เก็บตกฉบับหก :ท่านอนต่างๆ
http://i183.photobucket.com/albums/x74/green_master/560de828.jpg
เชิญเลือกรายการที่ต้องการ
................................................................................................................................................................
เก็บตกฉบับแรก :ความปลอดภัยในการขับรถ เก็บตกฉบับสอง :เครื่องpolysomnography
เก็บตกฉบับสาม :สัตว์จำศีล เก็บตกฉบับสี่ :สมาชิกสัตว์จำศีล
เก็บตกฉบับห้า :การนอนหลับกับการสวดมนต์ เก็บตกฉบับหก :ท่านอนต่างๆ
เก็บตกฉบับเจ็ด :นอนกรน เก็บตกฉบับแปด :ดูดวง
มาถึงเก็บตกเรื่องที่เราควรรู้อีกเรื่องก็คือท่านอนนั้นเอง หมูแดงขอนำเสนอท่านอนที่เบสิก มาดูกันดีกว่าว่านอนแบบไหนดีสุด
นอนหงาย
โดยปกติแล้วคนทั่วไปนิยมนอนหงาย ถือได้ว่าเป็นท่านอนมาตราฐาน เวลานอนหงายโดยไม่หนุนหมอน หรือใช้หมอนต่ำ ต้นคอจะอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว ไม่ปวดคอ แต่ถ้าหนุนหมอนสักสองสามใบ คอจะก้มโน้มมาข้างหน้า ทำให้เกิดอาการปวดคอได้
ในท่านอนหงาย กล้ามเนื้อกระบังลมที่คั่นระหว่างช่องอกและช่องท้องกดทับเนื้อปอดทำให้หายใจลำบาก จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคปอด สามารถหลีกเลี่ยงแก้ไขได้ โดยการยกส่วนบนของร่างกายให้สูงขึ้นในลักษณะครึ่งนอนครึ่งนั่ง อาจจะใช้หมอน 2 - 3 ใบวางหนุนรองหลังไว้ หรือยกพื้นเตียงส่วนบนให้สูงขึ้นพอประมาณ
ผู้ป่วยโรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะหัวใจล้มเหลว หัวใจวาย จะมีอาการนอนราบไม่ได้ การทำงานของหัวใจลำบากยิ่งขึ้นในท่านอนหงายราบ ทั้งนี้เนื่องจากไม่สามารถสูบฉีดโลหิตออกจากห้องหัวใจได้ก่อให้เกิดอาการหอบและหายใจติดขัด ผู้ป่วยโรคหัวใจจึงมักจะต้องลุกขึ้นนั่ง หรือยืนตอนกลางคืนเพื่อที่จะหายใจได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
ผู้ที่มีอาการปวดหลัง การนอนหงายในท่าราบจะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้น เวลานอนให้พาดขาทั้งสองไว้บนเก้าอี้ที่ใช้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หรือวางพาดบนเตียงนอน รวมทั้งควรออกกำลังกายเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อหลังลดการเกร็งตัว ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี ควรทำเป็นประจำทุกวัน วันละ 10 - 15 นาที
http://timjaboon.googlepages.com/sleep03.jpg
http://timjaboon.googlepages.com/sleep04.jpg
นอนตะแคง
ท่านอนตะแคงซ้ายเป็นท่านอนที่ช่วยลดอาการปวดหลังได้พอสมควร แต่ควรกอดหมอนข้างและพาดขาไว้ ข้อเสียคือทำให้หัวใจซึ่งอยู่ด้านซ้ายทำงานลำบากขึ้น และอาหารในกระเพาะที่ยังย่อยไม่หมดตั้งแต่ก่อนเข้านอนจะคั่งค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดลมจุกเสียดที่บริเวณลิ้นปี่ อาจรู้สึกชาที่ขาซ้ายหากนอนทับเป็นเวลานาน และถ้าหนุนหมอนต่ำเกินไปจะทำให้ปวดต้นคอได้ แก้ไขโดยใช้หมอนสี่เหลี่ยมที่มีความสูงเท่าความกว้างของบ่าซ้ายหนุนนอน
http://timjaboon.googlepages.com/sleep05.jpg
ท่านอนตะแคงขวาเป็นท่านอนที่ดีที่สุด ถ้าเทียบกับการนอนหลับในท่าอื่นๆ เพราะหัวใจเต้นสะดวกและอาหารจากกระเพาะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทำให้ไม่คั่งค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานเกินไป และเป็นท่านอนที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี
ท่านอนตะแคงทั้งตะแคงซ้ายและตะแคงขวาช่วยลดเสียงกรนได้ ในผู้ที่กรนจากการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ลิ้นไก่ยาว โคนลิ้นหนา ต่อมทอนซิลโตมาก หรือโพรงจมูกอุดตัน ว่ากันว่านอนตะแคงเป็นท่านอนของคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง และไม่ว่าจะทำงานอะไรก็มักจะก้าวไปสู่ความสำเร็จ ด้วยวิริยะอุตสาหะ มานะพยายามอย่างสม่ำเสมอ
มีคนเคยบอกว่าพระพุทธเจ้านอนตะแคงขวา...ลองกลับไปสังเกตดูนะจ๊ะ
http://timjaboon.googlepages.com/sleep06.jpg
นอนคว่ำ
ท่านอนคว่ำทำให้หายใจติดขัดไม่สะดวก โดยเฉพาะในสตรีที่มีเต้านมใหญ่ สำหรับผู้ชาย การนอนคว่ำทำให้อวัยวะเพศถูกทับอยู่ตลอดเวลา อาจกระตุ้นให้เกิดอารมณ์เพศ เกิดอาการฝันเปียก หรือเกิดอาการชาของอวัยวะเพศได้ การนอนคว่ำยังทำให้ปวดต้นคอ เนื่องจากต้องเงยมาข้างหลัง หรือบิดหมุนไปข้างซ้ายหรือข้างขวานานเกินไป ดังนั้นถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำ ควรหาหมอนรองใต้ทรวงอก โดยเฉพาะถ้าต้องการอ่านหนังสือในท่านอนคว่ำ ทั้งนี้เพื่อช่วยไม่ให้เมื่อยกล้ามเนื้อคอ และไม่มีอาการปวดคอ
แต่ก่อนเคยเข้าใจว่าทารกควรให้นอนคว่ำรูปหัวจะทุยสวย ไม่แบน แต่ปัจจุบันพบว่าจริงๆ แล้วอาจเกิดผลเสียได้ ทารกมีโอกาสเสียชีวิตเนื่องจากหายใจไม่ออกจากการที่จมูกหรือปากถูกทับไว้ โดยเฉพาะถ้านอนคว่ำและดูดนมจากเต้านมมารดา หรือพื้นเตียงอ่อนนิ่มเกินไป นอกจากนั้นยังพบว่าน้ำนมอาจจะขย้อนย้อนออกมา เนื่องจากนอนทับถูกกระเพาะอาหารและอาจสำลักเข้าไปในปอดได้ มักจะเกิดปัญหาตามมาหลายประการ
http://timjaboon.googlepages.com/sleep07.jpg
พึงระลึกไว้เสมอว่า มนุษย์เราใช้เวลาในการนอนหลับถึงหนึ่งในสามของอายุขัย คนเราจะนอนเฉลี่ยวันละประมาณ 6 - 8 ชั่วโมง ทารกเกิดใหม่นอนมากกว่า 12 ชั่วโมง เด็กนอนวันละ 10-12 ชั่วโมง ผู้ใหญ่นอน 8-10 ชั่วโมง เมื่อเริ่มมีอายุมากขึ้นจะนอนน้อยลงตามลำดับ
................................................................................................................................................................