สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโระฮิโตะ
สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโระฮิโตะ
สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ พระนามเดิม ฮิโระฮิโตะ ทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 124 ของประเทศญี่ปุ่น ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2469 - พ.ศ. 2532 รวมแล้วถึง 63 ปี
สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตทรงมีบทบาทที่สำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเป็นผู้นำญี่ปุ่นเข้าร่วมฝ่ายอักษะร่วมกับนาซีเยอรมันและฟาสซิสต์ของอิตาลี
หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สิ้นสุดลง
ญี่ปุ่นกระทำการหลายอย่างที่แสดงถึงความเปิดกว้างและเป็นมิตร โดยเข้าร่วมแนวคิดสากลนิยมที่ประกาศไว้ในหลักการขององค์การสันนิบาตชาติ นอกจากนี้ในการประชุมร่วมที่กรุงวอชิงตัน ญี่ปุ่นยังเห็นชอบที่จะสลายความเป็นพันธมิตรระหว่างอังกฤษกับญี่ปุ่น เพื่อแลกกับการลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยร่วมกับมหาอำนาจตะวันตก ซึ่งระบุให้จำกัดจำนวนยุทโธปกรณ์ทางน้ำ และยอมรับสิทธิและอำนาจเต็มของจีนเหนือดินแดนจีนเองด้วย ค.ศ. 1925
ญี่ปุ่นยังขยายความสัมพันธ์ทางการทูตไปถึงสหภาพโซเวียต แม้กลุ่มโคมินเทิรน์จะคอยสนับสนุนความเคลื่อนไหวของฝ่ายคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียนอยู่ก็ตาม แต่ในอีกด้านหนึ่งความสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่นกลับเลวลง เมื่อมีกฎหมายห้ามชาวญี่ปุ่นเข้าสหรัฐอเมริกา สร้างความโกรธแค้นให้แก่ชาวญี่ปุ่นอย่างยิ่ง เพราะไปประจวบกับเวลาที่ญี่ปุ่เพิ่งถูกองค์กรสันนิบาตชาติปฏิเสธที่จะรับรองข้อเสนอของญี่ปุ่นว่ามนุษย์ทุกเผ่าพันธ์เท่าเทียมกัน เข้าไว้ในพันธะสัญญาขององค์กร แม้กระนั้น ก็แทบจะไม่มีสัญญาณใดๆในช่วงทศวรรษ 1920 ถึงวิกฤตความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างญี่ปุ่นกับ สหรัฐอเมริกาเลย
นโยบายเปิดเสรีการค้าของญี่ปุ่นที่ใช้ความร่วมมือทางการทูต โดยสันติเป็นสื่อก็ตรงกับนโยบายเปิดประตูความสัมพันธ์และการค้า ซึ่งริเริ่มโดยวุฒิสมาชิก จอห์น เฮย์ ในช่วงต้นศตวรรษด้วยซ้ำ ด้วยความไว้วางใจในข้อตกลงที่ทำไว้กับนานาประเทศว่าจะเป็นหนทางเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงในประเทศและ
สงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อญี่ปุ่นเข้าสู่สงคราม สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะย่อมมีพระราชประสงค์ที่จะให้ญี่ปุ่นได้ชัยชนะ พระองค์จึงพอพระทัยเป็นอันมากที่ปฏิบัติการโจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์ สร้างความเสียหายอย่างหนักให้แก่กองกำลังสหรัฐอเมริกาประจำภาคพื้นแปซิฟิก
"ชัยชนะที่ได้ออกจะมาเร็วไปหน่อย" พระองค์จึงมักจะทรงเตือนผู้นำทหารบกและทหารเรือให้ปรับปรุงการทำงานระหว่างสองกองทัพให้ประสานงานได้ดีขึ้น เพราะสภาพที่เป็นอยู่นั้นจัดว่าไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง และยังทรงเตือนให้สองกองทัพ เลิกใช้วิธีเหมือนเล่นการเมืองพาทะเลาะกันเรื่องการเคลื่อนย้ายฝูงบินเสียที
เมื่อทรงได้รับรายงานเกี่ยวกับความปราชัยครั้งสำคัญของญี่ปุ่นเช่นที่ ยุทธภูมิมิดเวย์ จึงมีแต่พระราชดำรัสให้ผู้นำทหารทั้งหลายทำงานของตนให้ดีที่สุดในการปฏิบัติครั้งหน้า โดยแทบจะมิได้ทรงแสดงอารมณ์ใดๆออกมาอีก ราวกับทรงปลงเสียแล้ว
พระราชกรณียกิจเหล่านี้ล้วนสร้างภาพว่า พระองค์กำลังทรงบัญชาการความเคลื่อนไหวทั้งหมดของกองทัพในฐานะที่ทรงเป็นจอมทัพของชาติ แต่ขณะที่พระองค์ทรงอ่านรายงานการรบและลงพระนามรับรองแผนปฏิบัติการทางทหารต่างๆอยู่อย่างขะมักเขม้นทุกวี่ทุกวันนั้น สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะมิได้ทรงมีส่วนในการบังคับบัญชาใดๆ เฉกเช่นที่สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิไม่เคยได้ทรงกระทำหน้าที่นี้ทุกครั้งที่มีสงครามขึ้นเลย
ทรงเสริมด้วยว่า "เราเกรงว่า ประสิทธิภาพของทหารเราจะอ่อนด้อยลงไปหากสงครามต้องยืดเยื้อ" แต่โดยหน้าที่แล้ว โตโจจำเป็นต้องทำสงครามต่อไป และแม้กระแสการรบจะพัดย้อนไปกระหน่ำญี่ปุ่นแทน สงครามก็ยังไม่อาจยุติลงได้ ดูเหมือนว่าสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะกลับเป็นผู้ต่อเวลาทำสงครามออกไปเสียเองถึง 2 ทางด้วยกัน ประการแรก แม้ในช่วงแรกๆจะมีขบวนการสันติภาพที่ก่อตั้งขึ้นโดยอดีตนายกรัฐมนตรี ข้าราชสำนัก และแม้กระทั่งเชื้อพระวงศ์บางองค์
แต่สมเด็จพระจักรพรรดิก็ไม่ทรงยอดปลดโตโจออกตามคำเรียกร้องของสมาชิกขบวนการที่ต้องการจะหยุดยั้งสงครามไว้ให้ได้ เพราะในระหว่างยังไงเสียญี่ปุ่นก็ต้องอาศัยโตโจดำเนินการรบไปจนกว่าสถานะของญี่ปุ่นในการเจรจาสันติภาพจะดีขึ้น และบรรลุเงื่อนไขตามที่ญี่ปุ่นต่อรอง โดยพระองค์ทรงตรัสกับ เจ้าชายทาคาทัตสึ พระอนุชาองค์รองว่า
ในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ ได้รายงานคำประกาศของพรรคคอมมิวนิสต์ญี่ปุ่นเขียนขึ้นในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2532 หนึ่งวันหลังจากสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะสวรรคตว่า
ครั้นมีการสัมภาษณ์สมเด็จพระจักรพรรดิเมื่อปี พ.ศ. 2518 พระองค์ก็ทรงตรัสว่า "ไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้ เพราะเป็นคำสัญญาของลูกผู้ชาย"