ความเสื่อมของจักรวรรดิ
แสนยานุภาพและการปกครองที่ดีเป็นปัจจัยที่ทำให้โรมันก้าวขึ้นเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ เมื่อปัจจัยทั้ง 2 เสื่อม ลงทำให้จักรวรรดิอ่อนแอลงด้วยความกว้างใหญ่ของจักรววรดิโรมันทำให้จักรวรรดิ ต้องมีกองทัพที่ใหญ่เพื่อรักษาและขยายดินแดน จำนวนประชากรที่เป็นชาวโรมันไม่เพียงพอต่อการเป็นทหารจึงต้องเกณฑ์ทหารจากชน ชาติอื่นๆ เช่น พวกเยอรมัน ผลเสียที่ตามมาคือคนเหล่านี้มาจากดินแดนที่ห่างไกลและยังมีวัฒนธรรมที่แตก ต่างจากชาวโรมัน จึงไม่มีความจงรักภักดีต่อโรม ทั้งยังไม่เห็นความจำเป็นในการรบเพื่อป้องกันผลประโชน์ของจักรวรรดิอีกด้วย
ระบบการสืบอำนาจของจักรวรรดิมีปัญหามากขึ้น เนื่องจากผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้ได้ต้องมีกองทหารสนับสนุนเพื่อต่อสู้แย่งอำนาจ จักรพรรดิต้องเอาใจแม่ทัพหรือนายกองต่างๆ เป็นเหตุให้กองทัพเข้ามามีบทบาทในการแต่งตั้งและการปลดจักรพรรดิ การแย่งชิงอำนาจที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ทำให้ระบบการบริหารอ่อนแอลง โรมไม่สามารถควบคุมดินแดนอันกว้างใหญ่ได้มีอย่างมีประสิทธิภาพ จักรพรรดิไอโอคลีเชียนทรงแก้ไขปัญหาโดยการแบ่งจักรวรรดิออกเป็น 2 ภาคคือ โรมตะวันออกได้แก่ดินแดนกรีกโบราณ และโรมันตะวันตกได้แก่คาบสมุทรอิตาลีและดินแดนใกล้เคียง ทรงแต่งตั้งจักรพรรดิผู้ช่วย (ออกุสตุส) ให้ปกครองโรมันตะวันตก ส่วนพระองค์ปกครองทางตะวันออก
ค.ศ. 313 จักรพรรดิ คอนสแตนตินทรงรวมจักรวรรดิเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกและทรงสถาปนาเมืองไบแซนติอุนซึ่งอยู่ทางโรมันตะวันออกเป็นเมืองหลวง แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงใหม่เป็น "คอนสแตนติโนเปิล" แต่เมื่อสิ้นราชกาลจักรพรรดิองค์ต่อมาทรงไม่สามารถรักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของจักรวรรดิไว้ได้ จักรวรรดิจึงแบ่งเป็น 2 ภาคอีกหนึ่ง มีจักรพรรดิ 2 องค์ องค์หนึ่งปกครองโรมันตะวันตกมีเมืองหลวงที่กรุงโรม ส่วนอีกองค์ปกครองโรมมันตะวันตก มีกรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองหลวง นอกจากปัญหาทางการเมืองการปกครองแล้ว จักรวรรดิโรมมันยังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย ปัญหาทางเศรษฐกิจเป็นผลมาจากการที่รัฐต้องเมรายจ่ายสำหรับการบำรุงกองทัพ การยกเลิกนโยบายการล่าอาณานิคมทำให้โรมขาดรายได้เป็นจำนวนมาก ประกอบกับการเกษตรและอุตสาหกรรมของโรมันไม่ได้รับการพัฒนาให้เติบโตจนสามารถ เลี้ยงพลเมืองได้ พ่อค้าถูกเก็บภาษีสูงจนไม่สามารถลงทุนกิจการใหม่ๆ ส่วนชาวนายากจนจนต้องขายที่ดินแก่เจ้าที่ดินใหญ่ บางครั้งต้องขายตัวเป็นทาสที่ดิน
ในทางสังคม ความอดอยากและการเกิดกาฬโรคครั้งใหญ่ทำให้จำนวนประชาการลดลงมาก ช่วงปลายจักรวรรดิที่วัฒนธรรมที่รุ่งเรืองก็ตกต่ำลง เช่น การแสดงละครที่โหดเหี้ยม ไร้ศีลธรรม ประชาชนหันไปนับถือศาสนาต่างๆ ที่เผยเพร่มาจากคะวันออกทำให้ขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางความคิดความ เชื่อในจักรวรรดิ
จักรวรรดิ โรมันต้องเผชิญกับการรุกรานจากภายนอก โดยเฉพาะการโจมตีจากชนเผ่าเยอรมันทางโรมันตะวันตก ส่วนโรมันตะวันออกเปอร์เซอร์มีอำนาจมากขึ้นและยกทัพมารุกรานบ่อยๆ ความอ่อนแอที่เกิดขึ้นทำให้จักรวรรดิไม่สามารถรักษาอำนาจได้ทั้งหมด ดินแดนต่างๆ เริ่มแยกตัวเป็นอิสระ และจักรวรรดิยังสูยเสียดินแดนแก่ชาวเผ่าเยอรมันซึ่งเข้าโจมตีอย่างรุนแรงมาก ในคริสต์ศตวรรษที่ 3 จน ค.ศ. 476 จักรวรรดิโรมันตะวันตกถล่มสลายงเมื่อโอโดเอเซอร์ (Odoacer) แม่ทัพของชนเผ่าเยอรมันบุกเข้ายึดกรุงโรมแลพปลดจักรพรรดิโรมิวลุส ออกุสตุส (Romulus Augustus) ออกจากตำแหน่ง
<< สมัยสาธารณรัฐ สมัยจักรวรรดิ กฏหมายโรมัน