• user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:d34cb03134e31a1b304bda4205747f19' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p align=\"center\">\n<b><span style=\"color: #ff0000\">         วิธีป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยจากไวรัสคอมพิวเตอร์</span></b>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #ff00ff\"><b>1.  ฉีดวัคซีนเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน <br />\n</b></span><br />\n<span style=\"color: #0000ff\"> ตัดการเชื่อมต่อเครือข่ายก่อนการติดตั้งระบบปฏิบัติการ เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากและผู้ใช้งานเกือบทุกคนละเลยและข้ามขั้นตอนนี้ไป ก่อนการติดตั้งระบบปฏิบัติการต้องทำการถอดสายแลนก่อน จนกระทั่งเมื่อติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสเสร็จแล้วจะต้องทำการปรับปรุงฐานข้อมูลของโปรแกรมป้องกันไวรัส เพื่อป้องกันการโจมตีจากไวรัสหรือผู้บุกรุกก่อนที่จะปรับแต่งให้เครื่องมีความแข็งแกร่งเพียงพอ</span></p>\n<p>การฉีดวัคซีนคุ้มกัน ก็คือการติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นเอง ไม่ใช่ว่าเพียงแค่ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสก็จะปลอดภัยจากไวรัสคอมพิวเตอร์ได้ ดังนั้นหลักการปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรมป้องกันไวรัสเพื่อให้เครื่องปลอดภัยมีดังนี้</p>\n<p>-  เลือกใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะสมหรือตามที่องค์กรกำหนด การเลือกนั้นเป็นเพียงการเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีและองค์กร ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเครื่องที่ใช้งานอยู่มีประสิทธิภาพไม่สูงนัก ก็อาจจะเลือกใช้งานโปรแกรมป้องกันไวรัสที่มีขนาดเล็กและทำงานได้รวดเร็ว หรือถ้าบุคลากรภายในองค์กรขาดความตระหนักในการปรับปรุงฐานข้อมูลไวรัสก็ควรที่จะเลือกโปรแกรมป้องกันไวรัสที่ผู้ดูแลระบบสามารถควบคุมเครื่องดังกล่าวให้ทำการปรับปรุงฐานข้อมูลหรือสแกนหาไวรัสจากระยะไกลได้ เป็นต้น </p>\n<p>-  สร้างแผ่นบูต emergency disk เพื่อใช้ช่วยในการกู้ระบบ การสร้างแผ่น emergency disk หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Rescure disk นั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเครื่องติดไวรัสที่ไม่สามารถจะกำจัดได้โดยผ่านระบบปฏิบัติการวินโดวส์ หรือผลกระทบของไวรัสที่ทำให้เครื่องไม่สามารถบูตได้ตามปกติ เราก็สามารถใช้แผ่น emergency disk มาช่วยในการกู้ข้อมูลและกำจัดไวรัสออกจนทำให้บูตเครื่องได้ตามปกติ </p>\n<p>-  ปรับปรุงฐานข้อมูลไวรัสทุกวันหรืออย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ขั้นตอนนี้เปรียบเสมือนหัวใจของการใช้งานโปรแกรมป้องกันไวรัส เนื่องจากไวรัสคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนาออกมาใหม่ทุกวัน ดังนั้นจึงควรที่จะสอนโปรแกรมป้องกันไวรัสให้รู้จักไวรัสชนิดใหม่ๆ ด้วย โดยการปรับปรุงฐานข้อมูลไวรัสที่ใช้งานนั่นเอง </p>\n<p>-  เปิดใช้งาน auto - protect โดยส่วนใหญ่โปรแกรมป้องกันไวรัสที่ติดตั้งจะทำการสร้างโพรเซสที่จะตรวจหาไวรัสตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสสามารถถูกเอ็กซิคิวต์ในเครื่องได้ </p>\n<p>-  ก่อนเปิดไฟล์จากแผ่นที่นำมาใช้จากที่อื่นให้สแกนหาไวรัสก่อน แผ่นดิสก์ที่นำไปใช้ที่อื่นแล้วนำกลับมาเปิดที่เครื่อง จะมั่นใจได้อย่างไรว่าแผ่นนั้นไม่มีไวรัสอยู่ ดังนั้นควรจะตรวจหาไวรัสในแผ่นก่อนที่จะเปิดอ่านข้อมูลที่ถูกบรรจุในแผ่นดิสก์ดังกล่าว </p>\n<p>-  ทำการตรวจหาไวรัสทุกสัปดาห์ ในแต่ละสัปดาห์แน่นอนว่ามีไฟล์ที่ผ่านเข้าออกเครื่องมากมาย ไม่ว่าจะเป็น อี-เมล์ที่ได้รับ ไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ต ตลอดจนไฟล์ชั่วคราวของโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ที่เก็บในแต่ละครั้งที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไฟล์เหล่านั้นไม่มีไวรัสแฝงตัวมา ดังนั้นจึงควรที่จะทำการตรวจหาไวรัส โดยการสแกนหาทั้งระบบ อาจจะเป็นทุกเย็นของวันศุกร์ก่อนกลับบ้านก็เป็นได้ \n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #ff00ff\"><b>2.  ซอฟต์แวร์ที่ใช้งานปลอดภัยหรือยัง </b></span></p>\n<p><span style=\"color: #0000ff\">              ขึ้นชื่อว่าซอฟต์แวร์ย่อมมีช่องโหว่ เพื่อป้องกันภัยคุกคามจากภายนอก โดยผ่านทางซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้น ดังนั้นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เหล่านั้นจึงต้องติดตามอัพเดตเวอร์ชันอยู่เสมอ และผู้ใช้งานโปรแกรมเองก็จำเป็นต้องติดตามข่าวสารการเปลี่ยนแปลงของซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอยู่จากผู้จำหน่ายหรือผู้พัฒนา ทั้งทางเว็บไซต์ นิตยสารต่างๆ เป็นต้น </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">               -  ระบบปฏิบัติการ ไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะต้องใช้ระบบปฏิบัติการที่ออกใหม่ล่าสุด แต่ถ้าภายในองค์กรมีกำลังทรัพย์พอที่จะเปลี่ยนก็จะเป็นการดี แต่ถ้าด้วยสาเหตุที่งบประมาณน้อยก็ใช้ระบบปฏิบัติการเดิมแต่ต้องทำการติดตามอัพเดต Hotfix และ Service Pack ต่างๆ ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อ &quot;วิธีการติดตั้ง Microsoft Hotfix และ Service Pack&quot; </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">               -  โปรแกรม Internet Explorer หรือ IE เป็นโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ทุกเวอร์ชัน เนื่องด้วยไวรัสในยุคปัจจุบันจะอาศัยช่องโหว่ &quot;Incorrect MIME Header Can Cause IE to Execute E-mail Attachment&quot; ในการจู่โจม ซึ่งเป็นการเอ็กซิคิวต์ไฟล์ไวรัสที่แนบมากับอี-เมล์โดยอัตโนมัติ และการจู่โจมด้วยวิธีนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ดังนั้นวิธีการเพื่อป้องกันไวรัสคือการอัพเดตเวอร์ชันของโปรแกรม IE ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด ซึ่งในขณะนี้คือ เวอร์ชัน 6 Service Pack 1 (IE 6 SP1) นอกจากนี้แล้ว การปรับแต่งค่า Security Zone ก็เป็นวิธีที่จะช่วยให้ปลอดภัยจากไวรัสคอมพิวเตอร์ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อ &quot;การปรับค่า Security Zone เพื่อป้องกันไวรัสของโปรแกรม MS Internet Explorer&quot; </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">               -  โปรแกรมที่ใช้อ่านอี-เมล์ จากข้อมูลสถิติพบว่าไวรัสคอมพิวเตอร์ประเภทหนอนอินเทอร์เน็ตยุคหลังๆ ที่สามารถแพร่กระจายตัวเองผ่านทางอี-เมล์มีจำนวนมากขึ้น ทำให้ผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เอ็กซิคิวต์ไฟล์ที่ไวรัสแนบมากับอี-เมล์ ส่งผลให้เครื่องดังกล่าวติดไวรัสได้ ดังนั้นวิธีการป้องกันคือทำปรับแต่งค่าของโปรแกรมไม่ให้ทำการเอ็กซิคิวต์ไฟล์ที่แนบมากับอี-เมล์โดยอัตโนมัติ และไม่ควรบันทึกหรือเอ็กซิคิวต์ไฟล์ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นไวรัสหรือไม่ เพื่อตัดปัญหาความเสี่ยงที่จะติดไวรัสได้ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">               -  โปรแกรม Microsoft Office การป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสที่มีผลกระทบโดยตรงต่อโปรแกรมนี้คือ การป้องกันไม่ให้เอ็กซิคิวต์โปรแกรมประเภทมาโคร (Macro) ที่แนบมากับไฟล์เอกสารทั่วไป ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเมื่อทำการเปิดไฟล์เอกสารที่มีโปรแกรมมาโครฝังตัวอยู่นั้น โปรแกรม Microsoft Office เองจะแสดงไดอะล็อกที่บอกว่าจะเอ็กซิคิวต์มาโครที่ติดมากับไฟล์หรือไม่ ให้ทำการตอบว่า Disable เพื่อเป็นการยกเลิกการใช้มาโครในไฟล์เอกสารนั้น </span>\n</p>\n<p>\n<b><span style=\"color: #ff00ff\">3.  การแชร์ไฟล์ และการรับ-ส่งไฟล์ต่างๆ</span></b> </p>\n<p><span style=\"color: #0000ff\">การแชร์ไฟล์นั้นมีประโยชน์ในการรับ-ส่งไฟล์มากภายในองค์กร เนื่องจากทั้งรวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายน้อย แต่ทราบหรือไม่ว่าจากประโยชน์นี้ก็แฝงไว้ด้วยอันตรายที่น่าสะพรึงกลัวของไวรัสคอมพิวเตอร์ด้วย ดังนั้นการแชร์ไฟล์ควรกระทำด้วยความระมัดระวัง เป็นไปได้ก็ไม่ควรที่จะแชร์ไฟล์ แต่ถ้าในการใช้งานจริงๆ มีความจำเป็นที่จะต้องแชร์ไฟล์ก็ควรที่จะแชร์เป็นประเภทอ่านอย่างเดียว และควรตั้งรหัสผ่านด้วย </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">                การแชร์ไฟล์ผ่านโปรแกรมอื่นๆ เช่น KaZaA ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งให้ไวรัสคอมพิวเตอร์ขนิดใหม่ใช้เจาะเข้ามาแพร่กระจายภายในเครื่องได้ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">                การรับ-ส่งไฟล์ผ่านโปรแกรมสนทนาต่างๆ เมื่อได้รับไฟล์จากคู่สนทนาที่ไม่รู้จักก็ไม่ควรรับไฟล์ดังกล่าว อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับไฟล์นั้นด้วยว่าเป็นไฟล์ประเภทใด โดยดูจากนามสกุลของไฟล์นั้น โดยเฉพาะไฟล์ที่มีนามสกุล .exe .pif .com .bat หรือ .vbs เป็นต้น ที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ </span>\n</p>\n<p>\n<br />\n<span style=\"color: #ff00ff\"><b>4.  สำรองข้อมูลไว้ <br />\n</b></span>             <span style=\"color: #0000ff\">   เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดกับเครื่องที่ใช้งานอยู่ เป็นต้นว่าไฟฟ้าตก หรือไวรัสแพร่กระจายไปยังไฟล์สำคัญ อาจส่งผลให้เครื่องนั้นไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติหรือใช้งานไฟล์บางไฟล์ไม่ได้ ซึ่งอาจจะส่งผลให้เจ้าของเครื่องดังกล่าวสูญเสียข้อมูลสำคัญๆ ได้ ดังนั้นถ้าเรามีการสำรองข้อมูลไว้ ปัญหาที่ผู้ใช้งานจะสูญเสียข้อมูลก็จะลดลงได้มากพอสมควร ในการสำรองข้อมูลเพื่อใช้ในการกู้ระบบคืนนั้นควรกระทำบ่อยๆ อย่างน้อยประมาณ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ และสิ่งที่ควรจะทำการสำรองไว้บ่อยๆ คือ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">                -  การสำรองเรจิสทรีย์ การสร้างความเสียหายของไวรัสหรือหนอนส่วนใหญ่มักจะไปทำการแก้ไขค่าต่างๆ ในเรจิสทรีย์ ดังนั้นการสำรองเรจิสทรีย์จึงมีความสำคัญมากในการช่วยกู้ระบบกลับคืนมา ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดวิธีการสำรองเรจิสทรีย์ในหัวข้อ &quot;วิธีการสำรองข้อมูล Windows registry&quot; <br />\n-  การสำรองข้อมูลต่างๆ คงไม่มีใครที่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องลบไฟล์บางไฟล์ที่ติดไวรัส และไฟล์นั้นมีความสำคัญสูงมาก แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว วิธีการแก้ปัญหาที่คาดว่าน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดคือการกู้ไฟล์เหล่านั้นคืนจากที่ได้สำรองไว้ </span>\n</p>\n<p>\n<br />\n<span style=\"color: #ff00ff\"><b>  5.  ติดตามข่าวสารต่างๆ</b></span> <br />\n<span style=\"color: #0000ff\">               เนื่องด้วยในวันหนึ่งๆ จะมีไวรัสคอมพิวเตอร์ออกมาใหม่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วและหาทางป้องกันจึงนับเป็นหนทางที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ทั่วๆ ไปหรือแม้กระทั่งผู้ดูแลระบบเอง จึงควรที่จะหาช่องทางในการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับไวรัสคอมพิวเตอร์และข่าวสารเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ด้วย </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">               ด้วยเหตุนี้เอง ทีมงาน ThaiCERT จึงได้จัดทำระบบแจ้งข่าวสารผ่านทางอี-เมล์ให้กับสมาชิก ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดและสมัครได้ที่</span> <a href=\"http://thaicert.nectec.or.th/mailinglist/register.php\">http://thaicert.nectec.or.th/mailinglist/register.php</a>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\"> เว็บไซต์ข่าวสารเกี่ยวกับไวรัสคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่ควรติดตาม </span>\n</p>\n<p>\n<a href=\"http://thaicert.nectec.or.th/\">http://thaicert.nectec.or.th</a> <br />\n<a href=\"http://www.symantec.com/\">http://www.symantec.com</a> <br />\n<a href=\"http://www.mcafee.com/\">http://www.mcafee.com</a> <br />\n<a href=\"http://www.trendmicro.com/\">http://www.trendmicro.com</a> <br />\n<a href=\"http://www.messagelabs.com/\">http://www.messagelabs.com</a> <br />\n<a href=\"http://www3.ca.com/virusinfo/\">http://www3.ca.com/virusinfo/</a> <br />\n<a href=\"http://www.f-secure.fi/virus-info/v-pics/\">http://www.f-secure.fi/virus-info/v-pics/</a> <br />\n<a href=\"http://www.pandasoftware.com/\">http://www.pandasoftware.com</a> <br />\n<a href=\"http://www.sophos.com/\">http://www.sophos.com</a> <br />\n<a href=\"http://www.ravantivirus.com/\">http://www.ravantivirus.com</a> <br />\n<a href=\"http://www.grisoft.com/\">http://www.grisoft.com</a>\n</p>\n<p>\n<b><span style=\"color: #0000ff\">แหล่งอ้างอิง</span></b>\n</p>\n<p>\n<a href=\"http://student.nu.ac.th/antivirus/train-virus_computer.htm\">http://student.nu.ac.th/antivirus/train-virus_computer.htm</a><br />\n<a href=\"http://www.thaicert.org/paper/virus/protectvirus.php\">http://www.thaicert.org/paper/virus/protectvirus.php</a><br />\n<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki\">http://th.wikipedia.org/wiki</a>\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p></p>\n', created = 1715455424, expire = 1715541824, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:d34cb03134e31a1b304bda4205747f19' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

ไวรัสคอมพิวเตอร์

รูปภาพของ naowarat

         วิธีป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยจากไวรัสคอมพิวเตอร์

1.  ฉีดวัคซีนเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน 

ตัดการเชื่อมต่อเครือข่ายก่อนการติดตั้งระบบปฏิบัติการ เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากและผู้ใช้งานเกือบทุกคนละเลยและข้ามขั้นตอนนี้ไป ก่อนการติดตั้งระบบปฏิบัติการต้องทำการถอดสายแลนก่อน จนกระทั่งเมื่อติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสเสร็จแล้วจะต้องทำการปรับปรุงฐานข้อมูลของโปรแกรมป้องกันไวรัส เพื่อป้องกันการโจมตีจากไวรัสหรือผู้บุกรุกก่อนที่จะปรับแต่งให้เครื่องมีความแข็งแกร่งเพียงพอ

การฉีดวัคซีนคุ้มกัน ก็คือการติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นเอง ไม่ใช่ว่าเพียงแค่ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสก็จะปลอดภัยจากไวรัสคอมพิวเตอร์ได้ ดังนั้นหลักการปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรมป้องกันไวรัสเพื่อให้เครื่องปลอดภัยมีดังนี้

-  เลือกใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสที่เหมาะสมหรือตามที่องค์กรกำหนด การเลือกนั้นเป็นเพียงการเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีและองค์กร ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเครื่องที่ใช้งานอยู่มีประสิทธิภาพไม่สูงนัก ก็อาจจะเลือกใช้งานโปรแกรมป้องกันไวรัสที่มีขนาดเล็กและทำงานได้รวดเร็ว หรือถ้าบุคลากรภายในองค์กรขาดความตระหนักในการปรับปรุงฐานข้อมูลไวรัสก็ควรที่จะเลือกโปรแกรมป้องกันไวรัสที่ผู้ดูแลระบบสามารถควบคุมเครื่องดังกล่าวให้ทำการปรับปรุงฐานข้อมูลหรือสแกนหาไวรัสจากระยะไกลได้ เป็นต้น

-  สร้างแผ่นบูต emergency disk เพื่อใช้ช่วยในการกู้ระบบ การสร้างแผ่น emergency disk หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Rescure disk นั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเครื่องติดไวรัสที่ไม่สามารถจะกำจัดได้โดยผ่านระบบปฏิบัติการวินโดวส์ หรือผลกระทบของไวรัสที่ทำให้เครื่องไม่สามารถบูตได้ตามปกติ เราก็สามารถใช้แผ่น emergency disk มาช่วยในการกู้ข้อมูลและกำจัดไวรัสออกจนทำให้บูตเครื่องได้ตามปกติ

-  ปรับปรุงฐานข้อมูลไวรัสทุกวันหรืออย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ขั้นตอนนี้เปรียบเสมือนหัวใจของการใช้งานโปรแกรมป้องกันไวรัส เนื่องจากไวรัสคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนาออกมาใหม่ทุกวัน ดังนั้นจึงควรที่จะสอนโปรแกรมป้องกันไวรัสให้รู้จักไวรัสชนิดใหม่ๆ ด้วย โดยการปรับปรุงฐานข้อมูลไวรัสที่ใช้งานนั่นเอง

-  เปิดใช้งาน auto - protect โดยส่วนใหญ่โปรแกรมป้องกันไวรัสที่ติดตั้งจะทำการสร้างโพรเซสที่จะตรวจหาไวรัสตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสสามารถถูกเอ็กซิคิวต์ในเครื่องได้

-  ก่อนเปิดไฟล์จากแผ่นที่นำมาใช้จากที่อื่นให้สแกนหาไวรัสก่อน แผ่นดิสก์ที่นำไปใช้ที่อื่นแล้วนำกลับมาเปิดที่เครื่อง จะมั่นใจได้อย่างไรว่าแผ่นนั้นไม่มีไวรัสอยู่ ดังนั้นควรจะตรวจหาไวรัสในแผ่นก่อนที่จะเปิดอ่านข้อมูลที่ถูกบรรจุในแผ่นดิสก์ดังกล่าว

-  ทำการตรวจหาไวรัสทุกสัปดาห์ ในแต่ละสัปดาห์แน่นอนว่ามีไฟล์ที่ผ่านเข้าออกเครื่องมากมาย ไม่ว่าจะเป็น อี-เมล์ที่ได้รับ ไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ต ตลอดจนไฟล์ชั่วคราวของโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ที่เก็บในแต่ละครั้งที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไฟล์เหล่านั้นไม่มีไวรัสแฝงตัวมา ดังนั้นจึงควรที่จะทำการตรวจหาไวรัส โดยการสแกนหาทั้งระบบ อาจจะเป็นทุกเย็นของวันศุกร์ก่อนกลับบ้านก็เป็นได้

2.  ซอฟต์แวร์ที่ใช้งานปลอดภัยหรือยัง

              ขึ้นชื่อว่าซอฟต์แวร์ย่อมมีช่องโหว่ เพื่อป้องกันภัยคุกคามจากภายนอก โดยผ่านทางซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้น ดังนั้นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เหล่านั้นจึงต้องติดตามอัพเดตเวอร์ชันอยู่เสมอ และผู้ใช้งานโปรแกรมเองก็จำเป็นต้องติดตามข่าวสารการเปลี่ยนแปลงของซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอยู่จากผู้จำหน่ายหรือผู้พัฒนา ทั้งทางเว็บไซต์ นิตยสารต่างๆ เป็นต้น

               -  ระบบปฏิบัติการ ไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะต้องใช้ระบบปฏิบัติการที่ออกใหม่ล่าสุด แต่ถ้าภายในองค์กรมีกำลังทรัพย์พอที่จะเปลี่ยนก็จะเป็นการดี แต่ถ้าด้วยสาเหตุที่งบประมาณน้อยก็ใช้ระบบปฏิบัติการเดิมแต่ต้องทำการติดตามอัพเดต Hotfix และ Service Pack ต่างๆ ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อ "วิธีการติดตั้ง Microsoft Hotfix และ Service Pack"

               -  โปรแกรม Internet Explorer หรือ IE เป็นโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ทุกเวอร์ชัน เนื่องด้วยไวรัสในยุคปัจจุบันจะอาศัยช่องโหว่ "Incorrect MIME Header Can Cause IE to Execute E-mail Attachment" ในการจู่โจม ซึ่งเป็นการเอ็กซิคิวต์ไฟล์ไวรัสที่แนบมากับอี-เมล์โดยอัตโนมัติ และการจู่โจมด้วยวิธีนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ดังนั้นวิธีการเพื่อป้องกันไวรัสคือการอัพเดตเวอร์ชันของโปรแกรม IE ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด ซึ่งในขณะนี้คือ เวอร์ชัน 6 Service Pack 1 (IE 6 SP1) นอกจากนี้แล้ว การปรับแต่งค่า Security Zone ก็เป็นวิธีที่จะช่วยให้ปลอดภัยจากไวรัสคอมพิวเตอร์ได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อ "การปรับค่า Security Zone เพื่อป้องกันไวรัสของโปรแกรม MS Internet Explorer"

               -  โปรแกรมที่ใช้อ่านอี-เมล์ จากข้อมูลสถิติพบว่าไวรัสคอมพิวเตอร์ประเภทหนอนอินเทอร์เน็ตยุคหลังๆ ที่สามารถแพร่กระจายตัวเองผ่านทางอี-เมล์มีจำนวนมากขึ้น ทำให้ผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เอ็กซิคิวต์ไฟล์ที่ไวรัสแนบมากับอี-เมล์ ส่งผลให้เครื่องดังกล่าวติดไวรัสได้ ดังนั้นวิธีการป้องกันคือทำปรับแต่งค่าของโปรแกรมไม่ให้ทำการเอ็กซิคิวต์ไฟล์ที่แนบมากับอี-เมล์โดยอัตโนมัติ และไม่ควรบันทึกหรือเอ็กซิคิวต์ไฟล์ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นไวรัสหรือไม่ เพื่อตัดปัญหาความเสี่ยงที่จะติดไวรัสได้

               -  โปรแกรม Microsoft Office การป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสที่มีผลกระทบโดยตรงต่อโปรแกรมนี้คือ การป้องกันไม่ให้เอ็กซิคิวต์โปรแกรมประเภทมาโคร (Macro) ที่แนบมากับไฟล์เอกสารทั่วไป ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเมื่อทำการเปิดไฟล์เอกสารที่มีโปรแกรมมาโครฝังตัวอยู่นั้น โปรแกรม Microsoft Office เองจะแสดงไดอะล็อกที่บอกว่าจะเอ็กซิคิวต์มาโครที่ติดมากับไฟล์หรือไม่ ให้ทำการตอบว่า Disable เพื่อเป็นการยกเลิกการใช้มาโครในไฟล์เอกสารนั้น

3.  การแชร์ไฟล์ และการรับ-ส่งไฟล์ต่างๆ 

การแชร์ไฟล์นั้นมีประโยชน์ในการรับ-ส่งไฟล์มากภายในองค์กร เนื่องจากทั้งรวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายน้อย แต่ทราบหรือไม่ว่าจากประโยชน์นี้ก็แฝงไว้ด้วยอันตรายที่น่าสะพรึงกลัวของไวรัสคอมพิวเตอร์ด้วย ดังนั้นการแชร์ไฟล์ควรกระทำด้วยความระมัดระวัง เป็นไปได้ก็ไม่ควรที่จะแชร์ไฟล์ แต่ถ้าในการใช้งานจริงๆ มีความจำเป็นที่จะต้องแชร์ไฟล์ก็ควรที่จะแชร์เป็นประเภทอ่านอย่างเดียว และควรตั้งรหัสผ่านด้วย

                การแชร์ไฟล์ผ่านโปรแกรมอื่นๆ เช่น KaZaA ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งให้ไวรัสคอมพิวเตอร์ขนิดใหม่ใช้เจาะเข้ามาแพร่กระจายภายในเครื่องได้

                การรับ-ส่งไฟล์ผ่านโปรแกรมสนทนาต่างๆ เมื่อได้รับไฟล์จากคู่สนทนาที่ไม่รู้จักก็ไม่ควรรับไฟล์ดังกล่าว อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับไฟล์นั้นด้วยว่าเป็นไฟล์ประเภทใด โดยดูจากนามสกุลของไฟล์นั้น โดยเฉพาะไฟล์ที่มีนามสกุล .exe .pif .com .bat หรือ .vbs เป็นต้น ที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ


4.  สำรองข้อมูลไว้
                เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดกับเครื่องที่ใช้งานอยู่ เป็นต้นว่าไฟฟ้าตก หรือไวรัสแพร่กระจายไปยังไฟล์สำคัญ อาจส่งผลให้เครื่องนั้นไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติหรือใช้งานไฟล์บางไฟล์ไม่ได้ ซึ่งอาจจะส่งผลให้เจ้าของเครื่องดังกล่าวสูญเสียข้อมูลสำคัญๆ ได้ ดังนั้นถ้าเรามีการสำรองข้อมูลไว้ ปัญหาที่ผู้ใช้งานจะสูญเสียข้อมูลก็จะลดลงได้มากพอสมควร ในการสำรองข้อมูลเพื่อใช้ในการกู้ระบบคืนนั้นควรกระทำบ่อยๆ อย่างน้อยประมาณ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ และสิ่งที่ควรจะทำการสำรองไว้บ่อยๆ คือ

                -  การสำรองเรจิสทรีย์ การสร้างความเสียหายของไวรัสหรือหนอนส่วนใหญ่มักจะไปทำการแก้ไขค่าต่างๆ ในเรจิสทรีย์ ดังนั้นการสำรองเรจิสทรีย์จึงมีความสำคัญมากในการช่วยกู้ระบบกลับคืนมา ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดวิธีการสำรองเรจิสทรีย์ในหัวข้อ "วิธีการสำรองข้อมูล Windows registry"
-  การสำรองข้อมูลต่างๆ คงไม่มีใครที่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องลบไฟล์บางไฟล์ที่ติดไวรัส และไฟล์นั้นมีความสำคัญสูงมาก แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว วิธีการแก้ปัญหาที่คาดว่าน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดคือการกู้ไฟล์เหล่านั้นคืนจากที่ได้สำรองไว้


  5.  ติดตามข่าวสารต่างๆ
               เนื่องด้วยในวันหนึ่งๆ จะมีไวรัสคอมพิวเตอร์ออกมาใหม่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วและหาทางป้องกันจึงนับเป็นหนทางที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ทั่วๆ ไปหรือแม้กระทั่งผู้ดูแลระบบเอง จึงควรที่จะหาช่องทางในการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับไวรัสคอมพิวเตอร์และข่าวสารเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยทางคอมพิวเตอร์ด้วย

               ด้วยเหตุนี้เอง ทีมงาน ThaiCERT จึงได้จัดทำระบบแจ้งข่าวสารผ่านทางอี-เมล์ให้กับสมาชิก ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดและสมัครได้ที่ http://thaicert.nectec.or.th/mailinglist/register.php

 เว็บไซต์ข่าวสารเกี่ยวกับไวรัสคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่ควรติดตาม

http://thaicert.nectec.or.th
http://www.symantec.com
http://www.mcafee.com
http://www.trendmicro.com
http://www.messagelabs.com
http://www3.ca.com/virusinfo/
http://www.f-secure.fi/virus-info/v-pics/
http://www.pandasoftware.com
http://www.sophos.com
http://www.ravantivirus.com
http://www.grisoft.com

แหล่งอ้างอิง

http://student.nu.ac.th/antivirus/train-virus_computer.htm
http://www.thaicert.org/paper/virus/protectvirus.php
http://th.wikipedia.org/wiki

 

สร้างโดย: 
ครูเนาวรัตน์ ใจการุณ โรงเรียนปิยะบุตร์ จังหวัดลพบุรี

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 279 คน กำลังออนไลน์