century 3
ประวัติผู้ประพันธ์เพลง
3. อีกอร์ สตราวินสกี (Igor Stravinky,1882-1971)
credit http://www.lks.ac.th/band/page14_1_clip_image006.jpg
ผู้ประพันธ์เพลงชาวรัสเซียโดยกำเนิด เกิดวันที่ 17 มิถุนายน1882 ที่เมือง
โลโมโนซอบใกล้กับเมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กแล้วย้ายมาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส
จากนั้นย้ายมาตั้งรกรากที่สหรัฐอเมริกา พ่อเป็นนักร้องโอเปร่าประจำ
เมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์กและหวังที่จะได้เห็นลูกเรียนจบกฎหมายและ
ทำงานราชการ ชีวิตในตอนเริ่มต้นของสตราวินสกีคล้ายกับ
ไชคอฟสกี้ (Tchaikovsky) ตรงที่ได้เรียนเปียโนตั้งแต่วัยเด็กโดยที่บิดามารดา
ไม่ได้หวังให้เอาดีทางดนตรีดังที่กล่าวข้างต้น เขาได้เรียนการประพันธ์ดนตรีกับ
ริมสกี้ คอร์ชาคอฟ (Rimsky - Korsakov) งานของสตราวินสกีมีหลายสไตล์เช่น
Neo – Classic คำว่า “Neo”แปลว่า “ใหม่” งานสไตล์ “คลาสสิกใหม่” กล่าวคือ
คลาสสิกที่คงแบบแผนการประพันธ์เดิมแต่มีทำนองเสียงประสาน ฯลฯ
สมัยใหม่ นอกจากนี้ก็มีสไตล์ อิมเพรสชั่นนิส (Impressionis) ซึ่งมีหลักการสอดคล้องกับงาน
นามธรรม (Abstractionism) ทางจิตรกรรมผลงานแต่ละชิ้นของสตราวินสกีไม่มีซ้ำกันเลยแม้จะเป็น
สไตล์เดียวกันก็ตาม เขาพยายามแทรกแนวคิดใหม่ ๆ ในการประสานเสียง การใช้จังหวะลีลาแปลก ๆ และการเรียบเรียงแนว
บรรเลงให้เกิดเสียงที่มีสีสรรอันประหลาดลึกล้ำและเขาก็ทำงานด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างสมเหตุสมผลมีผู้กล่าวในทำนองที่ว่า
ทฤษฎีที่ผิดของสตาวินสกีนั้นเป็นทฤษฎีที่ถูกต้อง เขาเองมีความเชื่อว่าเสียงดนตรีทุกเสียงมีความบริสุทธิ์และมีความสำคัญในตัวมันเอง
เท่าเทียมกันหมดในทุกกรณี สตาวินสกีมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของวงการดนตรีก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่1ด้วยผลงาน
เพลงประกอบบัลเล่ท์ The Firebird, Petrushka, และ The Rite of Spring (Le sacre du Printemps)เป็นเพลงประกอบบัลเล่ย์เริ่ม
การประพันธ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1910 เขียนไปเรื่อย ๆ กระทั่งวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1913 จึงเขียนเสร็จให้นักดนตรีฝึกซ้อมแล้ว
นำออกแสดงครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1913 ณ The Theatre des Champs-Elysees
กรุงปารีส โดยมีปิแอร์ มองตัว (Pierre Monteux) เป็นผู้ควบคุมการบรรเลงThe Rite of Spring สร้างความตระหนกตกใจให้
กับผู้ชมเป็นอย่างมากเพราะเป็นการล้มล้างความคิดเก่า ๆ ลงอย่างสิ้นเชิง บทเพลงใช้หลายบันไดเสียงในเวลาเดียวกัน ใช้จังหวะที่เปลี่ยน
ไปตลอดเวลา นับเป็นการแหกคอก แม้ผู้ฟังในปารีสเองยังทนไม่ได้ เล่ากันว่ามีจลาจลย่อย ๆ เลยทีเดียวที่มีการบรรเลงดนตรีแหกคอกครั้งนั้น
นอกจากนี้ยังมีเพลงที่ได้รับความนิยมได้แก่ Symphony in three movements, Ebony concerto (Rhapsody concerto),
Ragtime, The Song of the nightingale,Piano – Rag – Music
สตาวินสกีประพันธ์ดนตรีจนกระทั่งวาระสุดท้าย เขาสิ้นชีวิตด้วยโรคหัวใจวายเมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ1971 ที่เมืองนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมอายุได้ 89 ปี นับว่าเป็นคีตกวี ที่อายุยืนมากคนหนึ่ง เข้าแจ้งความประสงค์ก่อนตายว่าอยากให้ฝังศพของเขาไว้ใกล้ ๆ หลุมศพของดีอากีเล็ฟ ที่สุสานซานมีเช็ล (San Michele) ในเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ทางการอิตาลี ให้มีการจัดขบวนแห่ศพไปตามคลองเมืองเวนิซมุ่งสู่สุสานแห่งนั้น ซึ่งมีมุมหนึ่งเป็นสุสานสำหรับคนรัสเซียโดยเฉพาะ (ไพบูลย์ กิจสวัสดิ์, 2535 : 280)
4. อัลบาน เบิร์ก (Aban Berg, 1885 - 1935)
credit http://www.lks.ac.th/band/page14_1_clip_image011.jpg
นักประพันธ์เพลงชาวออสเตรียเป็นลูกศิษย์ของโชนเบิร์กและนำเอาหลักการใช้
บันไดเสียงแบบ 12 เสียง (Atonality) มาพัฒนารูปแบบให้เป็นของ
ตนเอง เพื่อต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่าลักษณะบันไดเสียงแบบนี้
สามารถนำมาใช้ในการประพันธ์เพลงให้มีลักษณะเป็นดนตรีที่มี
ความไพเราะสวยงามและเต็มไปด้วยอารมณ์ในปัจจุบัน เบิร์กเป็นที่
รู้จักในฐานะผู้ประพันธ์เพลงประเภทโอเปร่าและไวโอลินคอนแชร์โต
(ณรุทธ์ สุทธจิตต์,2535 : 180)
5. เซอร์ไก โปรโกเฟียฟ (Sergei Prokofiev, 1891-1953)
credit http://www.lks.ac.th/band/page14_1_clip_image013.jpg
นักประพันธ์เพลงชาวรัสเซียเกิดวันที่ 23 เมษายน 1891 ทาง ภาคใต้ของรัสเซีย เริ่มเรียนเปียโนจากมารดาตั้งแต่เด็ก
ต่อจากนั้นไม่นานนักเขาก็สามารถประพันธ์ดนตรี ทั้งประเภทดนตรีบรรเลงและดนตรีสำหรับโอเปร่า (Opera) ตั้งแต่อายุเพียง 9 ขวบ
ประวัติการสร้างสรรค์ของเขาเริ่มต้นตั้งแต่เยาว์วัย จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาเติบโตมาเป็นคีตกวีเอกคนหนึ่งของโลก
คนเราอาจเริ่มต้นดีได้ด้วยกันทั้งนั้น แต่น้อยคนที่จะยืนหยัดได้ตลอดรอดฝั่ง ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นความจริงที่ว่า “สิ่งที่พิสูจน์
คุณค่าของคนไม่ได้อยู่ที่ตอนเริ่มแต่ทว่าอยู่ที่ตอนจบ” โปรโกเฟียฟ เป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งที่ทำให้ชนรุ่นหลังควรนำมาเป็น
แบบอย่างทั้งทางด้านความวิริยะ อุตสาหะ ในการฝึกฝนดนตรีผลงานที่ประพันธ์ที่สำคัญที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุดจำนวนหนึ่ง
ถูกเขียนขึ้นซึ่งรวมทั้งซิมโฟนีหมายเลข 5 ประกอบด้วย นิทานดนตรี Peter and the Wolf บัลเลย์เรื่อง Romeo and Juliet
และโอเปร่าเรื่อง War and Peace (ไพบูลย์ กิจสวัสดิ์, 2535 :293)
แหล่งอ้างอิง:
http://www.lks.ac.th/band/page10.htm