การปฐมพยาบาลกรณีถูกสัตว์ทำร้าย : งู(3)
การดูลักษณะงู
การจำแนกว่างูชนิดใดมีพิษ ชนิดใดไม่มีพิษ บางทีทำได้ยาก ถ้าเราพบงูเห่าที่กำลังแผ่แม่เบี้ย เราบอกได้แน่ว่าเป็นงูพิษ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ในระหว่างงูมีพิษด้วยกันเราก็อาจต้องรู้ว่าเป็นงูอะไร ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการรักษาผู้ถูกงูกัด เพราะยาแก้พิษงู (ซีรั่ม) นั้น ทำมาเฉพาะแต่ละชนิด การให้ยาแก้พิษงูชนิดหนึ่งอาจไม่มีผลเลยเมื่อถูกงูอีกชนิดหนึ่งกัด ถ้าจะให้ยาแก้พิษงูรวมทุกชนิดปริมาณก็จะมากเกินไปกว่าที่ผู้ป่วยจะรับได้ และจะเป็นเสมือนขี่ช้างจับตั๊กแตน ในที่นี้จะกล่าวถึงเพียงชนิดของงูพิษที่มีชุกชุมและพบได้ ในประเทศไทยเท่านั้น แต่จะกล่าวถึงลักษณะและอุปนิสัย |
ลักษณะที่ควรรู้เกี่ยวกับงู
1. งูมีพิษโดยมากจะไม่สู้คนถ้าไม่จำเป็น งูจะพยายามหนีก่อนเสมอ จะกัดคนต่อเมื่อทำให้ตกใจหรือโกรธ งูไม่มีพิษนั้นค่อนข้างจะสู้คนมากกว่างูมีพิษ งูมักจะดุร้ายเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์หรือออกไข่ |
2. งูไม่มีหู ดังนั้นจึงไม่ได้ยินเสียงอะไร แต่งูมีอวัยวะรับการสั่นสะเทือนของอากาศและการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่ดีมาก งูที่หากินตอนกลางคืนจะตามัวเมื่อเวลามีแสงแดด งูที่กำลังลอกคราบจะมองไม่เห็นอะไรเลย |
3. งูทุกชนิดจะล่าเหยื่อและกินเหยื่อทั้งตัว |
4. การเหยียบงูในน้ำ ก็ทำให้งูกัดได้เท่ากับเหยียบบนบก แต่งูกัดในน้ำไม่ถนัดเท่าอยู่บนบก งูทุกชนิดว่ายน้ำเก่งและดำน้ำเก่ง |
1.เขี้ยว และการเรียงตัวของฟัน
2. รูรับความรู้สึก (Sensory Pit) งูบางพวกจะมีช่องหรือรูนี้สามารถรับความรู้สึกร้อนเย็นได้ละเอียดมาก งูที่มีรูรับความรู้สึกทุกชนิด เป็นงูพิษทั้งนั้น แต่งูที่ไม่มีรูรับความรู้สึกก็เป็นงูชนิดที่มีพิษได้ ดังนั้น งูตัวใดก็ตามถ้ามีรูนี้ก็เชื่อได้เลยว่าเป็นงูพิษ งูที่มีรูรับความรู้สึกเราเรียกว่า Pit viper และพิษส่วนใหญ่จะเป็นพิษเลือด เช่น งูแมวเซา งูกะปะ ฯลฯ |
3. ลายและสีของงู ลายและสีใช้เป็นเครื่องบอกชนิดของงูได้ยาก นอกจากผู้ชำนาญจริงๆ เพราะงูชนิดเดียวกันอายุแก่อ่อนต่างกันก็ทำให้สีไม่เหมือนกัน ฤดูกาลและสภาพแวดล้อมก็ทำให้สีของงูเปลี่ยนไป แม้กระนั้นเราก็สามารถใช้สีเป็นตัวประกอบการบอกชนิดได้ในภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง ลายของงูคงตัวมากกว่าสี เช่น งูลายปล้อง จะมีลายเป็นปล้องเสมอไป แต่สีอาจเปลี่ยนแปลงไปตามพันธุ์ งูพิษทั่วไปมักจะไม่มีลายเป็นทางยาวไปตลอดทั้งตัว |
4. ลักษณะของหัว แม้ลักษณะของหัวจะใช้จำแนกว่างูชนิดใดมีพิษและไม่มีพิษไม่ค่อยได้ แต่ก็บอกชนิดของงู งูที่มีรูปสามเหลี่ยมก็ไม่ใช่ว่าจะมีพิษเสมอไป ในทำนองเดียวกันงูที่หัวต่อกันเป็นท่อนเดียวมีพิษก็มีมาก (ดูภาพประกอบ) |
5. ลักษณะเกล็ดงู ลักษณะเกล็ดหัวงู บอกชนิดของงูได้ค่อนข้างจะแม่นยำ การดูชนิดของงูจริงๆ ต้องศึกษาจากการเรียงตัว จำนวนและรูปร่างของเกล็ดเหล่านี้ ตามปกติเราแบ่งเกล็ดออกเป็นเกล็ดหัว เกล็ดปาก เกล็ดคาง เกล็ดหลัง และเกล็ดใต้ท้อง เป็นต้น |
งูพิษที่พบบ่อยในประเทศไทย
งูพิษที่พบบ่อยในประเทศไทยเท่าที่ปรากฏมี 7 ชนิดด้วยกัน จะกล่าวถึงลักษณะของงูแต่ละชนิด เพียงเพื่อให้ชาวบานอย่างเราๆ พอบอกได้ว่าเป็นงูอะไรเท่านั้น |
1.งูเห่า (Naja naja) อยู่ในสกุล Elapidae มีเขี้ยวอยู่ทางด้านหน้าของปาก มีเกล็ดตามลำตัวกว้าง 19-25 เกล็ด เกล็ดท้องตลอดลำตัว 164-213 เกล็ด เกล็ดท้องของส่วนหาง 43-75 เกล็ด เกล็ดก้นเป็นชนิดชิ้นเดียว |
2. งูจงอาง (King Cobra,Hamadryad, Ophiophagus hannah) อยู่ในสกุล Elapidae มีเขี้ยวอยู่ทางด้านหน้า |
3. งูแมวเซา (Russeell’s Viper Daboia Tic-Palonga, Kasari Hebi, Viper Russelli อยู่สกุล Vipevdae เขี้ยวกลวง และพับได้ |
4. งูกะปะ (Malayan pit viper) อยู่ในสกุล Crotalidae มีเขี้ยวพิษชนิดพับได้ |
5. งูสามเหลี่ยม (Krait) งูสามเหลี่ยมมีหลายชนิด อยู่ในสกุล Elapidae มีเขี้ยวเป็นทั้งชนิด อยู่ทางด้านหน้า (Solenoglypha) และทางหลังของปาก (Proteroglypha) ลักษณะสำคัญอันหนึ่งก็คือ ลำตัวเป็นรูปสามเหลี่ยม มีสันกระดูกสันหลังนูนเป็นยอดของสามเหลี่ยมและมีลายเป็นปล้อง สีอาจมีสีเทาสลับดำ น้ำเงินสลับดำหรือน้ำตาลเหลืองหรือเขียวสลับดำก็มี พบมาก ทั่วทุกภาคในประเทศไทย |
6. งูเขียวหางไหม้ (Green Pit viper) โดยมากรู้จักกันดี ตัวมีสีเขียว ปลายหางสีแดงปนดำหรือแดงคล้ำ พบได้ทั่วไปแทบทุคภาคของประเทศไทย อยู่ในสกุล Crotalidae มีเขี้ยวชนิดพับได้อยู่ทางด้านหน้า (Solenoglypha) เมื่อโตเต็มที่ยาวประมาณ 80-85 ซ.ม. |
พิษงูและงูพิษ
คนโดยมากไม่ค่อยจะมีความรู้เรื่องงู ดังนั้นเมื่อถูกงูกัดจึงไม่สามารถบอกได้ว่า งูอะไรกัด ร้ายกว่านั้น บางคนบอกไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าถูกงูหรืออะไรกัด |
1. ทำให้หัวใจเต้นช้าลง หรือเต้นไม่เป็นจังหวะ เต้นเบาลงจนในที่สุดหยุดเต้นไปเลย ทำให้ผู้ป่วยมีอาการของช็อคหมดแรงและตายไปในที่สุด |
2. มีอาการปวดศีรษะรุนแรง |
3. มีอาการวิงเวียน |
4. ตามัวหรืออาจมองอะไรไม่เห็นเลย หนังตาตก (ตาปรือเหมือนคนง่วงนอน) |
5. หูอื้อฟังอะไรไม่ได้ยิน |
6. มีความรู้สึกเลื่อนลอย เลอะเลือน และหมดสติไปในที่สุด |
7. อาจมีกล้ามเนื้อกระตุก และแข็งเกร็ง |
8. หายใจลำบาก เนื่องจากศูนย์ควบคุมการหายใจในสมองถูกทำลาย |
9. อาจมีความรู้สึกเป็นเหน็บ หรือชาตามผิวหนัง โดยเฉพาะที่ริมฝีปากและที่ฝ่าเท้า อาจมีน้ำลายไหล และเหงื่อออกมาก |
10. มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน บางคนอาจมีท้องเดิน อาการที่กล่าวถึงไม่ได้เกิดได้ทุกกรณีที่งูกัด ในพวกที่ได้รับพิษมากถึงตาย อาจมีอาการที่กล่าวมาแล้วนี้ทั้งหมดได้ การได้รับการปฐมพยาบาลที่ถูกวิธี เราสามารถรู้ได้ โดยที่อาการต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วปรากฏไม่หมด หรือปรากฏแต่ว่าไม่มีความรุนแรงมาก |
1. บริเวณที่ถูกกัดจะบวมขึ้นทันที และจะลามไปที่ส่วนอื่นๆ ของร่างกาย อาการบวมมักเกิดภายใน 3-5 นาที (ในบางรายอาจกินเวลาถึงชั่วโมง) หลังจากถูกกัดผู้ถูกกัดจะรู้สึกปวดมาก (ในงูประเภทที่มีพิษต่อระบบประสาทจะไม่มีอาการเช่นนี้) |
2. มีเลือดออกในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ทั้งนี้เพราะผนังหลอดเลือดถูกทำลาย ทำให้เลือดรั่วออกจากหลอดเลือด |
3. เม็ดเลือดถูกทำลาย |
4. เลือดไม่สามารถจับเป็นลิ่ม ทำให้เลือดไหลออกมาภายนอกร่างกายได้ โดยเฉพาะเลือดออกในทางอาหาร ออกตามเหงือกและไรฟัน ริมฝีปาก หรืออกตามรอยเขี้ยวของงูที่กัด |
5. มีอาการปวดศีรษะและเป็นลม เนื่องจากเม็ดเลือดถูกทำลาย และปริมาณเลือดไหลเวียนต่ำ |