ประวัติของมหาวิทยาลัยแม่โจ้
ประวัติของมหาวิทยาลัยแม่โจ้
ภาพจาก : http://dek-d.com/contentimg/por_2/maejo_phrae.jpg
อักษรย่อ : มมจ. / MJU
ชื่อภาษาอังกฤษ : Maejo University
วันสถาปนา : 7 มิถุนายน พ.ศ. 2477
ประเภท : รัฐ
อธิการบดี : รศ. ดร. เทพ พงษ์พานิช
สีประจำสถาบัน : เขียว-ขาว-เหลือง
ต้นไม้ : อินทนิล
เว็บไซต์ : www.mju.ac.th
มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้พัฒนามาจาก โรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมประจำภาคเหนือ กระทรวงธรรมการ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2477 เป็นสถานศึกษาขั้นสูงสุดทางการเกษตรของประเทศในสมัยนั้น ซึ่งมีประวัติที่เล่าขานและเป็นตำนานที่บอกกล่าวมายาวนานถึงเรื่องราวการบุกเบิกพื้นที่ และการต่อสู้กับงานหนัก เพื่อให้ความรู้ สติปัญญา ฝึกทักษะ อาชีพ และหล่อหลอมความทรหดอดทนของผู้เรียน เพื่อให้บรรลุผลของงานที่ทำ ท่ามกลางภยันตรายที่รุมล้อมรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นไข้ป่า ความกันดารของสภาพพื้นที่ที่เป็นป่า ขาดแคลนน้ำและดินเลว สภาพที่อยู่ที่กิน และห้องเรียนทีสร้างจากใบตองตึงพื้นเป็นดิน ซึ่งหากไม่มีหัวใจของนักต่อสู้งานหนัก จิตใจที่ตั้งมั่นและอดทนแล้ว คงมิอาจฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ดังกล่าวไปได้เลย สมดังปรัชญาของลูกแม่โจ้ "งานหนักไม่เคยฆ่าคน"
ยุคสร้าง "แม่โจ้"
พ.ศ. 2477 จัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรม
เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) รัฐมนตรีกระทรวงธรรมการ ได้มีบัญชาให้จัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมภาคเหนือที่แม่โจ้ ให้พระช่วงเกษตรศิลปการ เป็นอาจารย์ใหญ่คนแรก ควบคู่กับสถานีทดลองกสิกรรมภาคพายัพ โดยจัดแบ่งพื้นที่คนละครั้งกับสถานีทดลองซึ่งอยู่ด้านทิศเหนือ พื้นที่โรงเรียนอยู่ทางทิศใต้ มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 900 ไร่เศษ สภาพพื้นที่ยังเป็นป่าตองตึงและไม้เหียงซึ่งเป็นไม้ขนาดย่อมส่วนไม้ป่าอื่น ๆ เช่น สัก ประดู่และตะเคียน มีอยู่เพียงประปรายเท่านั้น เหตุผลเพราะดินชั้นล่างเป็นดินดานแข็งโดยทั่วไป ระบบรากต้นไม้ไม่อาจหยั่งลึกได้ ส่วนดินชั้นบนก็เป็นดินทราย ขาดความอุดมสมบูรณ์สำหรับการปลูกพืชทั่ว ๆ ไป สภาพพื้นที่อย่างนี้จึงไม่มีใครต้องการจะทำประโยชน์อะไรแต่กลับเป็นเหตุผลจูงใจสำคัญยิ่ง ที่พระช่วงฯ ต้องการจะทำประโยชน์ในพื้นที่อย่างนี้ ท่านเล็งให้เห็นว่าการจะพัฒนาการเกษตร ให้เป็นแบบอย่างสำหรับเกษตรกรทั่วไปได้นั้น สิ่งหนึ่งที่จะทำคือ ต้องนำเอาความรู้มาสาธิตแสดงให้ประจักษ์ต่อบุคคลทั่วไป ได้เห็นว่าการปรับปรุงดินเลวให้สามารถใช้ปลูกพืชโดยจัดระบบปุ๋ยพืชสด การใช้ปุ๋ยหมักต่าง ๆ ในพื้นที่เกษตร ไม่ว่าจะเป็นพืชไร่ นา สวนไม้ผล แปลงปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์และระบบการหมุนเวียนใช้ประโยชน์ของพื้นที่นั้น จะสามารถทำการเกษตรได้ทุกอย่าง
เมื่อปี พ.ศ. 2484 หลักสูตร ปปก.รับนักเรียนเพียง 3 รุ่น คือในปี 2477-79 (แม่โจ้ รุ่น 1 จำนวน 48 คน รุ่น 2 จำนวน 84 คน และ รุ่น 3 จำนวน 99 คน)
พ.ศ. 2478 โรงเรียนมัธยมวิสามัญเกษตรกรรม
กระทรวงธรรมการเห็นว่า หลักสูตรประโยคครูประถมกสิกรรม (ป.ป.ก.) ที่เปิดไปแล้วมีผู้สำเร็จการศึกษาจำนวนมากพอ และมีสถานศึกษาที่ต้องใช้ครูเกษตรเหล่านี้เพียงจำนวนน้อย จึงให้ยุบเลิกการสอนหลักสูตรดังกล่าว และเปิดหลักสูตรมัธยมวิสามัญเกษตรกรรมขึ้นแทนหลักสูตรที่เปิดใหม่นี้ รับจากผู้สำเร็จมัธยมปีที่ 4 สายสามัญ เข้าเรียนต่ออีก 4 ปี จบการศึกษาแล้วจะไดรับประกาศนียบัตรประโยคมัธยมบริบูรณ์แผนกเกษตรกรรม เทียบได้ชั้นมัธยม 8หลักสูตรมัธยมวิสามัญเกษตรกรรม (มก.) รับเพียง 4 รุ่น ในปี 2478-2481 (แม่โจ้ รุ่น 2 (มก.1) จำนวน 134 คน รุ่น 3 (มก.2) จำนวน 57 คน รุ่น 4 (มก.3) จำนวน62 คน รุ่น 5 (มก.4) จำนวน 51 คน
พ.ศ. 2481 จัดตั้งเป็น วิทยาลัยเกษตรศาสตร์
กระทรวงธรรมการได้โอนโรงเรียนมัธยมวิสามัญเกษตรกรรมให้กับกระทรวงเกษตราธิการโดยยุบรวมแห่งอื่น ๆ ที่บางกอกน้อย โนนวัด คอหงศ์ และที่แม่โจ้ แล้วจัดตั้งเป็นวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แม่โจ้ เพียงแห่งเดียว หลักสูตร 2 ปี ระดับอนุปริญญา โดยรับผู้สำเร็จชั้นมัธยม 8 สำเร็จแล้วบรรจุเป็นข้าราชการชั้นตรี อันดับ 1 อัตราเงินเดือน 80 บาท ตกลงในปีเดียวกันนี้ แม่โจ้จึงเป็นทั้งโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรม (ป.ป.ก. ปีสุดท้าย) มัธยมวิสามัญเกษตรกรรม และวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ตามลำดับโดยมี พระช่วงเกษตรศิลปการ เป็นผู้อำนวยการ
กลางปี พ.ศ. 2481 พระช่วงเกษตรศิลปการได้ย้ายไปรับตำแหน่งอธิบดีกรมเกษตรที่กรุงเทพฯ อาจารยจรัด สุนทรสิงห์ มารักษาการแทน
พ.ศ. 2482 เป็นโรงเรียนเตรียมวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เมื่อวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ย้ายจากแม่โจ้ไปตั้งที่บางเขนที่แม่โจ้จึงถูกจัดตั้งเป็นโรงเรียนเตรียมเกษตรศาสตร์ รับผู้สำเร็จชั้นมัธยมปลาย (ม.6 สายสามัญ) หลักสูตร 2 ปี สำเร็จแล้วเข้าศึกาต่อได้ที่วิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน โดยมีศาสตราจารย์ ดร.พนม สมิตานนท์ เป็นผู้อำนวยการ ศาสตราจาร ดร.พนม ย้ายไปกรมเกษตร ขณะเดียวกันก็เป็นอาจารย์สอนในวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน เมื่อปี พ.ศ. 2484 อาจารย์ประเทือง ประทีปเสน จึงรักษาการผู้อำนวยการต่อจนถึงปี พ.ศ. 2486
พ.ศ. 2486 โรงเรียนเตรียมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เมื่อวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขนได้รับการสถาปนาเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แม่โจ้จึงเปลี่ยนไปเป็น"โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์" หลักสูตร 2 ปี เพื่อเตรียมนักเรียนเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ต่อไป โดยมีศาสตราจารย์ ดร.พนม สมิตานนท์ เป็นผู้อำนวยการ
หลักสูตรตั้งแต่ปี 2482-87 เป็นหลักสูตร 2 ปี (แม่โจ้ รุ่น 6 - รุ่น 11)
สัญลักษณ์ต่างของมหาวิทยาลัยแม่โจ้
ภาพจาก : http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/7/79/MJU_crest_logo.png
ภาพจาก : http://www.maejo.net/MaejoFlowerSymbol/300-314IntaninbyTanit2528.jpg
* อินทนิล *
Lagerstroemia macrocarpa Wall.
1. ชื่อไทย ( Thai name ) อินทนิล, จ่อล่อ, จะล่อหูกวาง
2. ชื่อสามัญ ( Common name ) Queen's flower, Queen's crape myrtle
3. ชื่อวิทยาศาสตร์ ( Scientific name ) Lagerstroemia macrocarpa Wall.
4. ชื่อวงค์ ( Family ) LYTHRACEAE
สีดอก ดอกสีม่วง ม่วงชมพู เป็นช่อตรง ดอกออกตามปลายกิ่งหรือตามข้อกิ่ง
ออกดอก ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-มิถุนายน
* ประวัติและเหตุผล *
เกี่ยวกับการเลือกพันธ์ไม้นี้เป็นสัญญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย อันเนื่องมาจากแม่โจ้"มหาวิทยาลัยแม่โจ้" มี อายุครบ 50 ปี ในเดือนมิถุนายน 2527 คณะกรรมการศิษย์เก่าแม่โจ้และคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย
โดย นายจำนงค์ โพธิสาโร (แม่โจ้ รุ่น 10) อธิบดีกรมป่าไม้สมัยนั้น อุปนายกสมาคมศิษย์เก่าแม่โจ้ เป็นประธาน ได้เสนอชื่อพรรณไม้ที่ทนต่อสภาพแวดล้อมและเจริญเติบโต
ในทุกภาคของประเทศไทย เป็นพันธ์ลักษณะที่ดี มีความหมายถึงความเจริญรุ่งเรือง อายุยืนนานใบสีเขียวเข้ม ลักษณะใบเดี่ยว ดอกสีม่วง ม่วงชมพู มีฉายานามว่าเป็น "ราชินีดอกไม้"( Queen's Flower ) ฝักผลไม่ยอมทิ้งต้น มีสายพันธ์อีกหลายชนิดในวงค์เดียว มีดอกเป็นลักษณะQeen's crape myrtle เช่น ตะแบก, เสลา และยี่เข่ง เป็น Qrape myrtle เหมือนกัน
คณะกรรมการได้ลงมติเลือกชื่อพรรณไม้ "อินทนิล" นี้เป็นมงคลนามต่อมหาวิทยาลัย ซึ่งมีความหมายถึงความผูกพันกับมหาวิทยาลัย อินทนิลมีลักษณะของช่อดอกเกาะกันเป็นกลุ่มแน่น สีสวยสด เหมือนความรัก ความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความผูกพันอยู่กับมหาวิทยาลัยของศิษย์เก่าตลอดเวลาที่ออกไปประกอบอาชีพอยู่ทุกหนทุกแห่ง
อินทนิล หรือไม้ในวงค์นี้ เป็นไม้เศรษฐกิจ เนื้อแข็งปานกลางจนถึงแข็ง ใช้เป็นไม้ประดับให้ร่มเงา ดอกสีสวยสดงดงาม ตลอดทั้งเปลือก ต้น ใบ ใช้เป็นยาสมุนไพร ดั่งคุณค่าของบรรดาศิษย์เก่าแม่โจ้ ที่ได้สร้างประโยชน์ให้กับสังคมประเทศชาติเป็นระยะเวลาอันยาวนานกว่า 50 ปี
ภาพจาก : http://image.dek-d.com/15/873238/14451889
กลับไปยัง --> ประวัติของมหาวิทยาลัยต่างๆ