• user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:0868c0511e1e8ad052c6b4b995671d75' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n<span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\">พุทธรักษา</span>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"> <img src=\"/files/u40049/7732_1_1.jpg\" width=\"300\" border=\"0\" height=\"250\" /></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><br />\n<span lang=\"TH\">ชื่อสามัญ</span>   Canna, Indian shoot <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><br />\n<span lang=\"TH\">ชื่อวิทยาศาสตร์</span>  Canna generalis <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><br />\n<span lang=\"TH\">ตระกูล</span>   CANNACEAE <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><br />\n<b><span lang=\"TH\">ลักษณะทั่วไป </span><o:p></o:p></b></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><br />\n<span lang=\"TH\">พุทธรักษาเป็นพรรณไม้ล้มลุก เนื้ออ่อนอวบน้ำ ลำต้นมีความสูงประมาณ </span>1-2 <span lang=\"TH\">เมตร มีลำต้นอยู่ใต้ดิน ขนาดลำต้นโตประมาณ </span>2-4 <span lang=\"TH\">เซนติเมตร ใบมีขนาดใหญ่สีเขียวโคนใบและปลายใบรีแหลม ขอบใบเรียบ กลางใบเป็นเส้นนูนเห็นได้ชัดโคนใบมีก้านใบซึ่งยาวเป็นกาบใบหุ้มลำต้นซ้อนสลับกัน ขนาดใบยาวประมาณ </span>25-35 <span lang=\"TH\">เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น ประกอบด้วยดอก</span> 8-10 <span lang=\"TH\">ดอก กลีบดอกบางนิ่ม ขนาดของดอกและสีสันแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์ </span><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\">การเป็นมงคล</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\">  <span lang=\"TH\">คนโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยคุ้มครอง ป้องกันอันตรายแก่บ้านและผู้อาศัยได้ เพราะพุทธรักษาเป็นพรรณไม้ที่คนโบราณเชื่อว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข คือเป็นไม้มงคลนั่นเอง ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูกเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นพุทธรักษาไว้ทางทิศตะวันตก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ทั่วไปทางดอกให้ปลูกในวันพุธการปลูก นิยมปลูก </span>2 <span lang=\"TH\"></span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><span lang=\"TH\">วิธี</span>1. <span lang=\"TH\">การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน ถ้าปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ควรใช้แปลงปลูกขนาด </span>2 x 10 <span lang=\"TH\">เมตร</span>  <span lang=\"TH\">โดยการยกร่องคล้ายแปลงปลูกผัก การเตรียมดินใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา</span> 10-20 <span lang=\"TH\">กิโลกรัม/แปลง ขนาดหลุมปลูก </span>30 x 30 <br />\n<span lang=\"TH\">แต่ถ้าปลูกเพื่อประดับบ้าน คนไทยโบราณนิยมปลูกไว้เป็นแนวรั้วบ้านหรือปลูกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ในพื้นที่ที่จำกัด ขนาดหลุม</span> <br />\n<span lang=\"TH\">ปลูก </span>30 x 30 x 30 <span lang=\"TH\">ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา </span>1 : 1 <span lang=\"TH\">ผสมดินปลูก </span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\">2. <span lang=\"TH\">การปลูกในกระถางเพื่อประดับอาคารบ้านเรือน ส่วนใหญ่ใช้เป็นดอกประดับภายนอก ควรใช้กระถางทรงสูง ขนาด </span>10-16 <span lang=\"TH\">นิ้ว</span>    <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"> <span lang=\"TH\">ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก:แกลบผุ:ดินร่วนอัตรา</span>1:1:1<span lang=\"TH\">ผสมดินปลูกและควรเปลี่ยนกระถาง</span>12<span lang=\"TH\">ครั้งต่อปีเพราะการขยายตัวของหน่อ</span><br />\n<span lang=\"TH\">แน่นเกินไป และเพื่อเปลี่ยนดินปลูกใหม่ แทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป </span><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"> <span lang=\"TH\">การดูแลรักษาแสง</span>      <span lang=\"TH\">ชอบแสงรำไร หรือแสงแดดจัดกลางแจ้ง </span><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\">น้ำ</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\">                             <span lang=\"TH\">ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ </span>3-5 <span lang=\"TH\">วัน/ ครั้ง </span><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\">ดิน</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\">                            <span lang=\"TH\">เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย </span><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\">ปุ๋ย</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\">                            <span lang=\"TH\">ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา </span>0.5-1 <span lang=\"TH\">กิโลกรัม/กอ ปีละประมาณ </span>4-6 <span lang=\"TH\">ครั้ง </span><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\">การขยายพันธ์</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\">          <span lang=\"TH\">นิยมขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ เพาะเมล็ด </span><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\">วิธีที่นิยมและได้ผลดี การแยกหน่อ </span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\">โรคและแมลง</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\">            <span lang=\"TH\">ไม่ค่อยมีโรคที่เป็นปัญหา ส่วนแมลงที่รบกวน ได้แก่ พวกเพลี้ยแป้งและเพลี้ยหอย ซึ่งจะพบมากหน้าร้อน </span><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\">การป้องกันกำจัด</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\">      <span lang=\"TH\">ฉีดพ่นด้วย มาลาไธออนหรือไดอาซินอนถ้าหากกอมีขนาดใหญ่และทึบอาจใช้ยาดูดซึม จำพวกไซกอน</span> <span lang=\"TH\">ละลายน้ำรด ตามอัตราที่ระบุไว้ในฉลากก็ได้ </span><o:p></o:p></span><o:p><span style=\"font-size: small; font-family: Calibri; color: #000000\"> </span></o:p>\n</p>\n<p>\n<a href=\"/node/83434/\"><img src=\"/files/u40049/HomeIcon1.jpg\" width=\"300\" height=\"300\" /></a>\n</p>\n<!--pagebreak--><!--pagebreak--><p align=\"center\">\nสาวน้อยประแป้ง\n</p>\n<p align=\"center\">\n<img src=\"/files/u40049/saonoiprapaeng.jpg\" width=\"383\" height=\"430\" />\n</p>\n<p>\nชื่อสามัญ                  Dumb Cane</p>\n<p>ชื่อวิทยาศาสตร์        Dieffenbachia</p>\n<p>วงศ์                         Araceae</p>\n<p>ชื่ออื่นๆ                    ช้างเผือก ว่านพญาค่าง ว่านหมื่นปี อ้ายใบก้านขาว</p>\n<p>ลักษณะโดยทั่วไป</p>\n<p>สาวน้อยประแป้ง เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวมีลักษณะคล้ายพืชในตระกูลเขียวหมื่นปี แต่ใหญ่กว่า ลำต้นเป็นไม้เนื้ออ่อนกลม ตั้งตรงแข็งแรง มีข้อถี่ แตกใบอ่อนตรงส่วนยอดของลำต้นทีละใบ ก้านใบยาว ส่วนที่ติดกับลำต้นมีลักษณะเป็นกาบ ใบมีรูปร่างยาวเรียวคล้ายใบพาย โคนใบมน ปลายใบเรียวแหลม บางชนิดแหลมเกือบมน พื้นใบมีสีเขียวอ่อนถึงเขียวเข้ม ด่างสีขาว ครีม หรือเหลือง หรือมีจุดแต้มบนพื้นใบต่างกันไป ดอกของสาวน้อยประแป้งมีลักษณะคล้ายดอกหน้าวัว มีกาบอยู่เพียงกาบเดียวหุ้มแท่งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย โดยเกสรตัวผู้อยู่ส่วนบน และเกสรตัวเมียอยู่ส่วนล่าง ออกดอกเป็นกลุ่มส่วนมากมีสีเขียวอ่อน เวลาบานกาบจะแย้มออกเล็กน้อย ดอกของสาวน้อยประแป้งบางชนิดมีกลิ่นเหม็นมาก ยางของสาวน้อยประแป้งเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ ถ้าถูกผิวหนังจะทำให้คันมาก ถ้าเข้าปากจะทำให้ลิ้นบวมและขากรรไกรแข็ง หากกินเข้าไปอาจทำให้ตายได้</p>\n<p>การปลูกเลี้ยงและดูแลรักษา</p>\n<p>สาวน้อยประแป้ง เป็นไม้ที่ปลูกเลี้ยงดูแลรักษาง่าย ต้องการแสงแดดหรือแสงสว่างมากแต่ก็สามารถเจริญงอกงามได้ดีในที่มีแสงแดดรำไร แต่ถ้าให้ถูกแสงแดดโดยตรงจะทำให้ใบไหม้ได้ หากได้รับแสงเพียงด้านใดด้านหนึ่งจะทำให้ต้นเอียงไปทางด้านที่มีแสงมากกว่า ชอบสภาพดินฟ้าอากาศที่มีความชื้นสูง แต่บางชนิดก็สามารถปรับตัวให้อยู่ในที่มีความชื้นในอากาศปานกลางได้ สำหรับดินที่ใช้ปลูกควรเป็นดินที่มีส่วนผสมของอินทรียวัตถุ ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมัก ระบายอากาศ ระบายน้ำได้ดี ไม่มีน้ำขังแฉะหรือแห้งเร็วเกินไป ปุ๋ยเคมีควรใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น 10-10-10, 15-15-15 ในปริมาณน้อยๆ หรืออาจใช้ปุ๋ยละลายช้าเพื่อค่อยๆ ปลดปล่อยธาตุอาหารให้แก่ต้นก็ได้</p>\n<p>การขยายพันธุ์</p>\n<p>• การแยกหน่อ เป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลรวดเร็ว แต่ใช้ได้กับต้นที่มีหน่อเท่านั้น โดยตัดหน่อใหม่ที่มีใบ 2-3 ใบและที่โคนหน่อมีรากแล้ว ทารอยตัดด้วยปูนแดงรอให้แห้ง ก็สามารถนำไปปลูกได้ทันที</p>\n<p>• การ ปักชำยอด วิธีนี้มักใช้กับต้นที่มีขนาดใหญ่สูงชลูดขาดความสวยงามโดยตัดยอดให้มีความ ยาวพอสมควรไม่สั้นหรือยาวเกินไปและตัดให้รอยตัดชิดกับข้อต้นมากที่สุด ทาปูนแดงที่รอยตัดทั้งสอง ลอกใบของยอดชำออกให้เหลือแต่ใบส่วนยอดประมาณ 4-5 ใบนำไปปักชำในขุยมะพร้าวผสมขี้เถ้าแกลบหรือขุยมะพร้าวผสมทรายหยาบ วางไว้ในที่ร่ม รดน้ำและรักษาความชื้นให้สม่ำเสมอ ประมาณ 3-4 สัปดาห์ จะเกิดรากจึงสามารถย้ายปลูกลงดินได้ต่อไป</p>\n<p>• การตอนยอด วิธีนี้มักใช้กับต้นที่มีขนาดใหญ่สูงชะลูดเช่นเดียวกับการปักชำยอด โดยลอกใบด้านล่างของยอดให้เหลือยอดพอสวย ใช้มีดที่คมและสะอาด กรีดเป็นรอยตามความยาวของต้นลึกประมาณ 0.5 ซ.ม. บริเวณข้อต้นที่จะตอน 4-6 รอย หุ้มด้วยถุงพลาสติกมัดให้แน่น ประมาณ 3-4 สัปดาห์รากจะงอก จึงตัดนำไปปลูกต่อไป</p>\n<p>• การชำข้อและลำต้น เป็นวิธีที่ง่ายและทำให้ได้ต้นใหม่จำนวนมาก ทำได้โดยตัดส่วนของข้อหรือลำต้นเป็นท่อนๆ ยาว 5-7 ซ.ม. โดยให้มีส่วนของตา<br />\nติดมาด้วยทุกท่อน แช่ด้วยน้ำผสมยากันเชื้อราหรือทาด้วยปูนแดงทิ้งไว้ให้แห้ง นำไปชำในขี้เถ้าแกลบผสมขุยมะพร้าวในอัตราส่วนเท่าๆ กัน โดยฝังให้จมลงประมาณสองในสามส่วนของลำต้นตามแนวนอนและวางให้ตาที่สมบูรณ์ที่สุดอยู่ด้านบน ประมาณ 45-60 วัน รากจะงอก เมื่อใบขึ้นมา 2-3 ใบจึงย้ายปลูกได้\n</p>\n<p></p>\n<p>\n<a href=\"/node/88277\">               <br />\n</a>\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n<a href=\"/node/83434/\"><img src=\"/files/u40049/HomeIcon1.jpg\" width=\"300\" height=\"300\" /></a>\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<!--pagebreak--><!--pagebreak--><p align=\"center\">\nว่านหางจระเข้\n</p>\n<p align=\"center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p>\nชื่อทั่วไป                       Aloe</p>\n<p>ชื่อวิทยาศาสตร์            Aloe barbadensis Mill.</p>\n<p>วงศ์                             Liliaceae</p>\n<p>ถิ่นกำเนิด                      แอฟริกา</p>\n<p>ลักษณะทั่วไป</p>\n<p>หางจระเข้เป็นพรรณไม้ที่ได้รับความนิยมและรู้จักอย่างกว้างขวางเพราะเป็นพืชที่ให้ประโยชน์กับมนุษย์อย่างมากมาย หางจระเข้มีลำต้นที่ติดดินไม่สูงมากนัก ใบมีลักษณะอวบน้ำ สีเขียว ยาวประมาณ 1 ฟุต บางพันธุ์อาจยาวกว่านี้ก็ได้ โคนใบจะมีขนาดใหญ่และจะเล็กเรียวขึ้นไปยังปลายใบ ขอบใบจะมีลักษณะหยักคล้ายกับหนามเมื่อหักใบดูจะมีลักษณะเป็นวุ้นเมือกหาง จระเข้นี้นิยมปลูกไว้ตามหน้าบ้าน ข้างทาง หรือบางคนอาจใช้ตกแต่งสวนก็ได้</p>\n<p>การขยายพันธุ์                แยกหน่อ</p>\n<p>การดูแลรักษา</p>\n<p>แสง                             ชอบแสงมาก (ถ้าอยู่กลางแจ้งสีจะไม่เขียวสดเหมือนอยู่ในร่ม)<br />\nน้ำ                                ต้องการน้ำปานกลาง<br />\nดิน                               เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย<br />\nปุ๋ย                               ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ใส่หลังจากการตอนแยกหรือย้ายปลูก<br />\nโรคและแมลง               ไม่ค่อยมีโรค และแมลงรบกวนเท่าไหร่</p>\n<p>สรรพคุณ</p>\n<p>วุ้นในใบว่านหางจระเข้มีสารเคมีอยู่หลายชนิด เช่น Aloe-cmidin, Aloesin, Aloin, สารประเภท glycoprotein และอื่นๆ ยางที่อยู่ในว่านหางจระเข้มีสาร anthraquinone ที่มีฤทธิ์ขับถ่ายด้วย ใช้ทำเป็นยาดำ มีการศึกษาวิจัยรายงานว่า วุ้นหรือน้ำเมือกของว่านหางจระเข้รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลเรื้อรัง และแผลในกระเพาะอาหารได้ดี เพราะวุ้นใบมีใทท\n</p>\n<p>\nสรรพคุณรักษาแผลต่อต้านเชื้อแบคทีเรียช่วยสมานแผลได้ด้วย   และยังนำมาพัฒนารูปแบบเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปทั้งทางด้านยาและ<br />\nเครื่องสำอาง แชมพูสระผม อีกด้วย\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<!--pagebreak--><!--pagebreak--><p align=\"center\">\nลิ้นมังกร\n</p>\n<p align=\"center\">\n<img src=\"/files/u40049/linmungkon2.jpg\" width=\"450\" height=\"600\" />\n</p>\n<p align=\"center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\nชื่อสามัญ                     Mather - in - law\'s Tongue</p>\n<p>ชื่อวิทยาศาสตร์           Sancivieria.</p>\n<p>ตระกูล                        AGAVACEAE</p>\n<p>ถิ่นกำเนิด                     แถบทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ</p>\n<p>ลักษณะทั่วไป</p>\n<p>ลิ้นมังกรเป็นพรรณไม้ ที่มีลำต้นเป็นหัว หรือเหง้าอยู่ในดิน ลักษณะลำต้นเป็นข้อ ๆ ใบเกิดจากหัวที่โผล่ออกมาพ้นดินเป็นกอ ลักษณะใบยาวปลายแหลม แข็งเป็นมัน ขอบใบเรียบ โค้งงอเล็กน้อย ขอบใบมีสีเหลืองกลางใบสีเขียวอ่อน ประด้วยเส้นสีเขียวเข้ม ขนาดของใบกว้างประมาณ 4-7 เซนติเมตร ยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร ก้านดอกประกอบด้วยกลุ่มดอกเป็นชั้น ๆ ลักษณะดอกมีขนาดเล็ก ออเรียงกันเป็นแนวตามชั้นของก้านดอกดอกมีสีขาวมีกลีบประมาณ 5 กลีบ ขนาดดอกบานเต็มที่ 2 เซนติเมตร ลักษณะขนาดใบ และสีสัน จะแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์</p>\n<p>การปลูก มี 2 วิธี</p>\n<p>1. การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน นิยมปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวนแต่คนโบราณนิยมปลูกเป็นแนวรั้วบ้าน ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน : อัตรา 1 : 1 ผสมดินปลูก</p>\n<p>2. การปลูกในกระถางเพื่อประดับภายในและภายนอกอาคาร ควรใช้กระถางทรงสูง ขนาด 10-15 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 1 ผสมดินปลูก และควรเปลี่ยนกระถางทุก 1-2 ปี เพราะเนื่องจากการขยายตัวของรากและหน่อแน่นเกินไป และเพื่อเปลี่ยนดินปลูกใหม่แทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป</p>\n<p>การดูแลรักษา</p>\n<p>แสง                         ต้องการแสงแดดปานกลาง จนถึงแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง<br />\nน้ำ                           ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 5-7 วัน/ครั้ง<br />\nดิน                           ดินร่วนซุย<br />\nปุ๋ย                           ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/กอ ใส่ปีละ 4-5 ครั้ง<br />\nการขยายพันธุ์           แยกหน่อหรือตัดชำใบ<br />\nโรคและแมลง           ไม่ค่อยพบโรคและแมลงที่ก่อให้เกิดปัญหา</p>\n<p>ต้นลิ้นมังกรเป็นพืชที่คนไทยรู้จักกันดี มีปลูกกันทั่วไป สมัยก่อนคนจีนจะนิยมนำมาปักหรือปลูกในแจกัน เพราะอยู่ในที่ร่มในบ้านได้ดี อาจปลูกในแจกันโดยไม่ต้องใช้ดินก็ได้ ไม่มีโรคพืชหรือแมลงรบกวน ปลูกง่ายและทนทาน ดังนั้น ผู้ที่เริ่มต้นปลูกไม้ประดับในอาคารควรเริ่มจากลิ้นมังกรก่อน ปัจจุบันนี้ต้นลิ้นมังกรเป็นที่นิยมปลูกกันมากในต่างประเทศ ถ้าใครชอบดูหนังฝรั่งจะเห็นต้นลิ้นมังกรในหนังฝรั่งแทบทุกเรื่อง ลิ้นมังกรมีประมาณ 70 ชนิด แต่ลิ้นมังกรขอบใบเหลือง Sansevieria Trifasciata เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีสีสดใสและมีขอบใบเหลือง ทำให้ดูสวยงามกว่าพันธุ์อื่น\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"></span></p>\n', created = 1715819092, expire = 1715905492, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:0868c0511e1e8ad052c6b4b995671d75' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:72872539ae56c7e8e9fcada51603871d' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n<span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\">พุทธรักษา</span>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"> <img src=\"/files/u40049/7732_1_1.jpg\" width=\"300\" border=\"0\" height=\"250\" /></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><br />\n<span lang=\"TH\">ชื่อสามัญ</span>   Canna, Indian shoot <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><br />\n<span lang=\"TH\">ชื่อวิทยาศาสตร์</span>  Canna generalis <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><br />\n<span lang=\"TH\">ตระกูล</span>   CANNACEAE <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><br />\n<b><span lang=\"TH\">ลักษณะทั่วไป </span><o:p></o:p></b></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><br />\n<span lang=\"TH\">พุทธรักษาเป็นพรรณไม้ล้มลุก เนื้ออ่อนอวบน้ำ ลำต้นมีความสูงประมาณ </span>1-2 <span lang=\"TH\">เมตร มีลำต้นอยู่ใต้ดิน ขนาดลำต้นโตประมาณ </span>2-4 <span lang=\"TH\">เซนติเมตร ใบมีขนาดใหญ่สีเขียวโคนใบและปลายใบรีแหลม ขอบใบเรียบ กลางใบเป็นเส้นนูนเห็นได้ชัดโคนใบมีก้านใบซึ่งยาวเป็นกาบใบหุ้มลำต้นซ้อนสลับกัน ขนาดใบยาวประมาณ </span>25-35 <span lang=\"TH\">เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น ประกอบด้วยดอก</span> 8-10 <span lang=\"TH\">ดอก กลีบดอกบางนิ่ม ขนาดของดอกและสีสันแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์ </span><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\">การเป็นมงคล</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\">  <span lang=\"TH\">คนโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยคุ้มครอง ป้องกันอันตรายแก่บ้านและผู้อาศัยได้ เพราะพุทธรักษาเป็นพรรณไม้ที่คนโบราณเชื่อว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข คือเป็นไม้มงคลนั่นเอง ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูกเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นพุทธรักษาไว้ทางทิศตะวันตก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ทั่วไปทางดอกให้ปลูกในวันพุธการปลูก นิยมปลูก </span>2 <span lang=\"TH\"></span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><span lang=\"TH\">วิธี</span>1. <span lang=\"TH\">การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน ถ้าปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ควรใช้แปลงปลูกขนาด </span>2 x 10 <span lang=\"TH\">เมตร</span>  <span lang=\"TH\">โดยการยกร่องคล้ายแปลงปลูกผัก การเตรียมดินใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา</span> 10-20 <span lang=\"TH\">กิโลกรัม/แปลง ขนาดหลุมปลูก </span>30 x 30 <br />\n<span lang=\"TH\">แต่ถ้าปลูกเพื่อประดับบ้าน คนไทยโบราณนิยมปลูกไว้เป็นแนวรั้วบ้านหรือปลูกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ในพื้นที่ที่จำกัด ขนาดหลุม</span> <br />\n<span lang=\"TH\">ปลูก </span>30 x 30 x 30 <span lang=\"TH\">ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา </span>1 : 1 <span lang=\"TH\">ผสมดินปลูก </span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\">2. <span lang=\"TH\">การปลูกในกระถางเพื่อประดับอาคารบ้านเรือน ส่วนใหญ่ใช้เป็นดอกประดับภายนอก ควรใช้กระถางทรงสูง ขนาด </span>10-16 <span lang=\"TH\">นิ้ว</span>    <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"> <span lang=\"TH\">ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก:แกลบผุ:ดินร่วนอัตรา</span>1:1:1<span lang=\"TH\">ผสมดินปลูกและควรเปลี่ยนกระถาง</span>12<span lang=\"TH\">ครั้งต่อปีเพราะการขยายตัวของหน่อ</span><br />\n<span lang=\"TH\">แน่นเกินไป และเพื่อเปลี่ยนดินปลูกใหม่ แทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป </span><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"> <span lang=\"TH\">การดูแลรักษาแสง</span>      <span lang=\"TH\">ชอบแสงรำไร หรือแสงแดดจัดกลางแจ้ง </span><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\">น้ำ</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\">                             <span lang=\"TH\">ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ </span>3-5 <span lang=\"TH\">วัน/ ครั้ง </span><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\">ดิน</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\">                            <span lang=\"TH\">เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย </span><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\">ปุ๋ย</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\">                            <span lang=\"TH\">ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา </span>0.5-1 <span lang=\"TH\">กิโลกรัม/กอ ปีละประมาณ </span>4-6 <span lang=\"TH\">ครั้ง </span><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\">การขยายพันธ์</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\">          <span lang=\"TH\">นิยมขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ เพาะเมล็ด </span><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\">วิธีที่นิยมและได้ผลดี การแยกหน่อ </span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\">โรคและแมลง</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\">            <span lang=\"TH\">ไม่ค่อยมีโรคที่เป็นปัญหา ส่วนแมลงที่รบกวน ได้แก่ พวกเพลี้ยแป้งและเพลี้ยหอย ซึ่งจะพบมากหน้าร้อน </span><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\">การป้องกันกำจัด</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\">      <span lang=\"TH\">ฉีดพ่นด้วย มาลาไธออนหรือไดอาซินอนถ้าหากกอมีขนาดใหญ่และทึบอาจใช้ยาดูดซึม จำพวกไซกอน</span> <span lang=\"TH\">ละลายน้ำรด ตามอัตราที่ระบุไว้ในฉลากก็ได้ </span><o:p></o:p></span><o:p><span style=\"font-size: small; font-family: Calibri; color: #000000\"> </span></o:p>\n</p>\n<p>\n<a href=\"/node/83434/\"><img src=\"/files/u40049/HomeIcon1.jpg\" width=\"300\" height=\"300\" /></a>\n</p>\n', created = 1715819092, expire = 1715905492, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:72872539ae56c7e8e9fcada51603871d' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

ไม้ล้มลุก

พุทธรักษา

 

 
ชื่อสามัญ   Canna, Indian shoot

ชื่อวิทยาศาสตร์  Canna generalis

ตระกูล   CANNACEAE


ลักษณะทั่วไป

พุทธรักษาเป็นพรรณไม้ล้มลุก เนื้ออ่อนอวบน้ำ ลำต้นมีความสูงประมาณ 1-2 เมตร มีลำต้นอยู่ใต้ดิน ขนาดลำต้นโตประมาณ 2-4 เซนติเมตร ใบมีขนาดใหญ่สีเขียวโคนใบและปลายใบรีแหลม ขอบใบเรียบ กลางใบเป็นเส้นนูนเห็นได้ชัดโคนใบมีก้านใบซึ่งยาวเป็นกาบใบหุ้มลำต้นซ้อนสลับกัน ขนาดใบยาวประมาณ 25-35 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น ประกอบด้วยดอก 8-10 ดอก กลีบดอกบางนิ่ม ขนาดของดอกและสีสันแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์
การเป็นมงคล  คนโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยคุ้มครอง ป้องกันอันตรายแก่บ้านและผู้อาศัยได้ เพราะพุทธรักษาเป็นพรรณไม้ที่คนโบราณเชื่อว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข คือเป็นไม้มงคลนั่นเอง ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูกเพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นพุทธรักษาไว้ทางทิศตะวันตก ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธ เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ทั่วไปทางดอกให้ปลูกในวันพุธการปลูก นิยมปลูก 2

วิธี1. การปลูกในแปลงปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน ถ้าปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ควรใช้แปลงปลูกขนาด 2 x 10 เมตร  โดยการยกร่องคล้ายแปลงปลูกผัก การเตรียมดินใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 10-20 กิโลกรัม/แปลง ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 
แต่ถ้าปลูกเพื่อประดับบ้าน คนไทยโบราณนิยมปลูกไว้เป็นแนวรั้วบ้านหรือปลูกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ในพื้นที่ที่จำกัด ขนาดหลุม 
ปลูก 30 x 30 x 30 ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 1 ผสมดินปลูก

2. การปลูกในกระถางเพื่อประดับอาคารบ้านเรือน ส่วนใหญ่ใช้เป็นดอกประดับภายนอก ควรใช้กระถางทรงสูง ขนาด 10-16 นิ้ว     ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก:แกลบผุ:ดินร่วนอัตรา1:1:1ผสมดินปลูกและควรเปลี่ยนกระถาง12ครั้งต่อปีเพราะการขยายตัวของหน่อ
แน่นเกินไป และเพื่อเปลี่ยนดินปลูกใหม่ แทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป
 การดูแลรักษาแสง      ชอบแสงรำไร หรือแสงแดดจัดกลางแจ้ง น้ำ                             ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 3-5 วัน/ ครั้ง ดิน                            เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนหรือดินร่วนปนทราย ปุ๋ย                            ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/กอ ปีละประมาณ 4-6 ครั้ง การขยายพันธ์          นิยมขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ เพาะเมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดี การแยกหน่อ โรคและแมลง            ไม่ค่อยมีโรคที่เป็นปัญหา ส่วนแมลงที่รบกวน ได้แก่ พวกเพลี้ยแป้งและเพลี้ยหอย ซึ่งจะพบมากหน้าร้อน การป้องกันกำจัด      ฉีดพ่นด้วย มาลาไธออนหรือไดอาซินอนถ้าหากกอมีขนาดใหญ่และทึบอาจใช้ยาดูดซึม จำพวกไซกอน ละลายน้ำรด ตามอัตราที่ระบุไว้ในฉลากก็ได้  

สร้างโดย: 
เสาวลักษณ์

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 192 คน กำลังออนไลน์