เนื้อหาสอบ O-NET
สมบัติของเสียง
เสียงมีสมบัติของคลื่นครบทั้ง 4 ประการ คือ สะท้อน หักเห แทรกสอด และเลี้ยวเบน ดังนี้
1. เสียงสะท้อน
การสะท้อนของเสียง คือ เสียงจากแหล่งกำเนิดเสียงตกกระทบวัตถุแล้วสะท้อนกลับมาที่เดิม ซึ่งปกติมนุษย์สามารถได้ยินเสียงจากการตะโกนครั้งแรกจะส่งผ่านไปยังสมองและติดประสาทหูเป็นเวลาประมาณ 0.1 วินาที หูจึงจะสามารถแยกเสียงที่ตะโกนกับเสียงสะท้อนกลับมาได้
เสียงสะท้อนกลับ (echo) คือ เสียงที่สะท้อนกลับมาสู่หูช้ากว่าเสียงที่ตะโกนออกไปเกิน 0.1 วินาที หูจึงจะสามารถแยกเสียงที่ตะโกนกับเสียงสะท้อนกลับมาได้ การสะท้อนของคลื่นจะเกิดขึ้นได้ดี เมื่อวัตถุหรือสิ่งกีดขวางมีขนาดโตกว่าความยาวคลื่นที่ตกกระทบ
โซนาร์ (sonar) เป็นเครื่องมือที่นักวิทยาศาสตร์นำความรู้เกี่ยวกับการสะท้อนของเสียงมาสร้างเพื่อใช้หาตำแหน่งของสิ่งที่อยู่ใต้ทะเล โดยส่งคลื่นดลของเสียงที่มีความถี่สูงจากใต้ท้องเรือไปกระทบสิ่งกีดขวางใต้ทะเลที่มีขนาดใหญ่กว่าหรือเท่ากับความยาวคลื่น ก็จะเกิดการสะท้อนของเสียงกลับมายังเครื่องรับบนเรือนำช่วงเวลาที่คลื่นส่งเสียงออกไป และรับคลื่นสะท้อนกลับมา ใช้คำนวณหาระยะทางระหว่างตำแหน่งของเรือกับสิ่งกีดขวางได้
2. การหักเหของเสียง
เสียงเคลื่อนที่จากตัวกลางหนึ่งผ่านไปยังอีกตัวกลางหนึ่ง จะเกิดการหักเหเช่นเดียวกับ คลื่นผิวน้ำ เช่น การเห็นฟ้าแลบโดยไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง เนื่องจากคลื่นเสียงเคลื่อนที่ผ่านอากาศร้อนได้ เร็วกว่าอากาศเย็นอัตราเร็วของเสียงจึงน้อยกว่าบริเวณใกล้ผิวโลก
3. การแทรกสอดของเสียง
เสียงมีคุณสมบัติสามารถแทรกสอดกันได้ เมื่อฟังเสียงบริเวณที่มีการแทรกสอดกัน จะได้ยินเสียงดังค่อยต่างกัน
4. การเลี้ยวเบนของเสียง
เสียงสามารถเคลื่อนที่อ้อมสิ่งกีดขวางไปยังด้านหลังของสิ่งกีดขวางได้เช่นเดียวกับ คลื่นผิวน้ำ ซึ่งจะพบเห็นในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ
การสั่นพ้องของเสียง
ความถี่ธรรมชาติ (Natural frequency) คือ ความถี่เนื่องจากการสั่นของวัตถุที่มีค่าคงตัวค่าหนึ่ง เช่น การแกว่งของลูกตุ้มขึ้นกับค่าความยาวของเชือกผูกลูกตุ้ม เชือกขึงตึงจะสั่นด้วยความถี่คงตัวค่าหนึ่ง กระจกที่ติดตามบ้านก็จะสั่นด้วยความถี่ค่าหนึ่ง เป็นต้น
การสั่นพ้องของเสียง (Resonance) คือ ปรากฏการณ์ที่คลื่นเสียงงกระทำให้วัตถุสั่นหรือแกว่ง โดยความถี่ของเสียงที่ทำให้วัตถุสั่นหรือแกว่งเท่ากับความถี่ธรรมชาติของวัตถุนั้น
เมื่อเกิดการสั่นพ้องขึ้น การสั่นของวัตถุจะมีแอมพลิจูดมากที่สุด เมื่อเทียบกับการสั่นด้วยความถี่อื่น ๆ และวัตถุจะสั่นด้วยแรงที่มากระทำเป็นความถี่ธรรมชาติ เมื่อแรงที่มากระทำให้วัตถุสั่นเปลี่ยนไปจะเกิดผลต่อการสั่นของวัตถุ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
เมื่อออกแรงผลักลูกตุ้มหลาย ๆ ครั้ง ความถี่ของแรงที่ผลักมีผลต่อการแกว่งของลูกตุ้ม ถ้าความถี่ของแรงที่ผลักเท่ากับความถี่ธรรมชาติของลูกตุ้ม จะมีผลทำให้ลูกตุ้มแกว่งได้ไกลมากขึ้นหรือมีแอมพลิจูดมากขึ้นทุกครั้งที่ออกแรงผลัก เป็นการสั่นพ้องของลูกตุ้ม ซึ่งสรุปได้ดังนี้
เมื่อให้เสียงจากลำโพง เข้าไปในหลอดเรโซแนนซ์ จะมีการแทรกสอดคลื่นเสียงจากลำโพงและเสียงที่สะท้อนจากลูกสูบทำให้เกิดคลื่นนิ่ง และเกิดเสียงดังที่สุดเมื่อตำแหน่งปฏิบัพอยู่ที่ปากหลอดพอดี และเกิดเสี่ยงค่อยเมื่อตำแหน่งบัพอยู่ที่ปากหลอดพอดี ดังรูป
รูปแสดงคลื่นนิ่งของเสียงในหลอดเรโซแนนซ์
จากรูป พบว่าระยะทางระหว่างตำแหน่งถัดกันที่ได้ยินเสียงดังสองครั้ง จะเท่ากับครึ่งหนึ่งของความยาวคลื่นเสียง และหาค่าอัตราเร็วเสียงได้ดังนี้
เสียงดังครั้งแรก L = λ/4
λ = 4L
มีอัตราเร็วเสียงเป็น v = fλ = f(4L)
จะได้ v = 4Lf
เสียงดังครั้งที่สองมีระยะเลื่อน d = λ = 2d
มีอัตราเร็วเสียงเป็น v = fλ = f(2d)
จะได้ v = 2df
เยี่ยม!!มากเลยคะ
ได้ความรู้มากๆเลยครับ
อยากได้เนื้อหาเยอะๆ
สวัสดีครับ อาจารย์เก่งจังนะครับ
อาจารย์เก่งจังเลยค่ะ
ขอบคุณมากนะค่ะ ได้ความรู้มากๆเลยค่ะ
ช้าจัง เรียบเรียงเร็วๆๆๆ อยากจะดู
เพิ่มเนื้อหาให้แล้วนะครับ รออีกนิดนะครับกำลังจัดทำเพิ่ม