พิธี “ร่อนกระด้ง”
คนไทยในชนบทสมัยโบราณจะต้องทำพิธี “ตกฟาก” ให้กับเด็กที่เกิดใหม่ทุกคน คือ เมื่อเด็กออกจากครรภ์มารดาจะตกใส่พื้นบ้านที่เรียกว่า “ฟาก” ซึ่งทำด้วยไม้ไผ่สับให้แตกแล้วแผ่เรียงกันออกเป็นพื้นเรือนเครื่องผูกหรือเรือนไม้ไผ่ ดังนั้นเมื้อทารกแรกเกิดมาแล้วตกลงบนฟากหรือพื้นไม้ไผ่คนโบราณจึงเรียกเวลาที่เด็กเกิดว่า “ตกฟาก” นั่นเอง แม้ในปัจจุบันพื้นบ้านส่วนใหญ่ในเมืองหรือแม้แต่ในชนบทที่เจริญแล้วจะไม่มีพื้นบ้านที่ทำจากไม้ไผ่หรือฟากแล้ว ยังคงเรียกเวลาที่เด็กเกิดกันว่า “ตกฟาก” อยู่เช่นเคย หลังจากคลอดแล้ว “หมอตำแย” จะทำพิธี “ร่อนกระด้ง”
หลังจากอาบน้ำทำความสะอาดให้เด็กแรกเกิดที่ผ่านการ “ตัดสายสะดือ”ด้วยการใช้ “ริ้วไม้ไผ่”ใช้แทนมีดที่เป็นโลหะเพราะอาจทำให้เด็กเกิดบาดทะยักจากการใช้มีดโลหะได้ ภูมิปัญญาชาวบ้านในสมัยโบราณจึงนิยมใช้ “ริ้วไม้ไผ่”ที่มีความคมเช่นเดียวกับมีดโลหะมาตัดสายสะดือให้เด็กแรกเกิดแทนนั่นเอง หมอตำแยจะอุ้มเด็กนอนลงบนหลังกระด้งที่มีลักษณะนูนและนุ่มยืดหยุ่นได้ดี จากนั้นหมอตำแยจะยกกระด้งขึ้นพอเป็นพิธีแล้ววางกระแทกลงเบาๆให้เด็กตกใจแล้วร้องไห้ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของคนสมัยโบราณที่ทำเพื่อให้เด็กเกิดความ คุ้นเคยกับการอุ้มของพ่อแม่เด็กนั่นเอง นอกจากการวางเด็กลงบนกระด้งแล้วคนโบราณยังนำเอาแหที่ใช้ในการหาปลามาโยงคลุมกระด้งที่เด็กนอนอยู่อีกด้วย แต่โดยภูมิปัญญาดังกล่าวแล้ว คนในสมัยโบราณต้องการให้เด็กคุ้นเคยกับการใช้สายตามองดูสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ใกล้ๆตัวมากกว่า โดยมีความเชื่อว่าร่างแหจะป้องกันภูตผีปีศาจไม่ให้เข้ามาทำร้ายเด็กเกิดใหม่ได้ เป็นการฝึกให้เด็กสนใจในสิ่งที่มองเห็นรอบตัวและฝึกการใช้สายตานั่นเอง