สวัสดี ท่านผู้สนใจทุกท่าน มีผลงานเผยแพร่ผลงานวิชาการ ของรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ซึ่งจัดทำเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ในชุด รู้เท่าทันเศรษฐศาสตร์ ในเนื้อหาการเรียนของเรื่อง "กลไกการตลาด" ในเนื้อหาการเรียนของชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ให้แก่ นักเรียนโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ใช้ศึกษารวมถึงผู้สนใจทุกท่าน http://www.mediafire.com/download.php?wyhvm4fj3wm
ให้โหลดเพื่อนำไปศึกษาได้ตามลิ้งค์ข้างต้นนี้นะค่ะ หวังว่าต้องมีประโยชน์แก่ผู้ศึกษาทุกท่าน ด้วยความปราถนาดี
ครูสมแก้วปงกองแก้ว ครูโรงเรียนไทยรัฐ32 ผู้รังสรรค์
บทคัดย่อ
ชื่อเรื่อง รายงานการพัฒนาผลการเรียนรู้ภาษาไทย โดยใช้หนังสืออ่านเพิ่มเติม
ชุดนิทานพื้นบ้านจังหวัดสระแก้ว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
โรงเรียนบ้านแก้งวิทยา จังหวัดสระแก้ว
ชื่อผู้ศึกษา นางขวัญใจ มาลัยชน
สาขาวิชา ภาษาไทย
ปีการศึกษา 2558
การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างหนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดนิทานพื้นบ้านจังหวัดสระแก้ว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านแก้งวิทยา จังหวัดสระแก้ว ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้หนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดนิทานพื้นบ้านจังหวัดสระแก้ว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้าน
แก้งวิทยา จังหวัดสระแก้ว 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อหนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดนิทานพื้นบ้านจังหวัดสระแก้ว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน
บ้านแก้งวิทยา จังหวัดสระแก้ว
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 จากโรงเรียนบ้านแก้งวิทยา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดสระแก้ว จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 30 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ1)แผนการจัดการเรียนรู้ 2) หนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดนิทานพื้นบ้านจังหวัดสระแก้ว จำนวน 5 เล่ม 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ซึ่งมีค่าความยากอยู่ระหว่าง .47-.73 มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง .50-1.00 และค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .99 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อหนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดนิทานพื้นบ้านจังหวัดสระแก้ว สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่
ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที
ผลการศึกษาพบว่า
1. หนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดนิทานพื้นบ้านจังหวัดสระแก้ว ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านแก้งวิทยา จังหวัดสระแก้ว มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.93/84.22 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่าง
มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีความพึงพอใจต่อหนังสืออ่านเพิ่มเติม ชุดนิทานพื้นบ้านจังหวัดสระแก้ว ในระดับมากที่สุด
ชื่อเรื่อง รายงานการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา พ21101 รายวิชา สุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและ พลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ชื่อผู้วิจัย นายอาจินต์ นาคินทร์
ปีที่ทำการวิจัย 2557
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ของการวิจัยในครั้งนี้ (1) เพื่อพัฒนาเอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา พ21101 รายวิชา สุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 (2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา พ21101 รายวิชา สุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา พ21101 รายวิชา สุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ (4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา พ21101 รายวิชา สุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและ พลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยมีวิธีดำเนินการกับกลุ่มตัวอย่างเพื่อการทดลองใช้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน ร่อนพิบูลย์เกียรติวสุนธราภิวัฒก์ ที่เรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 จำนวน 1 ห้อง ได้มาจากการสุ่มโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม ได้ห้อง ม.1/6 จำนวนนักเรียน 33 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) เอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา พ21101 รายวิชา สุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ สุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 4 หน่วยการเรียนรู้ คือ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ระบบประสาทและระบบต่อมไร้ท่อ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง วัยรุ่นกับการเจริญเติบโตตามเกณฑ์มาตรฐาน หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง วัยรุ่นกับพัฒนาการทางเพศ และหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การป้องกันการถูกล่วงละเมิดทางเพศ (2) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา พ21101 รายวิชา สุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 18 แผนการจัดการเรียนรู้ (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา พ21101 รายวิชา สุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 40 ข้อ และ (4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้เอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา พ21101 รายวิชา สุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 10 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูล โดยหาค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า
ชื่อเรื่อง รายงานการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา พ21101 รายวิชา สุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและ พลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ชื่อผู้วิจัย นายอาจินต์ นาคินทร์
ปีที่ทำการวิจัย 2557
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ของการวิจัยในครั้งนี้ (1) เพื่อพัฒนาเอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา พ21101 รายวิชา สุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 (2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา พ21101 รายวิชา สุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา พ21101 รายวิชา สุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ (4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา พ21101 รายวิชา สุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและ พลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยมีวิธีดำเนินการกับกลุ่มตัวอย่างเพื่อการทดลองใช้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน ร่อนพิบูลย์เกียรติวสุนธราภิวัฒก์ ที่เรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 จำนวน 1 ห้อง ได้มาจากการสุ่มโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม ได้ห้อง ม.1/6 จำนวนนักเรียน 33 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) เอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา พ21101 รายวิชา สุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ สุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 4 หน่วยการเรียนรู้ คือ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ระบบประสาทและระบบต่อมไร้ท่อ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง วัยรุ่นกับการเจริญเติบโตตามเกณฑ์มาตรฐาน หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง วัยรุ่นกับพัฒนาการทางเพศ และหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การป้องกันการถูกล่วงละเมิดทางเพศ (2) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา พ21101 รายวิชา สุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 18 แผนการจัดการเรียนรู้ (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา พ21101 รายวิชา สุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 40 ข้อ และ (4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้เอกสารประกอบการเรียน รหัสวิชา พ21101 รายวิชา สุขศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 10 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูล โดยหาค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า
ชื่อเรื่อง : การพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการบวก การลบจำนวนนับที่มีผลลัพธ์ไม่เกิน 100,00 ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
ชื่อผู้รายงาน : นางสาวศิริพร ริยาพันธ์ ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ โรงเรียนวัดสำนักขัน อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย
ปีที่รายงาน : ปีการศึกษา 2558
................................................................................................................................................................
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาการบวก การลบจำนวนนับที่มีผลลัพธ์ไม่เกิน 100,000 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 ซึ่งเป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง ที่มีแบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มเดียว ทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 22 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E และเรียบเรียงสาระตามโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เทียบเคียงกับข้อสอบทางการศึกษาและข้อสอบระดับชาติตั้งแต่ปี 2550 - 2556 มีอำนาจจำแนก 0.20 – 0.97 ความยาก 0.50 - 0.80 และความเชื่อมั่น 0.93 และแบบสอบถามความพึงพอใจมีความเชื่อมั่น 0.85 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐานและการทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติทดสอบทีแบบกลุ่มสัมพันธ์
ผลการวิจัยพบว่าแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการแก้โจทย์ปัญหาการบวก การลบจำนวนนับที่มีผลลัพธ์ไม่เกิน 100,000 ที่มีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ 19 แผน ผลประเมินระดับคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ท่าน ผลระดับคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ 78.10/75.23 ดัชนีประสิทธิผล 0.61 โดยที่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนมีระดับความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด
ชื่องานวิจัย การพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียนการสอนควบคู่กับเทคนิค TAI (Team Assisted Individualization)เรื่อง การทำงานเพื่อช่วยเหลือตนเอง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
ชื่อผู้วิจัย นางอุไรวรรณ ประนอม
กลุ่มสาระการเรียนรู้ การงานอาชีพและเทคโนโลยี
ปีการศึกษา 2557
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียนการสอนควบคู่กับเทคนิค TAI (Team Assisted Individualization)เรื่อง การทำงานเพื่อช่วยเหลือตนเอง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง การทำงานเพื่อช่วยเหลือตนเอง ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียนการสอนควบคู่กับเทคนิค TAI เรื่อง การทำงานเพื่อช่วยเหลือตนเอง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านกลาง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 ปีการศึกษา 2554 - 2556 จำนวน 93 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านกลาง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 ปีการศึกษา 2554 - 2556 จำนวน 71 คน
ผลการวิจัยพบว่า
1. รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียนการสอนควบคู่กับเทคนิค TAI เรื่อง การทำงานเพื่อช่วยเหลือตนเอง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 แบบหนึ่งต่อหนึ่ง มีค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 83.42 / 82.54 ได้ค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) เท่ากับ 20.6
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียนการสอนควบคู่กับเทคนิค TAI เรื่อง การทำงานเพื่อช่วยเหลือตนเอง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 สูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
หัวข้อการศึกษา การศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แผนผัง
ความคิดกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่องข้อมูลข่าวสารสุขภาพ
ยาและสารเสพติด
ปีที่ศึกษา 2554
ผู้ศึกษาค้นคว้า นางสารีย์ ศิริ
............................................................................................................................................................
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างแบบฝึกกิจกรรมการเขียนแผนผังความคิด กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ข้อมูลข่าวสารสุขภาพ ยาและสารเสพติด ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ข้อมูลข่าวสารสุขภาพ ยาและสารเสพติด กกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกกิจกรรมการเขียนแผนผังความคิดกลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ข้อมูลข่าวสารสุขภาพ ยาและสารเสพติด ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น
3. เพื่อสำรวจความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยแบบฝึกกิจกรรมการเขียนแผนผังความคิด กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ข้อมูลข่าวสารสุขภาพ ยาและสารเสพติด
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองจริง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5โรงเรียนบ้านทุ่งมน (ริมราษฎร์นุสรณ์) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2554 จำนวน 32 คน
เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลมีดังต่อไปนี้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ข้อมูลข่าวสารสุขภาพ ยาและสารเสพติด 2) แบบฝึกกิจกรรมการเขียนแผนผังความคิด กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ข้อมูลข่าวสารสุขภาพ ยาและสารเสพติด 3)แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องข้อมูลข่าวสารสุขภาพ ยาและสารเสพติด 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยแบบฝึกกิจกรรมการเขียนแผนผังความคิด กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ข้อมูลข่าวสารสุขภาพ ยาและสารเสพติด สถิติที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และt-test Dependent ผลการศึกษา พบว่า
1. แบบฝึกกิจกรรมการเขียนแผนผังความคิด กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ข้อมูลข่าวสารสุขภาพ ยาและสารเสพติด ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่องข้อมูลข่าวสารสุขภาพ ยาและสารเสพติด กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาหลังเรียนด้วยแบบฝึกกิจกรรมการเขียนแผนผังความคิด สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนแบบฝึกกิจกรรมการเขียนแผนผังความคิด กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ข้อมูลข่าวสารสุขภาพ ยาและสารเสพติด ในระดับมาก
ชื่อเรื่อง รายงานผลการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง เลขยกกำลัง วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ผู้วิจัย นางสาวปวันรัตน์ เอี่ยมสะอาด ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ
โรงเรียนเทศบาล 2 “วิภัชศึกษา” กองการศึกษา เทศบาลเมืองสุรินทร์
ปีที่วิจัย 2555
บทคัดย่อ
รายงานผลการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง เลขยกกำลัง วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยมีวัตถุประสงค์ 4 ข้อ ดังนี้ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง เลขยกกำลัง วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะ เรื่อง เลขยกกำลัง วิชา คณิตศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง เลขยกกำลัง วิชา คณิตศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง เลขยกกำลัง วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนเทศบาล 2 “วิภัชศึกษา” อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 จำนวน 39 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม(Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบฝึกทักษะ เรื่อง เลขยกกำลัง จำนวน 12 ชุด แผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ จำนวน 12 แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ แบบทดสอบย่อยของแต่ละชุดแบบฝึกทักษะชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 12 ชุด และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ จำนวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ (E1/E2) และใช้สถิติทดสอบ t-test ในการทดสอบความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน
ผลการวิจัยพบว่า
1. ประสิทธิภาพของกระบวนการและประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E1/E2) ของแบบฝึก
ทักษะ เรื่อง เลขยกกำลัง วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 โรงเรียนเทศบาล 2 “วิภัชศึกษา” อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 39 คน มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 84.99/81.71 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้
2. ดัชนีประสิทธิผล ( E.I.) ของแบบฝึกทักษะ เรื่อง เลขยกกำลัง วิชาคณิตศาสตร์
พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 โรงเรียนเทศบาล 2 “วิภัชศึกษา” อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 39 คน มีค่าเท่ากับ 0.6973 แสดงว่านักเรียนมีคะแนนเพิ่มขึ้นร้อยละ 69.73
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง เลขยกกำลัง วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 พบว่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง เลขยกกำลัง วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก
จากการวิจัยในครั้งนี้ทำให้ได้แบบฝึกทักษะ เรื่อง เลขยกกำลัง วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีประสิทธิภาพสูงและประสิทธิผลสามารถนำไปใช้ในกิจกรรมการเรียนรู้ทำให้นักเรียนบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ได้เป็นอย่างดี
ชื่อผลงาน ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
เรื่อง แสงและการมองเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
4 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น (7E)
ผู้รายงาน นางสาวนิลมณี บัวระภา ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ โรงเรียนบ้านขอนแดง สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
ปีที่ศึกษา ปีการศึกษา 2555
บทคัดย่อ
การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง
แสงและการมองเห็น ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้
7 ขั้น (7E) ให้มีจำนวนนักเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้
7 ขั้น (7E) กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษา
ปีที่ 4 โรงเรียนบ้านขอนแดง อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย
สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย จำนวน 13 คน
ที่กำลังเรียนภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 การศึกษาครั้งนี้เป็นวิจัยที่ยังไม่เข้าขั้นการทดลอง (Pre-Experimental
Design) ใช้รูปแบบการศึกษาเฉพาะรายกรณีโดยให้การทดลอง 1 ครั้งกับกลุ่มทดลอง 1 กลุ่ม (One-shot Case
Study)
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ประกอบด้วย
1. เครื่องมือในการทดลอง คือ แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น
(7E) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง
แสงและการมองเห็น ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 12 แผน ใช้เวลา 12 ชั่วโมง 2. เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
เป็นแบบทดสอบปรนัยแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือกจำนวน 30 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน
เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) ตามวิธีการของลิเคอร์ท จำนวน 12 ข้อ
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า
1. คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์จำนวน
10 คน คิดเป็นร้อยละ 76.92 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ
ร้อยละ 70 ของนักเรียนทั้งหมด แสดงว่า การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้
7 ขั้น (7E)
สามารถส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
2. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น(7E) เรื่อง แสงและการมองเห็น โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.20 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.48
เป็นผลงานที่เหมาะสมกับผู้เรียนเป็นอย่างยิ่ง
บทคัดย่อ รายงานการวิจัย การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ผู้วิจัย
ปีที่วิจัย ผลการวิจัยพบว่า 1. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง งานเกษตรคู่บ้าน ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ E1/E2 มีค่าเท่ากับ 84.67 / 83.78 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง งานเกษตรคู่บ้าน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. การเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง งานเกษตรคู่บ้าน ทำให้นักเรียนเกิดความพึงพอใจในการเรียนอยู่ในระดับมาก
กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและ
เทคโนโลยี เรื่อง งานเกษตรคู่บ้าน
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
นางสุภัคตรา วรรณจู
ตำแหน่งครูวิทยฐานะชำนาญการ
โรงเรียนบ้านจำนันสายเจริญ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาศรีสะเกษ เขต 4
ปีการศึกษา 2552
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ (1) เพื่อพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง เรื่อง งานเกษตรคู่บ้าน ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนของนักเรียน ที่เรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง เรื่อง งานเกษตรคู่บ้าน และ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง งานเกษตรคู่บ้าน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านจำนันสายเจริญ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2552 จำนวน 15 คน ทำการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง งานเกษตรคู่บ้าน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมินความพึงพอใจในการเรียน ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที (t –Dependent Test)