ระบบการย่อยอาหาร
5. ลำไส้เล็ก
5.1 โครงสร้างของลำไส้เล็ก
ลำไส้เล็กของคนมีลักษณะคล้ายท่อขอไปขดมาอยู่ในช่องท้อง ยาวประมาณ 6–7 เมตร แบ่งเป็น 3 ตอน คือ
- ดูโอดินัม (Duodenum) ยาวประมาณ 30 cm มีรูปร่างคล้ายตัว ยู คลุมอยู่รอบๆ บริเวณส่วนหัวของตับอ่อน (Pancreas) ภายในดูโอดินัมมีต่อมสร้างน้ำย่อยและเป็นตำแหน่งที่ของเหลวจากตับอ่อนและน้ำดีจากตับมาเปิดเข้า จึงเป็นตำแหน่งที่มีการย่อยเกิดขึ้นมากที่สุด
- เจจูนัม (Jejunum) ยาวประมาณ 2 ใน 5 ของลำไส้เล็กหรือประมาณ 2.5 เมตร เป็นตำแน่งที่มีการดูดซึมอาหารมากที่สุด ดังนั้นการดูดซึมอาศัย Villus , micro villus ที่ผิวด้านในของลำไส้เล็ก
-ไอเลียม (Ileum) เป็นลำไส้ส่วนท้ายยาวประมาณ 4 เมตร (ยาวที่สุด) ปลายสุดของไอเลียมต่อกับลำไส้ใหญ่ตามผนังของลำไส้เล็กมีต่อมเมือกอยู่มากทำให้อาหารลื่นและมีต่อมน้ำเหลืองคอยจับเชื้อโรค
5.2 การย่อยอาหารในลำไส้เล็ก
การย่อยอาหารในลำไส้เล็ก มี 2 วิธี
1. การย่อยเชิงกล ( Machanical digestion) มีแบบสำคัญ คือ
1.1 การหดตัวเป็นจังหวะ ( Rhythmic segmentation) เป็นการหดตัวที่ช่วยให้อาหารผสมคลุกเคล้ากับน้ำย่อย หรือ ช่วยไล่อาหารให้เคลื่อนที่ไปยังทางเดินอาหารส่วนถัดไป
1.2 เป็นการหดตัวของกล้ามเนื้อทางเดินอาหาร เป็นช่วงๆติดต่อกัน การเคลื่อนไหวแบบนี้จะช่วยผลักอารหรือบีบไล่อาหารให้เคลื่อนที่ต่อ
1.3 น้ำดีจากตับ
หน้าที่ของตับ
1. สร้างน้ำดี (Bile) และส่งน้ำดีไปเก็บที่ถุงน้ำดี ไขมันและโปรตีนที่ย่อยแล้วจะไปกระตุ้นเมือกลำไส้ให้สร้างฮอร์โมน ฮอร์โมนจะถูกส่งเข้าไปในกระแสเลือดออกฤทธิ์ที่ถุงน้ำดีบีบตัวน้ำดีจะไหลออกไปตามท่อเข้าสู่ดูโอดินัม น้ำดีมีฤทธิ์เป็นเบสอ่อนๆ มีส่วนประกอบสำคัญ คือ โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต เกลือน้ำดี ประมาณ 8.7% ได้แก่ โซเดียมไกโคโคเลท และ โซเดียมเตาโรโคเลท เช่น ทั้งสองได้จากการสลายของ ทำหน้าที่ช่วยให้ไขมันในอาหารผสมกับเอนไซม์ไลเปส ( lipase) ช่วยให้ไลเปสจากตับอ่อนย่อยไขมันได้เป็นกรดไขมันกับกลีเซอรอล น้ำดีไม่จัดว่าเป็นน้ำย่อยหรืออนไซม์ เพราะไม่เป็นโปรตีนและไม่ได้เกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิสกับไขมัน
2. เป็นแหล่ง detoxyfication (กำจัดพิษ) ส่วนมากกำจัดยาและ alcohol เพราะมี SER และ mitrochondria มาก
3. สะสมไกลโคเจน (สำรองให้ร่างกายใช้ )
4. สะสม lipid
5. สะสม Fe2+
6. สะสม Vitamin A , D , E , K , B12
7. สะสม bile salt
8. สะสม cholesterol
9. เปลี่ยน Vitamin D ให้เป็น active
10. สร้าง nonessential amino acid
11. สร้าง nonessential fatty acid
12. สร้าง RBC ตอนอยู่ในครรภ์
13. ทำลาย RBC หลังคลอดโดยทำงานร่วมกับม้าม
14. สร้าง albumin ทำหน้าที่ ปรับosmotic pressure ของเลือด และ ปรับ pH
15. สร้าง globulin (ภูมิคุ้มกัน )
16. เปลี่ยนสารที่ไม่ใช่ carbohydrate ให้เป็นน้ำตาล (เวลางดอาหาร )
17. เปลี่ยน lactic acid น้ำตาล เพื่อลดความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ
18. สร้าง Clotting factor
19. เป็นแอ่งพักเลือดและทยอยปล่อยให้หลอดเลือด
หน้าที่ของ gall bladder
1. พักน้ำดี
2. ดึงน้ำออกจากน้ำดี ดังนั้น น้ำดีเข้มข้นขึ้น
2. การย่อยทางเคมี ( Chemical digestion ) บริเวณดูโอดินัม จะมีน้ำย่อยจากแหล่งต่างๆดังนี้
2.1 สารเคมีและเอนไซม์จากตับอ่อน ตับอ่อนทำหน้าที่ 2 ประการ คือ เป็นต่อมไร้ท่อ สร้างฮอร์โมนอินซูลินและกลูคากอน เป็นต่อมมีท่อสร้างเอนไซม์และสารอาหารช่วยย่อยอาหารHCl จากกระเพาะอาหารจะกระตุ้นลำไส้เล็กสร้าง ฮอร์โมนที่จะกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งสารต่างๆ
1. โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต มีฤทธิ์เป็นเบส ช่วยเปลี่ยนสารอาหารที่ฤทธิ์เป็นกรดจากกระเพาะอาหาร ให้เป็นกลางหรือด่างอ่อนๆ
2. เอนไซม์อะไมเลส ทำหน้าที่ เหมือนอะไมเลสในน้ำลายทำให้เดกซ์ตรินแตกตัวเป็นมอลโตส
3. เอนไซม์ไลเปส หรือ สตีฟซิน ทำหน้าทื่ ย่อยไขมัน ถ้าขาดเอนไซม์นี้จะทำให้ไขมันถูกขับออกทางอุจจาระมาก ไลเปสจะย่อยไขมันเป็นกรดไขมันและกลีเซอรอล โดยทำงานได้ดีที่ pH = 8.0
4. เอนไซม์ที่ย่อยโปรตีน
- Trypsinogen เป็นเอนไซม์ที่ยังไม่พร้อมทำงาน ต้องอาศัยเอนไซม์เอนเทอโรไคเนส ( Enterokinase)
จากต่อมที่ผนังลำไส้เล็กเปลี่ยนเป็นทริปซิน ( Trypsin) ก่อน จึงจะย่อยโปรตีนแบบสุ่มที่ถูกย่อยมาแล้วจากกระเพาะให้เป็นไดเพปไทด์และโพลีเพปไทด์ขนาดเล็ก
- Chymotrypsinogen เป็นเอนไซม์ที่ยังไม่พร้อมทำงานต้องอาศัยการกระตุ่นจากทริปซินเปลี่ยนให้เป็นไคโมทริปซินก่อน แล้ว จึงย่อยโปรตีนแบบสุ่ม
- Procarboxypeptidase เป็นเอนไซม์ที่ยังไม่พร้อมทำงานต้องอาศัยทริปซินหรือเอนเทอโรไคเนส ตัวใดตัวหนึ่งเปลี่ยนให้เป็นคาร์บอกซีเพปไทเดสก่อน แล้วจะย่อยโปรตีนตรงปลายสุดทางด้านที่มีหมู่คาร์บอกซิล เกาะอยู่ไปทางหมู่อะมิโน ทำให้ได้กรดอะมิโนหลุดออกมาจากโปรตีนทีละตัว
5. เอนไซม์ย่อยสารพันธุกรรม
- ribonuclease ย่อย RNA
- deoxyribonuclease ย่อย DNA
3.2 สารเคมีและเอนไซม์ของลำไส้เล็ก
1. เอนเทอโรไคเนส ช่วยในการเปลี่ยนทริปซิโนเจน และ โปรคาร์บอกซีเพปไทเดส จากตับอ่อนให้เป็นทริปซิน และ คาร์บอกซีเพปไทเดส
2. เอนไซม์ที่ย่อยคาร์โบไฮเดรต ได้แก่ เอนไซม์ย่อยน้ำตาลในโมเลกุลคู่ ได้แก่ มอลเตส (Maltase) ซูเครส(Sucrase) และ แลกเตส ( Lactase )
moltase ย่อย maltose 2 glucose
sucrase ย่อย sucrase glucose + fructose
lactase ย่อย lactose glucose + galactose
3. เอนไซม์ที่ย่อยโปรตีนจากลำไส้เล็ก ไม่สามารถย่อยโปรตีนที่กินเข้าไปได้โดยตรง แต่จะย่อยได้เฉพาะเพปไทด์ ซึ่งเป็นบางส่วนของโปรตีนที่ย่อยแล้ว น้ำย่อยเปไทด์จากลำไส้เล็ก เรียก เพปไทเดส ( Peptidase) ซึ่งมีชนิดต่างๆคือ
- อะมิโนเพปไทเดส ( Aminopeptidase ) จะย่อยสลายเพปไทด์ทางด้านปลายสุดที่มีหมู่อะมิโนให้เป็นกรดอะมิโนและเพปไทด์ขนาดสั้นลง
- ไทรเพปไทด์เดส ( Tripeptidase ) จะย่อยไตรเพปไทด์ ( Tripeptide ) ให้เป็นไดเพปไทด์ และ กรดอะมิโน
- ไดเพปไทเดส ( Dipeptidase ) จะย่อยไดเพปไทด์ ( Dipeptide ) ให้เป็นกรดอะมิโน 2 โมเลกุล