UN ตั้งเป้าวันสตรีโลกแก้ปัญหาความรุนแรง [7 มี.ค. 52 - 04:40]
UN ตั้งเป้าวันสตรีโลกแก้ปัญหาความรุนแรง [7 มี.ค. 52 - 04:40]
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 5 มี.ค.ว่า นายบัน กี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประกาศสานต่อโครงการรณรงค์ยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงทั่วโลก เมื่อ 5 มี.ค. โดยมีเป้าหมายลดอัตราการเกิดอาชญากรรมและการทำร้ายผู้หญิงในทุกรูปแบบอย่างน้อย 30% ให้ได้ภายในปี 2558 ขณะที่รายงานสำรวจคุณภาพชีวิตของผู้หญิงทั่วโลกซึ่งเปิดเผยอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 มี.ค. ซึ่งตรงกับวันสตรีสากล ระบุ 1 ใน 5 ของผู้หญิงทั่วโลกยังคงเผชิญกับภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆ เช่น การข่มขืนและทำร้ายร่างกาย
นอกจากนี้ บันเผยว่า สตรีเพศออกมาเรียกร้องต่อต้านการกดขี่รังแกจากผู้ชายมายาวนาน ส่วนผู้ชายก็เริ่มเห็นความสำคัญในคุณค่าของสตรีและช่วยส่งเสริมสนับสนุนแนวคิด ไม่ทำร้ายผู้หญิงกันมากขึ้นด้วยประโยคกระตุ้นจิตสำนึกว่า สุภาพบุรุษตัวจริงต้องไม่รังแกและต้องเคารพสิทธิของผู้หญิงด้วย
ขณะเดียวกัน เนื้อหาในรายงานประจำปี 2551 ของสหประชาชาติระบุเพิ่มเติมอีกว่า สถิติผู้หญิงทั่วโลกจาก 54 ประเทศที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองมีจำนวนเพิ่มขึ้น 7% จากปี 2538 หรือ 18.3% ของนักการเมืองทั่วโลก รวมทั้งสิ้น 2,656 คน แยกเป็นสตรีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง 1,707 คน จากการเลือกตั้งทางอ้อม 878 คน และมาจากการแต่งตั้ง 71 คน
ข่าวระบุ สหรัฐฯเป็นประเทศที่มีนักการเมืองหญิงมากที่สุด อันดับรองลงมาคือประเทศในแถบยุโรป ได้แก่ สวีเดน ฟินแลนด์ และเนเธอร์แลนด์ ขณะที่ทวีปเอเชียเป็นภูมิภาคที่มีนักการเมืองหญิงเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดตลอด 15 ปีที่ผ่านมาคิดโดยเฉลี่ย 17.8% แต่ภูมิภาคที่ผู้หญิงมีบทบาททางการเมืองน้อยที่สุดคือกลุ่มประเทศในอาหรับที่ผู้หญิงครองที่นั่งในสภากว่า 9% และหมู่เกาะแปซิฟิกที่มีนักการเมืองหญิงเพิ่มไม่ถึง 4% เพราะจากข้อมูลหลักฐานการเมืองในเนปาลแสดงให้เห็นชัดว่าสตรีมีบทบาททางการเมืองเข้าไปทำหน้าที่ตัวแทนราษฎร 32.8% ตรงข้ามกับสตรีชาวอิหร่านซึ่งได้ที่นั่งเพียง 2.8%
ด้านนายธีโอเบน กูริรับ ประธานสหภาพรัฐสภา (ไอพียู) เผยถึงตัวเลขดังกล่าวเท่ากับว่าความพยายามผลักดันผู้หญิงเข้าไปนั่งทำงานในรัฐสภาให้มากขึ้นครอบคลุม ทั่วโลกนั้นแทบไม่กระเตื้องขึ้นเลย แม้รู้สึกพอใจบ้างโดยเฉพาะประเทศรวันดา ในแอฟริกา ซึ่ง ส.ส.ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เนื่องจากการจัดสรรโควตา 30% สำหรับที่นั่ง ส.ส.ผู้หญิง อีกทั้งประชากรหญิงม่ายมีจำนวนมากเพราะสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เมื่อปี 2537 ซึ่งส่วนใหญ่ผู้เสียชีวิตเป็นผู้ชาย จึงอยากเห็นสตรีชาวแอฟริกันที่ยังถูกกดขี่สิทธิด้านการเมืองมีโอกาสเข้าไปนั่งทำงานในรัฐสภาให้มากขึ้น อย่างไรก็ดี การเลือกตั้งครั้งแรกในประเทศแองโกลานับแต่ปี 2535 มีผู้หญิงได้เป็น ส.ส.กว่า 30% รวมถึงประเทศโมซัมบิก นามิเบีย แอฟริกาใต้ และแทนซาเนียที่มีนักการเมืองหญิงเพิ่มขึ้นกว่า 25%.