แบ่งเค้กงบแก้ว่างงานไม่ลงตัว “ไพฑูรย์” เดินหน้าชนสภาพัฒน์เมิน “กอร์ปศักดิ์” [10 ก.พ. 52 - 05:20]
แบ่งเค้กงบแก้ว่างงานไม่ลงตัว “ไพฑูรย์” เดินหน้าชนสภาพัฒน์เมิน “กอร์ปศักดิ์” [10 ก.พ. 52 - 05:20]
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุม ครม. วันที่ 10 ก.พ.นี้ นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงาน จะเสนอให้ ครม.พิจารณาการแก้ไขการเลิกจ้างและว่างงานจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ โดยแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายบรรเทาปัญหาการว่างงานจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีรองนายกรัฐมนตรี รมว.มหาดไทย รมว.คลังและ รมว.แรงงาน เป็นรองประธานกรรมการและมี รมว.กระทรวงอื่น ๆ หัวหน้าส่วนราชการ, ตัวแทนจากภาคเอกชน สถาบันการศึกษาเป็นกรรมการ โดยมีปลัดกระทรวงแรงงานเป็นกรรมการและเลขานุการ
พร้อมกับเสนอให้กำหนดการแก้ไขปัญหาการเลิกจ้างและว่างงานจากวิกฤติเศรษฐกิจเป็นวาระแห่งชาติและประกาศให้ทราบทั่วกันเพื่อให้ เกิดความร่วมมือกันทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง แม้จะมีความเห็นขัดแย้งจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ว่า ไม่จำเป็นต้องกำหนดเป็นวาระแห่งชาติอีก เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหานี้และกำหนดเป็นนโยบายเร่งด่วนแล้ว และควรใช้คณะกรรมการบริหารโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและชุมชน ที่ ครม.เศรษฐกิจมอบหมายให้นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายก รัฐมนตรี เป็นผู้รับผิดชอบเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานรายงานว่า ได้ทบทวนข้อคิดเห็นของ สศช.แล้ว แต่ที่ยังเสนอให้ ครม. พิจารณา เพราะเห็นว่าวิกฤติเศรษฐกิจได้ลุกลามไปทั่วโลก และยังไม่มีสัญญาณว่าจะแก้ไขได้ในระยะสั้น มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพิงการส่งออกสูง โรงงานหลายแห่งลดจำนวนคนงาน เลิกจ้างหรือปิดกิจการ ทำให้คนงานจำนวนมากไม่มีงานทำ ขาดรายได้เลี้ยงดูครอบครัว เป็นผลลบต่อสังคมไทย โดยตัวเลขการว่างงานล่าสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินไว้ที่ 1.1-1.4 ล้านคนในปี 52 หรือคิดเป็นอัตราว่างงาน 2.9-3.7% ภายใต้เงื่อนไขว่าหากเศรษฐกิจไทยปีนี้ไม่เติบโตอัตราการว่างงานจะอยู่ที่ 3.7% หรือหากเศรษฐกิจขยายตัวได้ 2% อัตราการว่างงานจะอยู่ที่ 2.9% ดังนั้น จำนวนผู้ว่างงานปี 52 อาจเพิ่มขึ้นเป็น 600,000-900,000 คน จากผู้ว่างงานที่มีอยู่แล้ว 500,000 คน ในปี 51
ดังนั้น การกำหนดให้การแก้ไขปัญหาการเลิกจ้างและว่างงาน เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชน ตระหนักถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการเลิกจ้างและว่างงาน และร่วมมือกันป้องกันและบรรเทาปัญหาอย่างเป็นระบบ ให้เกิดผลในการช่วยเหลือผู้ เดือดร้อนอย่างครบวงจร สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลข้อ 1.2 การรักษาและเพิ่มรายได้ของประชาชน
อีกทั้งคณะกรรมการนโยบายบรรเทาปัญหาการว่างงานจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ มีอำนาจหน้าที่แตกต่างจากคณะกรรมการบริหารโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานฯ เนื่องจากคณะกรรมการบรรเทาปัญหาการว่างงานจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ประกอบด้วยรัฐมนตรีจากหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้ประสบความเดือดร้อน จะมีอำนาจหน้าที่ครอบคลุมในส่วนการป้องกันและบรรเทาปัญหาการเลิกจ้างและว่างงานอย่างครบวงจร ทั้งด้านการชะลอการเลิกจ้าง, การจัดหางานให้ใหม่, การบรรเทาปัญหาผู้ถูกเลิกจ้างและว่างงาน, การดูแลสิทธิประโยชน์ การส่งเสริมอาชีพ การจัดทำมาตรการรองรับแรงงานคืนถิ่น ตลอดจนส่งเสริมให้สถานประกอบการสามารถอยู่รอดได้ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้แรงงานยังคงอยู่ในระบบการจ้างงานต่อไป
โดยในส่วนของกระทรวงแรงงานมุ่งเน้นไปในการฝึกอาชีพให้กับกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ถูกเลิกจ้างและว่างงาน กลุ่มผู้จบการศึกษาใหม่ กลุ่มผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ในสาขาอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์เป้าหมายและผู้ถูกชะลอการเลิกจ้าง กำหนดเป้าหมายการฝึกอาชีพ 150,000 คน โดยจะขอรับการสนับสนุนงบจากงบประมาณเพิ่มเติมกลางปี พ.ศ.52 ที่จัดสรรเพื่อแก้ปัญหาแรงงาน 6,900 ล้านบาท
ส่วนคณะกรรมการบริหารโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานฯ จะมุ่งเน้นไปที่นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรกเพียงข้อเดียวคือ ข้อ 1.2.2 ดำเนินมาตรการเร่งด่วนเฉพาะหน้า โดยจัดโครงการฝึกอบรมแรงงานที่ว่างงานเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ จึงยังไม่ครอบคลุมในนโยบายด้านอื่นดังกล่าว.
ที่มา http://www.thairath.co.th/news.php?section=economic&content=122877