สำหรับนักเรียนที่ซ่อมวิชาประวัติศาสตร์ ส32102
ให้นักเรียนปฏิบัติดังนี้ จำนวน 18 คน ภายในวันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม 2553 เวลา 09.09น.
1. ส่งสมุดและต้องให้ครบทั้ง 5 เรื่อง
2. ให้ตอบงานที่มอบหมายให้ครบทั้ง 5 ครั้ง
3. ให้ตอบในหน้านี้เท่านั้น ตามกติกาที่ตกลงกันไว้คือ - มีรูปตัวเอง -มีชื่อnssตามด้วยเลขประจำตัวเช่น nss12345 หรือ nss.12345 หรือ nss 12345 เท่านั้น
งานครั้ังที่ 1 การปฏิวัติวิทยาศาสตร์
งานครั้งที่2 การปฏิวัติอุตสาหกรรม
งานครั้งที่3 สงครามเย็น
งานครั้งที่4 ปัญหาตะวันออกกลาง
งานครั้งที่5 เหตุการณ์สำคัญที่มีผลกระทบต่อโลกและมนุษยชาติ
ธนพนธ์ จันทร์สุข 5/8 เลขที่ 2
การปฏิวัติอุตสาหกรรม การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นผลสืบเนื่องมาจากกระแสความเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 อันเป็นสมัยแห่งการสำรวจ ค้นพบโลกใหม่และสมัยแห่งการขยายตัวทางการค้า ซึ่งทำให้เกิดความต้องการเพิ่มปริมาณสินค้าเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศเพื่อเพิ่มจำนวนของสินค้า ในระยะแรกกลุ่มพ่อค้า นายทุนได้ใช้วิธีการนำวัตถุดิบรวมทั้งเครื่องมือทางการผลิตว่าจ้างให้ช่างทำการผลิตสินค้าตามที่ตนต้องการ แล้วนำผลผลิตสำเร็จรูปส่งออกขายเอากำไร วิธีการผลิตนี้เรียกกันว่า “ระบบการผลิตในครอบครัว” (Domestic system) อย่างไรก็ตาม เมื่อวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าขึ้น จึงมีการประดิษฐ์ คิดค้นเครื่องจักรเข้ามาตอบสนอง โดยในศตวรรษที่ 18 สามารถประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำและนำมาพัฒนาเป็นเครื่องจักรทอผ้าได้เป็นผลสำเร็จเมื่อกล่าวถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรม การปฏิวัติอุตสาหกรรม คือ การปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต จากการใช้แรงงานคน สัตว์ มาสู่การใช้แรงงานเครื่องจักรกล รวมทั้งการปรับเปลี่ยนลักษณะทางการผลิตจากระบบการผลิตในครอบครัวมาสู่ระบบการผลิตแบบโรงงานอุตสาหกรรม (Factory) สินค้าจะถูกผลิตขึ้นคราวละมาก ๆ และมีลักษณะเหมือน ๆ กัน ซึ่งแตกต่างจากการผลิตงานฝีมือจากช่างฝีมือการปฏิวัติอุตสาหกรรมมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 ครั้ง คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 ค.ศ. 1760 การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 ค.ศ. 1880 และการปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศ ค.ศ. 1950 (จะกล่าวถึงการปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศในส่วนของยุคโลกาภิวัตน์)
การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 เกิดขึ้นที่ประเทศอังกฤษใน ค.ศ. 1760 โดยมีการนำเอาเครื่องจักรไอน้ำมาประดิษฐ์เป็นเครื่องจักรทอผ้าและใช้ถ่านหินเป็นพลังงานทางการผลิต การที่ประเทศอังกฤษประสบความสำเร็จในการปฏิวัติอุตสาหกรรม ได้สร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้แก่อังกฤษอย่างมหาศาล และกลายเป็นต้นแบบหรือแนวทางให้ประเทศอื่น ๆ ดำเนินการตาม ดังจะเห็นได้จากการขยายตัวของพื้นที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมจากประเทศอังกฤษไปสู่ฝรั่งเศส เบลเยียม เยอรมัน อเมริกาในช่วงต้นถึงกลางศตวรรษที่ 19 ตามลำดับ และการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศรัสเซียและญี่ปุ่นราวปลายศตวรรษที่ 19 เป็นต้น การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 เกิดขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงและแตกต่างจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 อยู่หลายประการ เช่น มีการปรับเปลี่ยนพลังงานทางการผลิตจากพลังงานถ่านหินมาสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า ก๊าซและน้ำมัน ระบบการผลิตแม้ว่าจะเป็นระบบการผลิตแบบโรงงาน แต่ก็มีการพัฒนาวิธีการผลิต โดยการนำเอาระบบสายพานหรือระบบเทย์เลอร์ (Taylorism) (เรียกตามชื่อผู้คิดค้น คือ เฟรเดอริค วินสโลว์ เทย์เลอร์) มาใช้เพื่อเพิ่มความเร็วและจำนวนของสินค้า ตัวสินค้าเองก็ปรับเปลี่ยนจากผ้าเข้าสู่สินค้าที่มีเทคโนโลยีสูงตามพลังงานใหม่ที่ค้นพบและใช้เหล็กกล้าเป็นวัสดุหลักทางการผลิต เช่น การประดิษฐ์รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น อนึ่ง หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมก่อตัวขึ้นในตะวันตก การปฏิวัติอุตสาหกรรมก็ได้ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทั้งในมิติของการเพิ่มขึ้นของผลผลิตและช่องว่างทางสังคม ซึ่งได้กลายเป็นฟันเฟืองหลักที่คอยขับเคลื่อนให้เกิดปรากฏการณ์อื่น ๆ ตามมาอย่างเป็นลูกโซ่ กล่าวคือ ในบริบทของการเพิ่มขึ้นของสินค้าจากภาคอุตสาหกรรม ทำให้ประเทศตะวันตกเกิดความต้องการทั้งแหล่งวัตถุดิบและตลาดเพื่อรองรับภาคการผลิตอุตสาหกรรมภายใน ด้วยเงื่อนไขนี้ได้ผลักดันให้ประเทศตะวันตกเริ่มทำการล่าอาณานิคมขึ้นอีกระรอก การล่าอาณานิคมครั้งนี้เรียกกันว่าเป็น “จักรวรรดินิยมยุคใหม่” ที่เป็นการใช้อำนาจเข้าไปยึดครองดินแดนอื่นให้เป็นอาณานิคม เจ้าอาณานิคมจะบีบบังคับให้ประเทศอาณานิคมผลิตสินค้าราคาถูกเฉพาะอย่างป้อนโรงงานอุตสาหกรรมของตน แล้วนำสินค้าอุตสาหกรรมส่งกลับเข้ามาขายยังอาณานิคม ยกตัวอย่างเช่นอังกฤษบีบบังคับให้อาณานิคมอินเดียผลิตฝ้ายเพื่อป้อนอุตสาหกรรมทอผ้า แล้วนำผ้ากลับเข้ามาขายยังอินเดีย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประเทศตะวันตกที่ทำการปฏิวัติอุตสาหกรรมมีด้วยกันหลายประเทศ แต่ละประเทศต่างแข่งขันแสวงหา แย่งชิงอาณานิคมอันเปรียบเสมือนแหล่งที่มาแห่งโภคทรัพย์ จนเกิดการกระทบกระทั่งซึ่งกันและกัน ความขัดแย้งจากการล่าอาณานิคมของมหาอำนาจยุโรปดังกล่าว ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ธนพนธ์ จันทร์สุข 5/8 เลขที่ 2 .
การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ . การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ความหมายของการ “การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์” การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ คือ การพัฒนาความเจริญหน้าในวิทยาการของโลกตะวันตก ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีการค้นคว้าแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธรรมชาติ โลก และจักรวาล ทำให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เจริญรุ่งเรือง เป็นผลให้ชาติตะวันตกพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ และการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ทำให้มนุษย์เชื่อมั่นในความสามารถของตน มีอิสระทางความคิด หลุดพ้นจากการครอบงำของคริสตจักร และมุ่งมั่นที่จะเอาชนะธรรมชาติเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของตนให้ดีขึ้น ..การพัฒนาเทคโนโลยีในดินแดนเยอรมันตอนใต้ โดยเฉพาะการประดิษฐ์เครื่องพิมพ์แบบใช้วิธีเรียงตัวอักษร กูเตนเบิร์ก ในปี ค.ศ. 1448 ทำให้สามารถพิมพ์หนังสือเผยแพร่ความรู้ต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง และการสำรวจทางทะเลและการติดต่อกับโลกตะวันออก ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่16 เป็นต้นมาทำให้อารยธรรมความรู้ต่างๆ จากจีน อินเดีย อาหรับ และเปอร์เซีย เผยแพร่เข้ามาในสังคมตะวันตกมากขึ้นความสำคัญของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์
. นักวิทยาศาสตร์ที่ชื่นชอบ . .