สมัยรัตนโกสินทร์
สมัยรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. ๒๓๒๕ - ปัจจุบัน)
ระยะเวลากว่า ๒๐๐ ปี นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๒๕ ที่ปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีได้ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ กวีได้รังสรรค์วรรณคดีมรดกไว้เป็นจำนวนมาก เช่น พระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ฉบับรัชกาลที่ ๑ ทรงพระราชนิพนธ์ บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ ในรัชกาลที่ ๒ บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเสภา ลิลิตตะเลงพ่าย สามก๊ก พระราชพิธีสิบสองเดือน นิทานคำกลอนเรื่องพระอภัยมณี
บทละครเรื่อง รามเกียรติ์ เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เนื้อเรื่องมาจากวรรณคดีของอินเดียเรื่อง รามายณะ อันเป็นวรรณคดีที่สำคัญและมีมานานกว่า ๒๐๐๐ ปีมาแล้ว ไทยเรานำมาเล่นเป็นหนังและโขนตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็ได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง รามเกียรติ์ เป็นกลอนบทละคร แต่ไม่แพร่หลายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงเกรงว่า เรื่อง รามเกียรติ์ จะสูญไปเสียจึงได้ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นและได้โปรดเกล้าฯ ในกวีในสมัยของพระองค์ร่วมนิพนธ์ด้วยหลายตอน รามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธ์ฉบับนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับวรรณคดีเรื่อง รามายณะ ของอินเดีย
แต่ก็มีที่แตกต่างกันหลายอย่าง เช่น เนื้อเรื่องบางตอน ชื่อตัวละครบางตัว เป็นต้น
เป็นบทละครที่มีคุณค่าสมควรรักษาไว้เป็นมรดกไทย ประกอบด้วยศิลปะในการแต่งที่ประณีต บทละครมีขนาดกะทัดรัด รักษาขนบ ในการชมเมืองที่ได้แบบอย่างจากเรื่องรามเกียรติ์ และเน้น องค์ห้าของละครดี จนกลายเป็นแบบ แผนของการแต่งบทละครในสมัยหลัง สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตทรงยกย่องว่าบทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนี้ เป็นบทละครที่ครบองค์ห้าของละครดี คือ
๑. ตัวละครงาม (หมายถึง เครื่องแต่งตัวหรือรูปร่าง)
๒. รำงาม
๓. ร้องเพราะ
๔. พิณพาทย์เพราะ
๕. กลอนเพราะ
เดิมเรื่องขุนช้าง ขุนแผน เล่าเป็นนิทาน แต่เนื่องจากเป็นเรื่องที่ยาวมาก เมื่อแต่งเป็นกลอน และขับเป็นลำนำด้วยก็ยิ่งจะต้องใช้เวลามาก ไม่สามารถจะขับให้ตลอดเรื่องในคืนเดียวได้ บทเสภาที่แต่งขึ้นจึงแต่งแต่เป็นตอนพอที่จะขับได้ภายในหนึ่งคืน
ดังนั้น บทเสภาเดิมตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า หรือที่แต่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จึงแต่งเป็นท่อนเป็นตอน ไม่เป็นเรื่องติดต่อเหมือนกับบทละคร
การเอาบทเสภามารวมติดต่อกันให้เป็นเรื่องโดยสมบูรณ์ เพิ่งทำในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ
บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนจึงมีผู้แต่งหลายคน ใครพอใจจะขับเสภาตอนในก็แต่งขึ้นเองเฉพาะตอนที่ตนขับ
ดังนั้น บางตอนจึงมีผู้แต่งหลายคน แต่ละคนจะมีสำนวนเฉพาะตน และมีรายละเอียดแตกต่างกัน เมื่อมีการรวบรวมบทเสภาเป็นเรื่องเดียว
จึงต้องมีการตรวจสอบชำระ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นประธานชำระเรื่องขุนช้างขุนแผน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐ และได้ทรงวินิจฉัยเกี่ยวกับผู้แต่งด้วย ปรากฏว่า มีผู้แต่งหลายคน เช่น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สุนทรภู่ ครูแจ้ง และยังไม่ทราบนามผู้แต่งบทเก่าอีกหลายตอน
บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นบทร้อยกรองที่มีความยาวมาก แต่งเป็นบทกลอนซึ่งมีแบบแผนฉันทลักษณ์เหมือนกลอนสุภาพ
แต่เมื่อขึ้นต้นตอนใหม่ หรือกล่าวถึงบุคคลใหม่ จะใช้คำขึ้นต้นว่า "ครานั้น" เช่น
ครานั้นจึงโฉมเจ้าเณรแก้ว
เย็นแล้วจะไปเทศน์ก็ผลัดผ้า
ห่มดองครองแนบกับกายา
แล้วไปวันทาท่านขรัวมี
บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน บางตอนกล่าวถึงพระมหากษัตริย์บ้าง นับได้ว่าเป็นเรื่องราวของคนไทยแท้ ๆ โดยมิได้ดัดแปลงจากวรรณกรรมของชาติอื่น ตัวละครในเรื่องมีชีวิตจิตใจราวกับคนจริงๆ ที่มีชีวิตอย่างคนธรรมดาซึ่งมีทั้งทุกข์และสุข ความสมหวัง และความผิดหวัง แก่นสำคัญของเรื่องกล่าวถึงรักสามเส้าของขุนแผน ขุนช้าง และนางพิมหรือนางวันทอง
ลิลิตตะเลงพ่ายเป็นบทพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมปรมานุชิตชิโนรส เป็นลิลิตสุภาพประกอบด้วยโคลงและร่ายสุภาพ
ดำเนินความตามพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตอนสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ทรงปรารภจะไปตีเมืองเขมร พระเจ้าหงสาวดีทรงทราบข่าวว่ากรุงศรีอยุธยาผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ คาดว่าจะมีการจราจล
จึงรับสั่งให้พระมหาอุปราชากับพระมหาราชเจ้านครเชียงใหม่ ยกทัพลงมาหยั่งท่าทีกรุงศรีอยุธยา จนในที่สุดได้มีการทำสงครามยุทธหัตถีกันขึ้นระหว่างจอมทัพไทยคือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและจอมพม่าคือ พระมหาอุปราชา ชัยชนะของสมเด็จพระนเรศวรในครั้งนั้นได้สำแดงพระบรมเดชานุภาพและพระราชกฤษฎาภินิหารชองพระองศ์ไปทั่วทิศานุทิศ และจบลงด้วยการขอเป็นข้าขอบขัณฑสีมาของเจ้าเมืองเชียงใหม่ ลิลิตตะเลงพ่ายได้รับการยกย่องว่ามีความเป็นเลิศทางด้านบทประพันธ์ประเภทลิลิต
หนังสือเรื่องสามก๊กได้รับยกย่องให้เป็นยอดแห่งวรรณกรรมประเภทร้อยแก้วของไทย
เรื่องสามก๊กแต่เดิมเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังในประเทศจีน ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. ๑๑๖๑ - ๑๔๔๙) พวกงิ้วได้นำเรื่องสามก๊กมาแสดง
ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ต่อมาในสมัยราชวงศ์หยวน (พ.ศ. ๑๘๒๐ - ๑๙๐๐ตรงกับสมัยสุโขทัย) และสมัยราชวงศ์ไต้เหม็ง(พ.ศ. ๑๙๑๑ - ๒๑๘๖) ได้มีการแต่งหนังสือโดยใช้เรื่องพงศาวดารเป็นหลัก นักเขียนผู้หนึ่งชื่อล่อกวนตง ชาวเมืองฮั่งจิ๋ว ได้นำเรื่องสามก๊กมาเขียนใหม่ เรียกว่า "สามก๊กจี่" มีความยาว ๑๒๐ ตอน ต่อมานักปราชญ์อีก ๒ ท่าน คือ เม่าจงกังกับกิมเสี่ยถ่าง ได้ช่วยกันแต่งคำอธิบายเพิ่มเติมและพิมพ์เรื่องสามก๊กขึ้น เรื่องสามก๊กจึงแพร่หลายอย่างรวดเร็วภายในประเทศจีน
ต่อมาได้มีการแปลเป็นภาษาต่างๆรวมทั้งภาษาไทย ซึ่งเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้เป็นผู้อำนวยการการแปล เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๕
เนื้อเรื่องกล่าวถึงพระราชพิธีต่างๆที่กระทำในแต่ละเดือนตลอดทั้งปี ทรงอธิบายตำราเดิมของพระราชพิธี การแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือเลิกพิธี เพื่อให้ผู้อ่านได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชพิธีตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายปี ยกเว้น พิธี เดือน ๑๑ ที่มิได้รวมไว้
ทรงศึกษาค้นคว้าข้อมูลทั้งจากตำราและจากคำบอกเล่าของบุคคล เช่น พระมหาราชครู พราหมณ์ผู้ทำพิธี และจากการสังเกตเหตุการณ์ที่ทรงคุ้นเคย นับได้ว่าหนังสือเล่มนี้มีคุณค่าทางด้านสังคมศาสตร์ ทรงใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และเขียนอธิบายตามลำดับจากง่ายไปสู่ยาก จากอดีตมาสู่ปัจจุบัน เหมาะสมกับการเป็นคำอธิบายชี้แจงให้เกิดความรู้ความเข้าใจ