สงครามเย็น II
การเกิดขึ้นของสงครามเย็นนั้นยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ทั้งนี้เพราะนักประวัติ ศาสตร์บางส่วนจะกล่าวว่าสงครามเย็นเริ่มขึ้นในช่วง
เวลาหลังสงครามเย็น ในขณะที่อีกส่วนกล่าวว่าสงครามเย็นเริ่มเกิดขึ้นและก่อเค้าลางมาตั้งแต่ สงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลง อย่างไร
ก็ดีการจะกำหนดให้แน่ชัดว่าเกิดขึ้นในห้วงเวลาใดนั้นคงเป็นเรื่องที่ สามารถกระทำได้ยาก และต้องย้อนกลับไปพิจารณาที่คำจำกัด
ความและคำนิยามที่ให้ใว้ในแต่ละฝ่าย แต่ไม่ว่าสงครามเย็นจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่เราคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าภาพความ ชัดเจนของ
สงครามเย็นจะปรากฏชัดเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังจะยุติลง
http://www.whoateallthepies.tv/cold%20war.jpg
หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ยุติลงความเสียหายอย่างหนักได้เกิดขึ้นกับทุก ๆ ประเทศที่เข้าร่วมในการทำสงคราม
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพันธมิตรหรือฝ่ายอักษะ จะมีแต่เพียงสหรัฐฯ และรัสเซีย 2 ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเข้าร่วมในสงครามโลก
ครั้งที่ 2 และด้วยปัจจัยนี้เองจึงส่งผลให้สหรัฐฯ และรัสเซียก้าวขึ้นเป็นประเทศมีอิทธิพลเป็นประเทศมหาอำนาจของสังคมโลกใน
ช่วงเวลาดังกล่าว แต่ด้วยความแตกต่างทางอุดมการณ์ทางการเมือง สังคมโลกจึงถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มประเทศที่มี
ระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตยมีสหรัฐฯ เป็นประเทศนำ และ กลุ่มประเทศที่มีระบอบการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์มีรัสเซียเป็น
ประเทศนำ และจากการแบ่งขั้วออกเป็น 2 ขั้วนี้เองได้ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยความตึงเครียด
ที่เกิดขึ้นนั้นยังคงไปไม่ถึงระดับของความขัดแย้งที่มีการใช้กำลังทหารเข้าทำสงครามในลักษณะของสงครามใหญ่ ๆ ซึ่งสภาวะนี้เอง
ถูกเรียกว่าสงครามเย็น
การดำเนินการของแต่ละขั้วในช่วงสงครามเย็นจะมีการดำเนินการในวิธีต่าง ๆ เช่น การขยายกลุ่มอำนาจโดยใช้อุดมการณ์
โดยทำการโฆษณาชวนเชื่อ การให้ความช่วยหลือทางด้านเศรษฐกิจ การสร้างอิทธิพลทางการเมือง การใช้เครื่องมือทางวิทยา
ศาสตร์และเทคโนโลยี และ การใช้เครื่องมือทางทหาร เป็นต้น นอกจากนี้การดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และสหภาพ
โซเวียตยังจะเป็นสิ่งที่เพิ่มระดับของความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ และ
สหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็นสามารถแบ่งออกเป็น 2 ระยะคือ ช่วงก่อนทศวรรษที่ 1980 และช่วงหลังทศวรรษที่ 1980
นโยบายการต่างประเทศในช่วงก่อนทศวรรษที่ 1980 ของสหภาพโซเวียตคือการสร้างความมั่นคงให้กับระบบคอมมิวนิสต์ทั้งภายใน
และภายนอกสหภาพโซเวียต ซึ่งรวมถึงหมู่ประเทศพันธมิตรที่อยู่ภายใต้อาณัติของสหภาพโซเวียตด้วย ในขณะที่สหรัฐฯ นั้นมีความ
ชัดเจนที่จะดำเนินการวิธีใด ๆ ก็ตามที่สามารถสกัดกั้นการแพร่ขยายของสัทธิคอมมิวนิสต์ และในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980
จนมาถึงในสมัยต้นทศวรรษที่ 1990 สหรัฐ ฯ ได้มีนโยบายการต่างประเทศกับลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ผ่อนคลายลง ดังเช่น
สหรัฐอเมริกาได้มองเห็นว่าจีนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญมากในเอเชียตะวันออก จึงเริ่มเปิดศักราชใหม่แห่งความสัมพันธ์กับจีน หรือ
นโยบายในการยินยอมให้มีการเจรจาลดอาวุธนิวเคลียร์ลง ในขณะเดียวกันสหภาพโซเวียตก็มีท่าที่ผ่อนคลายลงเหมือนกัน มีการเปิด
ประเทศให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นที่รู้จักกันในชี่อ กลาสนอสท์ (Glasnost) และปรับนโยบายทางด้านเศรษฐกิจให้มีความยืดหยุ่นขึ้น
ที่รู้จักกันในชื่อ เปเรสตรอยกา (Perestroika) หรืออย่างกรณีของ การเชิญ ด.ญ. Samantha Smith ผู้ซึ่งมีอายุ 10 ปีในขณะนั้น
ไปเยี่ยมสหภาพโซเวียต หลังจากที่เธอเขียนจดหมายแสดงถึงความกลัวในสงครามนิวเคลียร์ส่งไปยัง ประธานาธิบดี Yuri Andropov
ของสหภาพโซเวียต และประธานาธิดี Yuri ได้ตอบจดหมายเป็นการส่วนตัวด้วยต้นเองเชิญ ด.ญ. Samantha ไปเยี่ยมสหภาพโซเวียต
การกระทำครั้งนี้ของประธานาธิบดี Yuri ได้รับการกล่าวขานในหมู่นักการเคลื่อนไหวทางสันติภาพและทำให้บรรยากาศความตึงเครียด
ระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียตมีท่าทีที่ผ่อนคลายลง
อ้างอิง : http://www.tortaharn.net/contents/index.php?option=com_content&task=view&id=129&Itemid=76