0403 วิวัฒนาการของวิทยุไทย 2
วิวัฒนาการของวิทยุไทย 2
ที่มาของภาพ : http://image.mcot.net/media/images/2013-04-05/13651654212134.jpg
ปี 2520 – 2530 ได้มีพัฒนาการครั้งสำคัญ ในวงการวิทยุ นั่นก็คือ การจัดตั้งองค์กรการสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2520 โดยรวม บริษัทไทยโทรทัศน์ จำกัด เข้ามาอยู่ด้วยกัน ในช่วงรัฐบาลของ ท่านธานินทร์ กรัยวิเชียร พร้อมกับจัดตั้ง สำนักข่าวไทย และขยายเครือข่ายวิทยุไปสู่ภูมิภาค จนถึงปัจจุบันนี้มีสถานีวิทยุ อ.ส.ม.ท.อยู่ในภูมิภาคถึง 52 สถานี แต่ก็หนีไม่พ้นความเป็นสื่อของรัฐ ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ.2498 ที่ห้ามไม่ให้ผู้ใดดำเนินการส่งวิทยุกระจายเสียง หรือ ส่งวิทยุโทรทัศน์ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ซึ่งในความจริงแล้ว ยังไม่เคยมีการออกใบอนุญาตให้เอกชนรายใด ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงเลยแม้แต่รายเดียว เอกชนจึงเข้ามามีบทบาท ในฐานะผู้เช่าเหมาช่วงเวลาจากทางสถานีเท่านั้น โดยเฉพาะการเช่าสถานีของทหาร 200 สถานีทั่วประเทศ มีไม่กี่รายที่เป็นผู้ผลิตรายการเอง ส่วนใหญ่ผู้ที่ผลิตรายการ และดำเนินรายการ คือ ผู้ที่เช่าช่วงต่ออีกทอดหนึ่ง (ในราคาที่แพงขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัว) ฉะนั้นรูปแบบของรายการแต่ละรายการจึงมุ่งไปในเรื่องของธุรกิจ เป็นหลัก และที่เป็นรายได้ประจำของรายการ คือการรับจ้างเปิดเพลง อย่างที่เขาพูดกันว่า "เพลงละพัน วันละเพลง” เพื่อโฆษณาขายเทป แทบทุกรายการทุกสถานี เรียกว่า ทั้งยัดเยียด ทั้งข่มขืนใจคนฟังจนกระทั่งเพลงติดหูนั่นเอง
ในช่วงปี 2530 – 2540 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสาร เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้วงการวิทยุของไทย มีพัฒนาการที่แปลกใหม่ขึ้น เช่น การเปิดโอกาสให้ผู้ฟังโทรศัพท์เข้ามาพูดคุยในรายการได้ แต่ด้วยเหตุที่วิทยุของไทยล้วนแต่เป็นสื่อของรัฐ ที่มีการควบคุมเนื้อหาที่เข้มงวด รายการที่เปิดโอกาสให้ผู้ฟังโทรศัพท์เข้ามาร่วมในรายการได้ จึงมีแต่รายการด้านบันเทิงเท่านั้น ส่วนรายการที่เป็นประเด็นกระทบกระทั่งรัฐบาล หรือผู้มีอำนาจนั้น ประชาชน ผู้ฟัง ก็ไม่มีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นเหมือนเดิม
หลังจากปี 2540 เป็นต้นมา เมฆหมอกทะมึนที่กั้นระหว่างรัฐบาล และสื่อของรัฐ กับประชาชนมานานกว่า 70 ปี ก็ทำท่าว่าจะดีขึ้น เมื่อประชาชน มีโอกาสได้ร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชน ด้วย โดยเฉพาะใน มาตรา 40 ของกฏหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่เปิดให้โอกาสประชาชนมีโอกาสเป็นเจ้าของสื่อวิทยุกระจายเสียง และวิทยุโทรทัศน์ได้เป็นครั้งแรก ซึ่งยังไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่ประเทศไทยมีสถานีวิทยุกระจายเสียงเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ปี 2470 เป็นต้นมา และที่ผ่านมาคลื่นวิทยุต่างๆ ล้วนอยู่ในความครอบครองของหน่วยงานราชการทั้งสิ้น แต่ไม่ใช่ว่าหน่วยงานราชการทุกหน่วยงาน จะเป็นเจ้าของสื่อได้ คงมีหน่วยงานแค่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น ที่มีสถานีวิทยุ และสถานีโทรทัศน์ได้ ทั้งนี้ก็เพราะคำว่า "เพื่อความมั่นคงของชาติ” เป็นสำคัญ นอกนั้นผลประโยชน์ก็เป็นของนายทุน และอีกเหตุผลหนึ่งที่คลื่นวิทยุมีค่ามหาศาล ก็คือ คลื่นวิทยุมีจำกัด แถมยังสร้างรายได้ เสริมอิทธิพล หนุนธุรกิจ ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากมาย กับผู้มีอำนาจที่ถือครองอยู่ จึงเกิดการหวงแหน แก่งแย่งช่วงชิงถึงขั้นฆ่ากัน เป็นข่าวโด่งดังมาหลายครั้งที่ผ่านมา
![](/files/u9/3.jpg)
มาลองคิดกันเล่นๆ ว่าในประเทศไทย ขณะนี้มีสถานีวิทยุรวมทั้งสิ้นประมาณ 525 สถานี ถ้าจะต้องแบ่งสถานีที่มีอยู่ให้ภาคประชาชนแค่ 20 % ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ก็คือ 105 สถานี ส่วนที่เหลืออีก 80% คือ 420 สถานี แบ่งครึ่งระหว่างภาครัฐกับเอกชนที่ทำธุรกิจ ฝ่ายละ 210 สถานี ซึ่งหน่วยงานของรัฐที่มีสถานีวิทยุอยู่ในครอบครองจำนวนมากขณะนี้ คือ กรมประชาสัมพันธ์มีอยู่ 147 คลื่น กองทัพบกมี 139 คลื่น อ.ส.ม.ท. มี 62 คลื่น และตำรวจ 44 คลื่น ทุกหน่วยงานที่ว่าต่างก็กลัวว่าจะถูกยึดคลื่นคืน จึงทำให้เกิดกระแสต่อต้านขึ้นมา
ซึ่งขณะนี้กรมประชาสัมพันธ์ ก็หันมาเล่นบทใหม่ คือ “บทแม่มดเจ้าเล่ห์ที่หยิบยื่นแอปเปิ้ลเคลือบยาพิษให้หนูน้อยหมวกแดง” ด้วยการแบ่งเวลาในชั่วโมงอับ (เวลาที่มีคนฟังน้อย) ให้กับกลุ่ม/องค์กรอย่าง “กลุ่มประชาสังคม” เข้าไปทำรายการในสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย แต่ละจังหวัดจะได้เวลาไม่เท่ากันบางจังหวัดได้วันละ 1-2 ชั่วโมง บางจังหวัดได้ถึง 4-5 ชั่วโมงต่อวัน ขึ้นอยู่กับทางสถานีว่าจะมีนักจัดรายการไปแย่งกันซื้อเวลามากน้อยแค่ไหน ช่วงเวลาที่ขายไม่ออก ก็ยกให้ประชาสังคม มาดำเนินการดีกว่าทิ้งให้อยู่เฉยๆ
ประโยชน์ที่ได้จากการแบ่งเวลาให้กลุ่มประชาสังคม"กรมประชาสัมพันธ์”ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว เช่น ได้ทั้งมิตร(พวก) ซึ่งเป็นพวกที่ค่อนข้างจะมีผลบวกผลลบกับภาครัฐมากที่สุด ได้ทั้งคนช่วยจัดรายการ ได้ทั้งบุญคุณ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะบอกกับประชาชนได้ว่าไอ้ 20% ของคลื่นวิทยุที่เรียกร้องกันนักหนา กรมประชาสัมพันธ์ เขาก็ให้มาตั้งนานแล้ว จะเรียกร้องเอาอะไรอีก และสถานีวิทยุอื่นๆ ก็เริ่มเอาอย่างบ้าง โดยการเจียดเวลาให้องค์กรภาคประชาชนสถานีละเล็กละน้อยอย่างเสียไม่ได้ เพราะเป็นคำสั่งจาก กรมประชาสัมพันธ์
แหล่งที่มาของข้อมูล
- http://pirun.ku.ac.th/~g5086066/report1g2.doc
- http://std.kku.ac.th/4630801725/Technology%20Internet/e-mail.doc
- http://news.sanook.com/scoop/scoop_100982.php
- http://lightning.prohosting.com/~thaiview/tvhistory.htm
- http://202.129.53.76/watcharee/n6.html
- http://dusithost.dusit.ac.th/librarian/it107/C6.htm
- http://surinrelations.org.www.readyplanet.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=251289