เรียนรู้กับทัศนศิลป์

user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:708ac0eed2da12d56a48986a163d22f3' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '\n\nความหมายของศิลปะและทัศน์ศิลป์ ศิลปะมีความหมายกว้างขวางและยากที่จะนิยามหรือกำหนดไว้ตายตัวเนื่องจากมีลักษณะการแสดงออกที่เป็นอิสระ \n \nสามารถที่จะสร้างสรรค์และพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด \nแต่ก็พอจะรวบรวมความหมายที่นักปราชญ์หรือผู้รู้ได้เสนอ \nความคิดเห็นไว้ ดังนี้\n อริสโตเติล นักปราชญ์ชาวกรีก กล่าวว่า “ศิลปะ คือสิ่งที่มนุษย์ถ่ายทอดจากธรรมชาติ” \n ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ให้ความหมายของศิลปะว่า “งานอันเป็นความพากเพียรของมนุษย์ \n \nซึ่งต้องใช้ความพยายามด้วยมือและความคิด”\n สรุปได้ว่า ศิลปะ \nเป็นผลงานการสร้างสรรค์ของมนุษย์ในทุกๆ ด้าน ทั้งการกระทำ การพูด การเขียน และ \nเกิดผลในทาง \nสร้างสรรค์ที่ดีงามเหมาะสมกับกาลเทศะ และมนุษย์ทุกคนก็มีความสามารถในทางศิลปะ \nต้องเกี่ยวข้องและต้องนำศิลปะ \nไปใช้กับชีวิตประจำวันอยู่ตลอดเวลาทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยผู้สร้างงานศิลปะเรียกว่า ศิลปิน \n\n<table border=\"1\" width=\"634\" height=\"86\">\n<tbody>\n<tr>\n<td><img src=\"/files/u48387/01.jpg\" width=\"326\" height=\"166\" /></td>\n<td><img src=\"/files/u48387/02.jpg\" width=\"231\" height=\"210\" /></td>\n</tr>\n<tr>\n<td align=\"center\">\nอริสโตเติล \n นักปราชญ์ชาวกรีก \n </td>\n<td align=\"center\">\nศาสตราจารย์ศิลป์ \n พีระศรี \n </td>\n</tr>\n</tbody>\n</table>\n\n\n\n \n\n\nประเภทของทัศนศิลป์ประเภทของศิลปะสามารถจำแนกออกได้ 4 ประเภท \nคือ \nจิตรกรรม \n(Fine \nArt)\n จิตรกรรม เป็นงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการวาด \nระบายสี และการจัดองค์ประกอบความงามอื่น เพื่อให้เกิดภาพ 2 มิติ \nไม่มีความลึกหรือนูนหนา ผู้สร้างสรรค์งานจิตรกรรม เรียกว่า จิตรกร \n พจนานุกรม อธิบายว่า \nเป็นการสร้างงานทัศนศิลป์บนพื้นระนาบรองรับ ด้วยการลาก ป้าย ขีด \nหรือขูดวัสดุลงบนพื้นระนาบ \nซึ่งจำแนกได้ตามลักษณะวัสดุอุปกรณ์ในการสร้างสรรค์ได้เป็น 2 ประเภท คือ ภาพวาด และ ภาพเขียน\n\n\n-จิตรกรรมภาพวาด (Drawing) จิตรกรรมภาพวาด \nเรียกเป็นศัพท์ทัศนศิลป์ภาษไทยได้หลายคำ คือ ภาพวาดเขียนภาพวาดเส้น \nดังตัวอย่าง\n\n<div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"/files/u48387/03.jpg\" width=\"566\" height=\"300\" />\n</div>\n\n \n\n\nภาพเขียน (Painting) ภาพเขียนเป็นการสร้างงาน 2 \nมิติบนพื้นระนาบด้วยสีหลายสี เช่น \n 2.1 <a href=\"http://artmenh.multiply.com/reviews/item/3\">การเขียนภาพสีน้ำ</a> (Colour \nPainting) \n\n\n\n<img src=\"/library/teachershow/bangkok/pimolnut_v/art/picture/20080506035905.jpg\" width=\"291\" height=\"200\" /> \n 2.2 <a href=\"http://www.thaiartstudio.com/index.php/art-school/73-acrylic\">การเขียนภาพสีอะคริลิก</a> \n(Acrylic \nPainting) \n\n\n\n<img src=\"/files/u32087/t6.jpg\" width=\"487\" height=\"283\" /> \n 2.3 <a href=\"http://gotoknow.org/blog/drawing-bysoftmail/83345\">การเขียนภาพสีน้ำมัน</a> \n(Oil \nPainting)\n\n\n<img src=\"http://www.pamame.com/magazine/wp-content/uploads/2008/10/art-seminar-oct-51.jpeg\" width=\"433\" height=\"479\" />\n\n\n\n\n\nประติมากรรม (Sculpture) \nประติมากรรมเป็นงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการปั้น แกะสลัก หล่อ และการจัดองค์ประกอบความงามอื่น \nลงบนสื่อต่างๆ \nเช่น ไม้ หิน โลหะ สัมฤทธิ์ \nฯลฯ เพื่อให้เกิดรูปทรง 3 มิติ มีความลึกหรือนูนหนา ประติกรรมเป็นแขนงหนึ่งของทัศนศิลป์ \nผู้ทำงานประติมากรรมเรียกว่า ประติมากร ส่วนงานประติมากรรมที่เกี่ยวกับศาสนามักสะกดให้แตกต่างออกไปว่า \nปฏิมากรรม \nผู้ที่สร้างงานปฏิมากรรม เรียกว่า ปฏิมากร\n\n\n<img src=\"http://idealanna.igetweb.com/article/art_60484.jpg\" width=\"450\" height=\"333\" />\n\n\nงานประติมากรรม แบ่งเป็น 3 ประเภท ตามมิติของกความลึก ได้แก่ \n 1. ประติมากรรมนูนต่ำ มีลักษณะเป็นเส้น เป็นร่อง \nหรือเป็นแอ่งลึกลงไปเพียงเล็กน้อย สามารถมองเห็นด้านหน้าได้ \nเพียงด้านเดียว เช่น เหรียญต่างๆ เป็นต้น \n\n\n \n<img src=\"http://www.o2blog.com/upload/bouyjr/upload-9rAqI59.jpg\" width=\"374\" height=\"298\" /> \n \n\n 2. ประติมากรรมนูนสูง \nมีลักษณะงานที่นูนสูงขึ้นมาจากพื้นผิวมากกว่าแบบนูนต่ำ อาจจะมองเห็นได้ชัดเจนเพียง \nด้านหน้า แต่บางชิ้นงานก็สามารถมองได้ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง เช่น ภาพปั้น ลวดลายแกะสลักบานประตูหรือหน้าต่าง เป็นต้น\n \n<img src=\"http://www.o2blog.com/upload/bouyjr/upload-sUehO49.jpg\" width=\"315\" height=\"324\" />\n\n\n3. ประติมากรรมลอยตัว \nเป็นงานปั้นที่มีสามารถมองเห็นได้รอบด้าน เช่น รูปปั้น อนุสาวรีย์ และพระพุทธรูป \nเป็นต้น \n\n\n<img src=\"/files/u27130/Rodin02.jpg\" width=\"409\" height=\"282\" />\n\n\n \n\n<div>\n<div align=\"center\">\nสถาปัตยกรรม (Architecture\n</div>\n\n</div>\n \n \nสถาปัตยกรรม คือ ศิลปะของการออกแบบโครงสร้าง การออกแบบอาคารและสิ่งก่อสร้าง \nการก่อสร้างอาคารและสิ่งก่อสร้าง \nตลอดจนการตกแต่งบริเวณและสิ่งแวดล้อมของอาคารสถานที่ให้มีความงาม \nประโยชน์การใช้สอย และความมั่นคงแข็งแรง\n ประเภทของสถาปัตยกรรม \n ถ้าเราพิจารณาสถาปัตยกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นทั้งในปัจจุบันและอดีต เราอาจแบ่งได้ 2 ประเภท \n\n\n1. ประเภทที่มนุษย์เข้าไปอยู่อาศัยไม่ได้ ได้แก่ เจดีย์สถูป อนุสาวรีย์ \nสถาปัตยกรรมประเภทนี้สร้างขึ้นเพื่อ \nสนองความต้องการด้านความเชื่อของมนุษย์ \nและเป็นสถาปัตยกรรมทางศาสนา \n\n\n2. ประเภทที่มนุษย์เข้ามาอยู่อาศัยได้ ได้แก่ อาคารบ้านเรือน อาคารเรียน หอประชุม เป็นต้น \nสถาปัตยกรรมเหล่านี้ \nนอกจากจะคำนึงถึงบริเวณว่างภายในที่เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์แล้วยังต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อม เช่น การจัดสวน \nการจัดวางผัง การแบ่งบริเวณ รวมถึงการตัดถนนหนทางด้วย\n\n\n\nภาพพิมพ์ (Printing) \nภาพพิมพ์ หมายถึง งานศิลปะที่สร้างขึ้นโดยผ่านกระบวนการพิมพ์จากแม่พิมพ์หลายชนิด \nเช่น ไม้ กระดาษ ยาง โลหะ \nเป็นต้น \nภาพที่เกิดขึ้นมีลักษณะคล้ายกับงานจิตรกรรมต่างกันที่งานภาพพิมพ์จะต้องสร้างสรรค์ผ่านแม่พิมพ์ \nการพิมพ์ภาพ \nมีหลายเทคนิค เช่น พิมพ์พื้นราบ \nพิมพ์กระจก พิมพ์ตะแกรงไหม พิมพ์กัดกรด พิมพ์ \nแกะไม้ พิมพ์ร่องลึก เป็นต้น\n\n\n<img src=\"http://watkadarin.com/E-(new)1/02studio2classrm/unit1/chapt1.1art%20intro/artintro%20img/44.JPG\" width=\"442\" height=\"304\" />\n\n\n \n\n\n\nภาพถ่าย (Photography)\n ภาพถ่าย \nเป็นการถ่ายภาพที่ต้องใช้เทคนิคแปลกไปจากการถ่ายภาพธรรมดา \nเป็นภาพที่ชมแล้วเกิดความคิด มีความเจริญ \nทางสติปัญญาและสร้างสรรค์ ไม่ใช่ภาพถ่ายอนาจารหรือภาพถ่ายทั่วไป\n\n\n<img src=\"http://i.kapook.com/ninn/n6-0310/020310_HDR-Photos_06.jpg\" width=\"324\" height=\"428\" />\n\n<div align=\"center\">\n</div>\n<div align=\"center\">\nสื่อผสม (Mixed Media) \n\n</div>\n \n \n สื่อผสม เป็นศิลปะทัศนศิลป์ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างงานจิตรกรรม \nประติมากรรม และภาพพิมพ์เข้าด้วยกัน \nซึ่งอาจจะมีเป็น 2 มิติ หรือ 3 มิติ \n\n<div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"http://mail.chiangmai.ac.th/~faxxo002/artlecturekade.jpg\" width=\"382\" height=\"266\" />\n</div>\n\n<div align=\"center\">\nประเภทของศิลปะ \n\n</div>\n \nประเภทของศิลปะสามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ \n\n<div align=\"center\">\n1. วิจิตรศิลป์ \n\n</div>\n \n \n วิจิตรศิลป์ หมายถึง \nศิลปะที่สนองความต้องการด้านอารมณ์และจิตใจเป็นสำคัญ แบ่งได้ 3 \nประเภทตามลักษณะการรับรู้ คือ \n1.1 ทัศนศิลป์ (Visual Art) เป็นงานศิลปะที่รับสัมผัสความงามได้ด้วยสายตา \nจากการ มองเห็น \nงานศิลปะ\nส่วนใหญ่ \nจะเป็นงานทัศนศิลป์ \nได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ภาพพิมพ์ ภาพถ่าย และสื่อผสม \n\n<div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"/files/u2724/pravs_-_amazing_1.jpg\" width=\"363\" height=\"330\" />\n</div>\n 2 โสตศิลป์ (Audio Art) เป็นงานศิลปะที่รับสัมผัสความงามได้ด้วยหู \nจากการฟังเสียง งานศิลปะ ที่จัดอยู่ในประเภท \nโสตศิลป์ ได้แก่ ดนตรี \nและ วรรณกรรม\n\n\n \n\n<div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"http://num24.files.wordpress.com/2008/02/6.jpg\" width=\"377\" height=\"333\" />\n</div>\n\n \n\n 1.3 โสตทัศนศิลป์ (Audiovisual Art) เป็นงานศิลปะที่รับสัมผัสความงามทางศิลปะได้ทั้งสองทาง คือ จากการ \nมองเห็นและจากการฟัง งานศิลปะประเภทนี้ ได้แก่ ศิลปะการแสดงนาฏศิลป์ การละคร และการภาพยนตร์\n\n\n \n\n\n \n\n<div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"http://lupelawrence.com/files/imagecache/Display/files/paintings/garden%20of%20eden%20copy.jpg\" width=\"513\" height=\"387\" />\n</div>\n\n \n\n\n\n\n<div align=\"center\">\n2. \nประยุกต์ศิลป์ (Applied Art) \n\n</div>\n\n \nประยุกต์ศิลป์ หมายถึง ศิลปะที่นำไปประยุกต์เข้ากับสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ \n \nเพื่อประโยชน์ใช้สอยเป็นสำคัญและมีคุณค่าทางความงามอยู่ด้วย ได้แก่ พาณิชย์ศิลป์ อุตสาหกรรมศิลป์ \nและมัณฑนศิลป์\n 2.1 \nพาณิชย์ศิลป์ (Commercial Art) เช่น การออกแบบเครื่องหมายการค้า การออกแบบสิ่งพิมพ์ \n การออกแบบโฆษณา การออกแบบฉลากสินค้า การออกแบบจัดแสดงสินค้า ฯลฯ ผู้สร้างสรรค์งาน เรียกว่า \n นักออกแบบ (Designer) \n\n\n\n \n\n<div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"http://e-com.pbtc.ac.th/5022010006/shop/photo/28.jpg\" width=\"530\" height=\"335\" />\n</div>\n\n\n \n\n 2.2 \nอุตสาหกรรมศิลป์ (Industrial Art) เช่น การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า เครื่องประดับ \n เครื่องแต่งกาย เครื่องอุปโภค บริโภคต่าง ๆ ตลอดจนถึงภาชนะบรรจุผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ด้วย ผู้สร้างสรรค์งาน \n เรียกว่า นักออกแบบ (Designer)\n\n\n \n\n<div align=\"center\">\n<img src=\"http://www.pixgang.com/webboard/attachment.php?attachmentid=6388&stc=1&d=1241222114\" width=\"311\" height=\"211\" />\n</div>\n<div align=\"center\">\n</div>\n<div align=\"center\">\n3 \nมัณฑนศิลป์ (Decorative Art) เช่น การจัดตกแต่งภายในบ้าน อาคาร สถานที่ต่าง ๆ \n การตกแต่งภายนอก การจัดสวน การจัดนิทรรศการ การจัดแสดงสินค้า การแต่งกาย การแต่งหน้า \n การตกแต่งร้านค้า เป็นต้น ผู้สร้างสรรค์งาน เรียนว่า มัณฑนากร (Decorator\n</div>\n<div align=\"center\">\n<div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"http://i196.photobucket.com/albums/aa72/nado3009/pot1.jpg\" width=\"313\" height=\"324\" />\n</div>\n\n</div>\n\nวัสดุ - อุปกรณ์ในการสร้างงาน \n\n1. ดินสอดำ (Lead Pencils) \n ดินสอดำมีหลายเกรด \nและแต่ละเกรดมีความดำต่างกัน มีตั้งแต่ระดับอ่อนมากจนถึงระดับเข้มมาก เช่น \n 1.1 H – 6H เป็นดินสอความเข้มระดับอ่อน เหมาะกับงานเขียนแบบ \n 1.2 HB เป็นดินสอที่เข้มปานกลาง \nเหมาะกับการเขียนทั่วไปและใช้ร่างภาพเพราะสามารถลบออกได้ง่าย \n 1.3 B – 6B และ EE มีสีดำเข้มเหมาะกับภาพที่ต้องการแสงเงา\n\n\n \n\n<div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"/files/u48387/107.jpg\" width=\"260\" height=\"178\" />\n</div>\n\n \n\n2. ถ่านชาร์โคล (Charcoal)\n ถ่านชาร์โคลมีลักษณะเป็นแท่งถ่าน \nให้ความนุ่มและน้ำหนักเข้ม เขียนได้หลายวิธีโดยจะใช้ลูบหรือปาดป้ายก็ได้ \nแต่มักลบเลือนง่ายไม่คงทนเมื่อสร้างสรรค์ผลงานเสร็จแล้วจะต้องพ่นน้ำยากันลอกด้วย \n\n\n<div style=\"text-align: center\">\n<img src=\"/files/u48387/108.jpg\" width=\"317\" height=\"164\" />\n</div>\n\n \n \n\n\n \n\n3. ยางลบ\n ยางลบควรใช้ยางลบอ่อนสำหรับลบรอยดินสอ \nโดยเน้นที่คุณภาพดีลบแล้วกระดาษสะอาดและไม่ทำให้เนื้อกระดาษเป็นขุย \nแต่หากคุณภาพไม่ดีอาจทำให้บริเวณที่ลบยิ่งสกปรกขึ้นได้\n\n. กระดาษ \n \n กระดาษมีทั้งแบบเนื้อละเอียดและเนื้อหยาบ \nหรือแบบเรียบและแบบหยาบ กระดาษแต่ละชนิดจะให้ผลในการวาดภาพต่างกัน \nโดยแบบเรียบเหมาะสำหรับใช้กับดินสอและสีไม้ \nส่วนแบบหยาบนิยมใช้กับสีที่มีน้ำเป็นส่วนผสมการเก็บรักษากระดาษ \nควรวางไว้บนพื้นระนาบเพื่อไม่ให้เกิดรอยยับ แลtรอยสกปรก รวมทั้งไม่ควรเก็บกระดาษด้วยการม้วนถ้าไม่จำเป็น \nเพราะจะทำให้กระดาษเสียรูปทรง \n\n5. จานสี \n จานสีมีหลายขนาดหลายแบบให้เลือก \nโดยทั่วไปจะมีสีขาวเพราะทำให้มองเห็นสีที่อยู่ในจานชัดเจน\n\n 6. พู่กัน \n พู่กัน \nมีทั้งชนิดกลมและชนิดแบนให้เลือกหลายขนาด พู่กันชนิดกลมจะมีขนแปรงอ่อนกว่าชนิดแบน \nซึ่งจะเหมาะกับการใช้ระบายสีน้ำ สีโปสเตอร์ ส่วนชนิดแบนมักใช้กับสีอะคริลิก \nและสีน้ำมัน การเก็บรักษา \nควรวางพู่กันให้ปลายพู่กันชี้ขึ้นหรือวางไว้ในกล่อง เพื่อไม่ให้ปลายพู่กันบิดงอ\n\n7. สี \nสี \nมีหลากหลายชนิด และแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติต่างกัน \nดังนี้\n\n7.1 สีเทียน \nเป็นสีฝุ่นผงละเอียด \nผสมกับไขมันสัตว์หรือขี้ผึ้ง แล้วนำมาอัดเป็นแท่ง \nสีเทียนมักไม่เกาะติดพื้นสามารถขูดสีออกได้และกันน้ำ\n\n7.2 สีชอล์ก เป็นสีฝุ่นผงละเอียดบริสุทธิ์นำมาอัดเป็นแท่ง\n\n7.3 สีไม้หรือดินสอสี เป็นสีผงละเอียดผสมกับขี้ผึ้งหรือไขสัตว์ \nนำมาอัดให้เป็นแท่งปัจจุบันมีการพัฒนาให้สามารถ \nละลายน้ำได้\n\n7.4 สีโปสเตอร์ เป็นสีชนิดสีฝุ่นที่ผสมกาวน้ำบรรจุเสร็จเป็นขวด \nมีลักษณะทึบแสง สีโปสเตอร์ผสมสีขาวให้มีน้ำหนัก \nอ่อนลง สามารถระบายสีทับกันได้ \nมักใช้ในการวาดภาพในงานออกแบบต่างๆ \n\n7.5 สีน้ำ สีน้ำเป็นสีโปร่งแสง \nการระบายสีน้ำจะใช้น้ำเป็นส่วนผสม และทำละลายให้เจือจาง \nการใช้สีน้ำไม่นิยมใช้สีขาวผสมเพื่อให้มีน้ำหนักอ่อนลง \nและไม่นิยมใช้สีดำผสมให้มีน้ำหนักเข้มขึ้น เพราะจะทำให้เกิดน้ำหนักมืดเกินไปและผู้ที่ใช้สีน้ำต้องมีความชำนาญสูง \nเพราะหากผิดพลาดแล้วจะแก้ไขยาก \n\n7.6 สีฝุ่นเป็นสีเริ่มแรกของมนุษย์ \nได้มาจากธรรมชาติ ดิน หิน แร่ธาตุ พืช สัตว์ นำมาทำให้ละเอียดเป็นผง \nปัจจุบันไม่ต้องผสมกาว การใช้งานเหมือนกับสีโปสเตอร์ \n\n7.7 สีอะคริลิกเป็นสีที่มีส่วนผสมของสารพลาสติก \nเวลาจะใช้นำมาผสมกับน้ำ เมื่อแห้งแล้ว \nจะมีคุณสมบัติกันน้ำได้ \nและเป็นสีที่ติดแน่นทนนาน \nและราคาค่อนข้างแพง \n\n7.8 สีน้ำมัน สีน้ำมันเป็นสีทึบแสง \nมักเขียนลงบนผ้าใบ มีความคงทนมากและกันน้ำ \nสีน้ำมันแห้งช้ามาก มีราคา \nสูงต่ำขึ้นอยู่กับคุณภาพ \nการใช้งานจะผสมด้วยน้ำมันลินสีดหรือน้ำมันสน \n\n8. ปากกา \n ปากกาที่ใช้วาดภาพมีหลายแบบ \nเช่น ปากกาปลายแหลม ปากกาลูกลื่น ปากกาหมึกซึม ปากกาเมจิก ปากกาสีน้ำ เป็นต้น \nซึ่งทั้งหมดให้ผลงานที่แตกต่างกัน\n\n9. กระดานรอง \n กระดานรองทำด้วยไม้อัดหรือวัสดุแผ่นบางๆ \nเพื่อให้มีน้ำหนักเบาสามารถนำติดตัวไปวาดภาพนอกสถานที่ได้ง่าย\n\n\n10. อุปกรณ์อื่นๆ \nเช่น \nฟองน้ำ ผ้า ถังน้ำ เทปกาว ทิชชู่ ขาหยั่ง ที่หนีบกระดาษ น้ำ และอื่นๆ\n\nจุด (Dot) \nจุด หมายถึง รอยหรือแต้มที่มีลักษณะกลมๆ \nปรากฏที่ผิวพื้น ไม่มีขนาด ความกว้าง ความยาว ความหนา \nเป็นสิ่งที่เล็กที่สุดและเป็นธาตุเริ่มแรกที่ทำให้เกิดธาตุอื่น ๆ ขึ้น \n\n\n\n\nเส้น (Line) \nเส้น คือ จุดหลาย ๆ จุดต่อกันเป็นสาย \nเป็นแถวแนวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเป็นทางยาวหรือจุดที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งด้วยแรงผลักดัน \nหรือรอยขูดขีดเขียนของวัตถุเป็นรอยยาว เส้นแบ่งเป็นลักษณะใหญ่ ๆ \n2 ลักษณะ ดังนี้ \n 1. เส้นตรง \n 2. เส้นโค้ง \nซึ่งเส้นแต่ละลักษณะจะมีความหมายในตัว เช่น\nเส้นตรง \n\n\n<div align=\"left\">\n 1. เส้นดิ่ง คือ \nเส้นตรงที่ตั้งฉากกับพื้นระดับให้ความรู้สึกมั่นคง แข็งแรง สง่า รุ่งเรือง สมดุล \nพุ่งขึ้น \n \n 2. เส้นนอน คือ \nเส้นตรงที่นอนราบไปกับพื้นระดับ ให้ความรู้สึกกว้างขวาง สงบเงียบ เยือกเย็น \nผ่อนคลาย \n \n 3. เส้นเฉียง คือ \nเส้นตรงเอนไม่ตั้งฉากกับพื้นระดับให้ความรู้สึกไม่มั่นคง เคลื่อนไหว แปรปรวน \nไม่สมบูรณ์ \n \n 4. เส้นฟันปลา คือ เส้นตรงหลายเส้นต่อกันสลับขึ้นลงระยะเท่ากัน \nให้ความรู้สึกรุนแรง กระแทก ตื่นเต้น อันตราย ขัดแย้ง \n \n 5. เส้นประ คือ \nเส้นตรงที่ขาดเป็นช่วง ๆ มีระยะเท่ากัน ให้ความรู้สึกต่อเนื่องขาดระยะใจหาย \nไม่แน่นอน \n</div>\n<div>\n\nเส้นโค้ง \n 1. เส้นโค้งลง คือ \nเส้นที่เป็นท้องกระทะคล้ายเชือกหย่อน ให้ความรู้สึกอ่อนโยน เคลื่อนไหวไม่แข็งแรง \n 2. เส้นโค้งขึ้น คือ \nเส้นที่โค้งเป็นหลังเต่าคล้ายคันธนูให้ความรู้สึกแข็งแรง เชื่อมั่น เคลื่อนไหว \n 3. เส้นคด คือ \nเส้นโค้งขึ้นโค้งลงต่อเนื่องกันคล้ายคลื่นในทะเล ให้ความรู้สึกเลื่อนไหล ต่อเนื่อง \nอ่อนช้อยนุ่มนวล \n 4. เส้นก้นหอย คือ \nเส้นโค้งต่อเนื่องกันวนเข้าเล็กลงเป็นจุดคล้ายก้นหอย ให้ความรู้สึกอึดอัด \nเคลื่อนไหวคลี่คลาย \n 5. เส้นโค้งอิสระ คือ \nเส้นโค้งต่อเนื่องกันไปไม่มีทิศทาง คล้ายเชือกพันกัน ให้ความรู้สึกวุ่นวาย \nยุ่งเหยิง ไม่เป็นระเบียบ \n\n\n\n\nรูปร่างและรูปทรง \n(Shape and Form) \nรูปร่าง (Shape) หมายถึง เส้นรอบนอกของวัตถุ คน สัตว์ สิ่งของ มีลักษณะเป็น 2 มิติ (กว้าง ยาว) \n รูปทรง (Form) หมายถึง โครงสร้างของรูปวัตถุ คน สัตว์ สิ่งของ มีลักษณะเป็น 3 มิติ (กว้างยาว ลึก) \n\n\n<div align=\"center\">\nรูปร่างและรูปทรง มี 3 ลักษณะ ดังนี้ \n\n</div>\n \n \n 1. รูปร่างรูปทรงเรขาคณิต หมายถึง รูปร่าง \nรูปทรงที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมีโครงสร้างที่แน่นอน เช่น วงกลม \n \n รูปสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม หรือรูปหลายเหลี่ยม เป็นต้น รูปเรขาคณิตเป็นพื้นฐานในการสร้างงานศิลปะได้หลายรูปแบบ\n\n2. \nรูปร่างรูปทรงอิสระ หมายถึง รูปร่างที่ถูกดัดแปลงจากธรรมชาติหรือมนุษย์คิดสร้างขึ้น \nไม่มีโครงสร้างที่แน่นอนและยากที่จะคำนวนหาพื้นที่ ดังภาพตัวอย่าง\n\nสี (Colour) \nสี หมายถึง ลักษณะของแสงสว่าง ปรากฏแก่ตาให้เห็นเป็นสีขาว ดำ แดง เขียว น้ำเงิน เหลือง เป็นต้น ถ้าไม่มีแสงจะมองไม่เห็นสี ซึ่งสีมี 2 ชนิด ดังนี้ \n 1. สีที่เป็นวัตถุ (Pigment) \nสีที่เป็นรงควัตถุสีผงหรือธาตุในร่างกายที่ทำให้คนมีสีต่าง ๆ \nสีที่เกิดจากวัตถุธาตุ เช่น จากพืช สัตว์ แร่ธาตุ เป็นต้น \nซึ่งเป็นสีที่ใช้ในงานศิลปะ \n 2. สีที่เป็นแสง (Spectrum) สีที่เกิดจากการหักเหของแสง แสงส่องผ่านแท่งแก้ว แสงแดดส่องผ่านละอองน้ำในอากาศจะเกิดการหักเหของแสงเป็นสีรุ้ง \n7 สี \nได้แก่ สีแดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน คราม ม่วง\n\nวงจรสีธรรมชาติ \n วงจรสี เกิดจากการนำเอาแม่สีที่เป็นวัตถุมาผสมกันเป็นสีขั้นที่ 2 มี 12 สี \nคือ สีเหลือง เหลืองเขียว เขียว เขียวน้ำเงิน น้ำเงิน น้ำเงินม่วง ม่วง ม่วงแดง แดง แดงส้ม ส้ม เหลืองส้ม หรือเรียกว่า วงล้อของสี \n\n\n<div align=\"left\">\n แม่สีขั้นที่ 1 (Primary Colours) ได้แก่ สีเหลือง แดง น้ำเงิน ทั้ง 3 สีนี้ สามารถผสมเป็นสีขั้นที่ 2 ได้ \n \n สีขั้นที่ 2 (Secondary Colours) การนำเอาแม่สี 3 สี \nมาผสมกันทีละคู่ จะได้สีเพิ่มขึ้นอีก 3 สี รวมกับแม่สีเป็น 6 สี คือ \n \n \n สีส้ม เขียว ม่วง เรียงตามวงสี ดังนี้ สีเหลือง เขียว น้ำเงิน ม่วง แดง ส้ม \n \n สีขั้นที่ 3 (Tertiory \nColours) การนำเอาสีขั้นที่ 2 มาผสมกันทีละคู่ที่อยู่ติดกัน จะได้สีเพิ่มขึ้นอีก 6 สี รวมกับสีขั้นที่ 2 \n \n \nเป็น 12 สีคือ เหลือง เขียวเหลือง เขียว น้ำเงินเขียว น้ำเงิน ม่วงน้ำเงิน ม่วง ม่วงแดง แดง แดงส้ม ส้มเหลือง \n\n</div>\n\n \n\n\n \n\n\n\nสีอุ่น \n- สีเย็น (Warm Tone - Cool Tone) \n สีอุ่น - สีเย็น คือ \nการแบ่งวงจรสีออกเป็นสองซีก ซีกซ้ายกับซีกขวา \n 1. สีอุ่น ซีกซ้ายเริ่มจากสีเหลืองย้อนวนซ้ายไปทางสีเหลืองส้ม ส้ม แดง ม่วงแดง ม่วง \n 2. สีเย็น ซีกขวาเริ่มจากสีเหลือง เหลืองเขียว เขียว น้ำเงิน ม่วงน้ำเงิน ม่วง \n 3. สีกลาง \nคือ สีเหลืองกับสีม่วงซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งสีอุ่นและสีเย็น \n\n\n\nหลักการใช้สี \nสีในวงจรสีธรรมชาติ แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ สีตัดกันและสีกลมกลืนกันและแบ่งเป็น 2 ซีก คือ สีอุ่น สีเย็น \nการใช้สีตัดกันจะทำให้เกิดความขัดแย้งวุ่นวาย แต่ถ้าใช้สีกลมกลืนกันจะเกิดความน่าเบื่อ \nจืดชืดไป ถ้าใช้สีอุ่นมากไป \nทำให้บรรยากาศร้อน อบอ้าว ถ้าใช้สีวรรณะเย็นมากไปก็จะทำให้บรรยากาศเยือกเย็น จืดชืดว่างเปล่า เราจึงควรเลือกใช้สี \nให้พอเหมาะกับงานแต่ละอย่างตามจุดหมายที่วางไว้ การใช้สีสื่อความหมายต่าง ๆ \nทำได้ดังนี้ \n\n\nความหมายของสี\n\n\n\n\nสีแดง \n= ตื่นเต้น เร้าใจ อันตราย พลัง อำนาจ รัก สีส้ม = \nตื่นตัว ตื่นเต้น เร้าใจ สนุกสนาน \n\n<div align=\"left\">\n</div>\n\nสีเหลือง \n= สดใส ร่าเริง ฉลาด เปรี้ยว \nสีเขียวอ่อน = สดชื่น ร่าเริง เบิกบาน \nสีเขียวแก่ = สะอาด ปลอดภัย สดชื่น ธรรมชาติ ชรา \nสีน้ำเงิน = สุภาพ เชื่อมั่น หนักแน่น ถ่อมตัว ผู้ชาย \nสีฟ้า = ราบรื่น สว่าง วัยรุ่น ทันสมัย สีม่วง = ฟุ่มเฟือย ลึกลับ ขี้เหงา \nสีชมพู = ความรัก ผู้หญิง อ่อนหวาน นุ่มนวล หอม \nสีขาว = ความบริสุทธิ์ สะอาด ปลอดภัย เด็กทารก \nสีดำ = ทุกข์ ลึกลับ สืบสวน หนักแน่น \nสีเทา = สุภาพ ขรึม \nสีน้ำตาล = อนุรักษ์ โบราณ ธรรมชาติ \nรูปร่างและรูปทรง (Shape and Form) \nรูปร่าง (Shape) หมายถึง เส้นรอบนอกของวัตถุ คน สัตว์ สิ่งของ มีลักษณะเป็น 2 มิติ \n(กว้าง ยาว) \n รูปทรง (Form) หมายถึง โครงสร้างของรูปวัตถุ คน สัตว์ สิ่งของ มีลักษณะเป็น 3 มิติ (กว้าง ยาว ลึก) \n\n<div align=\"left\">\n</div>\n\n\n\nรูปร่างและรูปทรง\n\n\n \n(Shape and Form)รูปร่าง \n(Shape) หมายถึง เส้นรอบนอกของวัตถุ คน สัตว์ สิ่งของ มีลักษณะเป็น 2 มิติ \n(กว้าง ยาว) \n รูปทรง (Form) หมายถึง โครงสร้างของรูปวัตถุ คน สัตว์ สิ่งของ มีลักษณะเป็น 3 มิติ (กว้าง ยาว ลึก)รูปร่างและรูปทรง มี 3 ลักษณะ ดังนี้\n\n\n1. รูปร่างรูปทรงเรขาคณิต หมายถึง รูปร่าง รูปทรงที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมีโครงสร้างที่แน่นอน เช่น วงกลม \n \n รูปสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม \nหรือรูปหลายเหลี่ยม เป็นต้น รูปเรขาคณิตเป็นพื้นฐานในการสร้างงานศิลปะได้หลายรูปแบบ \n\n<img src=\"file:///C:/DOCUME%7E1/ADMINI%7E1/LOCALS%7E1/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image002.jpg\" alt=\"http://www.morvorclub.com/wbi/art1/images/4/shape2.jpg\" width=\"1\" height=\"1\" />\n\n\n\n2. \nรูปร่างรูปทรงอิสระ หมายถึง รูปร่างที่ถูกดัดแปลงจากธรรมชาติหรือมนุษย์คิดสร้างขึ้น \nไม่มีโครงสร้างที่แน่นอน \n \n และยากที่จะคำนวนหาพื้นที่ \nดังภาพตัวอย่าง \n\n\n\n\nน้ำหนัก \n(Value) \n\n\nน้ำหนัก หมายถึง \nความอ่อนแก่ของสี หรือแสงเงาที่นำมาใช้ในการเขียนภาพ น้ำหนักทำให้รูปทรงมีปริมาตร \n และให้ระยะแก่ภาพ \n\n\nแสงและเงา (Light & Shade)แสงและเงา เป็นองค์ประกอบ์ที่อยู่คู่กัน แสง \nเมื่อส่องกระทบกับวัตถุ จะทำให้เกิดเงา \n แสงและเงา เป็นตัวกำหนดระดับของค่าน้ำหนัก ความเข้มของเงาจะขึ้นอยู่กับความเข้มของแสง ในที่ที่มีแสงสว่างมาก \nเงาจะเข้มขึ้น และในที่ที่มีแสงสว่างน้อย เงาจะไม่ชัดเจน \nในที่ที่ไม่มีแสงสว่างจะไม่มีเงา และเงาจะอยู่ในทางตรงข้ามกับแสงเสมอ \n ค่าน้ำหนักของแสงและเงานที่เกิดบนวัตถุ สามารถจำแนกเป็นลักษณะที่ ต่าง ๆ ได้ดังนี้ \n\n\n<div align=\"left\">\n 1. บริเวณแสงสว่างจัด \n(Hi-light) \nเป็นบริเวณที่อยู่ใกล้แหล่งกำเนิดแสงมากที่สุด จะมีความสว่างมากที่สุด \n \n \n \nในวัตถุที่มีผิวมันวาวจะสะท้อนแหล่งกำเนิดแสงออกมาให้เห็นได้ชัด \n \n 2. บริเวณแสงสว่าง \n(Light) \nเป็นบริเวณที่ได้รับแสงสว่าง รองลงมาจากบริเวณแสงสว่างจัด เนื่องจากอยู่ห่างจาก \n \n \n \nแหล่งกำเนิดแสงออกมา และเริ่มมีค่าน้ำหนักอ่อน ๆ \n \n 3. บริเวณเงา (Shade) เป็นบริเวณที่ไม่ได้รับแสงสว่าง เป็นบริเวณที่ถูกบดบังจาก แสงสว่าง ซึ่งจะมีค่าน้ำหนัก \n \n \n \nเข้มมากขึ้นกว่าบริเวณแสงสว่าง \n \n 4. บริเวณเงาเข้มจัด (Hi-Shade) \nเป็นบริเวณที่อยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดแสงมากที่สุด หรือเป็นบริเวณที่ถูกบดบัง \n \n \n \nมากหลาย ๆ ชั้น จะมีค่าน้ำหนักที่เข้มมากไปจนถึงเข้มที่สุด \n \n 5. บริเวณเงาตกทอด เป็นบริเวณของพื้นหลังที่เงาของวัตถุทาบลงไป \nเป็นบริเวณเงาที่อยู่ ภายนอกวัตถุ และจะมี \n \n \n \nความเข้มของค่าน้ำหนักขึ้นอยู่กับ ความเข้มของเงา น้ำหนักของพื้น หลัง ทิศทางและระยะของเงา \n</div>\n<div align=\"left\">\n</div>\n\n\n\nประโยชน์ของน้ำหนักแสงเงา \n\n\n\n1. ทำให้รูปกับพื้นแตกต่างกันมองเห็นรูปได้ชัดเจน \n 2. \nทำให้ผลงานศิลปะเหมือนจริง เช่น รูปทรงกลมรูปหนาบาง \n 3. \nทำให้เกิดความรู้สึกนำสายตาดึงดูดความสนใจให้เคลื่อนไหวไปตามจังหวะที่ศิลปินกำหนด \nมีอารมณ์คล้อยตามผลงาน \n 4. ทำให้ภาพมีมิติ \nความกว้าง ความยาว ความลึก มีน้ำหนักสัมพันธ์กัน \n\n\n \n\n\nบริเวณว่าง (Space) \n\n\nบริเวณว่าง หรือ ช่องไฟ คือ \n 1. อากาศที่โอบล้อมรูปทรง \n 2. ระยะห่างระหว่างรูปทรง \n 3. บริเวณภายในรูปทรงที่มีลักษณะกลวงหรือทะลุเป็นช่องที่มีอากาศผ่านเข้าไปได้ \n \n 4. บริเวณว่างของภาพเขียนหรือภาพวาด \nที่มองดูเป็นช่องลึกเข้าไปในภาพ เรียกว่า บริเวณว่างลวงตา\n\n\n\n\nลักษณะผิว (Texture) \n\n\nลักษณะผิว หมายถึง \nลักษณะภายนอกของวัตถุที่มองเห็นและสัมผัสพื้นผิวได้ แสดงความรู้สึกหยาบ ละเอียด \nขรุขระ มัน ด้าน \nเป็นเส้น เป็นจุด จับดูแล้วสะดุดมือ หรือสัมผัสได้จากความรู้สึก \n ผิวเป็นทัศนธาตุที่นำมาประกอบในการสร้างงานศิลปะ \nลักษณะผิวที่แตกต่างกันจะทำให้เกิดความรู้สึกแตกต่างกัน เช่น \nสนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจ ราบเรียบ นุ่มนวล สวยงาม มีชีวิตชีวา \n ลักษณะผิวแบ่งเป็น \n2 แบบ \n 1. มองเห็นด้วยตา (Visual Texture) สามารถ มองเห็นได้ด้วยความรู้สึก เป็นผิวละเอียด \nผิวหยาบ ผิวขรุขระ เมื่อสัมผัสดูแล้วจะไม่มีความรู้สึกตอบสนองแต่อย่างใด \nเพราะพื้นผิวจะเรียบเป็นธรรมดา \n 2. สัมผัสได้ด้วยมือ (Tastile Texture) สามารถมองเห็นได้ด้วยตา หรือสัมผัสได้ด้วยมือ \nเช่น เปลือกไม้ ก้อนหิน \nผิวกระจก หนังสัตว์ เป็นต้น \n\n\nตัวอย่างลักษณะผิวแบบต่างๆ \n\n<div>\n\n</div>\n<div>\n\nองค์ประกอบศิลป์ \n\n\n \n\n\nองค์ประกอบศิลป์ หมายถึง การนำส่วนประกอบต่าง ๆ ของทัศนธาตุต่าง ๆ เช่น จุด \nเส้น รูปร่าง รูปทรง \nขนาด \nสัดส่วน แสงเงา สี \nช่องว่าง และลักษณะผิว มาสร้างสรรค์เป็นผลงาน \nการเรียนรู้องค์ประกอบศิลป์จึงเป็นพื้นฐานสำคัญ \nในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะทุกแขนงเพื่อให้เกิดความงามหรือสื่อความหมายทางศิลปะได้ โดยยึดหลักการจัดดังนี้ \n\n\nเอกภาพ \n(Unity) \n\n\nเอกภาพ หมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน \nความสอดคล้องกลมกลืน \nเป็นหน่วยเดียวกัน ด้วยการจัดองค์ประกอบ \nให้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเป็นกลุ่มก้อนไม่กระจัดกระจาย \nโดยการจัดระเบียบของรูปทรง \nจังหวะ เนื้อหาให้เกิดดุลยภาพ \nจะได้สื่ออารมณ์ \nความรู้สึก ความหมายได้ง่ายและรวดเร็ว \n \nการสร้างเอกภาพ \n \nเอกภาพ \nเกิดจากการนำเอารูปร่าง \nรูปทรง มาประสานสัมพันธ์กันให้เกิดเอกภาพได้หลายวิธี \nดังนี้ \n1. วิธีสัมผัส \nคือ การนำรูปร่าง รูปทรงมาสัมผัสกันในลักษณะต่าง ๆ \nให้เกิดเอกภาพขึ้น เช่น การสัมผัสด้านต่อด้าน \nการสัมผัสมุมต่อมุม \nการสัมผัสด้านต่อมุม \n \n2. วิธีทับซ้อน \nคือ การนำเอารูปร่าง \nรูปทรง มาวางทับซ้อนกันในลักษณะต่าง ๆ เช่น \nการทับซ้อนบางส่วน \n\n</div>\n<div>\n \n \nการทับซ้อนทุกส่วนหรือทับซ้อนบังกัน การทับซ้อนคาบเกี่ยว การทับซ้อนแบบลูกโซ่ การทับซ้อนประสานกันหลายชั้น \n 3. วิธีจัดกลุ่ม คือการนำเอารูปร่าง รูปทรง มาจัดกลุ่มกันในลักษณะต่าง ๆ เช่น นำเอารูปร่าง 2 \nรูปมาวางใกล้กัน \n \n จะเกิดแรงดึงดูดกัน ให้ความรู้สึกพยายาม\n</div>\n<div>\n\nความสมดุล \n(Balance)ความสมดุลหรือดุลยภาพ หมายถึง ความเท่ากันเสมอกัน \nมีน้ำหนัก หรือความกลมกลืนพอเหมาะพอดี โดยมีแกนสมมติ \nทำหน้าที่แบ่งภาพให้ซ้ายขวา บน ล่าง \nให้เท่ากัน การเท่ากันอาจไม่เท่ากันจริง ๆ ก็ได้ \nแต่จะเท่ากันในความรู้สึกตามที่ตามองเห็น \n ความสมดุลแบ่งเป็น \n2 ประเภท ดังนี้\n 1. ความสมดุล 2 ข้างเท่ากัน \n(Symmetrical Balance) หมายถึง \nการจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ของศิลปะ \nให้ทั้ง 2 ข้างแกนสมมติมีขนาด สัดส่วน \nและน้ำหนักเท่ากัน หรือมีรูปแบบเหมือนกันคล้ายกัน เช่น การวาดาภพที่ซ้ายชวา \nเหมือนกันมาก \n\n\n \n\n2. ความสมดุล 2 ข้างไม่เท่ากัน \n(Asymmetrical Balance) หมายถึง \nการจัดองค์ประกอบของศิลปะ ทั้ง 2 ข้างแกน\n\n \nสมมติมีขนาดสัดส่วนน้ำหนักไม่เท่ากัน \nไม่เหมือนกัน ไม่เสมอกัน แต่ดสมดุลกันในความรู้สึก\n\n\n\n\nจุดเด่น \n(Dominance) จุดเด่น หมายถึง จุดสนใจหรือส่วนประธานของงานศิลปะ จุดเด่นเป็นส่วนสำคัญที่เด่นที่สุดของงานศิลปะทุกประเภท \nจุดเด่นจะชัดเจนสะดุดตามีพลังดึงดูดความสนใจ \nและจุดรองลงไปช่วยเสริมให้จุดเด่นส่วนเป็นประธานดูเด่นน่าสนใจยิ่งขึ้น \nมีความสมบูรณ์มากขึ้น \nการวางตำแหน่งของจุดเด่นมักวางไว้ในระยะหน้า \nหรือระยะกลาง ไม่นิยมวางจุดเด่นไว้ที่กึ่งกลาง \nเพราะจะทำให้ความรู้สึกหยุดนิ่งทำให้งานศิลปะด้อยคุณค่า \nควรวางไว้ให้เยื่องไปซ้ายขวาบนล่าง \nใกล้กับจุดกึ่งกลาง \nการเน้นจุดเด่น \nเน้นได้ 4 วิธี ดังนี้ \n\n\n1. \nเน้นด้วยขนาดของรูปร่างหรือรูปทรง \nโดยนำเอารูปร่างหรือรูปทรงที่ใหญ่กว่าย่อมมีความเด่นชัดกว่าที่มีขนาดเล็ก \n 2. เน้นด้วยแสงเงา \nคือ การใช้น้ำหนักความเข้มของแสงเงาไล่ระยะแสงสว่างและเงามืด \nเช่น การเน้นแสงสว่าง \n ตรงที่ต้องจุดเด่น หรือ \nจุดเด่นเป็นส่วนที่มืดที่สุดท่ามกลางแสงสว่าง \n 3. การเน้นด้วยเส้น คือ การใช้เส้นแบบต่าง ๆ มาเน้นให้เกิดจุดเด่น \n \n 4. การเน้นด้วยวรรณะของสี \nคือ การใช้สีในวรรณะใดวรรณะหนึ่งมาช่วยเน้นให้เกิดจุดเด่น \n\n\n\n\n\nความกลมกลืน \n(Harmony) ความกลมกลืน \nหมายถึง เข้ากันได้ดีไม่ขัดแย้งกันขององค์ประกอบศิลป์ \nเช่น เส้น รูปร่าง รูปทรง ขนาด สัดส่วน สี \nพื้นผิว กลมกลืนจากสิ่งที่เหมือนกัน หรือคล้ายคลึงกัน \nเป็นต้น \n ความกลมกลืนมีหลายลักษะ \nเช่น \n 1. กลมกลืนด้วยขนาด คือ การนำเอารูปร่างหรือรูปทรงที่มีขนาดใกล้เคียงกันมาจัดวางรวมกัน \nใกล้กัน \n 2. กลมกลืนด้วยเส้น \nคือ \nการนำเอาเส้นชนิดใดชนิดหนึ่งที่มีขนาดใกล้เคียงกัน \nมาจัดองค์ประกอบให้มีความกลมกลืน \n 3. กลมกลืนด้วยสี \nคือ \nการเลือกใช้สีในวรรณะเดียวกัน \nหรือการใช้สีสีเดียว \nเรียกว่า สีเอกรงค์ เช่น \n \nสีน้ำเงินสีเดียวหรือสีน้ำตาลสีเดียวแล้วไล่น้ำหนักอ่อนแก \nหรือใช้สีวรรณะอุ่น สีวรรณะเย็น มาสร้างงาน \n 4. กลมกลืนด้วยลักษณะผิว \nคือ \nการนำเอาลักษณะผิวที่เหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน \nมาจัดเป็นองค์ประกอบ \nเช่น \nผิวมัน ผิวละเอียด ผิวเนียน มาจัดทำให้มีความกลมกลืนกัน \n\n\n\n\n\nความขัดแย้ง \n(Contrast)ความขัดแย้ง หมายถึง ความไม่ลงรอยกัน เข้ากันไม่ได้ ไม่ประสานสัมพันธ์กันขององค์ประกอบศิลป์ \n \nลักษณะความขัดแย้ง มีดังนี้ \n 1. ความขัดแย้งด้วยรูปร่างหรือรูปทรง เช่น รูปเหลี่ยมกับรูปกลม เป็นต้น \n 2. ความขัดแย้งด้วยขนาด เช่น รูปทรงขนาดใหญ่ขัดแย้งกับรูปทรงที่มีขนาดเล็กมาก เป็นต้น \n 3. ความขัดแย้งด้วยเส้น เช่น เส้นแนวนอนขัดแย้งกับเส้นแนวตั้ง เส้นตรงขัดแย้งกับเส้นตัด เส้นโค้งขัดแย้งกับ \n \n \nเส้นฟันปลา เป็นต้น \n 4. ความขัดแย้งด้วยลักษณะผิว เช่น ลักษณะผิวที่ขรุขระย่อมขัดแย้งกับลักษณะผิวที่เรียบ ลักษณะผิวหยาบ \n \n \nขัดแย้งกับผิวละเอียด \n 5. ความขัดแย้งด้วยสี เช่น ขัดแย้งด้วยสีตรงกันข้าม ขัดแย้งด้วยความเข้มของสี เป็นต้น \n \n ศิลปินจะต้องนำเอาความขัดแย้งขององค์ประกอบมาจัดให้เกิดความกลมกลืน งานศิลปะจึงมีคุณค่าความงาม โดยใช้ \nอัตราส่วน 80: \n20 ให้กลมกลืน 80 ส่วน ขัดแย้ง 20 ส่วน \nซึ่งการให้มีความขัดแย้งอยู่บ้างจะทำให้ผลงานน่าสนใจมากขึ้น \nถ้าไม่มีความขัดแย้งเลยจะทำให้จืดชืด เรียบ ไม่ดึงดูดความสนใจ \n\n\n\n\n คุณค่าของงานทัศนศิลป์มีคนเป็นจำนวนมากยังไม่เข้าใจคุณค่าของงานทัศนศิลป์ \nคิดว่าทัศนศิลป์คือสิ่งที่เกินความจำเป็นในการดำรงชีวิตอยู่ \nจริงอยู่ทัศนศิลป์มิใช่ปัจจัย 4 \nแต่ก็ให้ประโยชน์และมีคุณค่าต่อชีวิตมนุษย์ในด้านจิตใจและอารมณ์ไม่มากก็น้อย \n \nการที่มนุษย์ผู้นั้นจะรู้คุณค่าของงานทัศนศิลป์ได้นั้น \nต้องเกิดความเข้าใจและเกิดความชื่นชม ศรัทธาเสียก่อน \nจึงจะรู้คุณค่าของงานทัศนศิลป์ได้ดี ดังนั้น \nจึงจำเป็นต้องเรียนรู้คุณค่าของงานทัศนศิลป์ โดยผลงานทัศนศิลป์สามารถ \nแบ่งคุณค่าได้เป็น 2 คุณค่าใหญ่ๆ คือ \n\n\nคุณค่าทางความงามความประณีตความละเอียดมีระเบียบ น่าทึ่ง มโหฬาร \nประหลาด แปลกหูแปลกตา และเป็นสิ่งที่มีคุณงามความดีหรือดีเลิศ \nทำให้ผู้พบเห็นเกิดความประทับใจไปอีกนาน \nสิ่งเหล่านี้เรียกรวมกันว่าคุณค่าทางความงาม \n \n ความงามที่มีอยู่ในงานทัศนศิลป์ \nเกิดจากการประสานกันของส่วนประกอบต่างๆ ของความงามเช่น จุด เส้น รูปร่าง รูปทรง \nสี แสงเงา พื้นผิว ความกลมกลืน และการจัดภาพ เป็นต้น \nโดยผู้สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์จะแสดงออกตามความรู้สึก \nในแต่ละเหตุการณ์แต่ละสังคม เพราะความงามของแต่ละสังคมย่อมมีความแตกต่างกัน \nดังนั้นถ้าตั้งใจมองงานทัศนศิลป์ \nทั้ง 3 แขนง อย่างจริงจังโดยสังเกตพิจารณาวิเคราะห์ทุกมุม \nจะเห็นคุณค่าหรือเสน่ห์ในตัวเอง \n\n\n\n\nคุณค่าทางเรื่องราว\n\n\nผลงานทัศนศิลป์สามารถบอกเล่าเหตุการณ์ \nเรื่องราว ความเชื่อ และรสนิยมของมนุษย์ในสังคมแต่ละสมัยทั้งทางตรงและ \nทางอ้อม ดังนั้น การมองคุณค่าในแต่ละสมัยจึงมีความแตกต่างกันออกไป \nคุณค่าทางเรื่องราวที่นำมาสร้างสรรค์ในงานทัศนศิลป์ \nมีดังนี้ \n\n<div>\n1. \nคุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ \n \n เป็นเรื่องราวที่นำเสนอเหตุการณ์สำคัญของคนแต่ละเชื้อชาติที่น่าสนใจ \nซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของอดีต \n อาจเป็นเรื่องของการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ \nการเรียกร้องสิทธิต่างๆ \nและพงศาวดารในแต่ละสมัย \n \n เรื่องราวที่นำมาถ่ายทอดสามารถปลุกเร้าอารมณ์ \nความรู้สึก ให้เกิดการกระตุ้นเตือน \nและคล้อยตามถึงความรักชาติ \n รักถิ่นตนเสียสละในด้านต่าง \nๆ เช่น \nอนุสาวรีย์ และจิตรกรรมฝา\n</div>\n<div>\n\n2. \nคุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อในสิ่งเร้นลับ \n\n\n \nมนุษย์ไม่ว่าชาติใดย่อมมีความกลัวด้วยกันทั้งสิ้น \nเมื่อมนุษย์เกิดความกลัวมนุษย์จะหาสิ่งที่มาคลี่คลายดับความกลัว \n ให้เบาบางลง \nเช่น ความเชื่อในสิ่งเร้นลับ เทพเจ้า \nพระเจ้า นรกสวรรค์ ภูตผี ปีศาจ ไสยศสตร์ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ \n หรือวิญญาณ \nก่อเกิดเทวรูป รูปปั้น \nและอาคารประกอบพิธีกรรมต่างๆ เป็นต้น \n\n</div>\n<div>\n3. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา วัฒนธรรมและประเพณี \n มนุษย์ทุกชนย่อมมีศาสนาวัฒนธรรมและประเพณีของตนเอง \nและด้วยความรักความศรัทธา \nทำให้เกิดพลังและ \n แรงบันดาลใจอันมหาศาลที่จะถ่ายทอดความเชื่อ \nความศรัทธาให้ผู้อื่นได้รับรู้ เรื่องราวที่เกี่ยวกับศาสนาและวัฒนธรรม \nจึงถูกสะท้อนผ่านจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ \nออกมาทางรูปแบบงานทัศนศิลป์ในหลากหลายประเภทตลอดทุกยุค \n ทุกสมัยเปรียบเสมือนภาพจำลองเหตุการณ์ \nเช่น ภาพจิตรกรรม\n</div>\n<div>\n\n4. คุณค่าเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง \n \n เช่น การสร้างประติมากรรมอนุสาวรีย์บุคคลสำคัญ ๆ \nเพื่อเป็นอนุสรณ์แสดงว่าบุคคลผู้นั้นเป็นผู้มีความสามารถ \n ในการเมืองการปกครอง \n\n5. คุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม \n คุณค่าของเรื่องราวลักษณะนี้เป็นการนำเสนอ \nในเรื่องของความงามของธรรมชาติ \nสิ่งแวดล้อม และ\nการพึ่งพาอาศัยกัน ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม \nพร้อมทั้งเสนอแง่คิดว่าทำไมมนุษย์จึงทำลายธรรมชาติกับสิ่งแวดล้อม \nและทำไมเราต้องรณรงค์ต่อต้านการทำลายธรรมชาติ \nสิ่งแวดล้อม สมควรที่จะอนุรักษ์ให้อยู่คู่มนุษย์สืบไป \nรูปแบบเรื่องราว \nได้แก่ การปลูกป่า \nมลพิษจากโรงงาน \nน้ำเน่าเสีย ความงามและการทำลายธรรมชาติกับสิ่งแวดล้อม \nเป็นต้น \n</div>\n\n\n\n6. \nคุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับวรรณคดี \n เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวจากหนังสือ \nนิทานพื้นบ้าน สำนวน คำพังเพย สุภาษิต ตำนาน พงศวดาร ที่สามารถบรรยาย \n เนื้อหาเรื่องราว \nให้ผู้ดูได้รู้อย่างชัดเจน โดยแสดงเป็นภาพเล่าเรื่อง เช่น ภาพจิตรกรรมไทย สังข์ทอง \nและรามเกียรติ์ เป็นต้น\n\n\n\n\n7. \nคุณค่าเรื่องราวเกี่ยวกับความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี \n \nเป็นการนำเสนอเรื่องของความเจริญก้าวหน้าในด้านวิทยาการต่างๆ \nที่นำพาให้ประเทศนั้นๆ เจริญรุ่งเรือง คุณค่าของ \n เรื่องราวประเภทนี้สามารถโน้มน้าวให้ผู้ชมเห็นความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย \nเช่น เรื่องราวเกี่ยวกับ \n อุตสาหกรรม \nยานอวกาศ วงการแพทย์ เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ และการสื่อสาร เป็นต้น \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n</div>\n\n \n\n\n \n \n \n\n\n<div align=\"left\">\n</div>\n\n \n \n\n<img src=\"file:///C:/DOCUME%7E1/ADMINI%7E1/LOCALS%7E1/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image002.gif\" alt=\"http://play.kapook.com/files/play/dookdik/10/47983_1.gif\" width=\"1\" height=\"1\" />\n\n</div>\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n\n\n\n\n\n\n \n\n\n \n\n\n \n\n', created = 1729240668, expire = 1729327068, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:708ac0eed2da12d56a48986a163d22f3' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:3a5ea811eae0982e4e3adb96cc8c9617' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '\n<img src=\"/library/teachershow/bangkok/pimolnut_v/art/picture/20080506035905.jpg\" width=\"291\" height=\"200\" /> \n 2.2 <a href=\"http://www.thaiartstudio.com/index.php/art-school/73-acrylic\">การเขียนภาพสีอะคริลิก</a> \n(Acrylic \nPainting) \n\n\n', created = 1729240669, expire = 1729327069, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:3a5ea811eae0982e4e3adb96cc8c9617' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

เมื่อ อาทิตย์, 30/01/2011 - 21:56 | แก้ไขล่าสุด อาทิตย์, 30/01/2011 - 21:56| โดย

kad123

2.2 การเขียนภาพสีอะคริลิก
(Acrylic
Painting)

สร้างโดย:

kad123

แหล่งอ้างอิง:

www.google.co.th

ล็อกอิน เพื่อแสดงความคิดเห็น |

อ่าน 59349 ครั้ง |

Tags: ช่วงชั้น 3 (ม.1-3), ศิลปะ

Thaigoodview

ของขวัญ ของที่ระลึก Miori Jung Handmade

ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ
ไม่ถูกปิดเสียก่อน
ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558
มีผลบังคับใช้แล้ว
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

โรงเรียนเครือข่ายจัดกิจกรรม บล็อก(Blog) เครื่องมือสำหรับครูยุคใหม่ เพื่อใช้ในการจัดการเรียนรู้

เปลี่ยนชื่อผู้ใช้งาน/เพิ่มพื้นที่เก็บภาพ

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 543 คน กำลังออนไลน์

Copyright © 2000-2024 thaigoodview.com | ออกแบบและพัฒนาระบบโดย ไทยกู๊ดวิวดอทคอม
สงวนสิทธิ์ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-Noncommercial-Share Alike 3.0 Unported License.
ท่านสามารถนำเนื้อหาไปใช้ แสดง ดัดแปลง เผยแพร่ โดยต้องอ้างอิงที่มา ห้ามใช้เพื่อการค้า และต้องใช้สัญญาอนุญาตชนิดเดียวกันนี้ไปกับงานดัดแปลงต่อยอดที่เผยเผยแพร่ต่อ

เรียนรู้กับทัศนศิลป์

นำทาง

สมาชิกที่ออนไลน์