ประวัติศาสตร์จีนยุคโบราณ
อารยธรรมจีนเริ่มต้นเมื่อ ถ้าจะยึดตามตำนานจีน ประวัติศาสตร์เริ่มหน้าจาก “ผานกู่” ซึ่งเป็นผู้สร้างจักรวาล พระเจ้าแผ่นดินและผู้นำอันชาญฉลาด(ในหมู่พระเจ้าแผ่นดินยุคโบราณที่เป็นที่รู้จักรคือ พระเจ้าฮ๋วงตี้ 黄帝 หยาวตี้ เป็นต้น) ผู้ซึ่งสอนชาวจีนยุคโบราณรู้จักการสื่อสารระหว่างกัน หุงหาอาหาร เครื่องนุ่งห่มและสร้างที่อยู่อาศัย
盘古开天地 (Pan Gu kai tian di)
ตำนานผานกู่ เบิกฟ้าผ่าพิภพ
ที่มาของรูปภาพ http://cn.yimg.com/ncp/128_1131934550.jpg
คนจีนเชื่อว่าจักรวาลในบุพกาล ก่อนที่มนุษยชาติจะถือกำเนิด ฟ้าและดินได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน ทั่วสี่ทิศล้วนมืดมิด มีสภาพคล้ายไข่ไก่ บรรพบุรุษของมวลมนุษย์ นามว่า 盘古 ผานกู่ (Pan Gu) ได้ถือกำเนิดขึ้นจากกลุ่มเมฆหมอก
18,000 ปีผ่านไป ผานกู่ผู้รู้แจ้งทุกสรรพสิ่ง ทรงพลังไร้ขีดจำกัด ก็ได้ตื่นขึ้นมาเนื่องจากมองไม่เห็นอะไรเลย รู้สึกร้อนจนทนไม่ไหว หายใจไม่ค่อยออก คิดอยากจะยืนขึ้น แต่เปลือกไข่แข็งล้อมรอบตัวจนไม่สามารถยืดเท้ายืดมือได้แม้นิดเดียว ผานกู่จึงบันดาลโทสะ คว้าขวานที่เกิดมาคู่กับเขา นำมาเหวี่ยงไปเบื้องหน้าสุดแรง เสียงครืนครั่นพลันดัง “ไข่ไก่ฟองใหญ่” ได้ปริแตก แล้วส่วนที่ใสและเบา(ไข่ขาว)ก็ได้ลอยขึ้นไป ค่อยๆกลายเป็นท้องฟ้า ส่วนที่หนักและขุ่นข้น(ไข่แดง)ก็ได้จมลง และค่อยๆจับตัวกันเป็นแผ่นดิน
ผานกู่เกรงว่าผืนฟ้าและแผ่นดินจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง จึงยืนหยัดอยู่ตรงกลาง ใช้เท้าเหยียบแผ่นดิน ใช้ศีรษะยันแผ่นฟ้า ท้องฟ้าสูงขึ้นวันละหนึ่งจ้าง(2 เมตรเศษ) แผ่นดินหนาขึ้นวันละหนึ่งจ้าง ร่างกายของผานกู่ก็เปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน ผานกู่นี้ ตัวโตเร็วมาก สูงขึ้นได้ถึงวันละ 1 จ้าง หรือ 3.33 เมตร ผานกู่กลายเป็นยักษ์ที่ยืนค้ำฟ้าเอาไว้ กว่าที่ผานกู่สิ้นลม ประมาณว่าระยะทางระหว่างฟ้าดินห่างกันราว 90,000 ลี้ หรือประมาณ 45,000 กิโลเมตร
ฟ้ากับดินที่ผานกู่ไปขั้นไว้นั้น ฟ้าเปรียบได้กับเพศชาย เรียกว่า หยาง(阳Yang) ซึ่งแสดงถึงความอบอุ่น แสงสว่างตรงข้ามกับหยิน(阴Yin)ซึ่งเปรียบได้เหมือนเพศหญิง ซึ่งแสดงถึงความมืดและความหนาวเย็นนั่นเอง
ส่วนดินที่ผานกู่ใช้เท้ายันไว้ เล่ากันว่ามีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีมหาสมุทรอยู่ล้อมทั้งสี่ด้าน เรียกได้ว่าเป็นด้านล่างของเปลือกไข่ ส่วนท้องฟ้าที่เป็นด้านบนของไข่นั้น มีรูปเหมือนชามคว่ำ มีพระอาทิตย์ 10 ดวง มีพระจันทร์ 12 ดวง ลอยไปลอยมาใต้รูปชามคว่ำฝา เนื่องจากพระอาทิตย์มีถึง 10 ดวง เลยต้องมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปปรากฏตัวบนท้องฟ้าโดยพระอาทิตย์จะนั่งรถทรง มีหมู่มังกรลาก รุ่งอรุณที่พระอาทิตย์ต้องทำหน้าที่ก็จะค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากหุบเขาแสงสว่าง แล้วไปสรงน้ำที่ทะเลสาบสุดขอบของจักรวาลด้านตะวันออก พอสรงสนานเสร็จ ก็จะปีนต้นไม้ที่อยู่ข้างทะเลสาบ อีก 9 ดวงที่ไม่มีหน้าที่ก็ปีนอยู่แถวกิ่งล่างๆ ดวงที่เข้าเวรก็ปีนอยู่แถวบนๆ เพื่อรอขึ้นไปทำหน้าที่ต่อ พอรถมารับพระอาทิตย์ก็นั่งรถไปเรื่อยๆจนถึงขอบตะวันตก ส่วนพระจันทร์ก็ใช่ย่อยไม่น้อยหน้ามีรถทรงเหมือนกัน แต่วิ่งสลับทางกัน พระจันทร์นั่งรถจากทางทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก
แหล่งอ้างอิง http://www.thaichinese.net/History/Ancient/ancient.html http://gotoknow.org/blog/nuhanyu/308709 http://www.mythland.org/v3/thread-3099-1-1.html