โครงสร้างหัวใจ
นอกจากนี้ยังมีการลำเลียงสารต่างๆที่ร่างกายสร้างขึ้น เช่น ฮอร์โมน แอนติบอดี ไปยังส่วนต่างๆของร่างกายที่ต้องการสารชนิดนั้นๆ การลำเลียงต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นนี้ก็คือ ระบบหมุนเวียนเลือดนั่นเอง ด้วยเหตุนี้เองระบบการหมุนเวียนเลือดจึง ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ และจำเป็นต่อคนเราอย่างมาก
ระบบหมุนเวียนเลือดของคน เป็นระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด โดยมีเลือดอยู่ภายในหัวใจและเส้นเลือดตลอดเวลา โครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับระบบหมุนเวียนเลือดของคน ประกอบด้วย
1.หัวใจ ทำหน้าที่ ในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย และสูบฉีดเลือดไปฟอกที่ปอด
2.เส้นเลือด ทำหน้าที่ เป็นท่อลำเลียงเลือดไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย
3.เลือด ทำหน้าที่ ลำเลียงก๊าซและสารต่างๆไปตามส่วนต่างๆของร่ากาย
โครงสร้างของหัวใจ หัวใจของคนที่โตเต็มวัยจะมีขนาดกว้างประมาณ 9 cm. ยาว 12.5 cm. และหนา 5 cm. มีน้ำหนักประมาณ 300 กรัม มีตำแหน่งอยู่ภายในช่องอกระหว่างปอดทั้ง 2 ข้าง ค่อนไปทางซ้ายเล็กน้อย หัวใจอยู่ภายในเยื่อหุ้มหัวใจที่เรียกว่า เยื่อเพอริคาร์เดียม (pericardium)
โครงสร้างของหัวใจ
1.กล้ามเนื้อหัวใจ
กล้ามเนื้อหัวใจ ประกอบด้วยเนื้อเยื่อหุ้ม 3 ชั้น
- ชั้นนอก (epicardium)เป็นชั้นที่หุ้มหัวใจไว้มีเนื้อเยื่อไขมันเป็นจำนวนมาก และจะพบเส้นเลือดขนาดใหญ่ผ่านชั้นนี้ ที่ผนังด้านนอกของหัวใจที่เส้นเลือดที่นำเลือดมาเลี้ยงหัวใจ เรียกเส้นเลือดนี้ว่า โคโรนารี อาร์เทอรี (coronary artery) เป็นเส้นเลือดที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ หากเส้นนี้เกิดการอุดตันแล้วเลือดจะไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย อาจทำให้หัวใจวายถึงตายได้
- ชั้นกลาง (myocardium) เป็นชั้นที่หนามากที่สุด ประกอบขึ้นจากกล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) โดยเฉพาะ และเป็นส่วนของกล้ามเนื้อหัวใจซึ่งมีลักษณะพิเศษที่มีการทำงานอยู่นอกอำนาจจิตใจ และมีลายเล็กน้อย
- ชั้นใน (endocardium) เป็นชั้นที่ประกอบด้วยเนื้อเยื่อบุผิว กล้ามเนื้อเรียบและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันมากมาย
2.ห้องหัวใจ
หัวใจคนมี 4 ห้อง คือ ห้องบน (atrium, auricle) 2 ห้อง และห้องล่าง (ventricle) 2 ห้อง แต่ละห้องแยกกันอย่างสมบูรณ์ ดังนี้
3.ลิ้นหัวใจ
ลิ้นหัวใจ เป็นโครงสร้างที่ป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ ลิ้นภายในหัวใจมีตำแหน่งลักษณะและชื่อเรียกดังนี้
- ลิ้นไตรคัสปิด (tricuspid valve) อยู่ระหว่างหัวใจห้องเอเตรียมขวาและเวนตริเคิลขวา มีลักษณะเป็นแผ่น 3 แผ่น ที่ขอบของแต่ละลิ้นจะยึดติดกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและผนังของเวนตริเคิลเพือควบคุมการปิดเปิดลิ้น ป้องกันไม่ให้เลือดในเวนตริเคิลขวาไหลย้อนกลับขึ้นสู่เอเตรียมขวา
- ลิ้นพัลโมนารี เซมิลูนาร์ (pulmonary semilunar valve) อยู่ที่โคนของเส้นเลือดพัลโมนารีอาร์เทอรี มีลักษณะเป็นถุงรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว 3 ใบ บรรจบกันแต่ไม่ได้ยึดติดกันด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ทำหน้าที่กันไม่ให้เลือดไหลกลับสู่เวนตริเคิลขวา
- ลิ้นไบคัสปิด (bicuspid valve) อยู่ที่โคนของเส้นเลือดพัลโมนารีอาร์เทอรี มีลักษณะเป็นถุงรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว 3 ใบ บรรจบกันแต่ไม่ได้ยึดติดกันด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ทำหน้าที่กันไม่ให้เลือดไหลกลับสู่เวนตริเคิลขวา
- ลิ้นเอออร์ติก เซมิลูนาร์ (aortic semilunar valve) อยู่ที่โคนของเส้นเลือดพัลโมนารีอาร์เทอรี มีลักษณะเป็นถุงรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว 3 ใบ บรรจบกันแต่ไม่ได้ยึดติดกันด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ทำหน้าที่กันไม่ให้เลือดไหลกลับสู่เวนตริเคิลขวา
4.เนื้อเยื่อของหัวใจ
เนื้อเยื่อหัวใจมี 4 ชนิด คือ
- เนื้อเยื่อบุผิว เป็นเนื้อเยื่อที่บุทั้งภายนอกและภายในหัวใจ
- เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เป็นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ ยึดลิ้นหัวใจ และกล้ามเนื้อหัวใจ
- เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อหัวใจ เป็นเนื้อเยื่อซึ่งแตกต่างจากกล้ามเนื้อลายและกล้ามเนื้อเรียบ ที่ไม่มีลายมากเหมือนกล้ามเนื้อลาย แต่ไม่อยู่ในอำนาจจิตเหมือนกับกล้ามเนื้อเรียบ
- เนื้อเยื่อโดนัล เป็นเนื้อเยื่อที่เปลี่ยนแปลงมาจากกล้ามเนื้อหัวใจในระยะ embryo ขณะที่สร้างกล้ามเนื้อหัวใจ แต่การหดตัวไม่ดีเท่ากล้ามเนื้อหัวใจ แต่สามารถเกิด depolarization ได้ดีกว่า พร้อมกับเกิดการนำกระแสประสาท หัวใจจึงหดตัวได้โดยไม่ต้องมีสิ่งใดมากระตุ้น
วงจรการทำงานของหัวใจ
ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มการเต้นของหัวใจ จนกระทั่งถึงการเต้นของหัวใจครั้งต่อไป เรียกว่า 1 วงจร ซึ่งประกอบด้วย กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัว (systole) เพื่อไล่เลือดเข้าสู่หัวใจห้องล่างหรือไล่เลือดออกไปสู่เส้นเลือด หลังจากนั้นกล้ามเนื้อจะคลายตัว (diastole) เพื่อให้เลือดเข้ามาสู่หัวใจห้องที่ว่าง แล้วเริ่มวงจรใหม่ต่อไป ในแต่ละวงจรจะมีการกระตุ้นที่ S - A node แล้วส่งกระแสประสาทไปยัง A - V node ซึ่งอยู่ที่ฐานของผนังหัวใจห้องขวา แล้วส่งไปยังใยประสาทที่เรียกว่า A - V bundle หรือ Bundle of His แล้วแยกกิ่งไปยัง Ventricle ซ้ายและขวาทางเส้นใยที่เรียกว่า Purkinje fibers ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหดตัว และในแต่ละวงจรจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางไฟฟ้าและทางกล เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางไฟฟ้าของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ สามารถวัดความต่างศักย์ไฟฟ้าได้โดยใช้เครื่อง electrocardiograph แล้วแสดงออกมาเป็นกราฟที่เรียกว่า electrocardiogram ซึ่งเรียกกันย่อๆว่า EKG หรือ ECG ซึ่ง EKG หรือ ECG มีประโยชน์ในการแพทย์สำหรับตรวจการทำงานของหัวใจ
- 1
- 2
- 3
- 4
- ถัดไป ›
- หน้าสุดท้าย »