Present Simple Tense
Present Simple Tense (ปัจจุบันกาล) คือ tense ที่พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ไม่ได้ระบุว่าการกระทำนั้นๆ สมบูรณ์แล้วหรือยัง โดยมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้าง :Subject + verb…
(ประธาน) + (กริยาช่องที่ 1)
Subject คือ ประธานของประโยค โดยประธานอาจจะแตกต่างกันไปเช่น เป็นคำนาม (noun) เป็นคำสรรพนาม (pronoun) หรือเป็นประธานชนิดอื่นๆ โดยประธานจะมี 2 ชนิดคือ
- ประธานเอกพจน์
- ประธานพหูพจน์
Verb คือ กริยาของประธานหรืออาการที่ประธานแสดงออกมาโดยกริยาแท้จะมี 3 ช่อง เช่น
ช่อง 1 ช่อง 2 ช่อง 3
speak spoke spoken
write wrote write
want watched wanted
watch watched watched
Present Simple Tense ใช้กับกริยาช่องที่ 1 เท่านั้น โดยนำกริยาช่องที่ 1 ไปเติมลงในโครงสร้างต่อจากประธาน โดยมีข้อระวังอยู่นิดเดียวคือ
- ถ้าประธานเป็นเอกพจน์กริยาช่องที่ 1 ของ present simple tense ต้องเติม -s หรือ -es
- ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ กริยาเป็นช่องที่ 1 ไม่เติมอะไรเลย
เช่น
Ann works in the office.
แอน ทำงานในออฟฟิศ
(เติม -s ที่ work เพราะประธานเป็นเอกพจน์)
Sona goes to school every day.
โซน่าไปโรงเรียนทุกวัน
(Sona เป็นประธานเอกพจน์กริยาลงท้ายด้วย o เติม -es)
We go to Chiangmai every Sunday
พวกเราไปเชียงใหม่ทุกอาทิตย์
(go ไม่เติม -s, -es เพราะประธาน we เป็นพหูพจน์)
I want a breath of fresh air.
ผมต้องการสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์
(want ไม่เติม -s, -es เพราะประธานเป็น 1)
Miss Suchada often buys a new hat on Monday.
คุณสุชาดามักจะซื้อหมวกใบใหม่ในวันอาทิตย์
กริยาลงท้ายด้วย -o และหน้า -o เป็นพยัญชนะให้เติม -es เช่น
She goes to visit her friend in the hospital every day.
หล่อนไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาลทุกวัน
He usually does his homework in the evening.
เขามักจะทำงานบ้านในช่วงเย็น
ข้อยกเว้น : ถ้าหน้า -o เป็นสระ ( a, e, i, o, u ) ให้เติม -s ที่ท้ายกริยา เช่น
He always woos the daughter of the king.
เขามักจะตามจีบลูกสาวพระราชาอยู่เสมอ
หมายเหตุ : กฎการเติม -ed (เพื่อทำกริยาให้เป็นช่องที่ 2 - 3) ก็คล้ายกับกฎการเติม s, es ยกเว้นกริยาจำพวก irregular verbs
การใช้ Present Simple Tense
1) ใช้ present simple tense กับการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นปกติวิสัยหรือ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอ ซึ่งการใช้กับการกระทำ หรือเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ มักจะมีคำกริยาวิเศษณ์ บอกเวลา (adverbs of time) เหล่านี้อยู่ด้วยเสมอ คือ
My watch keeps good time.
นาฬิกาของผมเดินตรงมาเลย (เดินเป็นปกติวิสัย)
In summer John usually plays tennis once or twice a week.
ในช่วงหน้าร้อนจอห์นมักจะเล่นเทนนิส หนึ่งหรือ สองครั้งต่อสัปดาห์เสมอ
Ann doesn’t drink tea very often.
แอนไม่ได้ดื่มน้ำชาบ่อยนัก
Sally changes her job every year.
แชลลี่เปลี่ยนงานทำทุกปี
2) ใช้ present simple tense กับสิ่งที่เป็นจริงตลอดกาล หรือความจริงที่มีอยู่ทั่วไป เช่น
The sun rises in the east.
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
Honey is sweet.
น้ำผึ้งมีรสหวาน
The earth moves round the sun.
โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
3) ใช้ present simple tense กับแผนการ หรือตารางเวลาที่วางไว้ล่วงหน้าซึ่งสิ่งที่วาง แผนการไว้นั้นจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น
The concert this afternoon starts at 13.15.
คอนเสิร์ตบ่ายนี้จะเริ่มแสดงเวลา 13.15 น.
We go to New York next week.
พวกเราจะไปกรุงนิวยอร์คสัปดาห์หน้า
I sail for America next Saturday.
ผมจะแล่นเรือใบสู่อเมริกาในวันเสาร์หน้านี้
4) ใช้ present simple tense คู่กับ future simple tense ในประโยคเงื่อนไขที่มี คำเชื่อมที่ แสดงเวลาเป็นอนาคตนำหน้า present simple tense และคำแสดงเวลาในประโยคเงื่อนไขที่กล่าวถึงนี้ คือ
When เมื่อ as soon as เมื่อ
Before ก่อน if ถ้า
unless ถ้า...ไม่ whenever เมื่อไหร่ก็ตาม
until จนกระทั่ง till จนกระทั่ง
หมายเหตุ: ใช้ present simple tense กับ If Clause (หรือ unless) ที่เป็นประโยคเงื่อนไขชนิดที่ 1 เท่านั้น
โครงสร้าง : If + present simple, + ประโยคหลักมี will, shall…
We shall start our journey when our advisor arrives.
พวกเราจะเริ่มการเดินทางเมื่อที่ปรึกษาของพวกเรามาถึง
Unless you take your off the brake the car won’t move.
ถ้าคุณไม่ปล่อยเบรกรถก็จะไม่เคลื่อนที่
She takes the boys to school before she goes to work.
หล่อนพาเด็กๆ ไปโรงเรียนก่อนที่หล่อนจะไปทำงาน
I will be glad if it rains soon.
ผมจะดีใจมากถ้าฝนตก
หมายเหตุ: ถ้าประโยคเงื่อนไขนั้นมีโครงสร้างใกล้เคียงกันมาก tense ของทั้ง 2 ประโยค จะอยู่ในรูปที่เสมอกัน
5) ใช้ present simple tense เมื่อพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังสือ ในบทละครหรือในภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องที่ได้อ่าน ได้เห็นหรือได้ฟัง และใช้ present simple tense กับกริยา say เป็ยการอธิบายเนื้อหาของหนังสือ ที่ได้อ่านมา เช่น
In the film he plays the central character of Charles Smithson.
ในบทภาพยนตร์เขาได้เล่นบทสำคัญของ Charles Smithson
Keats says, “A thing of beauty is joy forever”.
คีธ กล่าวว่า สิ่งที่สวยงามคือความสนุกสนานชั่วนิรันดร์
6) ใช้ present simple tense กับกริยาที่แสดงความรู้สึก แสดงอารมณ์ หรือสภาวะทางจิตใจ ซึ่งโดยปกติแล้ว มักจะไม่นำไปใช้ใน present continuous tense (ดูเพิ่มเติมจาก present continuous tense) กริยาจำพวกนี้มี see, hear, love, like, hate เป็นต้น เช่น
I hear you are getting married.
ผมทราบมาว่าคุณจะเข้าพิธีแต่งงาน
I see there’s been trouble in Bangkok again.
ผมเข้าใจว่ามีปัญหาเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ อีกครั้ง
I like this girl very much.
ผมชอบหญิงสาวคนนี้มาก