อารยธรรมกรีก
อารยธรรมกรีกโบราณ ( Civillization of Ancient Greece )
อารยธรรมกรีกโบราณได้แก่อารยธรรมของนครรัฐกรีกซึ่งเจริญขึ้นบนผืนแผ่นดินกรีซในทวีปยุโรปและบริเวณชายฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนด้านเอเชียไมเนอร์ซึ่งในสมัยโบราณเรียกว่าไอโอเนีย(Ionia)อารยธรรมที่เจริญขึ้นในนครรัฐกรีกมีศูนย์กลางสำคัญอยู่ที่นครรัฐเอเธนส์และนครรัฐสปาร์ตานครรัฐเอเธนส์เป็นแหล่งความเจริญในด้านต่างๆ ทั้งทางด้านการปกครองเศรษฐกิจสังคมศิลปะวิทยาการรวมทั้งปรัชญาส่วนนครรัฐสปาร์ตาเจริญในลักษณะที่เป็นรัฐทหารในรูปเผด็จการมีความแข็งแกร่งเกรียงไกรเป็นผู้นำของนครรัฐอื่นๆกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวในด้านการรบการศึกษาเกี่ยวกับอารยธรรมกรีกโบราณส่วนใหญ่จึงเป็นการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับนครรัฐเอเธนส์และนครรัฐสปาร์ตาชาวกรีกโบราณเป็นชาวอินโด-ยูโรเปียนเรียกตัวเองว่าเฮลีนส์เรียกบ้านเมืองของตนเองว่าเฮลัสและเรียกอารยธรรมของตนเองว่าเฮเลนิคชาวกรีกตั้งบ้านเรือนของตนอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ตรงปลายสุดของทวีปยุโรปตรงตำแหน่งที่มาบรรจบกันของทวีปยุโรปเอเชียและแอฟริกาเป็นต้นเหตุให้กรีซโบราณได้รับอิทธิพลความเจริญโดยตรงจากทั้งอียิปต์และ เอเชียกรีซได้อาศัยอิทธิพลดังกล่าวพัฒนาอารยธรรมของตนขึ้นโดยคงไว้ซึ่งลักษณะที่เป็นของตัวเอง
พื้นฐานอารยธรรมกรีก
1.กรีกเป็นพวกอินโด-ยูโรเปียนกลุ่มหนึ่งอพยพเข้าสู่ดินแดนกรีกแล้วรับความเจริญจากวัฒนธรรมไมนวน(Minoan Culture)บนเกาะครีตรวมทั้งวัฒนธรรมของเอเชียไมเนอร์และวัฒนธรรมอียิปต์มา
ผสมผสานจนเป็นอารยธรรมของตนเอง
2.ชาวกรีกเรียกตัวเองว่าเฮลลีน(Hellene)เรียกบ้านเมืองตัวเองว่าเฮลลัส(Hellas)และเรียกอารยธรรมของตนเองว่าเฮเลนิก(Hellenic Civilzation)
3.อุปนิสัย โดยทั่วไปของคนกรีกคืออยากรู้อยากเห็นเชื่อมั่นในเหตุผลชอบเสรีภาพและความ
เป็นปัจเจกชนนอกจากนี้กรีกยังเป็นพวกนิยมความเป็นธรรมชาติ
4.กรีกมีภูมิประเทศเป็นภูเขาทำให้ต้องแบ่งการปกครองออกเป็นนครรัฐแต่ละนครรัฐอิสระจากกันศูนย์กลางนครรัฐอยู่ที่“อะโครโปลิส”
ยุคของอารยธรรมกรีก
ยุคโบราณ
ในยุคสำริด3,000-2,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชเป็นยุคที่อารยธรรมชนเผ่าไซแคลดิกและไมซีแนเอียนกำลังมีอิทธิพลรุ่งเรืองอยู่ในกรีซแต่พอถึงศตวรรษที่11ก่อนคริสตกาลอิทธิพลของวัฒนธรรมไซแคลดิกและไมซีแนเอียนก็ถึงกาลเสื่อมสลายลงเพราะถูกรุกรานโดยนักรบเผ่าดอเรียนที่รุกมาจากทางเหนืออารยธรรมต่างๆในกรีซจึงเริ่มเข้าสู่ยุคมืดช่วงเวลา800ปีก่อนคริสตกาลเป็นช่วงเวลาที่อารยธรรมกรีซเฟื่องฟูขึ้นมาอีกครั้งวัฒนธรรมและกิจการทหารของกรีซเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดเมืองเอเธนส์ลัสปาต้าเป็นศูนย์กลางของอำนาจมหาอาณาจักรกรีซประกอบด้วยอิตาลีทางตอนใต้อันเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของอาณาจักรอันยิ่งใหญ่กรีซย่างก้าวเข้าสู่ยุคคลาสสิกหรือยุคทองในยุคนี้เองนักปราชญ์ชื่อเพเรอคลิสผู้ทำให้วิหารพาร์เธนอนเป็นที่รู้จักของชาวโลก
โซโฟคลิสได้เขียนมหากาพย์อีดิปุสขึ้นและโสคราติสหรือซาเครอทิสได้เริ่มการสอนลูกศิษย์ชาวเอเธนส์ให้รู้จักวิชาตรรกวิทยาและหลักการของประชาธิปไตยต่อมาไม่นานนักยุคทองของกรีซก็ถึงจุดเสื่อมแล้วกรีซก็เข้าสู่ยุคสงครามเปลโอปอนนีเซียนซึ่งกองทหารอันเกรียงไกรของสปาร์ตาได้ยกกำลังเข้าบดขยี้ชาวเอเธนส์เสียจนย่อยยับ
ในขณะที่สปาร์ตากำลังรุกรานกรีซอย่างย่ามใจทางตอนเหนือพระเจ้าฟิลิปแห่งอาณาจักรมาซิโดเนียกำลังไล่ตีเมืองเล็กเมืองน้อยรุกคืบเข้ามาใกล้กรีซทุกทีแต่ทว่าความทะเยอทะยานที่จะเป็นผู้พิชิตในภูมิภาคนี้ของพระเจ้าฟิลิปก็ถูกบดบังรัศมีโดยโอรสของพระองค์เองคือพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชผู้สามารถยาตราทัพไปถึงเอเชียไมเนอร์และอียิปต์ซึ่งที่อียิปต์นี้เองพระองค์ได้รับการยกย่องให้เป็นฟาโรห์ผู้สร้างเมืองอเล็กซานเดรียพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสามารถยกทัพไปถึงเปอร์เซียและดินแดนส่วนที่เป็นอินเดียและอัฟกานิสถานในปัจจุบันในรัชสมัยของอาณาจักรมาซิโดเนียเรียกกันว่ายุคเฮลเลนิสติก(Hellenistic Period)เพราะยุคนี้มีการผสมผสานปรัชญาและวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองของชนชั้นปกครองจนกลายเป็นวัฒนธรรมแบบใหม่ที่ศิวิไลซ์ยิ่งขึ้นหลังจากพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุ33ปีแล้วมีกษัตริย์ปกครองกรีซสืบต่อมาอีก3รัชกาล
ครั้นถึงปีที่205ก่อนคริสต์ศักราชอิทธิพลของโรมันแผ่ขยายเข้ารุกรานกรีซและเมื่อถึงปี146 ก่อนคริสตกาลกรีซกับมาซิโดเนียตกอยู่ใต้การปกครองของโรมันหลังจากที่มีการแบ่งอาณาจักรโรมันเป็นอาณาจักรตะวันออกและตะวันตกกรีซได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรไบแซนไทน์
และเมื่อเกิดสงครามครูเสดขึ้นอิทธิพลของอาณาจักรไบแซนไทน์ก็เสื่อมถอยเพราะถูกรุกรานโดยชาวเวนิส คาตาลัน เจนัว
แฟรงก์ และนอร์มัน
ยุคกลาง
ในปีพ.ศ.1996(ค.ศ.1453)กรุงคอนสแตนติโนเปิลเมืองหลวงของจักรวรรดิไบแซนไทน์ถูกพวกเติร์กยึดครองและเมื่อถึงปีพ.ศ.2043(ค.ศ.1500)ดินแดนของกรีซทั้งหมดก็ตกอยู่ใต้อำนาจของเติร์กดินแดนที่เป็นกรีซในปัจจุบันแต่ก่อนเป็นศูนย์กลางการค้าทางเรือของยุโรปตอนกลางและเป็นที่ชุนนุมนักปราชญ์กับศิลปินของโลกเพราะที่นี่เป็นหมู่บ้านกรีกที่มีประเพณีและวัฒนธรรมของกรีกออร์ทอดอกซ์ในการทำสงครามเพื่อกู้เอกราชจากเติร์กกรีซได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากนักคิดนักเขียนและนักปรัชญาเช่นไบรอน แชลเลย์ และเกอเธอย่างไรก็ตามการต่อสู้ที่ขาดเอกภาพของกรีซทำให้ฝรั่งเศส รัสเซีย และอังกฤษตัดสินใจเข้ามาแทรกแซงหลังจากกรีซได้รับเอกราชแล้วกลุ่มอำนาจในยุโรปมีความเห็นว่ากรีซควรมีการปกครองระบบกษัตริย์จึงได้จัดการให้กษัตริย์ออตโตแห่งบาวาเรียเป็นกษัตริย์ปกครองกรีซในปีพ.ศ.2376(ค.ศ.1833) หลังจากนั้นกรีซก็มีกษัตริย์ขึ้นครองราชย์อีกหลายพระองค์ด้วยกันจนกระทั่งถึงรัชสมัยของพระเจ้าจอร์จที่1จึงได้รับพระราชทานกฎหมายรัฐธรรมนูญให้กรีซในปีพ.ศ.2407(ค.ศ.1864)ทำให้กรีซมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ
ยุคใหม่
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่1กองทัพกรีซอยู่ข้างฝ่ายสัมพันธมิตรและเข้ายึดครองเมืองเทรซ เมื่อสงครามโลกยุติกรีซได้ส่งกองกำลังเข้าไปช่วยปลดปล่อยเมืองสเมอร์นาของตุรกี(ปัจจุบันคืออิซมีร์)ให้ได้รับอิสรภาพเพราะเมืองนี้มีประชาชนชาวกรีกอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากกองกำลังกรีกถูกต่อต้านอย่างแข็งแกร่งจากกองทัพของอตาเติร์กซึ่งได้เข่นฆ่าชาวกรีกในเมืองนั้นเสียชีวิตลงเป็นจำนวนมากผลของสงครามนี้ทำให้มีการตกลงแลกเปลี่ยนพลเมืองของ2ประเทศกันในปีพ.ศ. 2466(ค.ศ.1923)ประชากรกรีกเพิ่มจำนวนประชากรมากขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะมีผู้อพยพชาวคริสเตียนมาอยู่ในกรีซมากถึง1,300,000คนทำให้กรีซมีปัญหาด้านเศรษฐกิจตามมาคนเหล่านี้กระจายกันไปอยู่นอกเมืองภายหลังมีการก่อตั้งสหภาพแรงงานต่างๆขึ้นในกลุ่มพวกอพยพที่อาศัยอยู่ตามหัวเมืองรอบนอกและในปีพ.ศ.2479(ค.ศ. 1936)พรรคคอมมิวนิสต์ในกรีซก็เติบโตและมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆจากการสนับสนุนของประชาชนทั่วประเทศ
ปีพ.ศ.2479(ค.ศ. 1936)นายพลเมเตอซัสได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีเขาเป็นผู้ปกครองประเทศที่นิยมการปกครองแบบเผด็จการถึงแม้ว่าจะได้เห็นความเป็นไปในชะตากรรมของพวกนาซีแต่ตัวเขาเองกลับกระทำการต่างๆที่ทำให้เขาได้รับฉายาว่าเป็นภาพจำลองของอาณาจักรไรน์ในกรีซนายพลเมเตอซัสทำการต่อต้านไม่ยอมให้เยอรมนีกับอิตาลีเดินทัพผ่านกรีซ
ถึงแม้ว่ากลุ่มสัมพันธมิตรจะเข้าช่วยกรีซแต่กรีซก็ต้องตกเป็นของเยอรมนีในปีพ.ศ.2484(ค.ศ.1941)เป็นผลให้เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงขึ้นมีการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลเกิดความวุ่นวายขึ้นในประเทศที่มีทั้งฝ่ายสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์และฝ่ายสนับสนุนสถาบันกษัตริย์เป็นชนวนให้เกิดสงครามกลางเมืองนองเลือดขึ้นในกรีซและยุติลงในพ.ศ.2492(ค.ศ.1949)โดยฝ่ายนิยมกษัตริย์อ้างชัยชนะ
ในช่วงเวลานั้นอเมริกากำลังเคร่งครัดในลัทธิทรูแมนรัฐบาลอเมริกาในขณะนั้นมีนโยบายให้เงินก้อนใหญ่สนับสนุนรัฐบาลที่ต่อต้านระบบคอมมิวนิสต์แต่ความกลัวลัทธิคอมมิวนิสต์จะครองเมืองทำให้คณะทหารของกรีซทำการปฏิวัติยึดอำนาจจากรัฐบาลเมื่อปีพ.ศ. 2510(ค.ศ.1967)
กล่าวกันว่าการปฏิวัติในกรีซเป็นผลมาจากการแทรกแซงทางการเมืองของหน่วยงานCIAของสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาปฏิบัติการในทวีปยุโรปกลุ่มทหารที่ครองอำนาจในกรัซทำตนมีอำนาจเหนือ
ราษฎรและทำการกดขี่ข่มเหงประชาชนยิ่งกว่านั้นคณะนายพลของทหารกรีซได้ทำการวางแผนลอบสังหารผู้นำของไซปรัสในขณะนั้นเป็นผลให้ตุรกีฉวยโอกาสเข้ารุกเข้ายึดครองตอนเหนือของไซปรัสทำให้เหตุการณ์นี้เป็นข้อบาดหมางระหว่างกรีซกับตุรกีมาจนถึงทุกวันนี้
ในปีพ.ศ.2524(ค.ศ. 1981)กรีซเข้าเป็นสมาชิกสมาคมสหภาพยุโรปพรรคสังคมนิยมPASOKนำโดยนายแอนเดรียส์ปาปันเดรโอชนะการเลือกตั้งได้เป็นนายกรัฐมนตรีรัฐบาลให้สัญญาว่าจะจัดการให้อเมริกาย้ายฐานทัพอากาศออกไปจากกรีซและกรีซจะถอนตัวจากการเป็นสมาชิกของนาโตแต่รัฐบาลทำไม่สำเร็จสตรีชาวกรีซเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงประเพณีเรื่องสินสอดและเรียกร้องให้กฎหมายสนับสนุนการทำแท้งเสรีความไม่สงบในประเทศทำให้ปาปันเดรโอกับรัฐบาลของเขาเสียอำนาจการปกครองประเทศให้กับรัฐบาลผสมระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยมกับพรรคคอมมิวนิสต์ในปีพ.ศ.2532(ค.ศ. 1989)การเลือกตั้งในกรีซเมื่อพ.ศ.2533(ค.ศ.1990)พรรคอนุรักษ์นิยมได้ที่นั่งมากที่สุดและได้พยายามที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศแต่ไม่สำเร็จการเลือกตั้งใหม่ในพ.ศ.2536(ค.ศ.1993)กรีซได้ปาปันเดรโอผู้นำเฒ่าของพรรคเสรีนิยมกลับมาครองอำนาจกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งท่านผู้นำถึงแก่อนิจกรรมในพ.ศ.2539(ค.ศ.1996)หลังจากที่ท่านลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองกรีซได้ผู้นำคนใหม่ชื่อคอสทาสสมิทิสต่อมากรีซกับตุรกีขัดแย้งกันอย่างหนักจนใกล้จะระเบิดสงครามเมื่อผู้สื่อข่าวของตุรกีได้นำธงชาติกรีซมาย่ำยีเล่นสมิทิสได้รับการเลือกตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีกรีซอีกครั้งรัฐบาลใหม่ให้สัญญากับประชาชนว่าจะเร่งการนำประเทศเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มอียูนายกรัฐมนตรีเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับรัฐมนตรีโทนีแบลร์ของอังกฤษตั้งแต่สมิทิสมีอำนาจในการบริหารประเทศเขามีนโยบายเห็นด้วยกับกลุ่มฝ่ายค้านพรรคประชาธิปไตยใหม่แทบทุกเรื่อง
อารยธรรมสำคัญ
1.การนับถือเทพเจ้ามากมาย
-มีเทพเจ้าสูงสุด คือซีอุสแห่งเขาโอลิมปุสซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าและสายฝน
-เทพโพไซดอน เป็นเทพแห่งท้องทะเล
-เทพอพอลโล เป็นเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์
**แต่กรีกไม่ได้ให้ศาสนาเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตเหมือนชาวอียิปต์
2.วิหารหินอ่อนพาร์เธนอน
คือวิหารโบราณบนเนินอะโครโพลิสในกรุงเอเธนส์ประเทศกรีซสร้างเพื่อเป็นศาสนสถานบูชาเทพีเอเธนาหรือเทพีแห่งปัญญาความรอบรู้ในศตวรรษที่5ก่อนคริสต์ศักราชเป็นสิ่งก่อสร้างสถาปัตยกรรมกรีกโบราณที่มีชื่อเสียงที่สุดแสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดของสถาปนิกในสมัยนั้นและถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกมีขนาดกว้าง101.4ฟุตหรือ30.9เมตรและยาว228.0ฟุตหรือ69.5เมตร คำว่าพาร์เธนอนนั้นน่าจะมาจากประติมากรรมที่เคยตั้งอยู่ภายในวิหารคือAthena Parthenosซึ่งมีความหมายว่าเทพีอันบริสุทธิ์
3.หัวเสา 3 แบบ คือ
-1.ดอริก หัวเสาเรียบ
-2.ไอโอนิก หัวเสาเป็นแบบม้วนย้อยลงมา
-3.โครินเธียน หัวเสาเป็นรูปใบไม้หรูหรา
4.ประติมากรรม จิตรกรรม
และสถาปัตยกรรมของกรีก
-ประติมากรรมส่วนมากเป็นเรื่องศาสนาซึ่งสร้างถวายเทพเจ้าต่างๆวัสดุที่นิยใช้สร้างงานได้แก่ ทองแดงและดินเผาในสมัยต่อมานิยมสร้างจากสำริดและหินอ่อนเพิ่มขึ้นในสมัยแรกๆรูปทรงยังมีลักษณะคล้ายรูปเรขาคณิตอยู่ต่อมาในสมัยอาร์คาอิก(200 ปีก่อนพ.ศ.)เริ่มมีลักษณะคล้ายกับมนุษย์มากขึ้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้ารูปนักกีฬารูปวีรบุรุษรูปสัตว์ต่างๆในยุคหลังๆรูปทรงจะมีความเป็นมนุษย์มากขึ้นแสดงท่าทางการเคลื่อนไหวที่สง่างามมีการขัดถูผิวหินให้เรียบดูคล้ายผิวมนุษย์มีลีลาที่เป็นไปตามธรรมชาติมากขึ้นทำให้ประติมากรรมกรีกจัดเป็นยุคคลาสสิคที่ให้ความรู้สึกในความงามที่เป็นความจริงตามธรรมชาตินั่นเอง
-จิตรกรรมรู้จักกันดีก็มีแต่ภาพวาดระบายสีตกแต่งผิวแจกันเท่านั้นที่ชาวกรีกนิยมทำมาจนถึงพุทธศตวรรษที่1เป็นภาพที่มีรูปร่างที่ถูกตัดทอนรูปจนใกล้เคียงกับรูปเรขาคณิตมีความเรียบง่ายและคมชัดสีที่ใช้ได้แก่สีดินคือเอาสีดำอมน้ำตาลผสมบางๆระบายสีเป็นภาพบนพื้นผิวแจกันที่เป็นดินสีน้ำตาลอมแดงแต่บางทีก็มีสีขาวและสีอื่นๆร่วมด้วยเทคนิคการใช้รูปร่างสีดำระบายพื้นหลังเป็นสีแดงนี้เรียกว่า"จิตรกรรมแบบรูปตัวดำ"และทำกันเรื่อยมาจนถึงสมัยพุทธศตวรรษที่1มีรูปแบบใหม่ขึ้นมาคือ"จิตรกรรมแบบรูปดัวแดง"โดยใช้สีดำอมน้ำตาลเป็นพื้นหลังภาพตัวรูปเป็นสีส้มแดงหรือสีน้ำตาลไม้ตามสีดินของพื้นแจกัน
-สถาปัตยกรรมใช้ระบบโครงสร้างแบบเสาและคานเช่นเดียวกับอียิปต์มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าจากฐานอาคารซึ่งยกเป็นชั้นๆก็จะเป็นฝาผนังโดยปราศจากหน้าต่างซึ่งจะกั้นเป็นห้องต่างๆ1- 3ห้องปกติสถาปนิกจะสร้างเสารายล้อมรอบอาคารหรือสนามด้วยมีการสลับช่วงเสากันอย่างมีจังหวะระหว่างเสากับช่องว่างระหว่างเสาทำให้พื้นภายนอกรอบๆวิหารมีความสว่างและมีรูปทรงเปิดมากกว่าสถาปัตยกรรมอียิปต์และมีขนาดเหมาะสมไม่ใหญ่โตจนเกินไปมีรูปทรงเรียบง่าย สถาปัตยกรรมกรีกแบบพื้นฐาน2ใน3แบบเกิดในสมัยอาร์คาอิกคือแบบดอริกและแบบไอโอนิกซึ่งแบบหลังพบแพร่หลายทั่วไปในแถบเอเชียไมเนอร์เสาหล่านี้แต่ละต้นจะมีคานพาดหัวเสาถึงกันหมดในสมัยต่อมาเกิดสถาปัตยกรรมอีแบบหนึ่งคือแบบโครินเธียนหัวเสาจะมีลายรูปใบไม้ชาวกรีกนิยมสร้างอาคารโดยใช้สถาปัตยกรรมทั้งสามชนิดนี้ผสมผสานกันโดยมีการตกแต่งประดับประดาด้วยการแกะสลักลวดลายประกอบบางทีก็แกะสลักรูปคนประกอบไปด้วยนอกจากนี้ยังมีการใช้สีระบายตกแต่งโดยสีน้ำเงินได้รับความนิยมใช้ระบายฉากหลังรูปลวดลายที่หน้าจั่วและสีแดงใช้ระบายฉากหลังสำหรับประติมากรรมที่หัวเสาและลายคิ้วคาน
5.วรรณกรรมสำคัญ
-1.มหากาพย์อีเลียด-โอดิสซี ของ กวีโฮเมอร์
เป็นหนึ่งในสองบทกวีมหากาพย์กรีกโบราณของโฮเมอร์ซึ่งเล่าเรื่องราวของสงครามเมืองทรอยในช่วงปีที่สิบอันเป็นปีที่สิ้นสุดสงครามเชื่อกันว่าอีเลียดถูกแต่งขึ้นในช่วงศตวรรษที่แปดก่อนคริสตกาลนักวิชาการหลายคนเชื่อว่าบทกวีเรื่องนี้เป็นวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดในภาษากรีกโบราณจึงถือได้ว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นแรกของยุโรปแม้จะมีชื่อผู้ประพันธ์ปรากฏเพียงคนเดียวแต่จากลักษณะของบทกวีที่บอกเล่าสืบต่อกันมาแบบปากเปล่ารุ่นต่อรุ่นจึงมีความเป็นไปได้ว่ามีผู้ประพันธ์มากกว่าหนึ่งคน
เรื่องราวในบทกวีบรรยายถึงเหตุการณ์ในปีที่สิบซึ่งเป็นปีสุดท้ายของเหตุการณ์ที่ชาวกรีกบุกยึดนครอีเลียนหรือเมืองทรอยคำว่า"อีเลียด"หมายถึง"เกี่ยวกับอีเลียน"(ภาษาละตินเรียกอีเลียม(Ilium))อันเป็นชื่อเรียกส่วนนครหลวงซึ่งแตกต่างกับทรอยอันหมายถึงนครรัฐที่อยู่ล้อมรอบอีเลียมแต่คำทั้งสองคำนี้มักใช้รวมๆกันหมายถึงสถานที่แห่งเดียวกัน
โครงเรื่อง-บทกวีเริ่มต้นขึ้นเมื่อชาวกรีกได้จับตัวนางไครเซอีสบุตรีของไครสิสเจ้าพิธีของอพอลโลมาแล้วและมอบนางให้เป็นรางวัลแก่อักกะเมมนอนเทพอพอลโลจึงบันดาลให้เกิดโรคระบาดในกองทัพกรีกเพื่อบีบบังคับให้อักกะเมมนอนคืนตัวนางไครเซอีสให้แก่บิดาอักกะเมมนอนจึงไปบังคับเอาตัวนางไบรเซอีสมาแทนนางไบรเซอีสเป็นทาสชาวเอเคียนที่มอบให้เป็นรางวัลแก่อคิลลีสนักรบผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคดังนั้นอคิลลีสจึงถอนตัวออกจากการรบ
ฝ่ายเมืองทรอยนั้นมีเจ้าชายเฮกเตอร์โอรสของท้าวเพรียมเป็นแม่ทัพนำศึกป้องกันเมืองและปกป้องครอบครัวของตนเมื่ออคิลลีสไม่ยอมร่วมรบด้วยเฮกเตอร์จึงสามารถมีชัยชนะเหนือกองทัพกรีกนักรบกรีกที่เหลืออยู่รวมถึงโอดิซูสและดิโอมีดีสต่างได้รับบาดเจ็บด้วยเวลานั้นปวงเทพต่างเข้าข้างฝ่ายเมืองทรอย ปโตรกลัสจึงปลอมตัวเป็นอคิลลีสโดยนำเสื้อเกราะของเขามาสวมและนำทัพชาวเมอร์มิดอนกลับเข้าร่วมรบเพื่อช่วยป้องกันเรือของพวกกรีกไม่ให้ถูกเผาทำลายปโตรกลัสถูกเฮกเตอร์สังหารสิ้นชีพอคิลลีสจึงกลับเข้าร่วมรบเพื่อแก้แค้นให้ปโตรกลัสเขาสังหารเฮกเตอร์ได้สำเร็จด้วยการประลองตัวต่อตัวแล้วเอาร่างของเฮกเตอร์กลับไปค่ายด้วย ท้าวเพรียมลอบเข้าค่ายทัพกรีก(ด้วยความช่วยเหลือของเทพเฮอร์มีส)เพื่อไถ่ร่างของบุตรชายคืน
อคิลลีสเกิดความสงสารจึงคืนให้ บทกวีจบลงที่การพิธีศพของเฮกเตอร์
เหตุการณ์หลังจากอีเลียด-ตอนจบของอีเลียดเต็มไปด้วยลางร้ายมากมายอันเนื่องจากการเสียชีวิตของเฮกเตอร์และดูเหมือนว่าชะตาของกรุงทรอยได้มาถึงจุดจบแต่โฮเมอร์มิได้แสดงรายละเอียดของการล่มสลายของกรุงทรอยไว้รายละเอียดของการล่มสลายสามารถดูเพิ่มเติมได้จาก สงครามเมืองทรอยส่วนกวีนิพนธ์ของโฮเมอร์อีกเรื่องหนึ่งคือโอดิสซีย์เล่าถึงเหตุการณ์ระหว่างการเดินทางกลับบ้านของโอดิซูสหลังจากเสร็จศึกกรุงทรอยกวีนิพนธ์ทั้งสองเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันแต่ไม่ได้ต่อเนื่องกัน
-2.ปรัชญานิพนธ์ ของ โสเครตีสเพลโตและอริสโตเติล
2.1)โสคราติสเกิดที่กรุงเอเธนส์เมื่อ470ปีก่อนคริสตกาลเคยได้เข้าร่วมในการทำสงครามเปลโอปอนนีเซียนหลังจากนั้นเขาอุทิศเป็นผู้สอนวิชาตรรกวิทยา“Know Thyself”ตามสถานที่สาธารณะต่างๆวิธีการสอนของท่านคือการตั้งคำถามและตอบเมื่ออายุ70 ปีโสคราติสต้องโทษตามกฎหมายกรีซให้ดื่มยาพิษ
2.2)เพลโตเกิดที่กรุมเอเธนส์เมื่อ428ปีก่อนคริสตกาลท่านเป็นลูกศิษย์ของโสคราติสที่เคารพและเทิดทูลโสคราติสมากเพลโตได้ตั้งวิทยาลัยสอนวิชาวิทยาศาสตร์และปรัชญาขึ้นเป็นแห่งแรกในกรุงเอเธนส์เมื่อ387ปีก่อนคริสต์ศักราชผลงานเขียนของเพลโตเป็นคำสอนรูปของบทสนทนาในหนังสือชื่อThe Republicของเพลโตท่านแยกพลเมืองออกเป็น3กลุ่มคือประชาชนทหารและผู้ปกครองประเทศเพลโตเป็นผู้ให้หลักการพื้นฐานเกี่ยวกับอธิปไตยไว้อย่างชัดเจนว่า หญิงและชายมีฐานะเท่าเทียมกันและจะต้องได้รับการศึกษาเหมือนกันรัฐจะต้องจัดการแต่งงานให้ประชาชนเด็กแรกเกิดจะถูกแยกจากพ่อแม่เพื่อประชาชนจะได้ไม่มีความผูกพันเป็นส่วนตัวเพื่อให้ประชาชนมีความรู้สึกในความเป็นเจ้าของรัฐแต่เพียงอย่างเดียว
2.3)อริสโตเติลเกิดที่เมืองสตากิราแคว้นมาซีโดเนียเมื่อ384ปีก่อนคริสตกาลท่านเดินทางไปเอเธนส์เพื่อศึกษาวิชาปรัชญาที่สำนักของเพลโตเมื่อ367ปีก่อนคริสตกาลและพำนักอยู่ที่นั่นเป็นเวลา20ปีจนกระทั่งเพลโตถึงแก่กรรมจึงเดินทางไปเผยแพร่คำสอนตามหลักปรัชญาของเพลโตในที่ต่างๆเป็นเวลา10ปีแล้วจึงตั้งสำนักศึกษาของท่านเองชื่อว่าThe Lyceumนาน12ปี
อริสโตเติลเป็นนักคิดคนแรกที่ค้นพบวิชาตรรกวิทยาโดยอาศัยข้อเท็จจริง2ข้อสนับสนุนกันและกันเช่นความดีทุกอย่างควรสรรเสริญและความกรุณาก็เป็นความดีอันหนึ่งฉะนั้นความกรุณาจึงควรได้รับการสรรเสริญด้วยเป็นต้น
-3.ประวัติศาสตร์นิพนธ์ ของเฮโรโดตัสและธูซิดิดีส
เฮโรโดตัสเขียนประวัติของสงครามเปอร์เซีย ธูซิดิเดสเขียนประวัติสงครามเพลอปปอนเนซัส(Peloponnesian War)หลังสงครามเพลอปปอนเนซัสเซโนโฟน(Xenophon)เขียนเกี่ยวกับการผจญภัยของเขาในฐานะทหารรับจ้างต่อสู้กับเปอร์เซียช่วงที่โรมันเข้าครอบครองกรีซโพลีบิอัส(Polybius)เขียนประวัติของโรมในกรีกงานเหล่านี้เขียนในลักษณะร้อยกรอง
-4.บทสนทนาปรัชญาและสนธิสัญญา ปรัชญาที่เขียนขึ้นเป็นครั้งแรกเขียนโดยพลาโตในรูปของบทละครแบบหนึ่งคนสองคนหรือมากกว่าสนทนาต่อกันและกันต่อมาทั้งของพลาโตและศิษย์ของเขาคืออริสโตเติลได้เขียนหนังสือปรัชญาออกมาในรูปร้อยกรองที่ไม่ได้เป็นบทสนทนา
6.ละครแนวโศกนาฏกรรมและสุขนาฏกรรม
โศกนาฏกรรมเป็นเรื่องเศร้าในขณะที่ศรีสุขนาฏกรรมเป็นตลกขบขันโศกนาฏกรรมเก่าที่สุดซึ่งเรายังคงมีงานอยู่เขียนโดยแอสไครัส(Aeschylus)และยังมีโศกนาฏกรรมที่เขียนโดยโซโฟคลีสและยูริปิเดส(Euripides)ศรีสุขนาฏกรรมเก่าที่สุดที่ยังคงเหลืออยู่เขียนโดยอาริสโตฟาเนส(Aristophanes)ศรีสุขนาฏกรรมต่อมาบางเรื่องเขียนโดยเมนานเดอร์(Menander)ละครยังเขียนเป็นบทร้อยกรอง
7.กีฬา Olympic
หน้าคริสตกาลกว่า1,000ปีการแข่งขันกีฬาได้ดำเนินการกันบนยอดเขา"โอลิมปัส"ในประเทศกรีกโดยนักกีฬาจะต้องเปลือยกายเข้าแข่งขันเพื่อประกวดความสมส่วนของร่างกายและยังมีการต่อสู้บางประเภทเช่นกีฬาจำพวกมวยปล้ำเพื่อพิสูจน์ความแข็งแรงผู้ชมมีแต่เพียงผู้ชายห้ามผู้หญิงเข้าชมดังนั้นผู้ชมจะต้องขึ้นไปบนยอดเขาครั้นต่อมามีผู้นิยมมากขึ้นสถานที่บนยอดเขาจึงคับแคบเกินไปจึงทำให้ไม่เพียงพอที่จุทั้งผู้เล่นและผู้ชมได้ทั้งหมด
ดังนั้นในปีที่776ก่อนคริสตกาลชาวกรีกได้ย้ายที่แข่งขันกันที่เชิงเขาโอลิมปัสและได้ปรับปรุงการแข่งขันเสียใหม่ให้ดีขึ้นโดยให้ผู้เข้าเข่งขันสวมกางเกงพิธีการแข่งขันจึงจัดอย่างมีระเบียบเป็นทางการมีจักรพรรดิมาเป็นองค์ประธานอนุญาตให้สตรีเข้าชมการแข่งขันได้แต่ไม่อนุญาตให้เข้าแข่งขันประเภทกรีฑาที่มีการแข่งขันที่ถือเป็นทางการในครั้งแรกนี้มีกีฬาอยู่5ประเภทคือการวิ่ง กระโดด มวยปล้ำ พุ่งแหลนและขว้างจักร
ผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งๆจะต้องเล่นทั้ง5ประเภทโดยผู้ชนะจะได้รับรางวัลคือมงกุฎที่ทำด้วยกิ่งไม้มะกอกซึ่งขึ้นอยู่บนยอดเขาโอลิมปัสนั่นเองและได้รับเกียรติเดินทางท่องเที่ยวไปทุกรัฐในฐานะตัวแทนของพระเจ้าและการแข่งขันได้จัดขึ้น ณ เชิงเขาโอลิมปัสแคว้นอีลิสที่เดิมเป็นประจำทุกๆสี่ปีและถือปฏิบัติต่อกันมาโดยไม่เว้นเมื่อถึงกำหนดการแข่งขันทุกรัฐจะต้องให้เกียรติหากว่าขณะนั้นกำลังทำสงครามกันอยู่จะต้องหยุดพักรบและมาดูนักกีฬาของตนแข่งขันหลังจากเสร็จจากการแข่งขันแล้วจึงค่อยกลับไปทำสงครามกันใหม่ประเภทของการแข่งขันได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างในระยะต่อๆมาโดยมีการพิจารณาและลดประเภทของกรีฑาเรื่อยมา อย่างไรก็ดีในระยะแรกๆนี้กรีฑา5ประเภทดังกล่าวจัดแข่งขันกันในครั้งแรกก็ยังได้รับเกียรติให้คงไว้ซึ่งเรียกกันว่า"เพ็นตาธรอน"หรือ"ปัญจกรีฑา"ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรำลึกถึงกำเนิดของกรีฑาในปัจจุบันก็ยังมีการแข่งขันกันอยู่แต่ประเภทของปัญจกรีฑาได้เปลี่ยนตามยุคและกาลสมัย
8.วิทยาศาสตร์ของกรีกโบราณ
ชาวกรีกสนใจมากในวิทยาศาสตร์ในฐานะเป็นวิธีของการจัดระเบียบโลกและจัดลำดับออกมาจากความยุ่งเหยิงสับสนและมีพลังอำนาจเหนือสิ่งที่มีอำนาจบางอย่างเช่นมหาสมุทรหรือลมฟ้าอากาศ(weather)ชายกรีกจำนวนมากใช้เวลาในการสังเกตดาวเคราะห์และดวงอาทิตย์และพยายามมองภาพการทำงานของดาราศาสตร์ชาวกรีกต้องนำบทเรียนแรกมาจากชาวบาบิโลเนียน ซึ่งเป็นผู้มีความสนใจและมีความรู้ดีในเรื่องดาราศาสตร์
ปิธากอรัส(Pythagoras)ได้สนใจในการค้นหารูปแบบและกฎในคณิตศาสตร์และดนตรี
และสร้างความคิดในการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์แม้ว่าตามปกติแล้วสตรีกรีกไม่ได้รับการยินยอมให้ศึกษาวิทยาศาสตร์ปิธากอรัสได้ให้สตรีบางคนเข้ามาเป็นศิษย์ของเขาได้โสกราตีสหลังต่อมาเล็กน้อยได้พัฒนาวิธีตรรกะในการตัดสินว่าบางสิ่งเป็นจริงหรือไม่
อริสโตเติล(Aristotle) และนักปรัชญาอื่นที่ลีเซียม(Lyceum)และอคาเดมี(Academy)ในเอเธนส์ได้สังเกตพืชและสัตว์และจัดจำแนกประเภทพืชและสัตว์นี่เป็นวิธีการสร้างระเบียบออกมาจากความสับสนอีกด้านหลังจากอริสโตเติล(Aristotle)ใช้ความคิดของเขากับความคิดจากชาวอียิปต์
เปอร์เซีย และอินเดีย ฮิปโปเครตีส(Hippocrates)และแพทย์กรีกอื่นๆเขียนตำราการแพทย์ที่สำคัญซึ่งใช้มาเป็นเวลาหลายร้อยปี
จัดทำโดยม.6/2
1.น.ส.พิกุล นึกกระโทก
เลขที่7
2.น.ส.อัยญารัตน์
กองเงิน เลขที่22
3.น.ส.ภานุมาศ เกิดโภคา
เลขที่23
4.น.ส.สรรศิริ
เพริศพรายวงศ์ เลขที่27
5.นายปฏิพัทธ์ ทองวิลา
เลขที่30