่องมือในการศึกษา คือ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์เรื่องเศษส่วนและทศนิยม ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์เรื่องเศษส่วนและทศนิยม แบบทดสอบระหว่างเรียน จำนวน 15 ชุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจำนวน 30 ข้อ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์เรื่องเศษส่วนและทศนิยม จำนวน 15 รายการ ทำการศึกษาในช่วงวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ถึง วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและทดสอบค่า t (t – test)
ผลการศึกษาสรุปได้ว่า
1. ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วนและทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ มีประสิทธิภาพโดยเฉลี่ย 85.84 / 83.41 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์ เรื่องเศษส่วนและทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์เรื่องเศษส่วนและทศนิยม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ โดยภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับ ดี