ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
จากจุดเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตบนโลกมนุษย์เมื่อหลายพันล้านปีมาแล้ว จนกระทั่งถึงปัจจุบันสิ่งมีชีวิตได้มีวิวัฒนาการแยกออกเป็นชนิดต่างๆมากมาย ดังนั้นเพื่อความสะดวกในการศึกษาและความเข้าใจถูกต้องตรงกัน นักวิทยาศาสตร์ จึงได้จัดแบ่งสิ่งมีชีวิตดังกล่าวเหล่านี้ออกเป็นหมวดหมู่ใหญ่จนถึงหมวดหมู่ย่อยตามลำดับดังนี้
1. อาณาจักร (Kingdom)
2. ไฟลัม (Phylum )
3. คลาส (Class)
4. ออร์เดอร์ (Order )
5. แฟลมมิลี่ (Family)
6. จีนัส (Genus)
7. สปีชีส์ (Species)
การดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต
การดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในแต่ละอาณาจักรจะมีบทบาทหน้าที่ต่างๆกันในระบบนิเวศ ระบบนิเวศ(Ecosystem) หมายถึงระบบความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆที่อาศัยอยู่ในแหล่งที่อยู่อาศัยเดียวกัน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกันเองและความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับแหล่งที่อยู่อาศัย โดยความสัมพันธ์ดังกล่าวจะต้องมีการถ่ายทอดสารและพลังงานให้แก่กันและกันระบบนิเวศนั้นประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วน คือ 1. สิ่งไม่มีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิตซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของระบบนิเวศ ได้แก่ พลังงานจากดวงอาทิตย์ ลม อนินทรียสาร เช่น คาร์บอน ออกซิเจน น้ำ อินทรียสาร เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และสภาพแวดล้อมอื่นๆ เช่น อุณหภูมิ แสงสว่าง ความชื้น เป็นต้น 2. สิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะถูกธรรมชาติคัดเลือกให้ดำรงพันธ์ต่อไป โดยจะมีบทบาทหน้าที่ต่างๆกันในระบบนิเวศ ซึ่งได้แก่ ผู้ผลิต ผู้บริโภค ผู้ย่อยอินทรียสาร และผู้กินซากสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว ดังแผนภาพแสดงความสัมพันธ์เชิงอาหารหรือสายใยอาหาร “ลูกศร” แสดงถึงการบริโภคต่อกันเป็นทอดๆสิ่งมีชีวิตที่อยู่หัวลูกศรเป็น ผู้บริโภค หรือ ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดพลังงานส่วนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ปลายลูกศรเป็นผู้ผลิตหรือผู้บริโภค ผู้ผลิต ผู้บริโภคพืช ผู้บริโภคสัตว์ลำดับที่1 ผู้บริโภคสัตว์ลำดับที่ 2 ผู้ย่อยอินทรียสาร และผู้กินซากสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ได้แก่ ความสัมพันธ์เชิงอาหาร และความสัมพันธ์เชิงการอยู่ร่วมกัน ความสัมพันธ์เชิงอาหารมีอยู่ 2 แบบ คือ ความสัมพันธ์เชิงอาหารแบบโซ่อาหาร และแบบสายใยอาหาร โซ่อาหาร โซ่อาหาร(Food Chain) หมายถึง การกินต่อกันเป็นทอดๆของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในรูปแบบดังกล่าวนี้เป็นการถ่ายทอดพลังงานผ่านผู้ผลิตและผู้บริโภค ในระดับต่างๆ โดยมีผู้ย่อยสลายทำหน้าที่ย่อยสลายในทุกระดับ ตัวอย่างโซ่อาหาร ตัวอย่างที่ 1 ผักกาด กระต่าย สุนัขจิ้งจอก กระต่าย เป็นผู้บริโภคผักกาดในขณะเดียวกันกระต่ายก็ถูกบริโภคโดยสุนัขจิ้งจอก ผักกาด เป็นผู้ผลิต กระต่ายเป็นผู้บริโภคพืช สุนัขจิ้งจอก เป็นผู้บริโภคสัตว์ลำดับ 1 ตัวอย่างที่ 2 ข้าวโพด หนู งู นกฮูก ข้าโพด เป็นผู้ผลิต งู เป็นผู้บริโภคสัตว์ลำดับที่ 1 หนู เป็นผู้บริโภคพืช นกฮูก ผู้บริโภคสัตว์ลำดับที่ 2 สายใยอาหาร สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศหนึ่งๆนอกจากจะมีความสัมพันธ์เชิงอาหารแบบโซ่อาหารแล้ว ยังมีความสัมพันธ์เชิงอาหารแบบสายใยอาหารอีกด้วย สายใยอาหาร (Food Web) เป็นระบบความสัมพันธ์เชิงอาหารของสิ่งมีชีวิตที่มีความซับซ้อนมาก ซึ่งประกอบด้วยโซ่อาหารหลายๆโซ่ ดังแผนภาพดังนี้ จะเห็นได้ว่า ในระบบนิเวศหนึ่งๆผู้ผลิตจะเป็นตัวกลางสำคัญ ในการถ่ายทอดพลังงานโดยผู้ผลิตจะรับพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์มา แล้วถ่ายทอดไปยังผู้บริโภคชนิดต่างๆ ในรูปของพลังงานเคมีควบคู่ไปกับสารต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบของสารอาหาร ดังนั้น ถ้าในระบบนิเวศใดๆ ไม่มีผู้ผลิต มีแต่ผู้บริโภคและผู้ย่อยสลายอินทรียสารแล้ว สิ่งมีชีวิตต่างๆบนโลกนี้ก็คงจะสูญพันธ์ไปหมด ทั้งนี้เพราะสภาวะสมดุลธรรมชาติของระบบนิเวศสูญเสียไป ทำให้ผู้บริโภคที่เคยบริโภคพืช(ผู้ผลิต) หันมาบริโภคกันเอง หรือไม่ก็ตายไปเนื่องจากขาดอาหาร วัฏจักรของก๊าซที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตก็จะสูญเสียไป อุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้น สิ่งมีชีวิตที่ดำรงชีวิตอยู่เมื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้ ก็จะตายและสูญพันธุ์ไปในที่สุด สิ่งมีชีวิตต่างๆนอกจากจะมีความสัมพันธ์กันในเชิงอาหารดังกล่าวแล้ว ยังมีความสัมพันธ์กันในเชิงการอยู่ร่วมกันอีกด้วย ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในเชิงการอยู่ร่วมกันมีดังนี้ 1. การอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพากัน (Mutualism) เป็นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด โดยที่ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์ด้วยกัน เช่นนกเอี้ยงบนหลังควาย นกเอี้ยงจะคอยจิกกินพวกเห็บที่เกาะติดอยู่ตามตัวควาย ส่วนควายได้รับประโยชน์ คือ ไม่ต้องคอยกำจัดเห็บ 2. การอยู่ร่วมกันแบบเกื้อกูล หรืออิงอาศัยกัน (Commensalism) เป็นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด โดยมีฝ่ายหนึ่งได้รับประโยชน์ แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้และไม่เสียประโยชน์ เช่นกล้วยไม้บนต้นไม้ กล้วยไม้ได้ประโยชน์ คือ ความชื้นและที่เกาะอาศัยจากต้นไม้ ในขณะเดียวกัน ต้นไม้ก็ไม่ได้หรือเสียประโยชน์ เนื่องจากรากกล้วยไม้ไม่ได้ฝังลึกลงไปแย่งอาหารต้นไม้ 3. การอยู่ร่วมกันแบบปรสิต (Parasitism) เป็นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด โดยที่ฝ่ายหนึ่งได้รับประโยชน์ แต่อีกฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ เช่น กาฝากบนต้นไม้ กาฝากได้รับประโยชน์คือได้รับอาหารจากต้นไม้ที่อาศัย ส่วนต้นไม้ก็จะเป็นฝ่ายเสียประโยชน์เพราะถูแย่งอาหารไป
ในปัจจุบัน ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้สิ่งแวดล้อมเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ และการเปลี่ยนแปลงนั้นได้สะสมตัวมากขึ้นจนธรรมชาติไม่สามารถที่จะปรับให้เข้าสู่สภาวะปกติหรือสภาวะสมดุลได้ทัน ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลดังกล่าวนี้ก็ได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้การดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในที่สุด
ที่มา http://www.school.net.th/library/create-web/10000/science/10000-311.html
เนื้อหาเยอะ น่าอ่านดีนะค่ะ - -"
5555 5
FREEDOM FREEDOM !! YAHAA !!
*ช่วยไป Comment บล๊อก ด้วยนะค่ะ ^^
http://www.thaigoodview.com/node/31363
เม้นอิกคร๊า ๆ ,
เม้นคืนนำ ๆ
555.
สีสันสวยดี
เนื้อหาก็ดี
เม้นแล้วเม้นอีก
ไปเม้นคืนด้วย
สุโคร่ย
^^
สุโคร่ย
^^
เนื้อหาสมบรูณ์ดี
สีสันสวยงาม
เม้นคืนด้วยนะ
http://www.thaigoodview.com/node/26163
ทำได้ดีมากเลยค่ะ
แต่ถ้ามีรูปด้วยก็จะดีกว่านี้มากๆเลยนะ
^^;
เนื้อหาดีมากค่ะ
สีสันสวยงาม
^^
ฝากเม้น
http://www.thaigoodview.com/node/31157
เยี่ยมเลยอ่ะ
*ช่วยไป Comment บล๊อก ด้วยนะค่ะ ^^
http://www.thaigoodview.com/node/31363
เนื้อหาดีค่ะ ๆ ,
ยืมไปทำบันทึกการอ่าน
^^
ดีดีดี มากๆๆๆเนื้อหาดีมากเลยๆ
เนื้อหาเข้าใจดีนะค่ะ : )
ตัวหนังสือเล็กแต่เข้าใจดี
เนื้อหาดีมากเลย
ตัวหนังสือเล็กไปนิด
แต่อ่านแร้วเข้าใจค่ะ
ขอบคุณน่ะค่ะ
เยี่ยมไปเลย
เม้นๆ
ไม่ต้องอ่านก็รู้
ของเขาดีจริงๆ
555+
สาด ๆ ๆ ของมึงก็ดีจิงๆ
สุดยอดเลย
^^
ตัวหนังสือจาเล็กไปมั๊ยค่ะ แต่เนื้อหาก้โอ