• user warning: Duplicate entry '536306482' for key 'PRIMARY' query: INSERT INTO accesslog (title, path, url, hostname, uid, sid, timer, timestamp) values('เกิดจากศาสนา ', 'node/45603', '', '52.14.17.40', 0, 'bf866f0ce40300a3a129bdbe1975f968', 134, 1717349205) in /home/tgv/htdocs/modules/statistics/statistics.module on line 63.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:9949d306ec16f19226332ab827753bc4' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n<span style=\"color: #0000ff\">การเถลิงถวัลย์ราชสมบัติประมุขของรัฐ เปี่ยมล้นด้วยอำนาจสิทธิ์ขาดในการนำพาอาณาประชาราษฎร์ไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ทั้งยังสามารถขยายความจงรักภักดีและยำเกรงในบุญญาธิการให้บังเกิดในมวลชนทุกหมู่เหล่าทั้งในและนอกอาณาจักรได้โดยสมบูรณ์นั้นจำเป็นต้องประกอบด้วยปัจจัยสำคัญเหล่านี้คือ </span><span style=\"color: #ff0000\"> (ให้นักเรียนหาข้อมูลและอธิบายตามข้อที่กำหนด)</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span>\n</p>\n', created = 1717349225, expire = 1717435625, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:9949d306ec16f19226332ab827753bc4' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:d9a08f2f074d3f28b53e35461bc5fe88' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">ตอบ</span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\">   <span lang=\"TH\">ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว <o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์ <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">ตอบ</span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\">   <span lang=\"TH\">สันตติวงศ์ สำหรับในปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 บัญญัติว่า <o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\">“<span lang=\"TH\">ในกรณีที่ราชบัญลังก์ว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงค์ พระพุทธศักราช 2476 แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ปรัธานรัฐสภาเรียกประชุมเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอันเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ <o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง และเป็นกรณีที่พระมหากษัตย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่งให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา 22 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในกรณีนี้จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วให้ประทานรัฐสภาอันเชิญผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชเป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ (มาตรา 23)&quot; <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">ตอบ</span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\">   <span lang=\"TH\">พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ <o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก<br />\nหรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น<br />\nเป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (</span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\">silver jubilee)<span lang=\"TH\"><br />\nครบรอบ ๕๐ ปี (</span>golden jubilee) <span lang=\"TH\">หรือครบรอบ ๖๐ ปี (</span>diamond<span lang=\"TH\"> </span>jubilee)<span lang=\"TH\"> แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป<br />\nตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป<br />\nเช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา <o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน &quot;เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐&quot; ของรัชกาลที่ ๔<br />\nดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้ <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">&quot;ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ<br />\nจะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา<br />\nเมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา<br />\nณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]<br />\nพระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ<br />\nเพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร<br />\nกรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ<br />\nรู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา<br />\nก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง...&quot;๑ <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕<br />\nเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />\nเป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nเป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ<br />\nระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑<br />\nกำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน<br />\nทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />\nไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา<br />\nเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์<br />\nและทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก<br />\nตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี<br />\nระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐</span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\">,<span lang=\"TH\">๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ <o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nเป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘<br />\nและทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔</span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\">,<span lang=\"TH\">๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้ <o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />\nพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒</span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\">,<span lang=\"TH\">๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน<br />\nเรียกชื่อว่า &quot;พระราชพิธีทวิธาภิเษก&quot; <o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑ <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้ <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">ตอบ</span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\">   <span lang=\"TH\">การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศ <o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศ เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้ <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">เครื่องสิริมงคล<br />\nเครื่องศิราภรณ์<br />\nเครื่องภูษณาภร์<br />\nเครื่องศัสตราวุธ<br />\nเครื่องราชูปโภค<br />\nเครื่องสูง<br />\nยานพาหนะ<br />\nเครื่องประโคม<br />\nพระโกศ <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">อ้างอิง <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\"><a href=\"http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759\" title=\"http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759\"><span style=\"font-size: 12pt; color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\" lang=\"EN-US\">http://www.ryt</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">9.</span><span style=\"font-size: 12pt; color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\" lang=\"EN-US\">com/s/tpd/</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">1046759</span></a> <o:p></o:p></span></p>\n', created = 1717349225, expire = 1717435625, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:d9a08f2f074d3f28b53e35461bc5fe88' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:1dd2e42fcae57ecab1829dec510f2e6c' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n<b><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #333300\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span></b>\n</p>\n<p>\n <span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\">ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพ ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"> </span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #000080\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; font-size: 16pt\"> </span><span class=\"Apple-style-span\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif\"><b>2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</b></span></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #000080\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 9pt\"></span></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #000080\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 9pt\"></span></span>\n</p>\n<p>\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #000080\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 9pt\"></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 9pt\"></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 9pt\"></span></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<span style=\"font-family: \'Cordia New\', sans-serif; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\">ก</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: black; font-size: 9pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%80%E0%B8%91%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C_%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A_2467&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"กฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467 (หน้านี้ไม่มี)\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #69951d; text-decoration: none\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt; text-decoration: none\">ฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Cordia New\', sans-serif; color: black; font-size: 16pt\"> โดยรูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตาม</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: black; font-size: 9pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81\" title=\"สิทธิของบุตรคนแรก\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #69951d; text-decoration: none\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt; text-decoration: none\">สิทธิของบุตรคนแรก</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Cordia New\', sans-serif; color: black; font-size: 16pt\">ที่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ. 2007) ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎม</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 9pt\"><b><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #000000\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span></b></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><span style=\"color: #0000ff\"><b><span style=\"color: #ff0000\"></span></b></span></span><span class=\"Apple-style-span\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #0000ff\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\"> พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง มีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์ ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132)</span>  <span lang=\"TH\">ตามหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก ในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ</span> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"><span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">ก่อนรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275 ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด</span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\">ในรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ แสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"><span lang=\"TH\">เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า จนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ จึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328 และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน</span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"><span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8 แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด เพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี การสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"><span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ มีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ ได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล เพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18 มณฑล ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา และพระราชลัญจกรแผ่นดิน</span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\"> เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน แล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว กลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\">  <span lang=\"TH\">พระมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์ แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า &quot; ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม เหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท มีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง พร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป</span> </span></span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><span style=\"color: #0000ff\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"></span></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><span style=\"color: #0000ff\"></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><span style=\"color: #0000ff\"></span></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<b><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #008080\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span></b>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<b><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #00ff00\"></span></b><span class=\"Apple-style-span\" style=\"font-family: Tahoma; color: #0000ff; font-size: x-small\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"><span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">พระราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุข ว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้ว</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\">  </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"><span lang=\"TH\"> ภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า </span>\'<span lang=\"TH\">พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร</span>\'</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\">  </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\">พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทย เป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราชอิสริยยศ อันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์ ที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\">   </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึง ทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ</span> <span lang=\"TH\">รวมความแล้วหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"><span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">ประเพณีการถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย มีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ</span>   <span lang=\"TH\"> เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์</span></span></span>\n</p>\n', created = 1717349225, expire = 1717435625, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:1dd2e42fcae57ecab1829dec510f2e6c' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:1dd2e42fcae57ecab1829dec510f2e6c' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n<b><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #333300\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span></b>\n</p>\n<p>\n <span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\">ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพ ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"> </span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #000080\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; font-size: 16pt\"> </span><span class=\"Apple-style-span\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif\"><b>2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</b></span></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #000080\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 9pt\"></span></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #000080\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 9pt\"></span></span>\n</p>\n<p>\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #000080\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 9pt\"></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 9pt\"></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 9pt\"></span></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<span style=\"font-family: \'Cordia New\', sans-serif; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\">ก</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: black; font-size: 9pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%80%E0%B8%91%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C_%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A_2467&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"กฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467 (หน้านี้ไม่มี)\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #69951d; text-decoration: none\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt; text-decoration: none\">ฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Cordia New\', sans-serif; color: black; font-size: 16pt\"> โดยรูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตาม</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: black; font-size: 9pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81\" title=\"สิทธิของบุตรคนแรก\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #69951d; text-decoration: none\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt; text-decoration: none\">สิทธิของบุตรคนแรก</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Cordia New\', sans-serif; color: black; font-size: 16pt\">ที่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ. 2007) ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎม</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; font-size: 9pt\"><b><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #000000\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span></b></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><span style=\"color: #0000ff\"><b><span style=\"color: #ff0000\"></span></b></span></span><span class=\"Apple-style-span\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #0000ff\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\"> พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง มีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์ ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132)</span>  <span lang=\"TH\">ตามหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก ในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ</span> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"><span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">ก่อนรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275 ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด</span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\">ในรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ แสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"><span lang=\"TH\">เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า จนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ จึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328 และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน</span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"><span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8 แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด เพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี การสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"><span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ มีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ ได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล เพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18 มณฑล ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา และพระราชลัญจกรแผ่นดิน</span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\"> เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน แล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว กลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\">  <span lang=\"TH\">พระมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์ แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า &quot; ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม เหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท มีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง พร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป</span> </span></span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><span style=\"color: #0000ff\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"></span></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><span style=\"color: #0000ff\"></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><span style=\"color: #0000ff\"></span></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<b><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #008080\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span></b>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin: 0in 0in 10pt\">\n<b><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #00ff00\"></span></b><span class=\"Apple-style-span\" style=\"font-family: Tahoma; color: #0000ff; font-size: x-small\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"><span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">พระราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุข ว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้ว</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\">  </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"><span lang=\"TH\"> ภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า </span>\'<span lang=\"TH\">พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร</span>\'</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\">  </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\">พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทย เป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราชอิสริยยศ อันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์ ที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\">   </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึง ทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ</span> <span lang=\"TH\">รวมความแล้วหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: black; font-size: 16pt\"><span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">ประเพณีการถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย มีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ</span>   <span lang=\"TH\"> เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์</span></span></span>\n</p>\n', created = 1717349225, expire = 1717435625, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:1dd2e42fcae57ecab1829dec510f2e6c' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:2678c0b75e4825588c33d3ccae8b620d' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><b><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #333300\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span></b></p>\n<p> <span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพ ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"> </span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\"><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #000080\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"> </span><span class=\"Apple-style-span\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif\"><b>2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</b></span></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\"><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #000080\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\"></span></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\"><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #000080\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\"></span></span></p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #000080\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\"></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\"></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\"></span></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Cordia New\', sans-serif; color: black\"> <span lang=\"TH\">ก</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: black\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%80%E0%B8%91%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C_%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A_2467&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"กฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467 (หน้านี้ไม่มี)\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\"><span style=\"font-size: 16pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">ฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Cordia New\', sans-serif; color: black\"> โดยรูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตาม</span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: black\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81\" title=\"สิทธิของบุตรคนแรก\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\"><span style=\"font-size: 16pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">สิทธิของบุตรคนแรก</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Cordia New\', sans-serif; color: black\">ที่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ. 2007) ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎม</span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\"></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\"></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\"></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\"><b><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #000000\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span></b></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\"><span style=\"color: #0000ff\"><b><span style=\"color: #ff0000\"></span></b></span></span><span class=\"Apple-style-span\" style=\"font-family: Tahoma, sans-serif; color: #0000ff\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"> <span lang=\"TH\"> พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง มีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์ ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132)</span>  <span lang=\"TH\">ตามหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก ในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ</span> </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">ก่อนรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275 ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"> <span lang=\"TH\">ในรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ แสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\"> </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><span lang=\"TH\">เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า จนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ จึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328 และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8 แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด เพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี การสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\"> </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ มีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ ได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล เพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18 มณฑล ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา และพระราชลัญจกรแผ่นดิน</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"> <span lang=\"TH\"> เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน แล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว กลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\"> </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">  <span lang=\"TH\">พระมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์ แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า &quot; ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม เหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท มีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง พร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป</span> </span></span></p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\"><span style=\"color: #0000ff\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\"></span></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\"><span style=\"color: #0000ff\"></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\"><span style=\"color: #0000ff\"></span></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\"><b><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #008080\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span></b></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\"><b><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #00ff00\"></span></b><span class=\"Apple-style-span\" style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma; color: #0000ff\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">พระราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุข ว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้ว</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\"> </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">  </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><span lang=\"TH\"> ภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า </span>\'<span lang=\"TH\">พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร</span>\'</span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\"></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">  </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"> <span lang=\"TH\">พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทย เป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราชอิสริยยศ อันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์ ที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\"> </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">   </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"> <span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึง ทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ</span> <span lang=\"TH\">รวมความแล้วหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\"> </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">ประเพณีการถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย มีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ</span>   <span lang=\"TH\"> เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์</span></span></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><span style=\"font-size: x-small\"><span style=\"font-family: Tahoma\"><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><span lang=\"TH\"></span></span></span></span></span></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"font-size: x-small\"><span style=\"font-family: Tahoma\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span lang=\"TH\"><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #ff99cc\"> อ้างอิง : <u style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none\"><a href=\"http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none\">http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%</a> </u></span></span></span></span></span></span></p>\n', created = 1717349225, expire = 1717435625, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:2678c0b75e4825588c33d3ccae8b620d' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:b37e4b593f6baf26ed770654c905b18e' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: blue; font-size: 14pt\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> </span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><br />\nแก่นแท้ของมันคือการที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยในสังคมไม่ยอมรับอำนาจรัฐ ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐอีกต่อไป อย่างน้อยก็ในทางการเมืองนี่เป็นการฟาดตรงหัวใจของอำนาจรัฐ เพราะโดยเนื้อแท้แล้วอำนาจรัฐจะทำงานได้ต้องตั้งอยู่บนการยินยอม-ยอมรับ (</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">consent)<span lang=\"TH\"> ของผู้คน ไม่ใช่การใช้กำลังข่มขู่บังคับ (</span>coercion)<span lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> <span lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><br />\n</span></p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">ไม่<br />\nมีรัฐที่ไหนกุมปืนจ่อหัวผู้คนพลเมืองทุกคนทั่วประเทศให้ทำตามคำสั่งได้<br />\nส่วนใหญ่ที่สุดรัฐดำเนินงานต่อไปได้ก็เพราะคนส่วนข้างมากยอมรับอำนาจรัฐและ<br />\nยินยอมทำตามคำสั่งของรัฐเอง <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> <span lang=\"TH\"> </span></span></p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><br />\nรัฐ<br />\nที่อำนาจเข้มแข็งคือรัฐที่ผู้คนพลเมือง (รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐเอง)<br />\nให้การยอมรับสูงและยินยอมทำตามคำสั่งรัฐโดยดุษณีไม่มีข้อแม้หรือกระทั่งทำ<br />\nตามอย่างแข็งขันโดยรัฐมิพักต้องใช้กำลังข่มขู่บังคับหรือใช้ก็เพียงเล็กน้อย <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> <span lang=\"TH\"> </span></span></p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><br />\nในทางตรงข้าม รัฐที่อำนาจอ่อนแอคือรัฐที่ถูกผู้คนพลเมือง (รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ) ปฏิเสธ ไม่ยอมนับถือว่าเป็นรัฐของตัว และดิ้นรนขัดขืนเฉื่อยเนือยเกียร์ว่างต่อคำสั่งของรัฐทุกวิถีทาง <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> </span> </p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><br />\nตามความหมายนี้ ในช่วงเดือนกว่าที่ผ่านมา อำนาจรัฐกำลังอ่อนแอลงอย่างรวดเร็วและถูกท้าทายหนักขึ้นทุกที <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> <span lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><br />\n</span></p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">รัฐบาลอภิสิทธิ์สูญเสียการยินยอม-ยอมรับของสังคมไปอย่างมากหลังเกิดเหตุเมษาฯวิปโยคเมื่อคืนวันที่ 10 เมษายนศกนี้ <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> <span lang=\"TH\"> </span></span></p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> </span></p>\n<p>\n<br />\nก่อน<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><br />\nหน้านั้น<br />\nรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ถูกตั้งคำถามท้าทายเรื่องความชอบธรรมของที่มาแห่งอำนาจ<br />\nอยู่บ้างเพราะถึงแม้มันจะเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกระบวนการรัฐสภา<br />\nแต่ก็ดูไม่ชอบมาพากลที่บรรดาตัวแทนพรรคร่วมไปประชุมก่อตั้งรัฐบาลกันขึ้นใน<br />\nค่ายทหารและอาศัยกลุ่มการเมืองที่แปรพักตร์เป็นฐานพลิกคะแนนเสียงในสภา</span>\n</p>\n<p></p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span></p>\n<p>\n<br />\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">แต่จุดด่างพร้อยนี้เทียบไม่ได้เลยกับความผิดพลาดสาหัสร้ายแรงที่เกิดขึ้นในการตัดสินใจสั่งการใช้กำลังทหารเข้า &quot;ขอ<br />\nยึดพื้นที่คืน&quot; จากที่ชุมนุมของ นปช. บนถนนราชดำเนินในเวลากลางคืน<br />\nจนส่งผลให้มีประชาชนผู้ชุมนุมและทหารรวมทั้งผู้สื่อข่าวต่างประเทศเสียชีวิต<br />\nรวม 25 คน และบาดเจ็บกว่า 800 คน โดยที่ในจำนวนนี้บาดเจ็บสาหัสนับร้อยและหลายคนอาจต้องพิการหรือทุพพลภาพไปตลอดชีวิต <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> <span lang=\"TH\"> </span></span>\n</p>\n<p></p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><br />\nขณะ<br />\nที่การสอบสวนสืบหาผู้ใช้อาวุธสังหารในคืนนั้นต้องดำเนินต่อไปเพื่อหาคนผิดมา<br />\nรับโทษตามกฎหมาย<br />\nรัฐบาลเองจักต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตนอย่าง<br />\nเต็มที่ไม่ว่าใครเป็นคนยิงก็ตาม-ไม่วันนี้ก็วันใดวันหนึ่งข้างหน้าอย่างแน่<br />\nนอน <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> <span lang=\"TH\"> </span></span></p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><br />\nถ้าก่อนหน้านั้นความชอบธรรมของรัฐบาลอภิสิทธิ์ดูคลุมเครือไม่ชัดเจน หลังคืนนองเลือดวันที่ 10 เมษายน มันก็พังพินาศแหลกลาญไม่มีชิ้นดีต่อหน้าต่อตาคนทั้งประเทศและทั่วโลก <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> </span> </p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><br />\n<b>สำหรับ<br />\nผู้ชุมนุมเรือนพันเรือนหมื่นและญาติมิตรครอบครัว<br />\nจะให้พวกเขายอมรับรัฐบาลอภิสิทธิ์ว่าเป็นรัฐบาลของพวกเขา<br />\nและยอมทำตามคำสั่งของรัฐบาลได้อย่างไร<br />\nในเมื่อพวกเขาอดรู้สึกไม่ได้ว่ากลางดึกชุ่มเลือดคืนนั้นรัฐบาลดูจะมุ่งเอา<br />\nชีวิตของเขาและคนที่เขารัก<br />\nและก็ได้เอาชีวิตของผู้ร่วมชุมนุมกับเขาไปนับสิบๆ คน</b></span><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">?</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> <span lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><br />\n</span></p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">หลังเมษาฯวิปโยค รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: red; font-size: 14pt\">สูญเสียสิทธิอำนาจทางศีลธรรมหรือสิทธิธรรมที่จะปกครอง (</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: red; font-size: 14pt\">the moral authority to rule)<span lang=\"TH\"> </span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">ไปแล้วสำหรับรัฐๆ หนึ่ง นี่เป็นวิกฤตอย่างยิ่งและยากมากที่จะธำรงรักษาการยอมรับ-ยินยอมของผู้คนพลเมือง รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐเองไว้ต่อไปนี่คือที่มาสำคัญที่สุดของกระแสคลื่นการปฏิเสธอำนาจรัฐปัจจุบันทางออกก็คือต้องหาทางประกอบ</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: red; font-size: 14pt\">สร้างสิทธิอำนาจทางศีลธรรมหรือสิทธิธรรมที่จะปกครองขึ้นมาใหม่ (</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: red; font-size: 14pt\">reconstitution of the moral authority to rule)<span lang=\"TH\"> เพื่อให้ผู้คนพลเมืองกลับมายอมรับใหม่ว่านี่เป็นรัฐบาลของพวกเขา และยอมทำตามคำสั่งของรัฐบาลอีกครั้ง</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> </span> </p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: blue; font-size: 14pt\">2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: black; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: black; font-size: 14pt\">การสืบสันติวงค์ หมายถึง การสืบทอดราชบัลลังก์ คือ<br />\nตำแหน่งกษัตริย์ของเจ้านายในราชวงศ์เดียวกัน<br />\nส่วนใหญ่เป็นการสืบทอดจากพ่อไปสู่ลูกชาย<br />\nยกเว้นในกรณีที่กษัตริย์พระองค์นั้นไม่มีพระโอรส หรือโอรสยังทรงพระเยาว์<br />\nตำแหน่งกระกษัตริย์จะสืบทอดไปยังพระอนุชา<br />\nโดยเฉพาะอนุชาองค์นั้นได้บำเพ็ญคุณประโยชน์แก่บ้านเมือง<br />\nเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาราษฎร์ก็จะเป็นที่ยอมรับโดยไม่มีอุปสรรคข้อขัดแย้ง</span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: black; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: blue; font-size: 14pt\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> </span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\">พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์</span> <span lang=\"TH\">นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธี <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">ที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษกหรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้นเป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> <span lang=\"TH\">ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (</span>silver<span lang=\"TH\"> </span>jubilee)<span lang=\"TH\">ครบรอบ ๕๐ ปี (</span>golden<span lang=\"TH\"> </span>jubilee)<span lang=\"TH\"> หรือครบรอบ ๖๐ ปี (</span>diamond jubilee)<span lang=\"TH\"> แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรปตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไปเช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา</span> <span lang=\"TH\">ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน &quot;เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐&quot; ของรัชกาลที่ ๔ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้</span>  <span lang=\"TH\">&quot;ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบจะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃาเมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนาณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณเพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักรกรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศรู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃาก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง...&quot;</span></span> </p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"></span></span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบันแต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">  <span lang=\"TH\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖</span> <span lang=\"TH\">ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้</span>  <span lang=\"TH\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙</span> <span lang=\"TH\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกันทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม</span> <span lang=\"TH\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง</span> <span lang=\"TH\">ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยาเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท</span>  <span lang=\"TH\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษกตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง</span> <span lang=\"TH\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐</span>,<span lang=\"TH\">๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘</span>  <span lang=\"TH\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔</span>,<span lang=\"TH\">๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้</span> <span lang=\"TH\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒</span>,<span lang=\"TH\">๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายนเรียกชื่อว่า &quot;พระราชพิธีทวิธาภิเษก&quot;</span> <span lang=\"TH\">พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยากำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา</span> <span lang=\"TH\">พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก</span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"></span></span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทยกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> <span lang=\"TH\">หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้</span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"></span></span>\n</p>\n<p><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">4.</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: blue; font-size: 14pt\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: blue; font-size: 14pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> </span></b><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">   </span> </p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\">เครื่องราชอิสริยยศ หมายถึง เครื่องหมายแสดงเกียรติยศ เครื่องประกอบเกียรติยศ<br />\nแสดงถึงความสำคัญของตำแหน่งหน้าที่และบำเหน็จความชอบที่พระมหากษัตริย์ทรง<br />\nพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่ผู้ที่กระทำความดีความชอบในราชการแผ่นดิน<br />\nซึ่งแต่ครั้งโบราณได้มีระเบียบประเพณียึดถือเพื่อพระราชทานแก่พระบรมวงศานุ<br />\nวงศ์ ราชตระกูล ขุนนาง ข้าราชการที่มีตำแหน่งหน้าที่<br />\nหรือผู้ที่มีความชอบต่อแผ่นดินให้ปรากฏตามยศชั้นและฐานันดรศักดิ์เหล่านั้น<br />\nเครื่องยศทำด้วยวัสดุที่สูงค่างดงามด้วยฝีมือช่างโบราณที่มีความประณีต<br />\nวิจิตรบรรจงมีรูปลักษณ์และลวดลายที่แตกต่างกันตามลำดับชั้นยศ<br />\nเมื่อมีงานสำคัญผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องยศสามารถแต่งกายและนำเครื่องยศ<br />\nไปตั้งเป็นเกียรติยศ และใช้สอยได้ต่อหน้าพระพักตร์ภายในท้องพระโรง<br />\nโดยมีการจำแนกเครื่องยศออกเป็น 7 หมวด ดังนี้ </span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">1. หมวดเครื่องสิริมงคล</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> </span></p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">ได้แก่ สังวาลและแหวนนพรัตน์ ประคำ 108 เม็ด ตะกรุด สายดิ่ง โดยบางอย่างไม่ใช่เพียงแต่เป็นเครื่องสิริมงคลอย่างเดียว ยังหมายถึงความสำคัญอันยิ่งยวดด้วย สำหรับประคำ 108 เม็ดและสายดิ่งนั้น พระราชทานให้เป็นเครื่องเตือนใจผู้ได้รับ ให้ปกครองตนและปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรม </span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">2. หมวดเครื่องศิราภรณ์</span></b> </p>\n<p>\n<b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span></b>\n</p>\n<p><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span></p>\n<p>\n<br />\nพระราชทานจำกัดอยู่ในบรรดาผู้มีอิสริยศักดิ์สูง ได้แก่ พระมงกุฎ พระชฎา<br />\nพระราชทานเฉพาะเจ้านายในขัตติยราชสกุล<br />\nพระมาลาเส้าสูงมียี่ก่าประดับขนนกการเวกสำหรับราชสกุลชั้นเจ้าฟ้า<br />\nมาลาเส้าสะเทิ้นไม่มียี่ก่าสำหรับเจ้าพระยา ส่วนหมวกทรงประพาส<br />\nพระราชทานแก่ข้าราชการตำแหน่งผู้ว่าราชการเมือง<br />\nสำหรับเจ้าเมืองทางใต้ที่นับถือศาสนาอิสลาม<br />\nจะพระราชทานผ้าโพกศีรษะแทนหมวกทรงประพาส\n</p>\n<p></p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">3. หมวดเครื่องภูษณาภรณ์</span></b> </p>\n<p>\n<b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span></b>\n</p>\n<p><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span></p>\n<p>\n<br />\nได้แก่ เสื้อที่พระราชทานตามลำดับของชั้นยศ มีหลายแบบ<br />\nบางชั้นก็เดินดิ้นทองเป็นริ้วที่แขนที่คอ อาทิ เสื้อครุย<br />\nทำด้วยผ้ากรองทองหรือกรองเงิน ปักดิ้นทองเป็นดอกดวงหรือเป็นลายต่างๆ เช่น<br />\nลายก้านแย่ง ลายดอกกระจาย เป็นต้น นอกจากนั้น ก็มีผ้านุ่งสนับเพลา รัดประคด<br />\nหรือผ้าคาดเอว\n</p>\n<p></p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">4. หมวดเครื่องศาสตราวุธ</span></b> </p>\n<p>\n<b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span></b>\n</p>\n<p><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span></p>\n<p>\n<br />\nได้แก่ หอก ง้าว ปืน กั้นหยั่น ดาบ หรือกระบี่<br />\nโดยกระบี่ที่พระราชทานเป็นเครื่องยศนั้นมีหลายชนิด เช่น<br />\nตัวกระบี่ตีในรูปแบบธรรมดาบ้าง ทำเป็นสันปรุ คือ<br />\nปรุเนื้อเหล็กสันดาบให้เป็นลวดลายต่างๆ กัน เป็นต้น<br />\nฝักกระบี่มีทั้งฝักที่เรียกว่า บั้งเงิน บั้งทอง ฝักนาก ฝักทองคำเกลี้ยง<br />\nฝักทองคำจำหลักลาย และฝักทองคำลงยาราชาวดี<br />\nลักษณะของฝักก็มีทั้งชนิดที่เป็นรูปนาคเศียรเดียว นาคสามเศียร และรูปดอกบัว\n</p>\n<p></p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">5. หมวดเครื่องอุปโภค</span></b> </p>\n<p>\n<b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span></b>\n</p>\n<p><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span></p>\n<p>\n<br />\nเป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น พานหมาก หีบหมาก คนโท เจียด กาน้ำ<br />\nขันน้ำ ที่ชา กระโถน เป็นต้น<br />\nโดยการพระราชทานจะต่างกันในเรื่องของวัสดุที่ใช้ผลิต ได้แก่<br />\nเครื่องอุปโภคทองคำลงยาราชาวดีจะพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์<br />\nและสามัญชนที่ดำรงตำแหน่งสมเด็จเจ้าพระยาจนถึงพระอัครมเหสี<br />\nเครื่องอุปโภคทองคำลายสลักจะพระราชทานแก่พระองค์เจ้าต่างกรมลงมาจนถึงผู้<br />\nดำรงตำแหน่งพระยา<span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">  <span lang=\"TH\"> </span></span>\n</p>\n<p></p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">6. หมวดเครื่องสูง</span></b> </p>\n<p>\n<b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span></b>\n</p>\n<p><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span></p>\n<p>\n<br />\nได้แก่ ฉัตร อภิรุมชุมสาย บังสูรย์ บังแทรก จามร กลด พัดโบก ฉัตรเบญจา<br />\nสัปทน กรรชิง และธงทิวต่างๆ เครื่องยศหมวดนี้<br />\nบางอย่างเป็นเครื่องแสดงอิสริยยศ บางอย่างเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศ<br />\nส่วนมากใช้เมื่อผู้มียศไปโดยกระบวนแห่<br />\nบางอย่างตั้งหรือแขวนประกอบเกียรติยศศพ และบางอย่างใช้ในกระบวนแห่ศพ\n</p>\n<p></p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">7.</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> <b>หมวดยานพาหนะ</b></span> </p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><strong></strong></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><strong></strong></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><br />\nได้แก่ ราชรถ พระวอสีวิกากาญจน์ เสลี่ยง แคร่กัญญา<br />\nเครื่องยศหมวดนี้มีการพระราชทานมาแต่โบราณ พระวอสีวิกากาญจน์<br />\nเป็นยานพาหนะสำหรับพระราชวงศ์ฝ่ายในชั้นสูง มีลักษณะคล้ายกับแคร่กัญญา<br />\nแต่จะมีม่านทองสำหรับปิดกั้นไม่ให้คนภายนอกสามารถมองเห็นเจ้านายฝ่ายในได้<br />\nเสลี่ยงและแคร่กัญญามีลักษณะแตกต่างกัน คือ เสลี่ยง<br />\nเป็นคานหามเปิดไม่มีหลังคา แคร่กัญญา หมายถึงคานหามประเภทมีหลังคา<br />\nขุนนางผู้ใหญ่บางตำแหน่งอาจได้รับพระราชทานทั้งสองประเภท <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">      <span lang=\"TH\">ปัจจุบัน<br />\nหลังจากที่ประเทศไทยได้ติดต่อกับตะวันตกมาตั้งแต่ช่วงต้นรัชกาลที่สี่<br />\nการพระราชทานเครื่องยศ ได้รับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา<br />\nจึงมีการสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขึ้นแทน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่สี่<br />\nที่ทำเป็นดวงดาราต่าง ๆ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการ<br />\nตราพระราชบัญญัติและสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลต่างๆ เช่น<br />\nจุลจอมเกล้า ช้างเผือก รามาธิบดี เป็นต้น การพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศ<br />\nจึงงดไป เปลี่ยนไปเป็นการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์<br />\nเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบในแผ่นดินแทน </span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: black; font-size: 14pt\">  </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> <o:p></o:p></span></p>\n', created = 1717349225, expire = 1717435625, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:b37e4b593f6baf26ed770654c905b18e' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:972e92d71d970d341250fa58a27270ad' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #ff00ff\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span></p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #3366ff\">ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพ ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม</span></p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #ff00ff\">2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</span></p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #3366ff\">กฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467 โดยรูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตามสิทธิของบุตรคนแรกที่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ. 2007) ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎม</span></p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #ff00ff\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span></p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #3366ff\">พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง มีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์ ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132) ตามหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก ในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ ก่อนรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275 ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด ในรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ แสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า จนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ จึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328 และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8 แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด เพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี การสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ มีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ ได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล เพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18 มณฑล ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา และพระราชลัญจกรแผ่นดิน เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน แล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว กลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ พระมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์ แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า &quot; ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม เหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท มีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง พร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป</span></p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #ff00ff\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span></p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #3366ff\">พระราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุข ว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้ว ภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า \'พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร\' พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทย เป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราชอิสริยยศ อันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์ ที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึง ทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ รวมความแล้วหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์ ประเพณีการถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย มีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวาย</span>ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์</p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #0000ff\"> อ้างอิง : <a href=\"http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%\" title=\"http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none\">http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%</a></span></p>\n', created = 1717349225, expire = 1717435625, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:972e92d71d970d341250fa58a27270ad' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:5b8aa98d1f799de415bfc0d4215d1e7e' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง\n</p>\n<p>\nตอบ   ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว\n</p>\n<p>\nในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน\n</p>\n<p>\nอำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม\n</p>\n<p>\n2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์\n</p>\n<p>\nตอบ   สันตติวงศ์ สำหรับในปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 บัญญัติว่า\n</p>\n<p>\n“ในกรณีที่ราชบัญลังก์ว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงค์ พระพุทธศักราช 2476 แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ปรัธานรัฐสภาเรียกประชุมเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอันเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ\n</p>\n<p>\nในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง และเป็นกรณีที่พระมหากษัตย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่งให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา 22 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในกรณีนี้จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วให้ประทานรัฐสภาอันเชิญผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชเป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ (มาตรา 23)&quot;\n</p>\n<p>\n3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ\n</p>\n<p>\nตอบ   พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์\n</p>\n<p>\nนับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก<br />\nหรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น<br />\nเป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง\n</p>\n<p>\nธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)<br />\nครบรอบ ๕๐ ปี (golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป<br />\nตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป<br />\nเช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา\n</p>\n<p>\nครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน &quot;เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐&quot; ของรัชกาลที่ ๔<br />\nดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้\n</p>\n<p>\n&quot;ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ<br />\nจะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา<br />\nเมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา<br />\nณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]<br />\nพระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ<br />\nเพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร<br />\nกรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ<br />\nรู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา<br />\nก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง...&quot;๑\n</p>\n<p>\nในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน\n</p>\n<p>\nแต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕<br />\nเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ\n</p>\n<p>\nพระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />\nเป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖\n</p>\n<p>\nในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้\n</p>\n<p>\nพระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nเป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ<br />\nระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙\n</p>\n<p>\nพระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑<br />\nกำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน<br />\nทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />\nไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม\n</p>\n<p>\nพระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง\n</p>\n<p>\nครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา<br />\nเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์<br />\nและทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท\n</p>\n<p>\nพระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก<br />\nตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี<br />\nระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง\n</p>\n<p>\nพระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘\n</p>\n<p>\nพระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nเป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘<br />\nและทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้\n</p>\n<p>\nพระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />\nพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน<br />\nเรียกชื่อว่า &quot;พระราชพิธีทวิธาภิเษก&quot;\n</p>\n<p>\nพระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา\n</p>\n<p>\nพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑\n</p>\n<p>\nหลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้\n</p>\n<p>\n4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ\n</p>\n<p>\nตอบ   การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศ\n</p>\n<p>\nเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศ เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้\n</p>\n<p>\nเครื่องสิริมงคล<br />\nเครื่องศิราภรณ์<br />\nเครื่องภูษณาภร์<br />\nเครื่องศัสตราวุธ<br />\nเครื่องราชูปโภค<br />\nเครื่องสูง<br />\nยานพาหนะ<br />\nเครื่องประโคม<br />\nพระโกศ\n</p>\n<p>\nอ้างอิง\n</p>\n<p>\n<a href=\"http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759\" title=\"http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759\">http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759</a>\n</p>\n', created = 1717349225, expire = 1717435625, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:5b8aa98d1f799de415bfc0d4215d1e7e' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:099c8dc25f9eb60ac336deb629f04cc5' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span style=\"color: #000000\" class=\"Apple-style-span\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span></p>\n<p><span style=\"color: #000000\" class=\"Apple-style-span\">ตอบ</span><span style=\"color: #000080\" class=\"Apple-style-span\"> กษัตริย์จึงมีสิทธิ์อันชอบธรรม ที่จะใช้อำนาจเหนือคนอื่นๆ ในสังคม มีฐานะเป็นเจ้าชีวิต ตลอดจนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน (เป็นเจ้าของผืนแผ่นดิน บนโลกนี้ ที่พระเจ้าสร้างขึ้น) ในฐานะเป็นตัวแทน ของพระเจ้าหรือเทพองค์นั้นๆ บนโลกมนุษย์</span></p>\n<p><span style=\"color: #339966\" class=\"Apple-style-span\">2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</span></p>\n<p><span style=\"color: #ff00ff\" class=\"Apple-style-span\">ตอบ </span><span style=\"color: #333333\" class=\"Apple-style-span\">รูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตามสิทธิของบุตรคนแรกที่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ. 2007) ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎมณเฑียรบาล โดยให้พระราชธิดาสามารถสืบราชสันติวงศ์ได้ด้วยเช่นกัน</span></p>\n<p><span style=\"color: #993366\" class=\"Apple-style-span\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span></p>\n<p> ตอบ  <span style=\"color: #ff0000\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวั</span><span style=\"color: #ff0000\" class=\"Apple-style-span\">นที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘</span></p>\n<p><span style=\"color: #ff0000\">และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้</span></p>\n<p><span style=\"color: #ff0000\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖<br />กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน<br />เรียกชื่อว่า &quot;พระราชพิธีทวิธาภิเษก&quot;</span></p>\n<p><span style=\"color: #ff0000\">พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา<br />กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา</span></p>\n<p><span style=\"color: #ff0000\">พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย<br />กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑</span></p>\n<p><span style=\"color: #ff0000\">หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้</span></p>\n<p><span style=\"color: #ffcc99\" class=\"Apple-style-span\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span></p>\n<p>ตอบ <span style=\"color: #33cccc\" class=\"Apple-style-span\">การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศ</span></p>\n<p><span style=\"color: #33cccc\" class=\"Apple-style-span\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศ เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้<br />เครื่องสิริมงคล เครื่องศิราภรณ์ เครื่องภูษณาภร์ เครื่องศัสตราวุธ เครื่องราชูปโภค เครื่องสูง ยานพาหนะ เครื่องประโคม พระโกศ</span></p>\n<p><span style=\"color: #33cccc\" class=\"Apple-style-span\">อ้างอิง <u style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none\" title=\"http://th.wikipedia.org/wiki/\">http://th.wikipedia.org/wiki/</a>  </u></span><img src=\"/sites/all/modules/tinymce/tinymce/jscripts/tiny_mce/plugins/emotions/images/smiley-cool.gif\" title=\"Cool\" alt=\"Cool\" border=\"0\" /></p>\n', created = 1717349225, expire = 1717435625, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:099c8dc25f9eb60ac336deb629f04cc5' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:2e19e334fc4c8aa6ac154be1a324cd1e' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">1.</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: blue; font-family: \'Times New Roman\',\'serif\'\">     </span><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\">สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง </span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\">เนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีการสืบเชื้อสายต่อๆไป ทำให้ราษฎรเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่สามารถยึดถือเป็นที่พึ่งทางใจได้ ทำให้กลายเป็นศูนย์รวมของคนไทยทุกคน</span><span style=\"font-size: 26pt; color: #2b3220\" lang=\"TH\">2.</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: #2b3220; font-family: \'Times New Roman\',\'serif\'\">     </span><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: 26pt; color: #2b3220\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\">มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</span><span style=\"font-size: 26pt; color: #2b3220\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 22pt; color: red\">    <span lang=\"TH\"> สืบสานทางสายเลือด</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\">3.</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: blue; font-family: \'Times New Roman\',\'serif\'\">     </span><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\">พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ </span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\">พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์</span><span style=\"font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\"><o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก<br />\nหรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น<br />\nเป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\"><span style=\"font-family: Angsana New\">silver jubilee)</span><span lang=\"TH\"><br />\n<span style=\"font-family: Angsana New\">ครบรอบ ๕๐ ปี (</span></span><span style=\"font-family: Angsana New\">golden jubilee)<span lang=\"TH\"> หรือครบรอบ ๖๐ ปี (</span>diamond<span lang=\"TH\"> </span>jubilee)</span><span lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\"> แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป<br />\nตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป<br />\nเช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา<o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน &quot;เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐&quot; ของรัชกาลที่ ๔<br />\nดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">&quot;ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ<br />\nจะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา<br />\nเมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา<br />\nณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]<br />\nพระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ<br />\nเพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร<br />\nกรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ<br />\nรู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา<br />\nก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง...&quot;๑<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕<br />\nเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ <o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />\nเป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nเป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ<br />\nระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑<br />\nกำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน<br />\nทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />\nไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา<br />\nเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์<br />\nและทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก<br />\nตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี<br />\nระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐</span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\">,<span lang=\"TH\">๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘<o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nเป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘<br />\nและทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔</span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\">,<span lang=\"TH\">๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้<o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />\nพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\"><span style=\"font-family: Angsana New\">,</span><span lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน<br />\nเรียกชื่อว่า &quot;พระราชพิธีทวิธาภิเษก&quot;<o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">อ้างอิง<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">๑ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ (ขำ บุนนาค)</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\"><span style=\"font-family: Angsana New\">,</span><span lang=\"TH\"><br />\n<span style=\"font-family: Angsana New\">กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ</span></span><span style=\"font-family: Angsana New\">,<span lang=\"TH\"> ๒๕๔๗</span>,<span lang=\"TH\"> น. ๒๗๑-๒๗๓.<o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">๒ ศิรินันท์ บุญศิริ. &quot;พระราชพิธีสำคัญในพระมหากษัตริย์สองรัชกาล : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์<br />\nพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\"><span style=\"font-family: Angsana New\">,&quot;</span><span lang=\"TH\"><br />\n<span style=\"font-family: Angsana New\">ใน เอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี<br />\nเรื่องราชอาณาจักรไทยในรอบ ๕ ทศวรรษแห่งการครองราชย์ วันที่ ๗-๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙<br />\nณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพมหานคร. น. ๓.<o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\">๓ มีพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีที่ครองราชย์นานเกิน ๒๕ ปีดังนี้ รัชกาลที่ ๑</span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\">,<span lang=\"TH\"> ๒</span>,<span lang=\"TH\"> ๓</span>,<span lang=\"TH\"> ๔</span>,<span lang=\"TH\"> ๕ และ ๙(รุ่นพี่ที่จบประวัติศาสตร์)</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\">4.</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: blue; font-family: \'Times New Roman\',\'serif\'\">     </span><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span></span><strong><span style=\"font-weight: normal; font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\"><v:shapetype u1:preferrelative=\"t\" u1:spt=\"75\" coordsize=\"21600,21600\" path=\"m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe\" filled=\"f\" stroked=\"f\" id=\"_x0000_t75\"><v:stroke joinstyle=\"miter\"></v:stroke><v:formulas><v:f eqn=\"if lineDrawn pixelLineWidth 0\"></v:f><v:f eqn=\"sum @0 1 0\"></v:f><v:f eqn=\"sum 0 0 @1\"></v:f><v:f eqn=\"prod @2 1 2\"></v:f><v:f eqn=\"prod @3 21600 pixelWidth\"></v:f><v:f eqn=\"prod @3 21600 pixelHeight\"></v:f><v:f eqn=\"sum @0 0 1\"></v:f><v:f eqn=\"prod @6 1 2\"></v:f><v:f eqn=\"prod @7 21600 pixelWidth\"></v:f><v:f eqn=\"sum @8 21600 0\"></v:f><v:f eqn=\"prod @7 21600 pixelHeight\"></v:f><v:f eqn=\"sum @10 21600 0\"></v:f></v:formulas><v:path u1:connecttype=\"rect\" u1:extrusionok=\"f\" gradientshapeok=\"t\"></v:path><o:lock u2:ext=\"edit\" aspectratio=\"t\"></o:lock></v:shapetype><v:shape u1:spid=\"_x0000_s1029\" alt=\"http://emuseum.treasury.go.th/upload/knowledge/thumbnail/56-8286.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"margin-top: 60.3pt; z-index: 1; visibility: visible; margin-left: -4.5pt; width: 118.5pt; position: absolute; height: 77.25pt\" id=\"Picture_x0020_1\"><v:imagedata u1:title=\"56-8286\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image001.jpg\"></v:imagedata><w:wrap type=\"square\"></w:wrap></v:shape>เครื่องสิริมงคล</span></strong><span style=\"font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\" lang=\"TH\"><br />\n</span><strong><span style=\"font-weight: normal; font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">เครื่องศิราภรณ์</span></strong><span style=\"font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\" lang=\"TH\"><v:shape u1:spid=\"_x0000_i1029\" alt=\"http://www.tantee.net/board/user/picture.php?board=kangzen&amp;imgname=./image/image_board/kangzen001000001000801.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"visibility: visible; width: 82.5pt; height: 93.75pt\" id=\"Picture_x0020_4\"><v:imagedata u1:title=\"kangzen001000001000801\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image003.jpg\"></v:imagedata></v:shape><br />\n</span><strong><span style=\"font-weight: normal; font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">เครื่องภูษณาภรณ์</span></strong><span style=\"font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\" lang=\"TH\"><v:shape u1:spid=\"_x0000_i1028\" alt=\"http://happyfamilyday.com/images_content/WC-46F3CE1.gif\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"visibility: visible; width: 158.25pt; height: 105pt\" id=\"Picture_x0020_10\"><v:imagedata u1:title=\"WC-46F3CE1\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image005.gif\"></v:imagedata></v:shape><o:p></o:p></span><v:shape u1:spid=\"_x0000_s1028\" alt=\"http://www.igetweb.com/www/jatukramfund/article/art_458225.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"margin-top: 36.7pt; z-index: 2; visibility: visible; margin-left: 1.5pt; width: 127.5pt; position: absolute; height: 84.75pt\" id=\"Picture_x0020_7\"><v:imagedata u1:title=\"art_458225\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image006.jpg\"></v:imagedata><w:wrap type=\"square\"></w:wrap></v:shape><strong><span style=\"font-weight: normal; font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">เครื่องศัสตราวุธ</span></strong><span style=\"font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><strong><span style=\"font-weight: normal; font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"><o:p> </o:p><o:p> </o:p><o:p> </o:p><o:p> </o:p><span lang=\"TH\">เครื่องราชูปโภค</span></span></strong><span style=\"font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\" lang=\"TH\"><br />\n<v:shape u1:spid=\"_x0000_i1027\" alt=\"http://www.siced.go.th/koratsite1.08/UserFiles/Image/May%2052/king_001.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"visibility: visible; width: 108pt; height: 84pt\" id=\"Picture_x0020_13\"><v:imagedata u1:title=\"king_001\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image008.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span><strong><span style=\"font-weight: normal; font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">เครื่องสูง</span></strong><v:shape u1:spid=\"_x0000_s1027\" alt=\"http://www.tint.or.th/nkc/nkc53/pictures/nkc53-012b.gif\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"margin-top: 1.9pt; z-index: 3; visibility: visible; margin-left: 1.5pt; width: 2in; position: absolute; height: 108pt\" id=\"Picture_x0020_16\"><v:imagedata u1:title=\"nkc53-012b\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image010.gif\"></v:imagedata><w:wrap type=\"square\"></w:wrap></v:shape><span style=\"font-size: 26pt; color: red\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><o:p> </o:p><o:p> </o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\" lang=\"TH\"><br />\n</span><strong><span style=\"font-weight: normal; font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">ยานพาหนะ</span></strong><v:shape u1:spid=\"_x0000_s1026\" alt=\"http://www.pak-soi.com/file_content/image/09241183124c.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"margin-top: 19.3pt; z-index: 4; visibility: visible; margin-left: -3pt; width: 148.5pt; position: absolute; height: 111.75pt\" id=\"Picture_x0020_19\"><v:imagedata u1:title=\"09241183124c\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image012.jpg\"></v:imagedata><w:wrap type=\"square\"></w:wrap></v:shape><span style=\"font-size: 26pt; color: red\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><o:p> </o:p><o:p> </o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><strong><span style=\"font-weight: normal; font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">เครื่องประโคม</span></strong><span style=\"font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\" lang=\"TH\"><br />\n<v:shape u1:spid=\"_x0000_i1026\" alt=\"http://bangkok-guide.z-xxl.com/wp-content/uploads/1-3.gif\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"visibility: visible; width: 163.5pt; height: 95.25pt\" id=\"Picture_x0020_22\"><v:imagedata u1:title=\"1-3\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image014.gif\"></v:imagedata></v:shape></span><strong><span style=\"font-weight: normal; font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">พระโกศ</span></strong><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\" lang=\"TH\"><v:shape u1:spid=\"_x0000_i1025\" alt=\"http://www.stks.or.th/hrh/wp-content/uploads/2008/11/progode.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"visibility: visible; width: 108.75pt; height: 187.5pt\" id=\"imgb\"><v:imagedata u1:title=\"progode\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image016.jpg\"></v:imagedata></v:shape> <o:p></o:p></span></p>\n', created = 1717349225, expire = 1717435625, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:2e19e334fc4c8aa6ac154be1a324cd1e' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:6333a8e0b8fc4887b1d830fd9ab4d785' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">1.</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: blue; font-family: \'Times New Roman\',\'serif\'\">     </span><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\">สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง </span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\">เนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีการสืบเชื้อสายต่อๆไป ทำให้ราษฎรเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่สามารถยึดถือเป็นที่พึ่งทางใจได้ ทำให้กลายเป็นศูนย์รวมของคนไทยทุกคน</span><span style=\"font-size: 26pt; color: #2b3220\" lang=\"TH\">2.</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: #2b3220; font-family: \'Times New Roman\',\'serif\'\">     </span><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: 26pt; color: #2b3220\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\">มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</span><span style=\"font-size: 26pt; color: #2b3220\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 22pt; color: red\">    <span lang=\"TH\"> สืบสานทางสายเลือด</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\">3.</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: blue; font-family: \'Times New Roman\',\'serif\'\">     </span><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\">พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ </span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\">พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์</span><span style=\"font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\"><o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก<br />\nหรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น<br />\nเป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\"><span style=\"font-family: Angsana New\">silver jubilee)</span><span lang=\"TH\"><br />\n<span style=\"font-family: Angsana New\">ครบรอบ ๕๐ ปี (</span></span><span style=\"font-family: Angsana New\">golden jubilee)<span lang=\"TH\"> หรือครบรอบ ๖๐ ปี (</span>diamond<span lang=\"TH\"> </span>jubilee)</span><span lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\"> แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป<br />\nตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป<br />\nเช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา<o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน &quot;เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐&quot; ของรัชกาลที่ ๔<br />\nดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">&quot;ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ<br />\nจะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา<br />\nเมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา<br />\nณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]<br />\nพระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ<br />\nเพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร<br />\nกรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ<br />\nรู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา<br />\nก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง...&quot;๑<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕<br />\nเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ <o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />\nเป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nเป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ<br />\nระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑<br />\nกำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน<br />\nทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />\nไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา<br />\nเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์<br />\nและทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก<br />\nตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี<br />\nระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐</span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\">,<span lang=\"TH\">๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘<o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nเป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘<br />\nและทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔</span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\">,<span lang=\"TH\">๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้<o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />\nพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\"><span style=\"font-family: Angsana New\">,</span><span lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน<br />\nเรียกชื่อว่า &quot;พระราชพิธีทวิธาภิเษก&quot;<o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">อ้างอิง<o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">๑ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ (ขำ บุนนาค)</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\"><span style=\"font-family: Angsana New\">,</span><span lang=\"TH\"><br />\n<span style=\"font-family: Angsana New\">กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ</span></span><span style=\"font-family: Angsana New\">,<span lang=\"TH\"> ๒๕๔๗</span>,<span lang=\"TH\"> น. ๒๗๑-๒๗๓.<o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">๒ ศิรินันท์ บุญศิริ. &quot;พระราชพิธีสำคัญในพระมหากษัตริย์สองรัชกาล : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์<br />\nพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\"><span style=\"font-family: Angsana New\">,&quot;</span><span lang=\"TH\"><br />\n<span style=\"font-family: Angsana New\">ใน เอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี<br />\nเรื่องราชอาณาจักรไทยในรอบ ๕ ทศวรรษแห่งการครองราชย์ วันที่ ๗-๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙<br />\nณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพมหานคร. น. ๓.<o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: 26pt; color: red\" lang=\"TH\">๓ มีพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีที่ครองราชย์นานเกิน ๒๕ ปีดังนี้ รัชกาลที่ ๑</span><span style=\"font-size: 26pt; color: red\">,<span lang=\"TH\"> ๒</span>,<span lang=\"TH\"> ๓</span>,<span lang=\"TH\"> ๔</span>,<span lang=\"TH\"> ๕ และ ๙(รุ่นพี่ที่จบประวัติศาสตร์)</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\">4.</span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: blue; font-family: \'Times New Roman\',\'serif\'\">     </span><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 26pt; color: blue\" lang=\"TH\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span></span><strong><span style=\"font-weight: normal; font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\"><v:shapetype u1:preferrelative=\"t\" u1:spt=\"75\" coordsize=\"21600,21600\" path=\"m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe\" filled=\"f\" stroked=\"f\" id=\"_x0000_t75\"><v:stroke joinstyle=\"miter\"></v:stroke><v:formulas><v:f eqn=\"if lineDrawn pixelLineWidth 0\"></v:f><v:f eqn=\"sum @0 1 0\"></v:f><v:f eqn=\"sum 0 0 @1\"></v:f><v:f eqn=\"prod @2 1 2\"></v:f><v:f eqn=\"prod @3 21600 pixelWidth\"></v:f><v:f eqn=\"prod @3 21600 pixelHeight\"></v:f><v:f eqn=\"sum @0 0 1\"></v:f><v:f eqn=\"prod @6 1 2\"></v:f><v:f eqn=\"prod @7 21600 pixelWidth\"></v:f><v:f eqn=\"sum @8 21600 0\"></v:f><v:f eqn=\"prod @7 21600 pixelHeight\"></v:f><v:f eqn=\"sum @10 21600 0\"></v:f></v:formulas><v:path u1:connecttype=\"rect\" u1:extrusionok=\"f\" gradientshapeok=\"t\"></v:path><o:lock u2:ext=\"edit\" aspectratio=\"t\"></o:lock></v:shapetype><v:shape u1:spid=\"_x0000_s1029\" alt=\"http://emuseum.treasury.go.th/upload/knowledge/thumbnail/56-8286.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"margin-top: 60.3pt; z-index: 1; visibility: visible; margin-left: -4.5pt; width: 118.5pt; position: absolute; height: 77.25pt\" id=\"Picture_x0020_1\"><v:imagedata u1:title=\"56-8286\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image001.jpg\"></v:imagedata><w:wrap type=\"square\"></w:wrap></v:shape>เครื่องสิริมงคล</span></strong><span style=\"font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\" lang=\"TH\"><br />\n</span><strong><span style=\"font-weight: normal; font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">เครื่องศิราภรณ์</span></strong><span style=\"font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\" lang=\"TH\"><v:shape u1:spid=\"_x0000_i1029\" alt=\"http://www.tantee.net/board/user/picture.php?board=kangzen&amp;imgname=./image/image_board/kangzen001000001000801.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"visibility: visible; width: 82.5pt; height: 93.75pt\" id=\"Picture_x0020_4\"><v:imagedata u1:title=\"kangzen001000001000801\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image003.jpg\"></v:imagedata></v:shape><br />\n</span><strong><span style=\"font-weight: normal; font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">เครื่องภูษณาภรณ์</span></strong><span style=\"font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\" lang=\"TH\"><v:shape u1:spid=\"_x0000_i1028\" alt=\"http://happyfamilyday.com/images_content/WC-46F3CE1.gif\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"visibility: visible; width: 158.25pt; height: 105pt\" id=\"Picture_x0020_10\"><v:imagedata u1:title=\"WC-46F3CE1\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image005.gif\"></v:imagedata></v:shape><o:p></o:p></span><v:shape u1:spid=\"_x0000_s1028\" alt=\"http://www.igetweb.com/www/jatukramfund/article/art_458225.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"margin-top: 36.7pt; z-index: 2; visibility: visible; margin-left: 1.5pt; width: 127.5pt; position: absolute; height: 84.75pt\" id=\"Picture_x0020_7\"><v:imagedata u1:title=\"art_458225\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image006.jpg\"></v:imagedata><w:wrap type=\"square\"></w:wrap></v:shape><strong><span style=\"font-weight: normal; font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">เครื่องศัสตราวุธ</span></strong><span style=\"font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><strong><span style=\"font-weight: normal; font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"><o:p> </o:p><o:p> </o:p><o:p> </o:p><o:p> </o:p><span lang=\"TH\">เครื่องราชูปโภค</span></span></strong><span style=\"font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\" lang=\"TH\"><br />\n<v:shape u1:spid=\"_x0000_i1027\" alt=\"http://www.siced.go.th/koratsite1.08/UserFiles/Image/May%2052/king_001.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"visibility: visible; width: 108pt; height: 84pt\" id=\"Picture_x0020_13\"><v:imagedata u1:title=\"king_001\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image008.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span><strong><span style=\"font-weight: normal; font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">เครื่องสูง</span></strong><v:shape u1:spid=\"_x0000_s1027\" alt=\"http://www.tint.or.th/nkc/nkc53/pictures/nkc53-012b.gif\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"margin-top: 1.9pt; z-index: 3; visibility: visible; margin-left: 1.5pt; width: 2in; position: absolute; height: 108pt\" id=\"Picture_x0020_16\"><v:imagedata u1:title=\"nkc53-012b\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image010.gif\"></v:imagedata><w:wrap type=\"square\"></w:wrap></v:shape><span style=\"font-size: 26pt; color: red\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><o:p> </o:p><o:p> </o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\" lang=\"TH\"><br />\n</span><strong><span style=\"font-weight: normal; font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">ยานพาหนะ</span></strong><v:shape u1:spid=\"_x0000_s1026\" alt=\"http://www.pak-soi.com/file_content/image/09241183124c.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"margin-top: 19.3pt; z-index: 4; visibility: visible; margin-left: -3pt; width: 148.5pt; position: absolute; height: 111.75pt\" id=\"Picture_x0020_19\"><v:imagedata u1:title=\"09241183124c\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image012.jpg\"></v:imagedata><w:wrap type=\"square\"></w:wrap></v:shape><span style=\"font-size: 26pt; color: red\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><o:p> </o:p><o:p> </o:p></span></span><span style=\"font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><strong><span style=\"font-weight: normal; font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">เครื่องประโคม</span></strong><span style=\"font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\" lang=\"TH\"><br />\n<v:shape u1:spid=\"_x0000_i1026\" alt=\"http://bangkok-guide.z-xxl.com/wp-content/uploads/1-3.gif\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"visibility: visible; width: 163.5pt; height: 95.25pt\" id=\"Picture_x0020_22\"><v:imagedata u1:title=\"1-3\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image014.gif\"></v:imagedata></v:shape></span><strong><span style=\"font-weight: normal; font-size: 26pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">พระโกศ</span></strong><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'\" lang=\"TH\"><v:shape u1:spid=\"_x0000_i1025\" alt=\"http://www.stks.or.th/hrh/wp-content/uploads/2008/11/progode.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" style=\"visibility: visible; width: 108.75pt; height: 187.5pt\" id=\"imgb\"><v:imagedata u1:title=\"progode\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image016.jpg\"></v:imagedata></v:shape> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 22pt; color: #1f497d; line-height: 115%; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"><o:p> </o:p></span></p>\n', created = 1717349225, expire = 1717435625, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:6333a8e0b8fc4887b1d830fd9ab4d785' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:7c36ce3e4e86ec73a161095241a185c7' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span lang=\"EN\"></span></p>\n<p style=\"margin: 0in 0in 10pt; line-height: normal\" class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: Times New Roman\"><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">       <span style=\"color: #999999\">1.สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span></span></b></span></span><span style=\"color: #999999\"> </span>\n</p>\n<p style=\"margin: 0in 0in 10pt; line-height: normal\" class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: Times New Roman\"><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\"></span></b></span></span><span style=\"color: #999999\"><span style=\"font-family: Times New Roman\"><span style=\"font-size: 16pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">        ตอบ </span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\">   <span lang=\"TH\">1.</span>  <span lang=\"TH\"> มาตรการในการสืบสันตติวงศ์ </span> <span lang=\"TH\">สันตติวงศ์ สำหรับในปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ราชบัญลังก์ว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงค์ พระพุทธศักราช 2476 แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ปรัธานรัฐสภาเรียกประชุมเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอันเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง และเป็นกรณีที่พระมหากษัตย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่งให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา 22 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในกรณีนี้จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วให้ประทานรัฐสภาอันเชิญผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชเป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ (มาตรา 23)</span>”</span></span></span> </span>\n</p>\n<p style=\"margin: 0in 0in 10pt; line-height: normal\" class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"font-family: Times New Roman\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"></span></span></span><span style=\"color: #999999\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: Times New Roman\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">     2<b>.มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</b></span></span></span> </span>\n</p>\n<p style=\"margin: 0in 0in 10pt; line-height: normal\" class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: Times New Roman\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\"></span></span></span><span style=\"color: #999999\"><span style=\"font-family: Times New Roman\"><span style=\"font-size: 16pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">     ตอบ </span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">ในการสืบสันตติวงศ์นั้นก็คือ การสืบทอดเชื้อสายของพระมหากษัตริย์นั่นเอง คือเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ไม่ว่าจะเป็นลูกหลาน พี่น้องกันที่จะได้เป็นพระมหากษัตริย์ โดยในสมัยรัตนโกสินทร์ หรือ ในรัชสมัยราชวงศ์จักรี</span></span></span> </span>\n</p>\n<p style=\"margin: 0in 0in 10pt; line-height: normal\" class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"color: #999999\"><span style=\"font-family: Times New Roman\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">     </span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: Times New Roman\"><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span></b></span></span> </span>\n</p>\n<p style=\"margin: 0in 0in 10pt; line-height: normal\" class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"color: #999999\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: Times New Roman\"><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">     </span></b></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman\"><span style=\"font-size: 16pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">ตอบ </span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ พระราชพิธีสมภาเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑ กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์ และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\">,<span lang=\"TH\">๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔</span>,<span lang=\"TH\">๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้ พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒</span>,<span lang=\"TH\">๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน เรียกชื่อว่า &quot;พระราชพิธีทวิธาภิเษก&quot; พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑ หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้</span></span></span></span> </span>\n</p>\n<p style=\"margin: 0in 0in 10pt; line-height: normal\" class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"color: #999999\"><span style=\"font-family: Times New Roman\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"><span lang=\"TH\">     </span></span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: Times New Roman\"><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span></b></span></span> </span>\n</p>\n<p><span style=\"color: #999999\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: Times New Roman\"><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">     </span></b></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman\"><span style=\"font-size: 16pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">ตอบ </span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\">silver<span lang=\"TH\"> </span>jubilee)<span lang=\"TH\"> ครบรอบ ๕๐ ปี (</span>golden<span lang=\"TH\"> </span>jubilee)<span lang=\"TH\"> หรือครบรอบ ๖๐ ปี (</span>diamond<span lang=\"TH\"> </span>jubilee)<span lang=\"TH\"> แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน &quot;เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐&quot; ของรัชกาลที่ ๔ ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้ &quot;ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา เมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา ณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗] พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง...&quot;๑ ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ</span> <span lang=\"TH\"> พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศ เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศ เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้ -เครื่องสิริมงคล -เครื่องศิราภรณ์ -เครื่องภูษณาภร์ -เครื่องศัสตราวุธ -เครื่องราชูปโภค -เครื่องสูง -ยานพาหนะ -เครื่องประโคม -พระโกศ<o:p></o:p></span></span></span></span></span> </p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-large; font-family: MS Shell Dlg 2\"><span style=\"font-size: x-large; font-family: MS Shell Dlg 2\"><span lang=\"TH\"></span></span></span>\n</p>\n<p></p>\n', created = 1717349225, expire = 1717435625, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:7c36ce3e4e86ec73a161095241a185c7' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:a7f396f7f0f054fe79f4524bb9ab6dc7' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n<b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 16pt\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span></u></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 16pt\"> </span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 16pt\"></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 16pt\"></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 16pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพ ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"> </span> </p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 16pt\"> </span><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 16pt\">2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</span></u></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 16pt\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Cordia New\'; color: black; font-size: 16pt\">  </span> </p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Cordia New\'; color: black; font-size: 16pt\"></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Cordia New\'; color: black; font-size: 16pt\"><span lang=\"TH\">ก</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 9pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%80%E0%B8%91%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C_%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A_2467&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"กฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467 (หน้านี้ไม่มี)\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt; text-decoration: none; text-underline: none\">ฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Cordia New\'; color: black; font-size: 16pt\"> โดยรูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตาม</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 9pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81\" title=\"สิทธิของบุตรคนแรก\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt; text-decoration: none; text-underline: none\">สิทธิของบุตรคนแรก</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Cordia New\'; color: black; font-size: 16pt\">ที่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ. 2007) ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎม</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue\"><o:p></o:p></span><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 14pt\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span></u></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 14pt\"> </span></p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 14pt\"></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง มีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์ ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132) ตามหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก ในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\">ก่อนรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275 ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด</span> <span lang=\"TH\">ในรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ แสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว</span> <span lang=\"TH\">เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า จนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ จึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328 และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\">พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8 แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด เพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี การสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\">งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ มีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ ได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล เพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18 มณฑล ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา และพระราชลัญจกรแผ่นดิน</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"><span> </span>เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน แล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว กลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">พระมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์ แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า &quot; ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม เหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท มีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง พร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span></p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"><o:p></o:p></span><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 16pt\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span></u></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 16pt\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"> </span> </p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"><span lang=\"TH\">พระราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุข ว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้วภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า </span>\'<span lang=\"TH\">พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร</span>\' <span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทย เป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราชอิสริยยศ อันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์ ที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"><span> </span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\">กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึง ทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ</span> <span lang=\"TH\">รวมความแล้วหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">  <span lang=\"TH\">ประเพณีการถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย มีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ</span> <span lang=\"TH\"><br />\n<span> </span>เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วย ดังนี้</span> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 10pt\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: blue\"><span style=\"font-size: small\"> <span lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: blue\"><span style=\"font-size: small\"> <span lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 10pt\"> </span><span style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 10pt\"></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: red; font-size: 16pt\"><span style=\"color: #ff0000\">พระมหาเศวตฉัตร</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"><span> </span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"><span></span>เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นพปฎลมหาเศวตฉัตรเป็นฉัตร ๙ ชั้น หุ้มผ้าขาว มีระบาย ๓ ชั้น ขลิบทอง แผ่ลวด มียอด</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\"><br />\nพระมหาเศวตฉัตรนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้หุ้มด้วยผ้าขาว แทนตาด ถือเป็นเคื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญยิ่งกว่าราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ ในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำขึ้นถวายที่พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรหลังจากทรงรับน้ำอภิเษกแล้ว จากนั้นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังก็เชิญไปปักกางไว้เหนือพระที่นั่งภัทรบิฐ ต่อมาเมื่อเสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับ ณ พระที่นั่งภัทรบิฐ เพื่อทรงรับเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์ จึงไม่ต้องถวายเศวตฉัตรรวมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อื่น</span> <span lang=\"TH\">เดิมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ไทยบางรัชกาล มิได้กล่าวรวมพระมหาเศวตฉัตรหรือเศวตฉัตรเป็นเรื่องราชกกุธภัณฑ์ด้วยเพราะฉัตรเป็นของใหญ่โต มีปักอยู่แล้วเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐจึงถวายธารพระกรแทน จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</span>  </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 10pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: red; font-size: 16pt\">พระมหาพิชัยมงกุ</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">เป็นราชศิราภรณ์สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทำด้วยทองลงยาประดับเพชรต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสริมแต่งพระมหาพิชัยมงกุฎให้งดงามและทรงคุณค่ายิ่งขึ้นจึงให้ผู้ชำนาญการดูเพชรไปหาซื้อเพชรจากประเทศอินเดียได้เพชรขนาดใหญ่ น้ำดี จากเมืองกัลกัตตา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำมาประดับไว้บนยอดพระมหาพิชัยมงกุฎ แล้วพระราชทานนามเพชรนี้ว่าพระมหาวิเชียรมณี พระมหามงกุฎหมายถึงยอดวิมานของพระอินทร์ ผู้เป็นประชาบดีของสวรรค์ชั้นสอง คือ ชั้นดาวดึงส์พระมหาพิชัยมงกุฎรวมพระจอน สูง ๖๖ เซนติเมตร หนัก ๗.๓ กิโลกรัมในสมัยโบราณถือว่ามงกุฎมีค่าสำคัญเท่ากับราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ และมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงรับมงกุฎมาแล้วก็เพียงทรงวางไว้ข้างพระองค์ต่อมาเมื่อประเทศไทยติดต่อกับประเทศในทวีปยุโรปมากขึ้น จึงนิยมตามราชสำนักยุโรปที่ถือว่าภาวะแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ที่เวลาได้สวมมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงเชิญทูตในประเทศไทยร่วมในพระราชพิธี และทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎมาทรงสวมแต่นั้นมาก็ถือว่า พระมหาพิชัยมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในบรรดาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และมหากษัตริย์จะทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: red; font-size: 16pt\">ธารพระกร</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"><span> </span>ธารพระกรของเดิมสร้างในรัชกาลที่ ๑ ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ปิดทอง หัวและสันเป็นเหล็กคร่ำลายทอง ที่สุดสันเป็นซ่อม ลักษณะเหมือนกับไม้เท้าพระภิกษุที่ใช้ในการชักมหาบังสกุล เรียกธารพระกรของเดิมนั้นว่า ธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างธารพระกรขึ้นใหม่องค์หนึ่งด้วยทองคำ ภายในมีพระแสงเสน่า ยอดมีรูปเทวดา จึงเรียกว่า ธารพระกรเทวรูป ที่แท้ลักษณะเป็นพระแสงดาบมากกว่าเป็นธารพระกร แต่ได้ทรงสร้างขึ้นแล้วก็ทรงใช้แทนธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำธารพระกรชัยพฤกษ์กลับมาใช้อีกและยังคงใช้ธารพระกรชัยพฤกษ์ในพระราชพิธีบรมราชภิเษก มาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220\"><span style=\"font-size: small\"> <span lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220\"><span style=\"font-size: small\"> <span lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: red; font-size: 16pt\">พระแสงขรรค์ชัยศรี</span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><span> </span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">เป็นพระแสงราชศัสตราวุธประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ เป็นพระแสงราชศัสตราปะจำพระองค์พระมหากษัตริย์พระขรรค์ หมายถึง พระปัญญาในการปกครองบ้านเมืองพระแสงขรรค์องค์ปัจจุบันมีประวัติว่า ในปี พ.ศ.๒๓๒๗ ชาวประมงพบพระแสงองค์นี้ในทะเลสาบเมืองเสียมราฐ กรมการเมืองเห็นว่าองค์พระแสงขรรค์ยังอยู่ในสภาพดีและงดงาม จึงนำพระแสงไปมอบให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเสียมราฐในขณะนั้นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เห็นว่าเป็นของเก่าฝีมือช่างสมัยนครวัด จึงนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯเมื่อวันที่พระแสงองค์นี้มาถึงพระนคร ได้เกิดฟ้าผ่าในเขตในพระนครถึง ๗ แห่งมีประตูวิเศษไชยศรีในพระราชฐานชั้นนอก และประตูพิมานไชยศรี ในพระราชฐานชั้นกลาง ซึ่งเป็นทางที่อัญเชิญพระแสงองค์นี้ผ่านไป เพื่อเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง เป็นต้นดังนั้น ประตูพระบรมมหาราชวังดังกล่าว จึงมีคำท้ายชื่อว่า &quot;ไชยศรี&quot; ทั้งสองประตูเช่นเดียวกับชื่อพระขรรค์องค์นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำด้ามและฝักขึ้นด้วยทองลงยาประดับมณีพระแสงขรรค์ชัยศรีนี้เฉพาะส่วนที่เป็นองค์พระขรรค์ยาว ๖๔.๕ เซนติเมตรประกอบด้ามแล้วยาว ๘๙.๘ เซนติเมตรหนัก ๑.๓ กิโลกรัมสวมฝักแล้วยาว ๑๐๑ เซนติเมตรหนัก ๑.๙ กิโลกรัมพระแสงราชศัสตราที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีสำคัญหลายพิธี เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220\"><span style=\"font-size: small\"> <span lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220\"><span style=\"font-size: small\"> <span lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: red; font-size: 16pt\">พัดวาลวีชนี และพระแส้หางจามรี</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"> เป็นเครื่องใช้ประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ พัดวาลวีชนีทำด้วยใบตาล แต่ปิดทองทั้ง 2 ด้าน ด้ามและเครื่องประกอบทำด้วยทองลงยาส่วนพระแส้ทำด้วยขนจามรี ด้ามเป็นแก้วทั้งสองสิ่งนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">\'<span lang=\"TH\">วาลวีชนี</span>\'<span lang=\"TH\"> เป็นภาษาบาลีแปลว่า เครื่องโบก ทำด้วยขนวาล ตรงกับที่ไทยเรียกจามรี</span> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: red; font-size: 16pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: red; font-size: 16pt\">ฉลองพระบาทเชิงงอน</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\"> </span><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">ฉลองพระบาทมีที่มาจากเกือกแก้ว หมายถึงแผ่นดินอันเป็นที่รองรับเขาพระสุเมรุ และเป็นที่อาศัยของอาณาประชาราษฎร์ทั่วทั้งแว่นแคว้นฉลองพระบาทเชิงงอนนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ให้สร้างขึ้นเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามแบบอินเดียโบราณทำด้วยทองคำทั้งองค์น้ำหนัก ๖๕๐ กรัมลายที่สลักประกอบด้วยลายช่อหางโตแบบดอกเทศ ลงยาสีเขียวแดง โดยดอกลงยาสีเขียว เกสรลงยาสีแดงส่วนเชิงงอนนั้นทำเป็นตุ่มแบบกระดุมหรือดอกลำดวนมีคาดกลางทำเป็นลายก้านต่อดอกชนิดใบเทศฝังบุษย์น้ำเพชร</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เครื่องสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์เป็นของสำคัญที่พระราชครูพราหมณ์จะถวายแด่พระมหากษัตริย์เพื่อความสมบูรณ์ของพระราชพิธีโดยจะถวายจากลำดับสูงลงต่ำ เริ่มจากพระมหาพิชัยมงกุฎพระแสงขรรค์ชัยศรีธารพระกรพัดวาลวีชนี และแส้หางจามรีและท้ายสุดจะสอดฉลองพระบาทเชิงงอนถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์เก็บรักษาไว้ ณ ท้องพระโรงพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในหมู่พระมหามนเทียร ภายในพระบรมมหาราชวังเดิมเจ้าพนักงานที่รักษาเครื่องราชูปโภคได้จัดพิธีสมโภชเครื่องราชูปโภคและเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นประจำทุกปี โดยเลือกทำในเดือน ๖ เพราะมีพระราชพิธีน้อยจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า วันพระบรมราชาภิเษกเป็นวันมงคล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระมหาเศวตฉัตรและเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๓๙๔ พระราชทานชื่อว่า พระราชพิธีฉัตรมงคลต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์เปลี่ยนเรียกชื่อพระราชพิธีว่า พระราชกุศลทักษิณานุประทาน และพระราชพิธีฉัตรมงคลสืบมาจนปัจจุบันนี้</span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span> </p>\n<p>\n<span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 16pt\"><span style=\"color: #ff0000\">อ้างอิง</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\"> </span></span> </p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\"></span></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><a href=\"http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%25msg_id%25\"><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">89.</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">msg%msg_id%</span></a></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <span lang=\"TH\"><a href=\"http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861\"><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">http://www.vcharkarn.com/vcafe/</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">154861</span></a></span> <span lang=\"TH\"><a href=\"http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=luckystar&amp;month=06-2009&amp;date=08&amp;group=22&amp;gblog=43\"><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=luckystar&amp;month=</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">06-2009</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">&amp;date=</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">08</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">&amp;group=</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">22</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">&amp;gblog=</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">43</span></a></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"> <o:p></o:p></span></p>\n', created = 1717349225, expire = 1717435625, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:a7f396f7f0f054fe79f4524bb9ab6dc7' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:e0204d38000cc7d21cbc0f388984bb39' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 20pt\"><span style=\"color: #ff0000\"><span style=\"color: #ff0000\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span></span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 20pt\"><o:p></o:p></span></span><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><span>       </span>อุดมการณ์ทางการเมืองลัทธิการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่ทรงอิทธิพล ครอบงำประชาคม มนุษย์ทั่วโลกทุกวันนี้ มีรากฐานมาจากปรัชญาการเมือง สำนักทฤษฎี สัญญาประชาคม</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"> (social contract theory) <span lang=\"TH\">ที่ถูกพัฒนาขึ้น เมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา นักปรัชญาสำนักทฤษฎีสัญญาประชาคม ได้เสนอมโนทัศน์เรื่อง &quot;สิทธ&quot;ิ ขึ้น เพื่อเป็น เครื่องมือโค่นล้ม อำนาจของสถาบันกษัตริย์ ที่อาศัยรากฐาน ของกรอบ อุดมการณ์ทางการเมือง ในลัทธิเทวสิทธิ์ (</span>divine right) <span lang=\"TH\">เป็นกรอบอ้างอิง ความชอบธรรม เพื่อค้ำจุนอำนาจทางการเมืองของผู้ปกครองรัฐให้มั่นคง แนวคิดสำคัญของลัทธิเทวสิทธิ์อยู่ที่พื้นฐานความเชื่อว่า พระเจ้าหรือเทพต่างๆ เป็นผู้สร้างโลก และสร้างมนุษย์ขึ้น ในขณะที่กษัตริย์เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเทพ เป็นองค์อวตาร ของเทพ หรือเป็นตระกูลที่ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือ เทพผู้สร้างโลก ให้มาทำหน้าที่ปกครองมนุษย์ด้วยกัน <span>  </span>ฉะนั้นกษัตริย์จึงมีสิทธิ์อันชอบธรรม ที่จะใช้อำนาจเหนือคนอื่นๆ ในสังคม มีฐานะเป็นเจ้าชีวิต ตลอดจนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน</span> (<span lang=\"TH\">เป็นเจ้าของผืนแผ่นดิน บนโลกนี้ ที่พระเจ้าสร้างขึ้น) ในฐานะเป็นตัวแทน ของพระเจ้าหรือเทพองค์นั้นๆ บนโลกมนุษย์<span>  </span>แก่นสารของที่มาแห่งอำนาจทางการเมือง ในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงมาจากอำนาจของพระเจ้า หรือเทพ ตามแนวความคิดของลัทธิความเชื่อ ทางศาสนาที่ชนชาตินั้นๆ ศรัทธานับถือ <span>  </span>ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว <span>   </span>ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ</span> (<span lang=\"TH\">ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน <span>  </span>อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม <span>  </span>ความบีบคั้นจากอำนาจสิทธิ์ขาดของกษัตริย์ที่ยึดกุมอำนาจทางการเมืองไว้ ในมือมาตั้งแต่ยุคโบราณ ในอารยธรรมของมนุษย์ ประกอบกับความอ่อนแอของศาสนจักรในช่วง ปลายยุคกลาง ตลอดจน บรรยากาศแห่งการแสวงหาความรู้ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา รวมทั้งการปฏิวัติความคิดทางวิทยาศาสตร์ ในยุโรปช่วงต้นของยุคสมัยใหม่ ทำให้เริ่มมีผู้ตั้งข้อสงสัย ต่อคำอธิบาย เกี่ยวกับรากฐานที่มา ของอำนาจรัฐ ในลัทธิเทวสิทธิ์ <span>  </span>นักคิดส่วนหนึ่งได้พัฒนาชุดของคำอธิบายชุดใหม่ตามทฤษฎีสัญญาประชาคมขึ้น เพื่อให้คำอรรถาธิบาย ถึงรากฐานที่มาของอำนาจรัฐในแนวทางใหม่ สำหรับ เป็นเครื่องมือ ทางความคิด ในการต่อสู้และโค่นล้ม อำนาจของสถาบันกษัตริย์ ภายใต้ลัทธิเทวสิทธิ์ <span>  </span>ทฤษฎีสัญญาประชาคมให้คำอรรถาธิบาย ว่า ในภาวะดั้งเดิมตามธรรมชาติ ก่อนที่ระบบสังคมการเมือง ของมนุษย์จะอุบัติขึ้นมานั้น เดิมทีมนุษย์อยู่กันอย่างอิสระ พร้อมกับ </span>&quot;<span lang=\"TH\">สิทธิตามธรรมชาติ&quot;</span> (natural right) <span lang=\"TH\">ซึ่งเป็นคุณสมบัติ ที่ทุกคนมีติดตัวมาตั้งแต่เกิด <span>  </span>ครั้นเมื่อมนุษย์เริ่มมาอยู่รวมกันเป็นสังคม เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการต่อสู้กับภยันตรายต่างๆ ที่คุกคามความอยู่รอดของชีวิต ภาวะดั้งเดิมตามธรรมชาติ</span> (state of nature) <span lang=\"TH\">ก็เริ่มเปลี่ยนแปลง ไปสู่ภาวะความขัดแย้ง</span> (state of war) <span lang=\"TH\">เพราะการกระทบกระทั่ง ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ที่มาอยู่รวมกัน เป็นระบบสังคม ตลอดจนระหว่างมนุษย์ในสังคมหนึ่ง กับสังคมอื่นๆ <span>  </span>เพื่อลดภาวะความบีบคั้นจากความขัดแย้ง ให้น้อยลง มนุษย์จึงได้หันมาทำข้อตกลง เพื่อการอยู่ร่วมกัน ในสังคมขึ้น อันเสมือนหนึ่งได้มีการลงนามในสัญญาประชาคม</span> (social contract) <span lang=\"TH\">ร่วมกันว่า มนุษย์แต่ละคนในสังคม จะยอมสละ สิทธิตามธรรมชาติ ที่มีติดตัวมาแต่เกิดในบางระดับ เพื่อมอบหมาย ให้บุคคลที่จะมาทำหน้าที่ เป็นผู้ปกครองรัฐ สามารถใช้อำนาจ เหนือสิทธิส่วนบุคคล ของมนุษย์ในสังคม ดังกล่าว ไม่เกินขอบเขตตามข้อตกลงแห่งพันธะสัญญาประชาคมที่ทำกันไว้ ทั้งนี้เพื่อให้ ผู้ปกครองรัฐ สามารถใช้อำนาจที่ได้รับมอบหมายนั้นๆ จัดระเบียบ การอยู่ร่วมกัน ของสมาชิก ในสังคมให้เป็นไป อย่างสงบสุข ตลอดจนป้องกัน ผู้รุกราน จากศัตรูภายนอก <span>  </span>อำนาจรัฐจึงไม่ได้มีที่มาจากพระเจ้าหรือเทพบนสรวงสวรรค์ แต่มีรากฐาน มาจาก มนุษย์ด้วยกัน ที่ยินยอมลดสิทธิตามธรรมชาติ บางส่วน เพื่อสถาปนา อำนาจรัฐ ขึ้นเหนือสิทธิ ส่วนบุคคล เท่าที่ผู้คนในสังคมนั้นๆ ยินยอมสละ ให้ดังกล่าว โดยวิธีที่จะควบคุม ให้ผู้ปกครองรัฐ ใช้อำนาจตามเงื่อนไข ของสัญญาประชาคม ด้วยความรับผิดชอบ (</span>accountability) <span lang=\"TH\">ต่อสมาชิกของประชาคมในรัฐนั้นๆ ก็คือ การเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้ง ผู้ปกครองรัฐในรอบระยะเวลาหนึ่งๆ <span>  </span>หากผู้ปกครองรัฐล่วงละเมิดเงื่อนไขแห่งสัญญาประชาคม สมาชิกของรัฐนั้นๆ จะได้สามารถเปลี่ยนตัว ผู้ปกครองรัฐใหม่ได้ในการเลือกตั้งสมัยต่อไป <span>  </span>ผู้ปกครองรัฐจึงต้องมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน และต้องทำงานเพื่อประชาชน ด้วยเงื่อนไขทางตรรกะ ที่เชื่อมโยงกับฐานกำเนิด แห่งอำนาจรัฐดังกล่าว<span>  </span>อย่างไรก็ตาม ก่อนที่นักคิดทางตะวันตก จะได้พัฒนาแนวคิด เรื่องทฤษฎี สัญญาประชาคม อันเป็นรากฐานของการเมืองแบบประชาธิปไตย ที่ทรงอิทธิพล ครอบงำประชาคมโลกทุกวันนี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึง แนวคิดทางการเมือง ที่มีลักษณะคล้ายคลึง กับทฤษฎีสัญญาประชาคม ก่อนหน้านักคิดทางตะวันตก กว่า ๒๐๐๐ ปีแล้ว ในอัคคัญญสูตร ฑีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เมื่อพราหมณ์ผู้หนึ่งได้มาสนทนา กับพระพุทธเจ้า และ เสนอทัศนะเรื่องลัทธิเทวสิทธิ์ ตามความเชื่อ ของศาสนา พราหมณ์ในยุคนั้น โดยอ้างว่าพระพรหม ทรงสร้างโลกและสร้างมนุษย์ขึ้นมา ๔ วรรณะ คือวรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เพื่อให้มนุษย์แต่ละวรรณะกระทำหน้าที่แตกต่างกันในสังคม <span>  </span>กษัตริย์จึงมีความชอบธรรมแห่งอำนาจที่จะปกครองมนุษย์ (โดยคำแนะนำ ของพวกพราหมณ์ปุโรหิต ที่เป็นคนกลาง ซึ่งสามารถติดต่อกับพระพรหม ผ่านทางการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาต่างๆ) ขณะที่คนในวรรณะศูทร ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ จะต้องมีหน้าที่รับใช้วรรณะ อื่นๆ ที่สูงกว่า ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไป ตามเจตจำนง ของพระพรหมผู้สร้างโลก ที่ประสงค์จะให้เป็นเช่นนั้น <span>  </span>พระพุทธเจ้าได้ตรัสแย้งลัทธิเทวสิทธิ์ ของศาสนาพราหมณ์ ที่ก่อให้เกิดการแบ่งชั้น วรรณะกัน อย่างรุนแรงในสังคมอินเดีย และอธิบายว่า วรรณะทั้ง ๔ ไม่ได้เป็น คุณสมบัติ ที่เกิดจากการสร้างของพระพรหม ซึ่งติดตัวมนุษย์ทุกคน มาตั้งแต่เกิด แต่มาจากการแบ่งหน้าที่กัน ทำตามขั้นตอนที่เกิดในตรรก แห่งวิวัฒนาการ ของสังคมมนุษย์ ตั้งแต่ก่อนที่จะมีระบบสังคมการเมือง ในภาวะดั้งเดิมตามธรรมชาติ จนกระทั่ง มีการก่อเกิด สถาบันการปกครอง ที่เป็นวรรณะกษัตริย์ สถาบันศาสนา ที่เป็นวรรณะพราหมณ์ ตลอดจนการแบ่งหน้าที่กันทำ ระหว่างโครงสร้างส่วนที่ทำหน้าท ี่ทางด้านการกระจายผลผลิต หรือวรรณะแพศย์ และโครงสร้างส่วนที่ทำหน้าที่ ด้านการผลิต หรือวรรณะศูทร <span>  </span>อำนาจรัฐจึงไม่ได้มีที่มาจากพระเจ้าผู้สร้างโลกตามทัศนะของพวกพราหมณ์ ที่มีอิทธิพลครอบงำ ความคิดของชาวอินเดียยุคนั้น แต่มีที่มาจากมนุษย์ ที่ได้ร่วมกัน สถาปนา สถาบันการปกครองขึ้นในสังคม เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง ของผู้คน ในสังคม <span>  </span>ตรรกแห่งการกำเนิดของอำนาจรัฐตามที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ใน อัคคัญญสูตรนี้ ถึงแม้จะดูเหมือน มีสาระสำคัญที่คล้ายคลึงกับแนวคิด ในทฤษฎี สัญญาประชาคม ตามที่นักคิดทางตะวันตก ได้พัฒนาขึ้นหลังพุทธกาล กว่า ๒๐๐๐ ปี ดังที่ได้กล่าวมา แต่ก็มีเนื้อหาสำคัญบางส่วน ที่แตกต่างจากแก่นสาร ของทฤษฎี สัญญาประชาคม อย่างมีนัยสำคัญ อันจะได้กล่าวถึงในตอนต่อไป</span><o:p></o:p></span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"> </span></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span>  </p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"> </span></o:p></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #ff0000\"><span style=\"color: #ff0000\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 20pt\">2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์ </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 20pt\"><o:p></o:p></span></span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><span><span style=\"color: #ff0000\"><span style=\"color: #ff0000\"> </span></span>     </span>รัชทายาทผู้มีสิทธิโดยตรงพระองค์ปัจจุบันของพระมหากษัตริย์ไทยหรือตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมาร คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ อันเป็นไปตามกฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\">2467 <span lang=\"TH\">โดยรูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตามสิทธิของบุตรคนแรกที่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. </span>2550 <span lang=\"TH\">หรือ ค.ศ. </span>2007) <span lang=\"TH\">ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎมณเฑียรบาล โดยให้พระราชธิดาสามารถสืบราชสันติวงศ์ได้ด้วยเช่นกัน</span><o:p></o:p></span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"> </span></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span> <span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span> <span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span><span style=\"color: #ff0000\"> <span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"> </span></o:p></span></span><span style=\"color: #ff0000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span></span>  </p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p><span style=\"color: #ff0000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span></span> <span style=\"color: #ff0000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span></span> <span style=\"color: #ff0000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span></span><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 20pt\"><span style=\"color: #ff0000\"><span style=\"color: #ff0000\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span></span> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 20pt\"><o:p></o:p></span></span><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\">พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p></o:p></span></span><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\">นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก<span>  </span>หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น<span>  </span>เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><span>  </span><span lang=\"TH\">ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (</span>silver jubilee)<span lang=\"TH\"><span>  </span>ครบรอบ ๕๐ ปี (</span>golden jubilee) <span lang=\"TH\">หรือครบรอบ ๖๐ ปี (</span>diamond jubilee) <span lang=\"TH\">แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป<span>  </span>ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป<span>  </span>เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา</span><span>  </span><span lang=\"TH\">ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน &quot;เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐&quot; ของรัชกาลที่ ๔<span>   </span>ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้</span><o:p></o:p></span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><span style=\"color: #000000\">&quot;<span lang=\"TH\">ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ<span>  </span>จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา<span>   </span>เมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา<span>   </span>ณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]<span>   </span>พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ<span>   </span>เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร<span>   </span>กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ<span>   </span>รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃาก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง...&quot;๑ ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน <span> </span><span> </span>แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕<span>   </span>เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ </span><span>  </span><span> </span><span lang=\"TH\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<span>   </span>เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖</span><span>  </span><span> </span><span lang=\"TH\">ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้</span><span>  </span><span> </span><span lang=\"TH\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<span>   </span>เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ<span>   </span>ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ <span> </span><span> </span>พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<span>   </span>พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑<span>   </span>กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน<span>   </span>ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<span>   </span>ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม</span><span>  </span><span> </span><span lang=\"TH\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง</span><span>  </span><span> </span><span lang=\"TH\">ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖<span>   </span>กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา<span>   </span>เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์<span>   </span>และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท</span><span>  </span><span> </span><span lang=\"TH\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก<span>   </span>ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี<span>   </span>ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวังพระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า<span>  </span>พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐</span>,<span lang=\"TH\">๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘<span>  </span>พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<span>  </span>เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘<span>  </span>และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔</span>,<span lang=\"TH\">๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้ พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<span>  </span>พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒</span>,<span lang=\"TH\">๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖<span>  </span>กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<span>  </span>ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายนเรียกชื่อว่า &quot;พระราชพิธีทวิธาภิเษก&quot;</span><span>  </span><span lang=\"TH\">พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา<span>  </span>กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา</span><span>  </span><span lang=\"TH\">พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑ <span> </span>หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้</span><o:p></o:p></span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"> </span></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span>  </p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #ff0000\"> </span></span></o:p></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #ff0000\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 20pt\"><span style=\"color: #ff0000\">4. เค</span><span style=\"color: #ff0000\">รื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 20pt\"><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><span>             </span>การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมา ช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศตามหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และ พระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการต่างพระเนตรพระกรรณเหล่านั้นเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบ และเพื่อเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราช ทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศ</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><o:p></o:p></span></span><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><span>            </span>การพระราชทานเครื่องยศ คงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่โบราณแล้ว เพียงแต่ไม่มีเรื่องราวจารึกไว้เป็นหลัก ฐาน และอาจจะยังไม่มีการวางระเบียบไว้เป็นประเพณี มามีหลักฐานปรากฏชัดว่าได้มีพระราชกำหนดตราขึ้นเป็น ระเบียบประเพณีในสมัยอยุธยา ตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอู่ทองเป็นต้นมา ดังที่มีกล่าวถึงในเอกสารต่างๆ เช่น ใน กฎมณเฑียรบาลบ้าง ในพระราชพงศาวดารบ้าง </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><o:p></o:p></span></span><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><span>            </span>การพระราชทานเครื่องยศในสมัยต่อมา ได้ยึดถือโบราณราชประเพณีแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นหลักถึงแม้ เมื่อมีการสร้างราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้สร้างขึ้นเป็นครั้งแรก เป็นดวง ดาราสำหรับติดเสื้อ เรียกกันในสมัยนั้นว่า ตรา* และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปรับปรุง ตลอด จนกำหนดระเบียบตั้งเป็นพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทาน เป็นบำเหน็จความชอบแก่พระ บรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และบุคคลอื่นๆ แล้วประเพณีการรับพระราชทานเครื่องยศก็ยังคงมีอยู่สืบมาจนถึงปัจจุบัน แต่จำกัดลงเฉพาะในโอกาสรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า และในการสถาปนาพระอิสริยศักดิ์ พระราชวงศ์** </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 18pt\"><o:p></o:p></span></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"> </span></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"> </span></o:p></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span></b> <b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span></b>  </p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span></b><span style=\"color: #ff0000\"> <b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span></b></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #ff0000\">อ้างอิงจาก</span> </span></span></b><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><a href=\"http://www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Kid/politics/k129_46.htm\"><span style=\"color: windowtext\"><u><span style=\"font-family: Angsana New\">http://www.asoke.info/<span lang=\"TH\">09</span>Communication/DharmaPublicize/Kid/politics/k<span lang=\"TH\">129</span>_<span lang=\"TH\">46.</span>htm</span></u></span></a><o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><span><span style=\"color: #000000\">                  </span></span><a href=\"http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%25msg_id%25\"><span style=\"color: windowtext\"><u><span style=\"font-family: Angsana New\">http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%</span></u></span></a><span style=\"color: #000000\"><span>                  </span><span>    </span></span><a href=\"http://thaihandiwork.com/thailand_ry2.php?osCsid=4d5751b69f345279701e358d007d1296\"><span style=\"color: windowtext\"><u><span style=\"font-family: Angsana New\">http://thaihandiwork.com/thailand_ry2.php?osCsid=4d5751b69f345279701e358d007d1296</span></u></span></a><o:p></o:p></span> </p>\n', created = 1717349225, expire = 1717435625, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:e0204d38000cc7d21cbc0f388984bb39' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:bbd1fd37bb7c708e2b7a67c7866236e0' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span style=\"color: #0000ff\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง?</span></p>\n<p><span style=\"color: #0000ff\"></span></p>\n<p><span style=\"color: #0000ff\"></span></p>\n<p style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"color: #c0c0c0\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\">ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพ ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">  </span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"></span></span></p>\n<p style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"color: #c0c0c0\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"></span></span></p>\n<p style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: black\" lang=\"TH\"> <span style=\"color: #0000ff\">2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์?</span></span></p>\n<p style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: black\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #0000ff\"></span></span></p>\n<p style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: black\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #0000ff\"></span></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: black\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #0000ff\"></span></span></p>\n<p style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"color: #c0c0c0\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Cordia New\', sans-serif\">        <span lang=\"TH\">ก</span></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%80%E0%B8%91%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C_%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A_2467&amp;action=edit&amp;redlink=1\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none\" title=\"กฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467 (หน้านี้ไม่มี)\"><span style=\"font-size: 16pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif\">ฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467</span></a></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Cordia New\', sans-serif\" lang=\"TH\"> โดยรูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตาม</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none\" title=\"สิทธิของบุตรคนแรก\"><span style=\"font-size: 16pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif\">สิทธิของบุตรคนแรก</span></a></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Cordia New\', sans-serif\" lang=\"TH\">ที่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ. 2007) ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎม</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"></span></span></p>\n<p style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"color: #c0c0c0\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"></span></span></p>\n<p style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #0000ff\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ?</span></span></p>\n<p style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #0000ff\"></span></span></p>\n<p style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #0000ff\"></span></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">      </span><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">    <span lang=\"TH\"> พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง มีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์ ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132)</span>          <span lang=\"TH\">ตามหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก ในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ</span>  </span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">        </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">         <span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">ก่อนรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275 ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด</span></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">        </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">          <span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">ในรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ แสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว</span></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">         </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">             <span lang=\"TH\"> เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า จนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ จึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328 และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน</span></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">        </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">            <span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8 แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด เพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี การสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง</span></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">        </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">           <span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ มีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ ได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล เพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18 มณฑล ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา และพระราชลัญจกรแผ่นดิน</span></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">         </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">            <span lang=\"TH\"> เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน แล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว กลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ</span></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">       </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\">          <span lang=\"TH\"> </span>  </span><span lang=\"TH\"><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\">พระมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์ แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า &quot; ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม เหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท มีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง พร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป</span></span><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\"> </span></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\"><o:p></o:p></span></span></span></p>\n<p style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"></span></span></p>\n<p style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"font-size: x-small\"><span style=\"font-family: Tahoma\"><span style=\"color: #0000ff\" class=\"Apple-style-span\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ?</span></span></span></span></p>\n<p style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"font-size: x-small\"><span style=\"color: #0000ff\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"font-family: Tahoma\"></span></span></span></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"font-size: x-small\"><span style=\"font-family: Tahoma\"><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">            <span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">พระราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุข ว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้ว</span></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">         </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">           <span lang=\"TH\"> ภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า </span>\'<span lang=\"TH\">พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร</span>\'</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">        </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">          <span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทย เป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราชอิสริยยศ อันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์ ที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย</span></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">        </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">            <span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึง ทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ</span> <span lang=\"TH\">รวมความแล้วหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์</span></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">        </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\">               <span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\">ประเพณีการถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย มีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ</span> </span><span style=\"color: black\" lang=\"TH\"><br /></span><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\">                <span lang=\"TH\"> เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วย ดังนี้</span></span></span></span></span></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span> <span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: red\" lang=\"TH\">พระมหาเศวตฉัตร</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">   </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">     </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\">     <span lang=\"TH\"> เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นพปฎลมหาเศวตฉัตรเป็นฉัตร ๙ ชั้น หุ้มผ้าขาว มีระบาย ๓ ชั้น ขลิบทอง แผ่ลวด มียอด</span> <span lang=\"TH\"><br />พระมหาเศวตฉัตรนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้หุ้มด้วยผ้าขาว แทนตาด ถือเป็นเคื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญยิ่งกว่าราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ ในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำขึ้นถวายที่พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรหลังจากทรงรับน้ำอภิเษกแล้ว จากนั้นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังก็เชิญไปปักกางไว้เหนือพระที่นั่งภัทรบิฐ ต่อมาเมื่อเสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับ ณ พระที่นั่งภัทรบิฐ เพื่อทรงรับเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์ จึงไม่ต้องถวายเศวตฉัตรรวมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อื่น</span> <span lang=\"TH\">เดิมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ไทยบางรัชกาล มิได้กล่าวรวมพระมหาเศวตฉัตรหรือเศวตฉัตรเป็นเรื่องราชกกุธภัณฑ์ด้วยเพราะฉัตรเป็นของใหญ่โต มีปักอยู่แล้วเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐจึงถวายธารพระกรแทน จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</span>  </span></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"></span></p>\n<p style=\"line-height: normal; margin-top: 0in; margin-right: 0in; margin-bottom: 10pt; margin-left: 0in\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: red\" lang=\"TH\">พระมหาพิชัยมงกุฎ</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">          <span lang=\"TH\"> </span> </span><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"> <span lang=\"TH\">เป็นราชศิราภรณ์สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทำด้วยทองลงยาประดับเพชรต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสริมแต่งพระมหาพิชัยมงกุฎให้งดงามและทรงคุณค่ายิ่งขึ้นจึงให้ผู้ชำนาญการดูเพชรไปหาซื้อเพชรจากประเทศอินเดียได้เพชรขนาดใหญ่ น้ำดี จากเมืองกัลกัตตา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำมาประดับไว้บนยอดพระมหาพิชัยมงกุฎ แล้วพระราชทานนามเพชรนี้ว่า</span>      <span lang=\"TH\"> พระมหาวิเชียรมณี พระมหามงกุฎหมายถึงยอดวิมานของพระอินทร์ ผู้เป็นประชาบดีของสวรรค์ชั้นสอง คือ ชั้นดาวดึงส์พระมหาพิชัยมงกุฎรวมพระจอน สูง ๖๖ เซนติเมตร หนัก ๗.๓ กิโลกรัมในสมัยโบราณถือว่ามงกุฎมีค่าสำคัญเท่ากับราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ และมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงรับมงกุฎมาแล้วก็เพียงทรงวางไว้ข้างพระองค์ต่อมาเมื่อประเทศไทยติดต่อกับประเทศในทวีปยุโรปมากขึ้น จึงนิยมตามราชสำนักยุโรปที่ถือว่าภาวะแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ที่เวลาได้สวมมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงเชิญทูตในประเทศไทยร่วมในพระราชพิธี และทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎมาทรงสวมแต่นั้นมาก็ถือว่า พระมหาพิชัยมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในบรรดาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และมหากษัตริย์จะทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก</span>   </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"> </span></span></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: red\" lang=\"TH\">ธารพระกร</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">   </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">       </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\">      <span lang=\"TH\"> ธารพระกรของเดิมสร้างในรัชกาลที่ ๑ ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ปิดทอง หัวและสันเป็นเหล็กคร่ำลายทอง ที่สุดสันเป็นซ่อม ลักษณะเหมือนกับไม้เท้าพระภิกษุที่ใช้ในการชักมหาบังสกุล เรียกธารพระกรของเดิมนั้นว่า ธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างธารพระกรขึ้นใหม่องค์หนึ่งด้วยทองคำ ภายในมีพระแสงเสน่า ยอดมีรูปเทวดา จึงเรียกว่า ธารพระกรเทวรูป ที่แท้ลักษณะเป็นพระแสงดาบมากกว่าเป็นธารพระกร แต่ได้ทรงสร้างขึ้นแล้วก็ทรงใช้แทนธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำธารพระกรชัยพฤกษ์กลับมาใช้อีกและยังคงใช้ธารพระกรชัยพฤกษ์ในพระราชพิธีบรมราชภิเษก มาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน</span>   </span></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: red\" lang=\"TH\">พระแสงขรรค์ชัยศรี</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">           </span><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"> <span lang=\"TH\">เป็นพระแสงราชศัสตราวุธประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ เป็นพระแสงราชศัสตราปะจำพระองค์พระมหากษัตริย์พระขรรค์ หมายถึง พระปัญญาในการปกครองบ้านเมืองพระแสงขรรค์องค์ปัจจุบันมีประวัติว่า ในปี พ.ศ.๒๓๒๗ ชาวประมงพบพระแสงองค์นี้ในทะเลสาบเมืองเสียมราฐ กรมการเมืองเห็นว่าองค์พระแสงขรรค์ยังอยู่ในสภาพดีและงดงาม จึงนำพระแสงไปมอบให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเสียมราฐในขณะนั้นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เห็นว่าเป็นของเก่าฝีมือช่างสมัยนครวัด จึงนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯเมื่อวันที่พระแสงองค์นี้มาถึงพระนคร ได้เกิดฟ้าผ่าในเขตในพระนครถึง ๗ แห่งมีประตูวิเศษไชยศรีในพระราชฐานชั้นนอก และประตูพิมานไชยศรี ในพระราชฐานชั้นกลาง ซึ่งเป็นทางที่อัญเชิญพระแสงองค์นี้ผ่านไป เพื่อเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง เป็นต้นดังนั้น ประตูพระบรมมหาราชวังดังกล่าว จึงมีคำท้ายชื่อว่า &quot;ไชยศรี&quot; ทั้งสองประตูเช่นเดียวกับชื่อพระขรรค์องค์นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำด้ามและฝักขึ้นด้วยทองลงยาประดับมณีพระแสงขรรค์ชัยศรีนี้เฉพาะส่วนที่เป็นองค์พระขรรค์ยาว ๖๔.๕ เซนติเมตรประกอบด้ามแล้วยาว ๘๙.๘ เซนติเมตรหนัก ๑.๓ กิโลกรัมสวมฝักแล้วยาว ๑๐๑ เซนติเมตรหนัก ๑.๙ กิโลกรัมพระแสงราชศัสตราที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีสำคัญหลายพิธี เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา</span>  </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"> </span></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: red\" lang=\"TH\">พัดวาลวีชนี และพระแส้หางจามรี</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">  </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">          </span><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">   <span lang=\"TH\"> เป็นเครื่องใช้ประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ พัดวาลวีชนีทำด้วยใบตาล แต่ปิดทองทั้ง 2 ด้าน ด้ามและเครื่องประกอบทำด้วยทองลงยาส่วนพระแส้ทำด้วยขนจามรี ด้ามเป็นแก้วทั้งสองสิ่งนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น</span>\'<span lang=\"TH\">วาลวีชนี</span>\'<span lang=\"TH\"> เป็นภาษาบาลีแปลว่า เครื่องโบก ทำด้วยขนวาล ตรงกับที่ไทยเรียกจามรี</span> </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"> </span></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: red\" lang=\"TH\">ฉลองพระบาทเชิงงอน</span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">  </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">            </span><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"> <span lang=\"TH\"> ฉลองพระบาทมีที่มาจากเกือกแก้ว หมายถึงแผ่นดินอันเป็นที่รองรับเขาพระสุเมรุ และเป็นที่อาศัยของอาณาประชาราษฎร์ทั่วทั้งแว่นแคว้นฉลองพระบาทเชิงงอนนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ให้สร้างขึ้นเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามแบบอินเดียโบราณทำด้วยทองคำทั้งองค์น้ำหนัก ๖๕๐ กรัมลายที่สลักประกอบด้วยลายช่อหางโตแบบดอกเทศ ลงยาสีเขียวแดง โดยดอกลงยาสีเขียว เกสรลงยาสีแดงส่วนเชิงงอนนั้นทำเป็นตุ่มแบบกระดุมหรือดอกลำดวนมีคาดกลางทำเป็นลายก้านต่อดอกชนิดใบเทศฝังบุษย์น้ำเพชร</span></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">         </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">            <span lang=\"TH\"> ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เครื่องสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์เป็นของสำคัญที่พระราชครูพราหมณ์จะถวายแด่พระมหากษัตริย์เพื่อความสมบูรณ์ของพระราชพิธีโดยจะถวายจากลำดับสูงลงต่ำ เริ่มจากพระมหาพิชัยมงกุฎพระแสงขรรค์ชัยศรีธารพระกรพัดวาลวีชนี และแส้หางจามรีและท้ายสุดจะสอดฉลองพระบาทเชิงงอนถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์เก็บรักษาไว้ ณ ท้องพระโรงพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในหมู่พระมหามนเทียร ภายในพระบรมมหาราชวังเดิมเจ้าพนักงานที่รักษาเครื่องราชูปโภคได้จัดพิธีสมโภชเครื่องราชูปโภคและเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นประจำทุกปี โดยเลือกทำในเดือน ๖ เพราะมีพระราชพิธีน้อยจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า วันพระบรมราชาภิเษกเป็นวันมงคล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระมหาเศวตฉัตรและเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๓๙๔ พระราชทานชื่อว่า พระราชพิธีฉัตรมงคลต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์เปลี่ยนเรียกชื่อพระราชพิธีว่า พระราชกุศลทักษิณานุประทาน และพระราชพิธีฉัตรมงคลสืบมาจนปัจจุบันนี้</span></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"><o:p> </o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif\" lang=\"TH\"><o:p> </o:p></span></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><o:p>อ้างอิงค์  <a href=\"http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\">http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%</a></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><o:p> </o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><o:p><a href=\"http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\">http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861</a></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><o:p> </o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; font-family: Tahoma, sans-serif; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><o:p><a href=\"http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=luckystar&amp;month=06-2009&amp;date=08&amp;group=22&amp;gblog=43\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\">http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=luckystar&amp;month=06-2009&amp;date=08&amp;group=22&amp;gblog=43</a></o:p></span></p>\n', created = 1717349226, expire = 1717435626, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:bbd1fd37bb7c708e2b7a67c7866236e0' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:cb7fb9181d170cdec4e893f9399ae4fa' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p class=\"MsoNormal\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #ff6600\">1.สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: Tahoma; color: #ff6600\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">         </span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #ff6600\">ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญบางอย่างโดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆเพื่อเป็นเครื่องสื่อแสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพหรือมาจากวงศ์ตระกูลที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์โอรสของกษัตริย์ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูลที่ได้รับความพึงพอใจเป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ(ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว)สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อนอำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์จึงสืบทอดส่งผ่านกันทางสายโลหิตโดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์เว้นแต่มีการทำรัฐประหารแล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนาเพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้าหรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม</span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #ff6600\">  </span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: Tahoma; color: #ff6600\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #00b050\">2.มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: Tahoma; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #339966\">       <span lang=\"TH\">ก<a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%80%E0%B8%91%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C_%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A_2467&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"กฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467 (หน้านี้ไม่มี)\"><span style=\"color: #339966\">ฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์พระพุทธศักรราช 2467</span></a></span> <span lang=\"TH\">โดยรูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตาม<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81\" title=\"สิทธิของบุตรคนแรก\"><span style=\"color: #339966\">สิทธิของบุตรคนแรก</span></a>ที่เป็นชายเท่านั้นอย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ.2007)ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎม</span><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #993366\">3.พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: Tahoma; color: #993366\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #993366\">           <span lang=\"TH\">พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิเทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่งมีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภูทางใต้นครจำปาศักดิ์ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132)</span>          <span lang=\"TH\">ตามหลักเดิมของไทยนั้นเมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่าจะได้ทรงรับราชาภิเษกในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตรมีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ</span>  </span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: Tahoma; color: #993366\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #993366\">              <span lang=\"TH\">เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัดครั้งหนึ่งก่อนเนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่าจนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จจึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่งเมื่อ ปีพ.ศ. 2328และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มาโดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯพราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มาก็คงใช้แบบอย่างนี้โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน</span>       </span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: Tahoma; color: #993366\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #993366\">            <span lang=\"TH\">พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษกเพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง8แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุดเพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถาชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯพระอารามทั้งหลายย่ำระฆังแบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธีการสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกันขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรเป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกันการขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อยทำพอเป็นสังเขปการสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวยถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหนก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง</span>        </span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: Tahoma; color: #993366\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #993366\">           <span lang=\"TH\">งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯมีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพฯได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17มณฑลเพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18มณฑลส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตาและพระราชลัญจกรแผ่นดิน</span>         </span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: Tahoma; color: #993366\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #993366\">             <span lang=\"TH\">เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก3วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสรงพระมุรธาภิเษกสนานแล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยมซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิตและพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปดผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศกล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆแล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัยเมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้วกลับมาประทับทิศตะวันออกหัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออกกราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่งแล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่งซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ</span>       </span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: Tahoma; color: #993366\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #993366\">          <span lang=\"TH\">พระมหาราชครูร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อนแปลเป็นไทยว่า &quot;ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อมขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯพระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษกเป็นบรมราชาธิราชเป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยามเหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ข้าทูลละอองธุลีพระบาทมีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวงพร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกันขอขนานพระปรมาภิไธยถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้นและขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์อันสมพระราชอิสริยยศขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้นและทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้วขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป</span>  </span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: Tahoma; color: #993366\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #33cccc\">4.เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #33cccc\">                </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: Tahoma; color: #33cccc\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><b><i><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #ffcc00\">พระมหาเศวตฉัตร</span></i></b><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #ffcc00\">   </span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: Tahoma; color: #ffcc00\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #ffcc00\">           <span lang=\"TH\">เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นพปฎลมหาเศวตฉัตรเป็นฉัตร ๙ ชั้น หุ้มผ้าขาวมีระบาย๓ ชั้น ขลิบทอง แผ่ลวด มียอด</span> <span lang=\"TH\"><br />พระมหาเศวตฉัตรนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้หุ้มด้วยผ้าขาวแทนตาดถือเป็นเคื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญยิ่งกว่าราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆในรัชกาลปัจจุบันทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำขึ้นถวายที่พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรหลังจากทรงรับน้ำอภิเษกแล้วจากนั้นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังก็เชิญไปปักกางไว้เหนือพระที่นั่งภัทรบิฐต่อมาเมื่อเสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับณพระที่นั่งภัทรบิฐเพื่อทรงรับเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์จึงไม่ต้องถวายเศวตฉัตรรวมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อื่น</span> <span lang=\"TH\">เดิมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ไทยบางรัชกาลมิได้กล่าวรวมพระมหาเศวตฉัตรหรือเศวตฉัตรเป็นเรื่องราชกกุธภัณฑ์ด้วยเพราะฉัตรเป็นของใหญ่โตมีปักอยู่แล้วเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐจึงถวายธารพระกรแทนจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</span> </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\"> </span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><b><i><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #ff99cc\">พระมหาพิชัยมงกุฎ</span></i></b><span style=\"font-size: 14pt; font-family: Tahoma; color: #ff99cc\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #ff99cc\">             <span lang=\"TH\">เป็นราชศิราภรณ์สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทำด้วยทองลงยาประดับเพชรต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เสริมแต่งพระมหาพิชัยมงกุฎให้งดงามและทรงคุณค่ายิ่งขึ้นจึงให้ผู้ชำนาญการดูเพชรไปหาซื้อเพชรจากประเทศอินเดียได้เพชรขนาดใหญ่น้ำดีจากเมืองกัลกัตตาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำมาประดับไว้บนยอดพระมหาพิชัยมงกุฎแล้วพระราชทานนามเพชรนี้ว่า</span>       <span lang=\"TH\">พระมหาวิเชียรมณีพระมหามงกุฎหมายถึงยอดวิมานของพระอินทร์ผู้เป็นประชาบดีของสวรรค์ชั้นสอง คือชั้นดาวดึงส์พระมหาพิชัยมงกุฎรวมพระจอน สูง๖๖ เซนติเมตร หนัก ๗.๓กิโลกรัมในสมัยโบราณถือว่ามงกุฎมีค่าสำคัญเท่ากับราชกกุธภัณฑ์อื่นๆและมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุดเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงรับมงกุฎมาแล้วก็เพียงทรงวางไว้ข้างพระองค์ต่อมาเมื่อประเทศไทยติดต่อกับประเทศในทวีปยุโรปมากขึ้นจึงนิยมตามราชสำนักยุโรปที่ถือว่าภาวะแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ที่เวลาได้สวมมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์ได้ทรงเชิญทูตในประเทศไทยร่วมในพระราชพิธีและทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎมาทรงสวมแต่นั้นมาก็ถือว่าพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในบรรดาเครื่องราชกกุธภัณฑ์และมหากษัตริย์จะทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก</span>    </span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: Tahoma; color: #ff99cc\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><b><i><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #cc6600\">ธารพระกร</span></i></b><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #cc6600\">   </span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: Tahoma; color: #cc6600\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #cc6600\">              <span lang=\"TH\">ธารพระกรของเดิมสร้างในรัชกาลที่ ๑ ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ปิดทองหัวและสันเป็นเหล็กคร่ำลายทองที่สุดสันเป็นซ่อมลักษณะเหมือนกับไม้เท้าพระภิกษุที่ใช้ในการชักมหาบังสกุลเรียกธารพระกรของเดิมนั้นว่าธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างธารพระกรขึ้นใหม่องค์หนึ่งด้วยทองคำภายในมีพระแสงเสน่ายอดมีรูปเทวดา จึงเรียกว่าธารพระกรเทวรูปที่แท้ลักษณะเป็นพระแสงดาบมากกว่าเป็นธารพระกรแต่ได้ทรงสร้างขึ้นแล้วก็ทรงใช้แทนธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำธารพระกรชัยพฤกษ์กลับมาใช้อีกและยังคงใช้ธารพระกรชัยพฤกษ์ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน</span>   </span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: Tahoma; color: #cc6600\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><b><i><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #ff7c80\">พระแสงขรรค์ชัยศรี</span></i></b><span style=\"font-size: 14pt; font-family: Tahoma; color: #ff7c80\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #ff7c80\">            <span lang=\"TH\">เป็นพระแสงราชศัสตราวุธประจำพระองค์พระมหากษัตริย์เป็นพระแสงราชศัสตราปะจำพระองค์พระมหากษัตริย์พระขรรค์หมายถึงพระปัญญาในการปกครองบ้านเมืองพระแสงขรรค์องค์ปัจจุบันมีประวัติว่า ในปีพ.ศ.๒๓๒๗ชาวประมงพบพระแสงองค์นี้ในทะเลสาบเมืองเสียมราฐกรมการเมืองเห็นว่าองค์พระแสงขรรค์ยังอยู่ในสภาพดีและงดงามจึงนำพระแสงไปมอบให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์(แบน)ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเสียมราฐในขณะนั้นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เห็นว่าเป็นของเก่าฝีมือช่างสมัยนครวัดจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯเมื่อวันที่พระแสงองค์นี้มาถึงพระนครได้เกิดฟ้าผ่าในเขตในพระนครถึง๗ แห่งมีประตูวิเศษไชยศรีในพระราชฐานชั้นนอกและประตูพิมานไชยศรีในพระราชฐานชั้นกลางซึ่งเป็นทางที่อัญเชิญพระแสงองค์นี้ผ่านไปเพื่อเข้าไปในพระบรมมหาราชวังเป็นต้นดังนั้น ประตูพระบรมมหาราชวังดังกล่าวจึงมีคำท้ายชื่อว่า&quot;ไชยศรี&quot;ทั้งสองประตูเช่นเดียวกับชื่อพระขรรค์องค์นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทำด้ามและฝักขึ้นด้วยทองลงยาประดับมณีพระแสงขรรค์ชัยศรีนี้เฉพาะส่วนที่เป็นองค์พระขรรค์ยาว๖๔.๕เซนติเมตรประกอบด้ามแล้วยาว ๘๙.๘ เซนติเมตรหนัก ๑.๓ กิโลกรัมสวมฝักแล้วยาว๑๐๑เซนติเมตรหนัก ๑.๙กิโลกรัมพระแสงราชศัสตราที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีสำคัญหลายพิธีเช่นพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา</span>   </span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: Tahoma; color: #ff7c80\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><b><i><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #cc99ff\">พัดวาลวีชนีและพระแส้หางจามรี</span></i></b><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #cc99ff\">  </span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: Tahoma; color: #cc99ff\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #cc99ff\">              <span lang=\"TH\">เป็นเครื่องใช้ประจำพระองค์พระมหากษัตริย์พัดวาลวีชนีทำด้วยใบตาลแต่ปิดทองทั้ง 2 ด้าน ด้ามและเครื่องประกอบทำด้วยทองลงยาส่วนพระแส้ทำด้วยขนจามรีด้ามเป็นแก้วทั้งสองสิ่งนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น</span>\'<span lang=\"TH\">วาลวีชนี</span>\' <span lang=\"TH\">เป็นภาษาบาลีแปลว่า เครื่องโบกทำด้วยขนวาล ตรงกับที่ไทยเรียกจามรี</span>  </span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: Tahoma; color: #cc99ff\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><b><i><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #ff9966\">ฉลองพระบาทเชิงงอน</span></i></b><span style=\"font-size: 14pt; font-family: Tahoma; color: #ff9966\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #ff9966\">              <span lang=\"TH\">ฉลองพระบาทมีที่มาจากเกือกแก้วหมายถึงแผ่นดินอันเป็นที่รองรับเขาพระสุเมรุและเป็นที่อาศัยของอาณาประชาราษฎร์ทั่วทั้งแว่นแคว้นฉลองพระบาทเชิงงอนนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯให้สร้างขึ้นเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามแบบอินเดียโบราณทำด้วยทองคำทั้งองค์น้ำหนัก๖๕๐กรัมลายที่สลักประกอบด้วยลายช่อหางโตแบบดอกเทศลงยาสีเขียวแดงโดยดอกลงยาสีเขียวเกสรลงยาสีแดงส่วนเชิงงอนนั้นทำเป็นตุ่มแบบกระดุมหรือดอกลำดวนมีคาดกลางทำเป็นลายก้านต่อดอกชนิดใบเทศฝังบุษย์น้ำเพชร</span></span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: Tahoma; color: #ff9966\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #1f497d\"> </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\'; color: blue\">www.vcharkarn.com/vcafe/<span lang=\"TH\">154861</span></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: blue\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><u><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\'; color: blue\">www.bloggang.com/viewdiary.php?id=luckystar&amp;month=<span lang=\"TH\">06-</span>     <span lang=\"TH\">2009</span>&amp;date=<span lang=\"TH\">08</span>&amp;group=<span lang=\"TH\">22</span>&amp;gblog=<span lang=\"TH\">43</span></span></u><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\'; color: blue\"> </span><span style=\"font-family: Tahoma; color: blue\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"> </span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n', created = 1717349226, expire = 1717435626, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:cb7fb9181d170cdec4e893f9399ae4fa' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:f943a80c6800b5cca2e6b947895c986c' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #999999\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span></span></b></span></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #999999\"></span></span></b></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><b><u>ตอบ</u>  <span style=\"font-size: 10pt; color: #2b3220\"><span lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\">ก่อน<br />\nที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์<br />\nจึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง<br />\nโดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ<br />\nเพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์<br />\nให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์<br />\nในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว</span></span></span></b></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"> </span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"></span></span></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt; color: #2b3220\"><span lang=\"TH\"></span></span><span style=\"font-size: 10pt; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><b><span style=\"color: #000000\">       <br />\nในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล<br />\nที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์<br />\nซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล<br />\nที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม<br />\nในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว)<br />\nสืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน</span></b></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt; color: #2b3220\" lang=\"TH\"></span><span style=\"font-size: 10pt; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><b><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><b><span style=\"color: #000000\">        </span></b></span>อำนาจ<br />\nรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน<br />\nทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์<br />\nเว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา<br />\nเพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า<br />\nหรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม</span></b></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><b><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><b><span style=\"color: #000000\">        สิทธิ<br />\nธรรมในการเป็นผู้ปกครอง ก็จะมีสิทธิในการปกครองประเทศ<br />\nเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ อย่างเช่น ในหลวง ของเรา<br />\nโดยปกครองอาศัยหลักทศพิธราชธรรม ในการปกครองประเทศ </span></b></span></span></b></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"color: #999999\">2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</span> </b></span></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><u>ตอบ</u> <br />\nในการสืบสันตติวงศ์นั้น ก็คือ การสืบทอดเชื้อสายของพระมหากษัตริย์นั่นเอง<br />\nคือ เป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ไม่ว่าจะเป็นลูกหลาน<br />\nพี่น้องกัน ที่จะได้เป็นพระมหากษัตริย์ !</span></b></span></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">        <br />\nโดยในสมัยรัตนโกสินทร์ หรือ ในรัชสมัยราชวงศ์จักรี<br />\nมีแผนภูมิแสดงลำดับการสืบสันตติวงศ์ พระมหากษัตริย์ ดังต่อไปนี้ </span></b></span></span></span></span></b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"font-size: 10pt; line-height: 115%; font-family: \'Calibri\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><v:shapetype coordsize=\"21600,21600\" o:spt=\"75\" o:preferrelative=\"t\" path=\"m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe\" filled=\"f\" stroked=\"f\" id=\"_x0000_t75\">                         </v:shapetype></span></span></span></span></span></span></span></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n&nbsp;\n</p>\n<div style=\"text-align: center; background-color: #ff99cc\">\n<img src=\"/files/u37308/6.jpeg\" width=\"220\" height=\"169\" />\n</div>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n&nbsp;\n</p>\n<p><br style=\"background-color: #ff99cc\" /></p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"color: #999999\">3. พระราชพิธีและธรรมเ</span></b></span></span><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"color: #999999\">นียมการครองสิ</span></b></span></span><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"color: #999999\">ริราชสมบัติ</span> </b></span></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><u>ตอบ</u></span><o:p></o:p></b></span></span> <span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b>พระ<br />\nราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์<br />\nและพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง<br />\nมีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู<br />\nทางใต้นครจำปาศักดิ์ ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ.<br />\n1132) </b></span></span><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><o:p></o:p></b></span></span><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span>ตาม<br />\nหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่<br />\nจะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก<br />\nในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น<br />\nไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ <o:p></o:p></b></span></span><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><span style=\"color: #000000\"><b> </b></span></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><span style=\"color: #000000\"><b><span lang=\"TH\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span>ก่อน<br />\nรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ<br />\nไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้<br />\nเมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275<br />\nได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด </span></b></span></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><span style=\"color: #000000\"><b><span lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></b></span></span><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span>ใน<br />\nรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก<br />\nเพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ<br />\nแสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว</b></span></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span>เมื่อ<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ<br />\nขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน<br />\nเนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า<br />\nจนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ<br />\nจึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328<br />\nและได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น<br />\nในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ<br />\nพราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย<br />\nพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา<br />\nก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน </b></span></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><o:p></o:p></b></span></span><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span>พิธี<br />\nบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก<br />\nเพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8<br />\nแต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด<br />\nเพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์<br />\nฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น<br />\nพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ<br />\nได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ<br />\nหลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี<br />\nการสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน<br />\nขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน<br />\nการขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป<br />\nการสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่<br />\nทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย<br />\nถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง</b></span></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"></span></span><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span>งานพระ<br />\nบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ<br />\nมีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ<br />\nได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล<br />\nเพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18<br />\nมณฑล ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา<br />\nและพระราชลัญจกรแผ่นดิน</b></span></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"></span></span><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span>เมื่อ<br />\nถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน<br />\nครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน<br />\nแล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ<br />\nประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ<br />\nภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด<br />\nผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ<br />\nแล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว<br />\nกลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก<br />\nกราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง<br />\nซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ </b></span></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><o:p></o:p></b></span></span><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span>พระ<br />\nมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์<br />\nแล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า &quot;<br />\nขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ<br />\nพระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า<br />\nด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช<br />\nเป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม<br />\nเหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท<br />\nมีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง<br />\nพร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย<br />\nถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น<br />\nและขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ<br />\nขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้<br />\nครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ<br />\nเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป &quot; ทรงรับว่า &quot; ชอบละ พราหมณ์ &quot;</b></span></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"font-size: 10pt; line-height: 115%; font-family: \'Calibri\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\"><v:shapetype coordsize=\"21600,21600\" o:spt=\"75\" o:preferrelative=\"t\" path=\"m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe\" filled=\"f\" stroked=\"f\" id=\"_x0000_t75\">                                                           </v:shapetype></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span>\n</p>\n<div style=\"text-align: center; background-color: #ff99cc\">\n<img src=\"/files/u37308/7.jpeg\" width=\"228\" height=\"163\" />\n</div>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\" align=\"center\">\n<span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><u>และนี้ก็เป็นรูปที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง เข้า พระราชพิธีบรมราชาภิเษก</u></b></span></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span></b></span></span></span></span><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b>และ<br />\nในปีพุทธศักราช 2549 ก็ได้มีงาน งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช<br />\n๒๕๔๙ (อังกฤษ. The Sixtieth Anniversary Celebrations of His Majesty\'s<br />\nAccession to the Throne) เป็นงานเฉลิมฉลองที่ประกอบด้วยรัฐพิธีและราชพิธี<br />\nมีขึ้นตลอดปี พ.ศ. ๒๕๔๙<br />\nเนื่องในวาระที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชสมบัติ<br />\nเป็นปีที่ ๖๐<br />\nซึ่งยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในประวัติศาสตร์ชาติไทยและในโลก<br />\nปัจจุบัน งานดังกล่าวกำกับดูแลและดำเนินการโดยรัฐบาลไทย</b></span> <o:p></o:p></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\" align=\"center\">\n<img src=\"/files/u37308/8.jpeg\" width=\"232\" height=\"160\" />\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\" align=\"center\">\n<span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><u>รูปภาพงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖o ปี ,, ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม<br />\nโดยมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศในประเทศไทย โดย เปล่งคำว่า &quot; ทรงพระเจริญ &quot; อย่างกึกก้องไปทั่วทั้งงาน</u></b></span></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"color: #999999\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span> </b></span></span>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><u>ตอบ</u></span><o:p></o:p></b></span></span>  <b>พระ<br />\nราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข<br />\nคือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุข<br />\nว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้ว</b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span></b></span></span></span></span><b>ภาย<br />\nหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙<br />\nพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่<br />\n๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ<br />\nในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า<br />\n\'พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดี<br />\nจักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร\'</b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<b><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span></b></span></span></span></span>พระ<br />\nราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทย<br />\nเป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็น<br />\nสมมุติเทพ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก<br />\nพระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราช<br />\nอิสริยยศ อันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์<br />\nที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย</b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<b><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span></b></span></span></span></span>กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึง ทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ </b><b>รวมความแล้วหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์</b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<b><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span></b></span></span></span></span>ประเพณี<br />\nการถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย<br />\nมีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมา<br />\nจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราช<br />\nภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ <br />\nเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วย ดังนี้ </b>\n</p>\n<div style=\"text-align: center; background-color: #ff99cc\">\n\n</div>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<b><br />\nพระมหาเศวตฉัตร </b></p>\n<p>เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นพปฎลมหาเศวตฉัตรเป็นฉัตร ๙ ชั้น หุ้มผ้าขาว มีระบาย ๓ ชั้น ขลิบทอง แผ่ลวด มียอด <br />\nพระมหาเศวตฉัตรนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้หุ้มด้วย<br />\nผ้าขาว แทนตาด ถือเป็นเคื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญยิ่งกว่าราชกกุธภัณฑ์อื่น<br />\nๆ ในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้นำขึ้นถวายที่พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรหลังจากทรงรับน้ำอภิเษกแล้ว<br />\nจากนั้นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังก็เชิญไปปักกางไว้เหนือพระที่นั่งภัทรบิฐ<br />\nต่อมาเมื่อเสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับ ณ พระที่นั่งภัทรบิฐ<br />\nเพื่อทรงรับเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์<br />\nจึงไม่ต้องถวายเศวตฉัตรรวมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อื่น <br />\nเดิมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ไทยบางรัชกาล<br />\nมิได้กล่าวรวมพระมหาเศวตฉัตรหรือเศวตฉัตรเป็นเรื่องราชกกุธภัณฑ์ด้วยเพราะ<br />\nฉัตรเป็นของใหญ่โต มีปักอยู่แล้วเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐจึงถวายธารพระกรแทน<br />\nจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<b></b><b></b>\n</p>\n<div style=\"text-align: center; background-color: #ff99cc\">\n<b> <br />\n</b>\n</div>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<b> พระมหาพิชัยมงกุฎ<br />\n</b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<b> <span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span></b></span></span></span></span>เป็น<br />\nราชศิราภรณ์สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช<br />\nทำด้วยทองลงยาประดับเพชรต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้<br />\nทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้เสริมแต่งพระมหาพิชัยมงกุฎให้งดงามและทรงคุณค่ายิ่งขึ้นจึงให้ผู้ชำนาญ<br />\nการดูเพชรไปหาซื้อเพชรจากประเทศอินเดียได้เพชรขนาดใหญ่ น้ำดี<br />\nจากเมืองกัลกัตตา<br />\nทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำมาประดับไว้บนยอดพระมหาพิชัยมงกุฎ<br />\nแล้วพระราชทานนามเพชรนี้ว่า       พระมหาวิเชียรมณี<br />\nพระมหามงกุฎหมายถึงยอดวิมานของพระอินทร์ ผู้เป็นประชาบดีของสวรรค์ชั้นสอง<br />\nคือ ชั้นดาวดึงส์พระมหาพิชัยมงกุฎรวมพระจอน สูง ๖๖ เซนติเมตร หนัก ๗.๓<br />\nกิโลกรัมในสมัยโบราณถือว่ามงกุฎมีค่าสำคัญเท่ากับราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ<br />\nและมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด<br />\nเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงรับมงกุฎมาแล้วก็เพียงทรงวางไว้ข้างพระองค์ต่อมา<br />\nเมื่อประเทศไทยติดต่อกับประเทศในทวีปยุโรปมากขึ้น<br />\nจึงนิยมตามราชสำนักยุโรปที่ถือว่าภาวะแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ที่<br />\nเวลาได้สวมมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่<br />\nหัว พระองค์ได้ทรงเชิญทูตในประเทศไทยร่วมในพระราชพิธี<br />\nและทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎมาทรงสวมแต่นั้นมาก็ถือว่า<br />\nพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในบรรดาเครื่องราชกกุธภัณฑ์<br />\nและมหากษัตริย์จะทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก </b>\n</p>\n<div style=\"text-align: center; background-color: #ff99cc\">\n<b> <br />\n</b>\n</div>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<b> พระแสงขรรค์ชัยศรี<br />\n</b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<b> <span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span></b></span></span></span></span>เป็น<br />\nพระแสงราชศัสตราวุธประจำพระองค์พระมหากษัตริย์<br />\nเป็นพระแสงราชศัสตราปะจำพระองค์พระมหากษัตริย์พระขรรค์ หมายถึง<br />\nพระปัญญาในการปกครองบ้านเมืองพระแสงขรรค์องค์ปัจจุบันมีประวัติว่า ในปี<br />\nพ.ศ.๒๓๒๗ ชาวประมงพบพระแสงองค์นี้ในทะเลสาบเมืองเสียมราฐ<br />\nกรมการเมืองเห็นว่าองค์พระแสงขรรค์ยังอยู่ในสภาพดีและงดงาม<br />\nจึงนำพระแสงไปมอบให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน)<br />\nซึ่งเป็นเจ้าเมืองเสียมราฐในขณะนั้นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เห็นว่าเป็นของเก่า<br />\nฝีมือช่างสมัยนครวัด<br />\nจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯเมื่อวันที่พระ<br />\nแสงองค์นี้มาถึงพระนคร ได้เกิดฟ้าผ่าในเขตในพระนครถึง ๗<br />\nแห่งมีประตูวิเศษไชยศรีในพระราชฐานชั้นนอก และประตูพิมานไชยศรี<br />\nในพระราชฐานชั้นกลาง ซึ่งเป็นทางที่อัญเชิญพระแสงองค์นี้ผ่านไป<br />\nเพื่อเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง เป็นต้นดังนั้น<br />\nประตูพระบรมมหาราชวังดังกล่าว จึงมีคำท้ายชื่อว่า &quot;ไชยศรี&quot;<br />\nทั้งสองประตูเช่นเดียวกับชื่อพระขรรค์องค์นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา<br />\nโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้ทำด้ามและฝักขึ้นด้วยทองลงยาประดับมณีพระแสงขรรค์ชัยศรีนี้เฉพาะส่วนที่<br />\nเป็นองค์พระขรรค์ยาว ๖๔.๕ เซนติเมตรประกอบด้ามแล้วยาว ๘๙.๘ เซนติเมตรหนัก<br />\n๑.๓ กิโลกรัมสวมฝักแล้วยาว ๑๐๑ เซนติเมตรหนัก ๑.๙<br />\nกิโลกรัมพระแสงราชศัสตราที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีสำคัญหลายพิธี เช่น<br />\nพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา </b>\n</p>\n<div style=\"text-align: center; background-color: #ff99cc\">\n<b> <br />\n</b>\n</div>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<b> ธารพระกร<br />\n</b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<b> <span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span></b></span></span></span></span>ธารพระกร<br />\nของเดิมสร้างในรัชกาลที่ ๑ ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ปิดทอง<br />\nหัวและสันเป็นเหล็กคร่ำลายทอง ที่สุดสันเป็นซ่อม<br />\nลักษณะเหมือนกับไม้เท้าพระภิกษุที่ใช้ในการชักมหาบังสกุล<br />\nเรียกธารพระกรของเดิมนั้นว่า<br />\nธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง<br />\nธารพระกรขึ้นใหม่องค์หนึ่งด้วยทองคำ ภายในมีพระแสงเสน่า ยอดมีรูปเทวดา<br />\nจึงเรียกว่า ธารพระกรเทวรูป ที่แท้ลักษณะเป็นพระแสงดาบมากกว่าเป็นธารพระกร<br />\nแต่ได้ทรงสร้างขึ้นแล้วก็ทรงใช้แทนธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ<br />\nมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้นำธารพระกรชัยพฤกษ์กลับมาใช้อีกและยังคงใช้ธารพระกรชัยพฤกษ์ในพระราชพิธี<br />\nบรมราชภิเษก มาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน </b>\n</p>\n<div style=\"text-align: center; background-color: #ff99cc\">\n<b> <br />\n</b>\n</div>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<b> พัดวาลวีชนี และพระแส้หางจามรี </b></p>\n<p><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span></b></span></span></span></span>เป็น<br />\nเครื่องใช้ประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ พัดวาลวีชนีทำด้วยใบตาล<br />\nแต่ปิดทองทั้ง 2 ด้าน<br />\nด้ามและเครื่องประกอบทำด้วยทองลงยาส่วนพระแส้ทำด้วยขนจามรี<br />\nด้ามเป็นแก้วทั้งสองสิ่งนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช<br />\nทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น\'วาลวีชนี\' เป็นภาษาบาลีแปลว่า<br />\nเครื่องโบก ทำด้วยขนวาล ตรงกับที่ไทยเรียกจามรี \n</p>\n<div style=\"text-align: center; background-color: #ff99cc\">\n<b> <br />\n</b>\n</div>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<b> ฉลองพระบาทเชิงงอน<br />\n</b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<b> <span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span></b></span></span></span></span>ฉลอง<br />\nพระบาทมีที่มาจากเกือกแก้ว หมายถึงแผ่นดินอันเป็นที่รองรับเขาพระสุเมรุ<br />\nและเป็นที่อาศัยของอาณาประชาราษฎร์ทั่วทั้งแว่นแคว้นฉลองพระบาทเชิงงอนนี้<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ<br />\nให้สร้างขึ้นเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามแบบอินเดียโบราณทำด้วยทองคำทั้งองค์<br />\nน้ำหนัก ๖๕๐ กรัมลายที่สลักประกอบด้วยลายช่อหางโตแบบดอกเทศ ลงยาสีเขียวแดง<br />\nโดยดอกลงยาสีเขียว<br />\nเกสรลงยาสีแดงส่วนเชิงงอนนั้นทำเป็นตุ่มแบบกระดุมหรือดอกลำดวนมีคาดกลางทำ<br />\nเป็นลายก้านต่อดอกชนิดใบเทศฝังบุษย์น้ำเพชร </b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n<b> <span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #2b3220\"><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\"><span style=\"color: #000000\"><b><span style=\"font-size: 10pt\" lang=\"TH\">         </span></b></span></span></span></span></b></span></span></b></span></span></span></span>ใน<br />\nการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก<br />\nเครื่องสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์เป็นของสำคัญที่พระราชครูพราหมณ์จะถวายแด่พระ<br />\nมหากษัตริย์เพื่อความสมบูรณ์ของพระราชพิธีโดยจะถวายจากลำดับสูงลงต่ำ<br />\nเริ่มจากพระมหาพิชัยมงกุฎพระแสงขรรค์ชัยศรีธารพระกรพัดวาลวีชนี<br />\nและแส้หางจามรีและท้ายสุดจะสอดฉลองพระบาทเชิงงอนถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์<br />\nเก็บรักษาไว้ ณ ท้องพระโรงพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในหมู่พระมหามนเทียร<br />\nภายในพระบรมมหาราชวังเดิมเจ้าพนักงานที่รักษาเครื่องราชูปโภคได้จัดพิธี<br />\nสมโภชเครื่องราชูปโภคและเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นประจำทุกปี<br />\nโดยเลือกทำในเดือน ๖<br />\nเพราะมีพระราชพิธีน้อยจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระ<br />\nราชดำริว่า วันพระบรมราชาภิเษกเป็นวันมงคล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้บำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระมหาเศวตฉัตรและเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขึ้นเป็น<br />\nครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๓๙๔ พระราชทานชื่อว่า พระราชพิธีฉัตรมงคลต่อมา<br />\nพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้เพิ่มการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชแห่งกรุงรัตน<br />\nโกสินทร์เปลี่ยนเรียกชื่อพระราชพิธีว่า พระราชกุศลทักษิณานุประทาน<br />\nและพระราชพิธีฉัตรมงคลสืบมาจนปัจจุบันนี้  </b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\n&nbsp;\n</p>\n<hr id=\"null\" />\n<b> ข้อมูลอ้างอิงจาก ; <a href=\"http://www1.tv5.co.th/service/mod/heritage/king/rajapisek/index.htm\"><u><span style=\"color: #0000ff\">http://www1.tv5.co.th/service/mod/heritage/king/rajapisek/index.htm</span></u></a><br />\nh<a href=\"http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&amp;cate_id=4&amp;post_id=6722\">ttp://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&amp;cate_id=4&amp;post_id=6722</a><br />\n<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%9A\"><u><span style=\"color: #0000ff\">http://th.wikipedia.org/wiki/งานฉลองสิริราชสมบัติครบ</span></u></a> ๖๐ ปี<br />\nhttp;//1.tv5.co.th/service/mod/heritage/king/rajapisek/index.htm</b>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\nจัดทำโดย\n</p>\n<p style=\"background-color: #ff99cc\">\nนายธันย์ศรุต พิชิตศักดิ์ประภา เลขที่ 17 ม.5/8\n</p>\n', created = 1717349226, expire = 1717435626, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:f943a80c6800b5cca2e6b947895c986c' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:d1dfd1fb5c87194541f25b39d4688353' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><o:p><span style=\"font-family: Calibri; color: #000000; font-size: small\"> </span></o:p><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: red; font-size: 14pt\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: red; font-size: 14pt\"></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: red; font-size: 14pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: red; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">ตอบ</span></u></b><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\"> <span lang=\"TH\"> ก่อน<br />\nที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์<br />\nจึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง<br />\nโดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ<br />\nเพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์<br />\nให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์<br />\nในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว</span></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">       <span lang=\"TH\"><br />\nในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล<br />\nที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์<br />\nซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล<br />\nที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม<br />\nในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว)<br />\nสืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน</span></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">       <span lang=\"TH\"> อำนาจ<br />\nรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน<br />\nทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์<br />\nเว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา<br />\nเพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า<br />\nหรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม</span></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\">สิทธิ<br />\nธรรมในการเป็นผู้ปกครอง ก็จะมีสิทธิในการปกครองประเทศ<br />\nเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ อย่างเช่น ในหลวง ของเรา<br />\nโดยปกครองอาศัยหลักทศพิธราชธรรม ในการปกครองประเทศ ... .. </span>;D</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <span lang=\"TH\"> </span></span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><span lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: red; font-size: 14pt\">2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์ </span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: red; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">ตอบ</span></u></b><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\"> <span lang=\"TH\"><br />\nในการสืบสันตติวงศ์นั้น ก็คือ การสืบทอดเชื้อสายของพระมหากษัตริย์นั่นเอง<br />\nคือ เป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ไม่ว่าจะเป็นลูกหลาน พี่น้องกัน<br />\nที่จะได้เป็นพระมหากษัตริย์ !</span></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"><br />\nโดยในสมัยรัตนโกสินทร์ หรือ ในรัชสมัยราชวงศ์จักรี<br />\nมีแผนภูมิแสดงลำดับการสืบสันตติวงศ์ พระมหากษัตริย์ ดังต่อไปนี้ .... ... .<br />\n. .</span></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span style=\"background: yellow; color: #2b3220; font-size: 10pt\"><span style=\"font-family: Calibri\">                          </span></span><span style=\"color: #2b3220; font-size: 10pt\"><v:shapetype coordsize=\"21600,21600\" o:spt=\"75\" o:preferrelative=\"t\" path=\"m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe\" filled=\"f\" stroked=\"f\" id=\"_x0000_t75\"><span style=\"font-family: Calibri\"> <v:stroke joinstyle=\"miter\"></v:stroke><v:formulas><v:f eqn=\"if lineDrawn pixelLineWidth 0\"></v:f><v:f eqn=\"sum @0 1 0\"></v:f><v:f eqn=\"sum 0 0 @1\"></v:f><v:f eqn=\"prod @2 1 2\"></v:f><v:f eqn=\"prod @3 21600 pixelWidth\"></v:f><v:f eqn=\"prod @3 21600 pixelHeight\"></v:f><v:f eqn=\"sum @0 0 1\"></v:f><v:f eqn=\"prod @6 1 2\"></v:f><v:f eqn=\"prod @7 21600 pixelWidth\"></v:f><v:f eqn=\"sum @8 21600 0\"></v:f><v:f eqn=\"prod @7 21600 pixelHeight\"></v:f><v:f eqn=\"sum @10 21600 0\"></v:f></v:formulas><v:path o:extrusionok=\"f\" gradientshapeok=\"t\" o:connecttype=\"rect\"></v:path><o:lock v:ext=\"edit\" aspectratio=\"t\"></o:lock></span></v:shapetype><v:shape o:spid=\"_x0000_i1032\" alt=\"http://www.tlcthai.com/backoffice/upload_images/chakri/chart_map.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" id=\"Picture_x0020_8\" style=\"width: 318.75pt; height: 450pt; visibility: visible\"><v:imagedata o:title=\"chart_map\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ake\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image001.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: red; font-size: 14pt\"> </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: red; font-size: 14pt\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ </span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: red; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">ตอบ</span></u></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">พระ<br />\nราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์<br />\nและพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง<br />\nมีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์<br />\nได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132) </span></b><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> ตาม<br />\nหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่<br />\nจะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก<br />\nในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น<br />\nไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ</span>  </span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> ก่อน<br />\nรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ<br />\nไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้<br />\nเมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275<br />\nได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด </span></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> ใน<br />\nรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก<br />\nเพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ<br />\nแสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว</span></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> เมื่อ<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ<br />\nขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน<br />\nเนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า<br />\nจนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ<br />\nจึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328<br />\nและได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น<br />\nในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ<br />\nพราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย<br />\nพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา<br />\nก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน </span></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> พิธี<br />\nบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก<br />\nเพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8<br />\nแต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด<br />\nเพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์<br />\nฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น<br />\nพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ<br />\nได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ<br />\nหลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี<br />\nการสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน<br />\nขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน<br />\nการขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป<br />\nการสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่<br />\nทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย<br />\nถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง</span></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> งานพระ<br />\nบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ<br />\nมีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ<br />\nได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล<br />\nเพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18<br />\nมณฑล ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา<br />\nและพระราชลัญจกรแผ่นดิน</span></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> เมื่อ<br />\nถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน<br />\nครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน<br />\nแล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ<br />\nประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ<br />\nภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด<br />\nผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ<br />\nแล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว<br />\nกลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก<br />\nกราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง<br />\nซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ </span></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> พระ<br />\nมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์<br />\nแล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า &quot;<br />\nขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ<br />\nพระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า<br />\nด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช<br />\nเป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม<br />\nเหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท<br />\nมีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง<br />\nพร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย<br />\nถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น<br />\nและขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ<br />\nขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้<br />\nครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ<br />\nเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป &quot; ทรงรับว่า &quot; ชอบละ พราหมณ์ &quot;</span></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span style=\"background: yellow; color: #2b3220; font-size: 10pt\"><span style=\"font-family: Calibri\">                                                  </span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 10pt\"> </span><span style=\"background: yellow; color: #2b3220; font-size: 10pt\"><span style=\"font-family: Calibri\">       </span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 10pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: black; font-size: 10pt\"><v:shape alt=\"http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/c/cb/Bhumbol_coronation_1.jpg/250px-Bhumbol_coronation_1.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" id=\"_x0000_i1031\" style=\"width: 187.5pt; height: 273pt; visibility: visible\"><v:imagedata o:title=\"250px-Bhumbol_coronation_1\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ake\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image002.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">และนี้ก็เป็นรูปที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง เข้า พระราชพิธีบรมราชาภิเษก</span></u></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> และ<br />\nในปีพุทธศักราช 2549 ก็ได้มีงาน งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช<br />\n๒๕๔๙ (อังกฤษ. </span>The Sixtieth<span lang=\"TH\"> </span>Anniversary Celebrations of His Majesty\'s<span lang=\"TH\"><br />\n</span>Accession to the Throne)<span lang=\"TH\"> เป็นงานเฉลิมฉลองที่ประกอบด้วยรัฐพิธีและราชพิธี<br />\nมีขึ้นตลอดปี พ.ศ. ๒๕๔๙<br />\nเนื่องในวาระที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชสมบัติ<br />\nเป็นปีที่ ๖๐<br />\nซึ่งยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในประวัติศาสตร์ชาติไทยและในโลก<br />\nปัจจุบัน งานดังกล่าวกำกับดูแลและดำเนินการโดยรัฐบาลไทย</span></span></b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 10pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><v:shape o:spid=\"_x0000_i1030\" alt=\"http://www.moohin.com/festival/pictures/200606100920446.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" id=\"imgb\" style=\"width: 334.5pt; height: 174pt; visibility: visible\"><v:imagedata o:title=\"200606100920446\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ake\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image003.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">รูปภาพงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖</span></u></b><b><u><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">o <span lang=\"TH\">ปี </span>,, <span lang=\"TH\">ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม<br />\nโดยมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศในประเทศไทย</span> <span lang=\"TH\">โดย เปล่งคำว่า &quot;</span> <span lang=\"TH\">ทรงพระเจริญ &quot; อย่างกึกก้องไปทั่วทั้งงาน</span></span></u></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: red; font-size: 14pt\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ </span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: red; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">ตอบ</span></u></b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <span lang=\"TH\"> <b>พระ<br />\nราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข<br />\nคือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุข<br />\nว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้ว</b> <o:p></o:p></span></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">ภาย<br />\nหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙<br />\nพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕<br />\nพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ<br />\nในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า<br />\n</span></b><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">\'<span lang=\"TH\">พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดี<br />\nจักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร</span>\'</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระ<br />\nราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทย<br />\nเป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็น<br />\nสมมุติเทพ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก<br />\nพระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราช<br />\nอิสริยยศ อันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์<br />\nที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึง ทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ รวมความแล้วหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">ประเพณี<br />\nการถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย<br />\nมีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมา<br />\nจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราช<br />\nภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ <br />\nเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วย ดังนี้ ....</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><v:shape o:spid=\"_x0000_i1029\" alt=\"http://www.buddha-cp.com/imagesnew/ratkuphun/benja00.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" id=\"Picture_x0020_11\" style=\"width: 120pt; height: 218.25pt; visibility: visible\"><v:imagedata o:title=\"benja00\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ake\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image004.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><br />\n+ พระมหาเศวตฉัตร <o:p></o:p></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นพปฎลมหาเศวตฉัตรเป็นฉัตร ๙ ชั้น หุ้มผ้าขาว มีระบาย ๓ ชั้น ขลิบทอง แผ่ลวด มียอด <br />\nพระมหาเศวตฉัตรนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้หุ้มด้วย<br />\nผ้าขาว แทนตาด ถือเป็นเคื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญยิ่งกว่าราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ<br />\nในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้นำขึ้นถวายที่พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรหลังจากทรงรับน้ำอภิเษกแล้ว<br />\nจากนั้นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังก็เชิญไปปักกางไว้เหนือพระที่นั่งภัทรบิฐ<br />\nต่อมาเมื่อเสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับ ณ พระที่นั่งภัทรบิฐ<br />\nเพื่อทรงรับเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์<br />\nจึงไม่ต้องถวายเศวตฉัตรรวมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อื่น <br />\nเดิมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ไทยบางรัชกาล<br />\nมิได้กล่าวรวมพระมหาเศวตฉัตรหรือเศวตฉัตรเป็นเรื่องราชกกุธภัณฑ์ด้วยเพราะ<br />\nฉัตรเป็นของใหญ่โต มีปักอยู่แล้วเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐจึงถวายธารพระกรแทน<br />\nจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว <o:p></o:p></span></b><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><v:shape o:spid=\"_x0000_i1028\" alt=\"http://195.145.133.206/rtc/de/culture/Kkrone.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" id=\"Picture_x0020_12\" style=\"width: 150pt; height: 187.5pt; visibility: visible\"><v:imagedata o:title=\"Kkrone\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ake\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image005.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">+ พระมหาพิชัยมงกุฎ</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">เป็น<br />\nราชศิราภรณ์สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช<br />\nทำด้วยทองลงยาประดับเพชรต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้<br />\nทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้เสริมแต่งพระมหาพิชัยมงกุฎให้งดงามและทรงคุณค่ายิ่งขึ้นจึงให้ผู้ชำนาญ<br />\nการดูเพชรไปหาซื้อเพชรจากประเทศอินเดียได้เพชรขนาดใหญ่ น้ำดี<br />\nจากเมืองกัลกัตตา<br />\nทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำมาประดับไว้บนยอดพระมหาพิชัยมงกุฎ<br />\nแล้วพระราชทานนามเพชรนี้ว่า</span></b><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">      <span lang=\"TH\"> พระมหาวิเชียรมณี<br />\nพระมหามงกุฎหมายถึงยอดวิมานของพระอินทร์ ผู้เป็นประชาบดีของสวรรค์ชั้นสอง<br />\nคือ ชั้นดาวดึงส์พระมหาพิชัยมงกุฎรวมพระจอน สูง ๖๖ เซนติเมตร หนัก ๗.๓<br />\nกิโลกรัมในสมัยโบราณถือว่ามงกุฎมีค่าสำคัญเท่ากับราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ<br />\nและมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด<br />\nเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงรับมงกุฎมาแล้วก็เพียงทรงวางไว้ข้างพระองค์ต่อมา<br />\nเมื่อประเทศไทยติดต่อกับประเทศในทวีปยุโรปมากขึ้น<br />\nจึงนิยมตามราชสำนักยุโรปที่ถือว่าภาวะแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ที่<br />\nเวลาได้สวมมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่<br />\nหัว พระองค์ได้ทรงเชิญทูตในประเทศไทยร่วมในพระราชพิธี<br />\nและทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎมาทรงสวมแต่นั้นมาก็ถือว่า<br />\nพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในบรรดาเครื่องราชกกุธภัณฑ์<br />\nและมหากษัตริย์จะทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก</span></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><v:shape o:spid=\"_x0000_i1027\" alt=\"http://195.145.133.206/rtc/de/culture/Kschwert.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" id=\"Picture_x0020_13\" style=\"width: 150pt; height: 187.5pt; visibility: visible\"><v:imagedata o:title=\"Kschwert\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ake\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image006.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">+ พระแสงขรรค์ชัยศรี</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">เป็น<br />\nพระแสงราชศัสตราวุธประจำพระองค์พระมหากษัตริย์<br />\nเป็นพระแสงราชศัสตราปะจำพระองค์พระมหากษัตริย์พระขรรค์ หมายถึง<br />\nพระปัญญาในการปกครองบ้านเมืองพระแสงขรรค์องค์ปัจจุบันมีประวัติว่า ในปี<br />\nพ.ศ.๒๓๒๗ ชาวประมงพบพระแสงองค์นี้ในทะเลสาบเมืองเสียมราฐ<br />\nกรมการเมืองเห็นว่าองค์พระแสงขรรค์ยังอยู่ในสภาพดีและงดงาม<br />\nจึงนำพระแสงไปมอบให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน)<br />\nซึ่งเป็นเจ้าเมืองเสียมราฐในขณะนั้นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เห็นว่าเป็นของเก่า<br />\nฝีมือช่างสมัยนครวัด<br />\nจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯเมื่อวันที่พระ<br />\nแสงองค์นี้มาถึงพระนคร ได้เกิดฟ้าผ่าในเขตในพระนครถึง ๗<br />\nแห่งมีประตูวิเศษไชยศรีในพระราชฐานชั้นนอก และประตูพิมานไชยศรี<br />\nในพระราชฐานชั้นกลาง ซึ่งเป็นทางที่อัญเชิญพระแสงองค์นี้ผ่านไป<br />\nเพื่อเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง เป็นต้นดังนั้น ประตูพระบรมมหาราชวังดังกล่าว<br />\nจึงมีคำท้ายชื่อว่า &quot;ไชยศรี&quot;<br />\nทั้งสองประตูเช่นเดียวกับชื่อพระขรรค์องค์นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา<br />\nโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้ทำด้ามและฝักขึ้นด้วยทองลงยาประดับมณีพระแสงขรรค์ชัยศรีนี้เฉพาะส่วนที่<br />\nเป็นองค์พระขรรค์ยาว ๖๔.๕ เซนติเมตรประกอบด้ามแล้วยาว ๘๙.๘ เซนติเมตรหนัก<br />\n๑.๓ กิโลกรัมสวมฝักแล้วยาว ๑๐๑ เซนติเมตรหนัก ๑.๙<br />\nกิโลกรัมพระแสงราชศัสตราที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีสำคัญหลายพิธี เช่น<br />\nพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><v:shape o:spid=\"_x0000_i1026\" alt=\"http://www.cpru.ac.th/oportor/pic/tanprakorn.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" id=\"Picture_x0020_14\" style=\"width: 219.75pt; height: 83.25pt; visibility: visible\"><v:imagedata o:title=\"tanprakorn\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ake\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image007.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">+ ธารพระกร</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">ธารพระกร<br />\nของเดิมสร้างในรัชกาลที่ ๑ ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ปิดทอง<br />\nหัวและสันเป็นเหล็กคร่ำลายทอง ที่สุดสันเป็นซ่อม<br />\nลักษณะเหมือนกับไม้เท้าพระภิกษุที่ใช้ในการชักมหาบังสกุล<br />\nเรียกธารพระกรของเดิมนั้นว่า<br />\nธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง<br />\nธารพระกรขึ้นใหม่องค์หนึ่งด้วยทองคำ ภายในมีพระแสงเสน่า ยอดมีรูปเทวดา<br />\nจึงเรียกว่า ธารพระกรเทวรูป ที่แท้ลักษณะเป็นพระแสงดาบมากกว่าเป็นธารพระกร<br />\nแต่ได้ทรงสร้างขึ้นแล้วก็ทรงใช้แทนธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ<br />\nมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้นำธารพระกรชัยพฤกษ์กลับมาใช้อีกและยังคงใช้ธารพระกรชัยพฤกษ์ในพระราชพิธี<br />\nบรมราชภิเษก มาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><v:shape o:spid=\"_x0000_i1025\" alt=\"http://download.clib.psu.ac.th/datawebclib/exhonline/coronation/image/vanwishanee.jpg\" type=\"#_x0000_t75\" id=\"Picture_x0020_15\" style=\"width: 214.5pt; height: 117.75pt; visibility: visible\"><v:imagedata o:title=\"vanwishanee\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ake\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image008.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">+ พัดวาลวีชนี และพระแส้หางจามรี</span></b><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <span lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span></span></b><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">เป็น<br />\nเครื่องใช้ประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ พัดวาลวีชนีทำด้วยใบตาล<br />\nแต่ปิดทองทั้ง 2 ด้าน<br />\nด้ามและเครื่องประกอบทำด้วยทองลงยาส่วนพระแส้ทำด้วยขนจามรี<br />\nด้ามเป็นแก้วทั้งสองสิ่งนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช<br />\nทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น</span></b><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">\'<span lang=\"TH\">วาลวีชนี</span>\' <span lang=\"TH\">เป็นภาษาบาลีแปลว่า<br />\nเครื่องโบก ทำด้วยขนวาล ตรงกับที่ไทยเรียกจามรี <o:p></o:p></span></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p> </o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">+ ฉลองพระบาทเชิงงอน</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">ฉลอง<br />\nพระบาทมีที่มาจากเกือกแก้ว หมายถึงแผ่นดินอันเป็นที่รองรับเขาพระสุเมรุ<br />\nและเป็นที่อาศัยของอาณาประชาราษฎร์ทั่วทั้งแว่นแคว้นฉลองพระบาทเชิงงอนนี้<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ<br />\nให้สร้างขึ้นเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามแบบอินเดียโบราณทำด้วยทองคำทั้งองค์<br />\nน้ำหนัก ๖๕๐ กรัมลายที่สลักประกอบด้วยลายช่อหางโตแบบดอกเทศ ลงยาสีเขียวแดง<br />\nโดยดอกลงยาสีเขียว<br />\nเกสรลงยาสีแดงส่วนเชิงงอนนั้นทำเป็นตุ่มแบบกระดุมหรือดอกลำดวนมีคาดกลางทำ<br />\nเป็นลายก้านต่อดอกชนิดใบเทศฝังบุษย์น้ำเพชร</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: black; font-size: 10pt\">        <span lang=\"TH\"> </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: #2b3220; font-size: 9pt\">ใน<br />\nการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก<br />\nเครื่องสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์เป็นของสำคัญที่พระราชครูพราหมณ์จะถวายแด่พระ<br />\nมหากษัตริย์เพื่อความสมบูรณ์ของพระราชพิธีโดยจะถวายจากลำดับสูงลงต่ำ<br />\nเริ่มจากพระมหาพิชัยมงกุฎพระแสงขรรค์ชัยศรีธารพระกรพัดวาลวีชนี<br />\nและแส้หางจามรีและท้ายสุดจะสอดฉลองพระบาทเชิงงอนถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์<br />\nเก็บรักษาไว้ ณ ท้องพระโรงพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในหมู่พระมหามนเทียร<br />\nภายในพระบรมมหาราชวังเดิมเจ้าพนักงานที่รักษาเครื่องราชูปโภคได้จัดพิธี<br />\nสมโภชเครื่องราชูปโภคและเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นประจำทุกปี<br />\nโดยเลือกทำในเดือน ๖<br />\nเพราะมีพระราชพิธีน้อยจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระ<br />\nราชดำริว่า วันพระบรมราชาภิเษกเป็นวันมงคล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้บำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระมหาเศวตฉัตรและเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขึ้นเป็น<br />\nครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๓๙๔ พระราชทานชื่อว่า พระราชพิธีฉัตรมงคลต่อมา<br />\nพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้เพิ่มการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชแห่งกรุงรัตน<br />\nโกสินทร์เปลี่ยนเรียกชื่อพระราชพิธีว่า พระราชกุศลทักษิณานุประทาน<br />\nและพระราชพิธีฉัตรมงคลสืบมาจนปัจจุบันนี้</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 12pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; background: yellow; color: red; font-size: 12pt\">อ้างอิง <a href=\"http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%25msg_id%25\"><span lang=\"EN-US\" style=\"color: red; text-decoration: none; text-underline: none\">http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=</span><span style=\"color: red; text-decoration: none; text-underline: none\">89.</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: red; text-decoration: none; text-underline: none\">msg%msg_id%</span></a><a href=\"http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861\"><span lang=\"EN-US\" style=\"color: red; text-decoration: none; text-underline: none\">http://www.vcharkarn.com/vcafe/</span><span style=\"color: red; text-decoration: none; text-underline: none\">154861</span></a> <a href=\"http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&amp;cate_id=4&amp;post_id=6722\"><span lang=\"EN-US\" style=\"color: red; text-decoration: none; text-underline: none\">http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=</span><span style=\"color: red; text-decoration: none; text-underline: none\">1</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: red; text-decoration: none; text-underline: none\">&amp;cate_id=</span><span style=\"color: red; text-decoration: none; text-underline: none\">4</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: red; text-decoration: none; text-underline: none\">&amp;post_id=</span><span style=\"color: red; text-decoration: none; text-underline: none\">6722</span></a></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #0b00f0; font-size: 7.5pt\"> </span></b><b><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span></b></p>\n', created = 1717349226, expire = 1717435626, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:d1dfd1fb5c87194541f25b39d4688353' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:aa554ef99e3236b6bbaacf4c6456ec0b' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">- ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว<o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน<o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ตอบ สันตติวงศ์ สำหรับในปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 บัญญัติว่า <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">“<span lang=\"TH\">ในกรณีที่ราชบัญลังก์ว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงค์ พระพุทธศักราช 2476 แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ปรัธานรัฐสภาเรียกประชุมเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอันเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง และเป็นกรณีที่พระมหากษัตย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่งให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา 22 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในกรณีนี้จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วให้ประทานรัฐสภาอันเชิญผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชเป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ (มาตรา 23)&quot; <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ตอบ พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก<br />\nหรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น<br />\nเป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">silver jubilee)<span lang=\"TH\"><br />\nครบรอบ ๕๐ ปี (</span>golden jubilee) <span lang=\"TH\">หรือครบรอบ ๖๐ ปี (</span>diamond<span lang=\"TH\"> </span>jubilee)<span lang=\"TH\"> แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป<br />\nตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป<br />\nเช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน &quot;เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐&quot; ของรัชกาลที่ ๔<br />\nดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">&quot;ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ<br />\nจะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา<br />\nเมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา<br />\nณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]<br />\nพระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ<br />\nเพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร<br />\nกรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ<br />\nรู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา<br />\nก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง...&quot;๑ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕<br />\nเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />\nเป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nเป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ<br />\nระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑<br />\nกำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน<br />\nทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />\nไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา<br />\nเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์<br />\nและทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก<br />\nตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี<br />\nระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">,<span lang=\"TH\">๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nเป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘<br />\nและทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">,<span lang=\"TH\">๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้ <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />\nพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">,<span lang=\"TH\">๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน<br />\nเรียกชื่อว่า &quot;พระราชพิธีทวิธาภิเษก&quot; <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ตอบ การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศ<o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศ เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">เครื่องสิริมงคล<br />\nเครื่องศิราภรณ์<br />\nเครื่องภูษณาภร์<br />\nเครื่องศัสตราวุธ<br />\nเครื่องราชูปโภค<br />\nเครื่องสูง<br />\nยานพาหนะ<br />\nเครื่องประโคม<br />\nพระโกศ<o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">อ้างอิง <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\"><a href=\"http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759\" title=\"http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759\"><span lang=\"EN-US\">http://www.ryt</span><span>9.</span><span lang=\"EN-US\">com/s/tpd/</span><span>1046759</span></a> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\"><a href=\"http://stat05.diaryclub.com/?date=20071001&amp;ydiff=1&amp;mdiff=0\" title=\"http://stat05.diaryclub.com/?date=20071001&amp;ydiff=1&amp;mdiff=0\"><span lang=\"EN-US\">http://stat</span><span>05.</span><span lang=\"EN-US\">diaryclub.com/?date=</span><span>20071001</span><span lang=\"EN-US\">&amp;ydiff=</span><span>1</span><span lang=\"EN-US\">&amp;mdiff=</span><span>0</span></a> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\"><a href=\"http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%25msg_id%25\" title=\"http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%\"><span lang=\"EN-US\">http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=</span><span>89.</span><span lang=\"EN-US\">msg%msg_id%</span></a> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\"><a href=\"http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861\" title=\"http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861\"><span lang=\"EN-US\">http://www.vcharkarn.com/vcafe/</span><span>154861</span></a> <o:p></o:p></span></p>\n', created = 1717349226, expire = 1717435626, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:aa554ef99e3236b6bbaacf4c6456ec0b' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:aa554ef99e3236b6bbaacf4c6456ec0b' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">- ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว<o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน<o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ตอบ สันตติวงศ์ สำหรับในปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 บัญญัติว่า <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">“<span lang=\"TH\">ในกรณีที่ราชบัญลังก์ว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงค์ พระพุทธศักราช 2476 แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ปรัธานรัฐสภาเรียกประชุมเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอันเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง และเป็นกรณีที่พระมหากษัตย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่งให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา 22 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในกรณีนี้จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วให้ประทานรัฐสภาอันเชิญผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชเป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ (มาตรา 23)&quot; <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ตอบ พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก<br />\nหรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น<br />\nเป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">silver jubilee)<span lang=\"TH\"><br />\nครบรอบ ๕๐ ปี (</span>golden jubilee) <span lang=\"TH\">หรือครบรอบ ๖๐ ปี (</span>diamond<span lang=\"TH\"> </span>jubilee)<span lang=\"TH\"> แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป<br />\nตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป<br />\nเช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน &quot;เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐&quot; ของรัชกาลที่ ๔<br />\nดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">&quot;ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ<br />\nจะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา<br />\nเมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา<br />\nณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]<br />\nพระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ<br />\nเพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร<br />\nกรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ<br />\nรู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา<br />\nก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง...&quot;๑ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕<br />\nเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />\nเป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nเป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ<br />\nระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑<br />\nกำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน<br />\nทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />\nไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา<br />\nเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์<br />\nและทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก<br />\nตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี<br />\nระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">,<span lang=\"TH\">๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nเป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘<br />\nและทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">,<span lang=\"TH\">๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้ <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />\nพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">,<span lang=\"TH\">๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน<br />\nเรียกชื่อว่า &quot;พระราชพิธีทวิธาภิเษก&quot; <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">ตอบ การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศ<o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศ เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">เครื่องสิริมงคล<br />\nเครื่องศิราภรณ์<br />\nเครื่องภูษณาภร์<br />\nเครื่องศัสตราวุธ<br />\nเครื่องราชูปโภค<br />\nเครื่องสูง<br />\nยานพาหนะ<br />\nเครื่องประโคม<br />\nพระโกศ<o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\">อ้างอิง <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\"><a href=\"http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759\" title=\"http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759\"><span lang=\"EN-US\">http://www.ryt</span><span>9.</span><span lang=\"EN-US\">com/s/tpd/</span><span>1046759</span></a> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\"><a href=\"http://stat05.diaryclub.com/?date=20071001&amp;ydiff=1&amp;mdiff=0\" title=\"http://stat05.diaryclub.com/?date=20071001&amp;ydiff=1&amp;mdiff=0\"><span lang=\"EN-US\">http://stat</span><span>05.</span><span lang=\"EN-US\">diaryclub.com/?date=</span><span>20071001</span><span lang=\"EN-US\">&amp;ydiff=</span><span>1</span><span lang=\"EN-US\">&amp;mdiff=</span><span>0</span></a> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\"><a href=\"http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%25msg_id%25\" title=\"http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%\"><span lang=\"EN-US\">http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=</span><span>89.</span><span lang=\"EN-US\">msg%msg_id%</span></a> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 20pt\"><a href=\"http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861\" title=\"http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861\"><span lang=\"EN-US\">http://www.vcharkarn.com/vcafe/</span><span>154861</span></a> <o:p></o:p></span></p>\n', created = 1717349226, expire = 1717435626, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:aa554ef99e3236b6bbaacf4c6456ec0b' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:a00bd5b6a0613f0381aebe8ee861e5bb' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p align=\"center\">\n<span style=\"color: #0000ff\">การเถลิงถวัลย์ราชสมบัติประมุขของรัฐ<br />\nเปี่ยมล้นด้วยอำนาจสิทธิ์ขาดในการนำพาอาณาประชาราษฎร์ไปสู่ความเจริญ<br />\nรุ่งเรือง<br />\nทั้งยังสามารถขยายความจงรักภักดีและยำเกรงในบุญญาธิการให้บังเกิดในมวลชนทุก<br />\nหมู่เหล่าทั้งในและนอกอาณาจักรได้โดยสมบูรณ์นั้นจำเป็นต้องประกอบด้วยปัจจัย<br />\nสำคัญเหล่านี้คือ </span><span style=\"color: #ff0000\"> (ให้นักเรียนหาข้อมูลและอธิบายตามข้อที่กำหนด)</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span>\n</p>\n<p>\nตอบ               แนวคิดสำคัญของลัทธิเทวสิทธิ์อยู่ที่พื้นฐานความเชื่อว่า<br />\nพระเจ้าหรือเทพต่างๆ เป็นผู้สร้างโลก ฉะนั้นกษัตริย์จึงมีสิทธิ์อันชอบธรรม<br />\nที่จะใช้อำนาจเหนือคนอื่นๆ ในสังคม มีฐานะเป็นเจ้าชีวิต<br />\nตลอดจนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน (เป็นเจ้าของผืนแผ่นดิน บนโลกนี้<br />\nที่พระเจ้าสร้างขึ้น) ในฐานะเป็นตัวแทน ของพระเจ้าหรือเทพองค์นั้นๆ<br />\nบนโลกมนุษย์\n</p>\n<p>\nด้วยเหตุนี้ ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์<br />\nจึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง<br />\nโดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ<br />\nเพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์<br />\nให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์<br />\nในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว\n</p>\n<p>\nในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล<br />\nที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์<br />\nซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล<br />\nที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม<br />\nในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว)<br />\nสืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน\n</p>\n<p>\nอำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์<br />\nจึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต<br />\nโดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์<br />\nเว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา<br />\nเพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า<br />\nหรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</span>\n</p>\n<p>\nตอบ                      \n</p>\n<table style=\"width: 533px\" width=\"680\" border=\"0\" cellpadding=\"3\" cellspacing=\"0\">\n<tbody>\n<tr>\n<td valign=\"top\">\n<div align=\"center\">\n <img src=\"http://www.tlcthai.com/backoffice/upload_images/chakri/chart_map.jpg\" width=\"425\" height=\"600\" />\n </div>\n<div>\n </div>\n</td>\n</tr>\n</tbody>\n</table>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span>\n</p>\n<p>\nตอบ         นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก<br />\nหรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์<br />\nแต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น<br />\nเป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nรัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง\n</p>\n<p>\nธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น<br />\nได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)ครบรอบ ๕๐ ปี (golden<br />\njubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee)<br />\nแห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรปตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการ<br />\nฉลองอายุครบรอบต่างๆ<br />\nเป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไปเช่น<br />\nครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา                                   \n</p>\n<p>\nครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน<br />\n&quot;เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐&quot; ของรัชกาลที่<br />\n๔ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔<br />\nฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้   &quot;ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด<br />\nทรงพระราชดำริห์ว่า<br />\nพระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบจะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้า<br />\nแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา  เมื่อเวลาครบหกปี<br />\nจึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา <br />\nเดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ<br />\n[คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก<br />\nพระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย<br />\nคิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณเพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน<br />\nจึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราช<br />\nอาณาจักร<br />\nกรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร<br />\nกงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศรู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือ<br />\nถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป<br />\nกงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา      ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง...&quot;๑\n</p>\n<p>\nในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา<br />\nในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน  <br />\nแต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาท<br />\nสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕   เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม<br />\nพ.ศ. ๒๔๒๖ คือ  พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒<br />\nทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />\nเป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ.<br />\n๒๔๒๖ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจาก<br />\nครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้\n</p>\n<p>\n<b><i><u><span style=\"color: #ff00ff\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔</span></u></i></b>       ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nเป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ<br />\nระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #ff00ff\"><i><u><b>พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒</b></u></i></span> ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑<br />\nกำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน<br />\nทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />\nไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม\n</p>\n<p>\nพระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง\n</p>\n<p>\nครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา<br />\nเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์<br />\nและทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท\n</p>\n<p>\nพระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก<br />\nตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี<br />\nระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง\n</p>\n<p>\nพระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘\n</p>\n<p>\nพระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nเป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘<br />\nและทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้\n</p>\n<p>\nพระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />\nพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน<br />\nเรียกชื่อว่า &quot;พระราชพิธีทวิธาภิเษก&quot;\n</p>\n<p>\nพระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา\n</p>\n<p>\nพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑\n</p>\n<p>\nหลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span>\n</p>\n<p>\nตอบ                     เราสามารถแบ่งประเภทของเครื่องราชอิสริยยศออกได้เป็นประเภท ประมาณ 6 ประเภทดังนี้\n</p>\n<p align=\"center\">\nเครื่องอุปโภคที่ทำจากวัสดุหรือโลหะสูงค่า เช่น เจียด พานหมาก ถาดหมาก หีบหมาก คนโฑ \n</p>\n<p align=\"center\">\nกาน้ำ ซองพลู ซองบุหรี่ มังษี ผอบ ตลับภู่ น้ำเต้า ถาดชา ถ้วยฝาชา และกระโถน เป็นต้น\n</p>\n<p align=\"center\">\nโดยวัสดุที่ใช้ทำเครื่องอุปโภคนี้มีหลายประเภทตามศักดิ์ฐานะ และบรรดาศักดิ์\n</p>\n<p align=\"center\">\nเช่น ทองคำ เงิน เงินกาไหล่ทอง เงินถมดำ อาจมีการจำหลักลาย ลงราชาวดี\n</p>\n<p align=\"center\">\nหรือลงราชาวดีประดับพลอย หรือเป็นวัสดุเกลี้ยง ๆ เป็นต้น\n</p>\n<p align=\"center\">\n<img src=\"http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/903/5903/images/RoyalProperty_01.jpg\" />\n</p>\n<p align=\"center\">\n<img src=\"http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/903/5903/images/RoyalProperty_03.jpg\" width=\"376\" height=\"265\" />\n</p>\n<p align=\"center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p align=\"center\">\n<img src=\"http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/903/5903/images/RoyalProperty_04.jpg\" /><img src=\"http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/903/5903/images/RoyalProperty_05.jpg\" />\n</p>\n<p align=\"center\">\nหีบพระศรี (หีบหมาก)\n</p>\n<p align=\"center\">\n<img src=\"http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/903/5903/images/RoyalProperty_027.jpg\" />\n</p>\n<p align=\"center\">\n<img src=\"http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/903/5903/images/RoyalProperty_06.jpg\" />\n</p>\n<p align=\"center\">\n<img src=\"http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/903/5903/images/RoyalProperty_09.jpg\" />\n</p>\n<p align=\"center\">\nคนโฑ\n</p>\n<p align=\"center\">\n<img src=\"http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/903/5903/images/RoyalProperty_018.jpg\" /><img src=\"http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/903/5903/images/RoyalProperty_016.jpg\" /><img src=\"http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/903/5903/images/RoyalProperty_017.jpg\" />\n</p>\n<p align=\"center\">\n<img src=\"http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/903/5903/images/RoyalProperty_019.jpg\" />\n</p>\n<p align=\"center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p align=\"center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p align=\"center\">\nเครื่องศาสตราวุธ ได้แก่ ดาบ กระบี่ ซึ่งอาจแบ่งย่อยออกได้เป็น กระบี่บั้งเงิน กระบี่บั้งทอง\n</p>\n<p align=\"center\">\nบั้งหมายถึงการทำลวดลายสลักฝั้งลงไปบนฝักดาบ หรือ ตัวดาบเป็นช่วงๆ\n</p>\n<p align=\"center\">\nแล้วนำเอาทองหรือเงินฝังลงไปแทน นอกจากนี้ การจำแนกความสำคัญยังดูได้จากด้าม หรือฝัก\n</p>\n<p align=\"center\">\nเช่น กระบี่ฝรั่งฝักทองเหลือง กระบี่ฝักทองคำจำหลักลาย กระบี่ฝักทองคำโกร่งลงราชาวดี\n</p>\n<p align=\"center\">\nกระบี่นาคเศียรเดียว และกระบี่นาคสามเศียร เป็นต้น\n</p>\n<p align=\"center\">\nเครื่องสูง ได้แก่เครื่องแห่ที่ใช้ในขบวนแห่ต่างๆ เช่น กลด สัปทน บังสูรย์ บังแทรก\n</p>\n<p align=\"center\">\nพัด ร่ม การจำแนกชั้นยศ ดูได้จากวัสดุที่ทำ เช่น โหมด แพรผ้าขาว\n</p>\n<p align=\"center\">\nเครื่องพาหนะ ได้แก่ เครื่องคานหามที่ใช้เดินทางบนบก เช่น เสลี่ยง ยาน คานหาม\n</p>\n<p align=\"center\">\nส่วนทางน้ำได้แก่ เรือต่างๆ เช่น เรือกัญญา เป็นต้น การจำแนกชั้นยศ ดูได้จากการสลักลาย\n</p>\n<p align=\"center\">\nการลงรักปิดทอง ชนิดของคานหามและเครื่องประกอบอื่นๆ\n</p>\n<p align=\"center\">\nเครื่องประดับ แบ่งออกได้เป็นชนิดต่างๆ ดังนี้\n</p>\n<p align=\"center\">\n<img src=\"http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/903/5903/images/RoyalProperty_029.jpg\" width=\"341\" height=\"525\" />\n</p>\n<p align=\"center\">\n<img src=\"http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/903/5903/images/RoyalProperty_030.jpg\" />\n</p>\n<p align=\"center\">\nศิราภรณ์ คือ เครื่องประดับศีรษะ ได้แก่ มงกุฏ ชฏา พระมาลา หมวกสีต่างๆ กันตามชั้นยศ\n</p>\n<p align=\"center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p align=\"center\">\nพระสังวาลย์และ รัดประคต แหวน เช่น แหวนนพเก้า เป็นต้น\n</p>\n<p align=\"center\">\nเครื่องนุ่งหุ่มได้แก่ ผ้าแพรพรรณ โดยจะมีลวดลายปักจำแนกตามชั้นยศ\n</p>\n<p align=\"center\">\nเช่น เสื้อครุย เสื้อทรงประพาส เสื้อเยียรบับ เสื้อแพร ผ้าปูม ผ้าสมปัก ผ้าม่วง ผ้าห่ม ผ้าแพร เป็นต้น\n</p>\n<p align=\"center\">\nเครื่องประดับที่เกี่ยวข้องกับศาสนา เช่น ประคำทอง ตระกรุด เป็นต้น\n</p>\n<p align=\"center\">\n<img src=\"http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/903/5903/images/RoyalProperty_015.jpg\" />\n</p>\n<p align=\"center\">\nตะกรุดทองคำลงยาประดับเพชรซีก\n</p>\n<p align=\"center\">\nตะกรุดทองคำลงยาประดับเพชรซีก พร้อมด้วยลูกคั่นทองคำลงยา\n</p>\n<p align=\"center\">\nสายสร้อยเป็นสายสร้อยทองคำถักแบบหกเสา เป็นเครื่องราชอิสริยยศหมวดเครื่องสิริมงคล\n</p>\n<p align=\"center\">\nปัจจุบันหลังจากที่ประเทศไทยได้ติดต่อกับตะวันตกมาตั้งแต่ช่วงต้นรัชกาลที่สี่\n</p>\n<p align=\"center\">\nการพระราชทานเครื่องยศ ได้รับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา\n</p>\n<p align=\"center\">\nจึงมีการสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขึ้นแทน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่สี่\n</p>\n<p align=\"center\">\nที่ทำเป็นดวงดาราต่าง ๆ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการตราพระราชบัญญัติ\n</p>\n<p align=\"center\">\nและสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลต่างๆ เช่น จุลจอมเกล้า ช้างเผือก รามาธิบดี เป็นต้น\n</p>\n<p align=\"center\">\nการพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศ จึงงดไป เปลี่ยนไปเป็นการพระราชทาน\n</p>\n<p align=\"center\">\nเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เพื่อเป็นบำเหน็จความชอบในแผ่นดินแทน\n</p>\n<p align=\"center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p align=\"center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p align=\"center\">\nเครื่องประกอบพระอิสริยยศ\n</p>\n<p align=\"center\">\nดาราไอราพต (เครื่องต้น)\n</p>\n<p align=\"center\">\n<img src=\"http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/903/5903/images/RoyalProperty_013.jpg\" />\n</p>\n<p align=\"center\">\nดาราไอราพต (องค์ต้น)สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 ทำด้วยทองคำลงยาราชาวดี\n</p>\n<p align=\"center\">\nรูปกลมรี มีรัศมี 12 แฉก ลายกลางจำหลักเป็นรูปไอราพต (ช้างสามเศียร)\n</p>\n<p align=\"center\">\nมีบุษบกมหาอุณาโลมประดิษฐานอยู่บนหลัง ขนาบด้วยฉัตร ข้างละ 1 คู่\n</p>\n<p align=\"center\">\nอยู่ภายในวงกรอบประดับเพชร ประดับฉลองพระองค์เบื้องซ้ายสำหรับพระมหากษัตริย์ทรง\n</p>\n<p align=\"center\">\n<img src=\"http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/903/5903/images/RoyalProperty_026.jpg\" />\n</p>\n<p align=\"center\">\nทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินเหล่านี้ จัดแสดงอยู่ภายในศาลาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ ภายในพระบรมมหาราชวัง\n</p>\n<p align=\"center\">\nส่วนเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เก็บรักษาไว้ ณ ท้องพระโรง\n</p>\n<p align=\"center\">\nพระที่นั่งจักรพรรดิ์พิมาน ในพระบรมมหาราชวัง\n</p>\n<p align=\"center\">\nมีพิธีสมโภช เครื่องราชูปโภคและเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นประจำทุกปี \n</p>\n<p align=\"center\">\nต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้\n</p>\n<p align=\"center\">\nบำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระมหาเศวตฉัตร และเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นครั้งแรก\n</p>\n<p align=\"center\">\nเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๔ พระราชทานชื่อว่า พระราชพิธีฉัตรมงคล\n</p>\n<p align=\"center\">\nโดยกระทำในวันพระบรมราชาภิเษก สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน\n</p>\n<p align=\"center\">\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #ff00ff\">อ้างอิง</span>\n</p>\n<p>\n๑ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ (ขำ บุนนาค),<br />\nกรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, ๒๕๔๗, น. ๒๗๑-๒๗๓.\n</p>\n<p>\n๒ ศิรินันท์ บุญศิริ. &quot;พระราชพิธีสำคัญในพระมหากษัตริย์สองรัชกาล : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์<br />\nพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช,&quot;<br />\nใน เอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี<br />\nเรื่องราชอาณาจักรไทยในรอบ ๕ ทศวรรษแห่งการครองราชย์ วันที่ ๗-๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙<br />\nณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพมหานคร. น. ๓.\n</p>\n<p>\n๓ มีพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีที่ครองราชย์นานเกิน ๒๕ ปีดังนี้ รัชกาลที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ และ ๙\n</p>\n<p>\n<a href=\"http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:BYbuspVVFtYJ:www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Kid/politics/k129_46.htm+%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87&amp;cd=3&amp;hl=th&amp;ct=clnk&amp;gl=th\">http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:BYbuspVVFtYJ:www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Kid/politics/k129_46.htm+%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87&amp;cd=3&amp;hl=th&amp;ct=clnk&amp;gl=th</a>\n</p>\n<p>\n<a href=\"http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:1DupV0qWfB8J:www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php%3Ftable_id%3D1%26cate_id%3D4%26post_id%3D6722+%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C&amp;cd=1&amp;hl=th&amp;ct=clnk&amp;gl=th\">http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:1DupV0qWfB8J:www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php%3Ftable_id%3D1%26cate_id%3D4%26post_id%3D6722+%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C&amp;cd=1&amp;hl=th&amp;ct=clnk&amp;gl=th</a>\n</p>\n<p>\n<a href=\"http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:p838kjYSz5IJ:www.oknation.net/blog/print.php%3Fid%3D485358+%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A9%E0%B8%81&amp;cd=1&amp;hl=th&amp;ct=clnk&amp;gl=th\">http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:p838kjYSz5IJ:www.oknation.net/blog/print.php%3Fid%3D485358+%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A9%E0%B8%81&amp;cd=1&amp;hl=th&amp;ct=clnk&amp;gl=th</a>\n</p>\n', created = 1717349226, expire = 1717435626, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:a00bd5b6a0613f0381aebe8ee861e5bb' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:b5c1c6eb3d33f7ae720b4b336c8cb139' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n<span style=\"color: #0000ff\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span>\n</p>\n<p>\n<b><span style=\"color: red\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"TH\">ตอบ</span>        </span></span></span></b>\n</p>\n<p>\n<b><span style=\"color: red\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: large\"></span></span></span></b>\n</p>\n<p>\n<b><span style=\"color: red\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: large\"></span></span></span></b>\n</p>\n<p>\n<b><span style=\"color: red\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: large\"></span></span></span></b><span style=\"font-size: large\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"color: gray\" lang=\"TH\">เนื่อง<br />\nจากพระมหากษัตริย์ทรงได้รับการยกย่องเทิดทูนให้เป็นประมุขสูงสุดของประเทศ<br />\nและเพื่อเป็นการเทิดพระบารมีรัฐธรรมนูญกำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ใช้<br />\nอำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นของประชาชนโดยทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา<br />\nอำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี และอำนาจตุลาการทางศาล<br />\nการกำหนดเช่นนี้หมายความว่า  อำนาจต่างๆ<br />\nจะใช้ในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ซึ่งในความเป็นจริงอำนาจเหล่านี้มี<br />\nองค์กรอื่นเป็นผู้ใช้ </span><span style=\"color: gray\"> <span lang=\"TH\">เป็น<br />\nต้นว่าการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจะต้องมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งแต่มิได้หมาย<br />\nความว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้พิจารณาเลือกนายกรัฐมนตรีเอง </span> <span lang=\"TH\">แต่<br />\nประธานรัฐสภาจะเป็นผู้สรรหาหรือคัดเลือกมาทูลเกล้าฯถวายเพื่อทรงแต่งตั้งตาม<br />\nกฎเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติหรือการที่พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยใน<br />\nพระราชบัญญัติก็มิได้หมายความว่าพระราชบัญญัตินั้นพระองค์ทรงเป็นผู้ริเริ่ม<br />\nหรือสั่งการให้บัญญัติขึ้นแต่รัฐสภาเป็นองค์กรพิจารณาอนุมัติให้นายก<br />\nรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายเพื่อลงพระปรมาภิไธยเพราะฉะนั้นการที่บัญญัติ<br />\nว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติอำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ<br />\nผ่านทางองค์การต่างๆ<br />\nนั้นจึงเป็นการใช้พระราชอำนาจแต่โดยพระปรมาภิไธยแต่อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่<br />\nองค์กรที่เป็นผู้พิจารณานำขึ้นทูลเกล้าฯ<br />\nถวายพระมหากษัตริย์ไม่ต้องรับผิดชอบในพระบรมราชโองการหรือการกระทำในพระ<br />\nปรมาภิไธยของพระองค์ในกรณีที่มีความเสียหายหรือบกพร่องเกิดขึ้นผู้ลงนามรับ<br />\nสนองพระบรมราชโองการจะต้องรับผิดชอบเพราะในทางปฏิบัตินั้นพระมหากษัตริย์มิ<br />\nได้ทรงริเริ่มหรือดำเนินข้อราชการต่างๆด้วยพระองค์เองจะต้องมีเจ้าหน้าที่<br />\nหรือองค์กรหนึ่งองค์กรได้เป็นฝ่ายดำเนินการและกราบทูลขึ้นมาและเมื่อทรงลง<br />\nพระปรมาภิไธยแล้วผู้รับสนองพระบรมราชโองการจะต้องเป็นผู้รับไปปฏิบัติและรับ<br />\nผิดชอบเองจะไปละเมิดกล่าวโทษพระมหากษัตริย์มิได้</span><b> </b></span></span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\">  <span lang=\"TH\"> </span></span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: large\"><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\"><span lang=\"TH\"><span style=\"color: #0000ff\">2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</span></span></span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: large\"><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\"><span lang=\"TH\"><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; color: red\"><span style=\"font-family: Calibri\"></span></span><span class=\"apple-style-span\"><b><u><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; font-family: \'Cordia New\',\'sans-serif\'; color: red\" lang=\"TH\">ตอบ</span></u></b></span><span class=\"apple-style-span\"><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; color: gray\"><span style=\"font-family: Calibri\"> </span></span></b></span><span class=\"apple-style-span\"><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; font-family: \'Cordia New\',\'sans-serif\'; color: gray\" lang=\"TH\">การเมืองการปกครอง สถาบันพระมหากษัตริย์ได้มีบทบาทเกี่ยวกับการเมืองการปกครองการรวมชาติ</span></b></span><span class=\"apple-style-span\"><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; color: gray\"><span style=\"font-family: Calibri\">  </span></span></b></span><span class=\"apple-style-span\"><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; font-family: \'Cordia New\',\'sans-serif\'; color: gray\" lang=\"TH\">การสร้างเอกราช  การวางรากฐานการเมืองการปกครอง การสร้างเสถียรภาพทางการเมืองการปกครอง</span></b></span><span class=\"apple-style-span\"><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; color: gray\"><span style=\"font-family: Calibri\">  </span></span></b></span><span class=\"apple-style-span\"><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; font-family: \'Cordia New\',\'sans-serif\'; color: gray\" lang=\"TH\">การปฏิรูปการปกครองแผ่นดินตั้งแต่อดีตสืบต่อมาตลอดปัจจุบันบทบาทของพระมหากษัตริย์มีส่วนช่วยสร้างเอกภาพของประเทศเป็นอย่างมาก</span></b></span><span class=\"apple-style-span\"><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; color: gray\"><span style=\"font-family: Calibri\">  </span></span></b></span><span class=\"apple-style-span\"><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; font-family: \'Cordia New\',\'sans-serif\'; color: gray\" lang=\"TH\">คนไทยทุกกลุ่มไม่ว่าศาสนาใดมีขนบธรรมเนียมแตกต่างกันอย่างไรก็มีความรู้สึกร่วมในการมีพระมหากษัตริย์องค์เดียวกัน</span></b></span><span class=\"apple-style-span\"><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; color: gray\"><span style=\"font-family: Calibri\">  </span></span></b></span><span class=\"apple-style-span\"><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; font-family: \'Cordia New\',\'sans-serif\'; color: gray\" lang=\"TH\">การเสด็จออกเยี่ยมราษฎรในจังหวัดต่างๆ แม้ท้องถิ่นทุรกันดาร หรือมากด้วยภยันตรายอยู่ตลอดเวลา  ทำให้ราษฎรมีขวัญและกำลังใจดี</span></b></span><span class=\"apple-style-span\"><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; color: gray\"><span style=\"font-family: Calibri\">  </span></span></b></span><span class=\"apple-style-span\"><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; font-family: \'Cordia New\',\'sans-serif\'; color: gray\" lang=\"TH\">มีความรู้สึกผูกพันกับชาติว่ามิได้ถูกทอดทิ้ง</span></b></span><span class=\"apple-style-span\"><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; color: gray\"><span style=\"font-family: Calibri\">  </span></span></b></span><span class=\"apple-style-span\"><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; font-family: \'Cordia New\',\'sans-serif\'; color: gray\" lang=\"TH\">พระราชกรณียกิจดังกล่าวของพระองค์มีส่วนช่วยในการปกครองเป็นอย่างมาก</span></b></span><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; color: gray\"><span style=\"font-family: Calibri\">  </span></span><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; font-family: \'Cordia New\',\'sans-serif\'; color: gray\" lang=\"TH\"> </span><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; color: gray\"><span style=\"font-family: Calibri\">     </span></span><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; font-family: \'Cordia New\',\'sans-serif\'; color: gray\" lang=\"TH\">พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์นั้นมีมาก</span></b><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; color: gray\"><span style=\"font-family: Calibri\">  </span></span></b><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; font-family: \'Cordia New\',\'sans-serif\'; color: gray\" lang=\"TH\">และล้วนก่อประโยชน์ให้เกิดขึ้นต่อส่วนรวมทั้งสิ้น</span></b><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; color: gray\"><span style=\"font-family: Calibri\">  </span></span></b><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; font-family: \'Cordia New\',\'sans-serif\'; color: gray\" lang=\"TH\">แม้การปฏิบัติพระราชกรณียกิจจะเป็นพระราชภาระอันหนัก</span></b><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; color: gray\"><span style=\"font-family: Calibri\">  </span></span></b><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; font-family: \'Cordia New\',\'sans-serif\'; color: gray\" lang=\"TH\">แต่<br />\nก็ได้ทรงกระทำอย่างครบถ้วนสม่ำเสมอ<br />\nจนกระทั่งสามารถที่จะผูกจิตใจของประชาชนให้เกิดความจงรักภักดี<br />\nเพาะตระหนักถึงน้ำพระทัยของพระองค์ว่า<br />\nทรงเห็นแก่ประโยชน์สุขของส่วนรวมมากกว่าพระองค์เอง</span></b><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; color: gray\"><span style=\"font-family: Calibri\">  </span></span></b><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; font-family: \'Cordia New\',\'sans-serif\'; color: gray\" lang=\"TH\">ทรงเสียสละยอมทุกข์ยากเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริงดังพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน</span></b><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; color: gray\"><span style=\"font-family: Calibri\">  </span></span></b><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; font-family: \'Cordia New\',\'sans-serif\'; color: gray\" lang=\"TH\">ที่ว่า  เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม   เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม</span></b><span style=\"font-family: Calibri\"><b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; color: gray\"> </span></b><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; color: gray\"> </span></span><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\"> </span> </span></span></span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\"></span><span style=\"line-height: 115%; font-size: 14pt; color: gray\"></span> <span style=\"color: #0000ff\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #808080\">ตอบ</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\"></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\"><span class=\"apple-style-span\"><b><span lang=\"TH\">พระมหากษัตริย์ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจทั้งปวงเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขและความเจริญแก่สังคม</span>  <span lang=\"TH\">ได้<br />\nทรงริเริ่มโครงการต่างๆ<br />\nทำให้เกิดการพัฒนาขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  <br />\nพระราชดำริและโครงการที่ทรงริเริ่มมีมากซึ่งล้วนแต่เป็นรากฐานในการพัฒนา<br />\nชาติทั้งสิ้น โครงการของพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันที่สำคัญ  ได้แก่ </span> <span lang=\"TH\">โครงการอีสานเขียว</span>  <span lang=\"TH\">โครงการฝนหลวง  โครงการปลูกป่า </span> <span lang=\"TH\">โครงการขุดคลองระบายน้ำ</span> <span lang=\"TH\">โครงการปรับปรุงแหล่งชุมชนแออัดในเมืองใหญ่ </span> <span lang=\"TH\">โครงการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม</span>  <span lang=\"TH\">และอื่นๆ ทรงทำเป็นแบบอย่างที่ดีประชาชนและหน่วยราชการนำไปปฏิบัติก่อให้เกิดประโยชน์ในทางการพัฒนาชาติขึ้นมาก</span> <span lang=\"TH\">นอกจากนี้ทรงทำให้เกิดความคิดในการดำรงชีวิตแบบใหม่ เช่น การประกอบอาชีพ</span>  <span lang=\"TH\">การใช้วิทยาการมาช่วยทำให้สังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น</span></b></span><span lang=\"TH\"></span></span><b><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\">         <span lang=\"TH\">การ<br />\nพัฒนาและการปฏิรูปที่สำคัญๆ ของชาติส่วนใหญ่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำ<br />\nพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปูพื้นฐานประชาธิปไตย<br />\nโดยการจัดตั้งกระทรวงต่างๆ ทรงส่งเสริมการศึกษาและเลิกทาส<br />\nปัจจุบันพระมหากษัตริย์ทรงเกื้อหนุนวิทยาการสาขาต่างๆ<br />\nทรงสนับสนุนการศึกษาและศิลปวัฒนาธรรม<br />\nทรงริเริ่มกิจการอันเป็นการแก้ปัญหาหลักทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ<br />\nโดยจะเห็นว่าโครงการตามพระราชดำริส่วนใหญ่มุ่งแก้ปัญหาหลักทางเกษตรกรรม<br />\nเพื่อชาวนา</span>  <span lang=\"TH\">ชาวไร่ และประชาชนผู้ยากไร้และด้อยโอกาสอันเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ </span> <span lang=\"TH\">เช่น</span>  <span lang=\"TH\">โครงการฝนหลวง  ชลประทาน พัฒนาที่ดิน </span> <span lang=\"TH\">พัฒนาชาวเขา</span></span></b><span style=\"font-size: 12pt; font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\" lang=\"TH\"></span><span style=\"line-height: 115%; font-size: 12pt; color: gray\"><span style=\"font-family: Calibri\"> </span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: large\"><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\"><span lang=\"TH\"><span style=\"color: #0000ff\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span> </span></span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: large\"><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\"><span lang=\"TH\"></span></span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: large; color: #ff0000\"><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\" lang=\"TH\">ตอบ</span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: large\"><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\" lang=\"TH\"></span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: large\"><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\" lang=\"TH\">การ<br />\nพัฒนาและการปฏิรูปที่สำคัญๆของชาติส่วนใหญ่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำพระ<br />\nบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปูพื้นฐานประชาธิปไตยโดยการจัดตั้ง<br />\nกระทรวงต่างๆ<br />\nทรงส่งเสริมการศึกษาและเลิกทาสปัจจุบันพระมหากษัตริย์ทรงเกื้อหนุนวิทยาการ<br />\nสาขาต่างๆ<br />\nทรงสนับสนุนการศึกษาและศิลปวัฒนาธรรมทรงริเริ่มกิจการอันเป็นการแก้ปัญหา<br />\nหลักทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยจะเห็นว่าโครงการตามพระราชดำริส่วนใหญ่<br />\nมุ่งแก้ปัญหาหลักทางเกษตรกรรมเพื่อชาวนาชาวไร่<br />\nและประชาชนผู้ยากไร้และด้อยโอกาสอันเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ<br />\nเช่นโครงการฝนหลวง </span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\"> <span lang=\"TH\">ชลประทาน พัฒนาที่ดิน  พัฒนาชาวเขา  เป็นต้น</span></span></span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\"><span style=\"font-size: large\"></span></span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\"> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\"></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\"></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: gray\"><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #e5b8b7\" lang=\"TH\"><span style=\"font-size: large\">อ้างอิง </span><a href=\"http://www.bbc07politics.ob.tc/117.htm\" title=\"http://www.bbc07politics.ob.tc/117.htm\"><span style=\"font-size: large\"><u><span style=\"color: #e5b8b7\" lang=\"EN-US\">http://www.bbc</span><span style=\"color: #e5b8b7\">07</span><span style=\"color: #e5b8b7\" lang=\"EN-US\">politics.ob.tc/</span><span style=\"color: #e5b8b7\">117.</span><span style=\"color: #e5b8b7\" lang=\"EN-US\">htm</span></u></span></a></span></span></p>\n', created = 1717349226, expire = 1717435626, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:b5c1c6eb3d33f7ae720b4b336c8cb139' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:c4bbea357e140f41761f378e19fa78c1' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span style=\"color: #ff99cc\" class=\"Apple-style-span\">1.      สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span></p>\n<p>เนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีการสืบเชื้อสายต่อๆไป ทำให้ราษฎรเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่สามารถยึดถือเป็นที่พึ่งทางใจได้ ทำให้กลายเป็นศูนย์รวมของคนไทยทุกคน</p>\n<p><span style=\"color: #ff99cc\" class=\"Apple-style-span\">2.      มาตรการในการสืบสันตติวงศ์     </span></p>\n<p> สืบสานทางสายเลือด</p>\n<p><span style=\"color: #ff99cc\" class=\"Apple-style-span\">3.      พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span></p>\n<p>พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์</p>\n<p>นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก<br />หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น<br />เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง</p>\n<p>ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)<br />ครบรอบ ๕๐ ปี (golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป<br />ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป<br />เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา</p>\n<p>ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน &quot;เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐&quot; ของรัชกาลที่ ๔<br />ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้</p>\n<p>&quot;ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ<br />จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา<br />เมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา<br />ณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]<br />พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ<br />เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร<br />กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ<br />รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา<br />ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง...&quot;๑</p>\n<p>ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน</p>\n<p>แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕<br />เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ</p>\n<p>พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖</p>\n<p>ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้</p>\n<p>พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ<br />ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙</p>\n<p>พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑<br />กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน<br />ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม</p>\n<p>พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง</p>\n<p>ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖<br />กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา<br />เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์<br />และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท</p>\n<p>พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก<br />ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี<br />ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง</p>\n<p>พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า<br />พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘</p>\n<p>พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘<br />และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้</p>\n<p>พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖<br />กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน<br />เรียกชื่อว่า &quot;พระราชพิธีทวิธาภิเษก&quot;</p>\n<p>พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา<br />กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา</p>\n<p>พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย<br />กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑</p>\n<p>หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้</p>\n<p>๑ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ (ขำ บุนนาค),<br />กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, ๒๕๔๗, น. ๒๗๑-๒๗๓.</p>\n<p>๒ ศิรินันท์ บุญศิริ. &quot;พระราชพิธีสำคัญในพระมหากษัตริย์สองรัชกาล : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์<br />พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช,&quot;<br />ใน เอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี<br />เรื่องราชอาณาจักรไทยในรอบ ๕ ทศวรรษแห่งการครองราชย์ วันที่ ๗-๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙<br />ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพมหานคร. น. ๓.</p>\n<p>๓ มีพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีที่ครองราชย์นานเกิน ๒๕ ปีดังนี้ รัชกาลที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ และ ๙</p>\n<p><span style=\"color: #ff99cc\" class=\"Apple-style-span\">4.เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศเครื่องสิริมงคล<br /></span>เครื่องศิราภรณ์<br />เครื่องภูษณาภรณ์<br />เครื่องศัสตราวุธ</p>\n<p>เครื่องราชูปโภค<br />เครื่องสูง  <br />ยานพาหนะ  <br />เครื่องประโคม<br />พระโก</p>\n', created = 1717349226, expire = 1717435626, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:c4bbea357e140f41761f378e19fa78c1' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:61310bf11cf6649c3e2131decf8e962b' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n<span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #008080\"><strong>1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</strong></span></span>\n</p>\n<p>\nผู้ปกครองมาจากประชาชนผู้ยอมให้ปกครอง โดยประชาชนยินยอมมอบอำนาจของตนให้ผู้ปกครอง พร้อมกับหน้าที่ควบคู่ไปด้วย ดังนั้น เมื่อผู้ปกครองมีอำนาจสั่งการหรือออกกฎหมายได้ พวกเขาจะต้องมีอำนาจหน้าที่ที่ดีงาม (จริยธรรม) หรือเพื่อสาธารณะควบคู่ไปด้วย ผู้อยู่ใต้ปกครองจึงจะยอมเชื่อฟังและให้ความร่วมมือ เหตุนี้ อำนาจหน้าที่ของผู้ปกครองจึงมีลักษณะเป็น <span class=\"goog_qs-tidbit goog_qs-tidbit-1\">&quot;สิทธิธรรม&quot; นั่นคือ มีสิทธิ (อำนาจ) ในการปกครองที่ &quot;เป็นธรรม&quot;</span> เท่านั้น หรืออาจเรียกว่า &quot;การปกครองโดยธรรม&quot; ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการยอมรับของผู้อยู่ใต้ปกครอง แล้วพัฒนาเป็นอาณาจักรหรือประเทศที่เกิดจากความร่วมมือของผู้ถูกปกครองกับคำสั่งของผู้ปกครองที่ปฏิบัติได้จริง เกิดเป็นเอกภาพหรือความเจริญของประเทศนั้น\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #008080\"><strong>2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</strong></span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #000000\">สำหรับในกรณีแรก เป็นกรณีที่ถ้อยคำที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนั้น จะมีการจำกัดสิทธิและเสรีภาพใน 2 ลักษณะ ได้แก่ การจำกัดเนื้อหาที่จะแสดงออก และ การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการแสดงความคิดเห็น ในกรณีที่รัฐตรากฎเกณฑ์ในการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดโดยตรง จะเข้าข้อสันนิษฐานว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ เว้นแต่ รัฐจะพิสูจน์ให้ศาลเชื่อตามมาตรฐานขั้นสูงสุด (Strict scrutiny) ว่ามาตรการดังกล่าวเข้าองค์ประกอบ 3 ประการ ดังนี้ </span></span></p>\n<p>1.มาตรการนั้น เพื่อรักษาผลประโยชน์อันจำเป็นอย่างยิ่งของรัฐ (Compelling government objective) </p>\n<p>2. มาตรการนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็น (Necessary) ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ และ <span style=\"color: #0000ff\"></span></p>\n<p><span style=\"color: #000000\">3. มาตรการนั้น เป็นวิธีการที่รุนแรงน้อยที่สุด และแคบที่สุด (Narrowly as possible to achieve that objective) กล่าวคือ ไม่มีช่องทางอื่นที่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกแล้ว </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #000000\">หากรัฐสามารถพิสูจน์ได้ครบองค์ประกอบทั้งสามประการข้างต้น ก็จะถือได้ว่ามาตรการดังกล่าวไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ในกรณีที่รัฐประสงค์จะออกกฎเกณฑ์ทั่วไปที่เป็นเพียงการจัดระเบียบเกี่ยวกับวิธีการแสดงความคิดเห็น เวลา หรือ สถานที่ ในลักษณะเป็น Content-neutral รัฐจะต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่า มาตรการที่ใช้ดังกล่าวนั้น ครบองค์ประกอบ 3 ประการ ดังนี้</span></span></p>\n<p>1.กฎเกณฑ์นั้น เพื่อคุ้มครองประโยชน์อันสำคัญของรัฐ (Significant governmental interest)</p>\n<p>2. เป็นวิธีการที่รุนแรงน้อยที่สุด (Narrowly tailored to serve that governmental interest) และ</p>\n<p>3. ต้องมีทางเลือกอื่นในการแสดงความคิดเห็น (Alternative channels) ให้แก่ประชาชน \n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #008080\"><strong>3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</strong></span></span><br />\n</span></span>\n</p>\n<p><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\"><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\"></span></span></span></span></p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #000000\">เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว</span>\n</p>\n<p><span style=\"color: #000000\">จะทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ </span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\"><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\">60 </span></span><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\"><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\">ปี ในวันที่ </span></span><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\"><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\">9 </span></span><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\"><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\">มิถุนายน </span></span><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\"><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\">2549 </span></span></span><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\"><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\"><span style=\"color: #000000\">นี้</span></span></span><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\"><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\"> </span></span></p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">ขออันเชิญ พระราชดำรัสความว่า</span><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\"><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\"><span style=\"color: #000000\">...</span></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\"><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC\"><span style=\"font-size: medium; color: #0000ff; font-family: Arial\"><span style=\"font-size: medium; color: #0000ff; font-family: Arial\"><span style=\"font-size: medium; color: #0000ff; font-family: Arial\"><span style=\"color: #000000\"><strong>...</strong></span></span></span></span><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC-Bold\"><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC-Bold\"><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC-Bold\"><span style=\"color: #000000; font-family: Times New Roman\"><strong>ในยามที่สถานการณ์ของบ้านเมืองเรา และประเทศต่างๆ</strong></span></span></span></span></span></span><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC-Bold\"><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC-Bold\"><span style=\"font-size: medium; font-family: AngsanaUPC-Bold\"> </span></span></span></p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #000000\"><strong>ในภูมิภาคส่วนนี้ของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอย่างรวด</strong></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #000000\"><strong>เร็ว ท่านทั้งหลายต้องควบคุมสติให้มั่นไม่หวั่นไหวไปกับวิกฤต</strong></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #000000\"><strong>ทำความคิดจิตใจให้หนักแน่น และเที่ยงตรงเสมอเหมือนกัน</strong></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #000000\"><strong>แล้วมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรู้ความสามารถ</strong></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #000000\"><strong>ด้วยความเฉลียวฉลาดรอบคอบและความสามัคคี</strong></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #000000\"><strong>เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็จะร่วมกันปฏิบัติบริหารงานทุกด้าน</strong></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><strong>ได้อย่างเข้มแข็ง เหนียวแน่น และประสบความสำเร็จ</strong></span>\n</p>\n<p>\n<strong><span class=\"goog_qs-tidbit goog_qs-tidbit-0\">ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)</span><br />\n<span class=\"goog_qs-tidbit goog_qs-tidbit-0\">ครบรอบ ๕๐ ปี (golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐</span> ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป<br />\nตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป<br />\nเช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน &quot;เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐&quot; ของรัชกาลที่ ๔<br />\nดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้</strong>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #008080\"><strong>4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</strong></span></span>\n</p>\n<p>\nการปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า <strong>เครื่องยศ<br />\n</strong><br />\nเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ <strong>พระราชอิสริยยศ </strong>เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้</p>\n<p><strong>เครื่องสิริมงคล<br />\nเครื่องศิราภรณ์<br />\nเครื่องภูษณาภร์<br />\nเครื่องศัสตราวุธ<br />\nเครื่องราชูปโภค<br />\n<span style=\"color: #000000\">เครื่องสูง<br />\nยานพาหนะ<br />\nเครื่องประโคม<br />\nพระโกศ</span><br />\n</strong>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\">ประเทศไทยมีการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งชาติสืบมาแต่โบราณ เป็นระยะเวลายาว นานกว่า ๗๐๐ ปี นับแต่กรุงสุโขทัยได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นราชธานี เมื่อราว พ.ศ. ๑๘๐๐ เป็นต้นมา ในสมัยสุโขทัย พระมหากษัตริย์ทรงปกครองบ้านเมืองในลักษณะของบิดาปกครองบุตร ซึ่งเป็นระบบการปกครองที่เหมาะสมต่อ สถานการณ์ในขณะนั้น เพราะอาณาเขตยังไม่กว้างขวางนัก จำนวนประชากรก็ยังน้อย พระมหากษัตริย์จึงสามารถดู และและสร้างความสัมพันธ์กับราษฎรได้อย่างใกล้ชิด เปิดโอกาสให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนมาร้องทุกข์ และเข้าเฝ้าขอความเป็นธรรมได้ตลอดเวลา</span>\n</p>\n<p><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif\"></span></p>\n<p align=\"justify\">\n<br />\n<span style=\"color: #333333\">  </span><span style=\"color: #000000\">          เมื่อถึงสมัยอยุธยา ราชอาณาจักรไทยมีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โตขึ้นมาก การปกครองจึงย่อมมีความซับ ซ้อนแตกต่างไปจากสมัยสุโขทัย แม้จะมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในการปกครองอยู่เช่นเดิมแต่ฐานะของพระ มหากษัตริย์ได้เปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยได้รับการยกย่องเป็นพ่อเมืองในสมัยสุโขทัย ก็ได้รับการยกย่องขึ้นเป็น สมมุติเทพ ตามคติเทวราชของขอมกันเป็นคติที่ขอมได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาฮินดูที่เชื่อในเรื่องเทพอวตาร โดย เฉพาะวิษณุ (พระนารายณ์) ซึ่งอวตารหรือแบ่งภาคลงมาปราบยุคเข็ญให้แก่ชาวโลก ในสมัยอยุธยาพระมหากษัตริย์ จึงได้รับการเคารพนับถือ และทรงพระราชอำนาจประดุจเทพเจ้าทรงเป็นทั้งเจ้าแผ่นดิน และเจ้าชีวิตของประชาชนมี อำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองราชอาณาจักร</span>\n</p>\n<p align=\"justify\">\nที่มา <a href=\"http://thaihandiwork.com/thailand_ry.php\">http://thaihandiwork.com/thailand_ry.php</a>\n</p>\n<p align=\"justify\">\n<a href=\"http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861\">http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861</a>\n</p>\n<p></p>\n<p> \n</p>\n<p></p>\n<p>\n<br />\n \n</p>\n<p></p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\"></span></p>\n<table border=\"0\" width=\"680\" cellPadding=\"3\" cellSpacing=\"0\" style=\"width: 533px\">\n<tbody>\n<tr>\n<td vAlign=\"top\">\n<div align=\"center\">\n </div>\n<div>\n </div>\n</td>\n</tr>\n</tbody>\n</table>\n<!-- creat pic --><!-- creat pic --><!-- TAG --><!-- TAG --><!-- END TAG --><!-- END TAG --><!-- creat user post --><!-- creat user post --><div align=\"right\" class=\"detail\">\n<br />\n  \n</div>\n<p>\n</p>\n', created = 1717349226, expire = 1717435626, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:61310bf11cf6649c3e2131decf8e962b' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:7a8e05b9db48f6d5aa28b64dd4e52292' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n<strong><span style=\"color: #ff0000\" class=\"Apple-style-span\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span> </strong>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม  </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\"></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #ff0000\" class=\"Apple-style-span\">2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #ff0000\" class=\"Apple-style-span\"></span> <span style=\"color: #ff0000\" class=\"Apple-style-span\"><img border=\"0\" width=\"425\" src=\"/files/u37754/chart_map.jpg\" height=\"600\" /></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #ff0000\" class=\"Apple-style-span\"></span>\n</p>\n<p><span style=\"color: #ff0000\" class=\"Apple-style-span\"></span></p>\n<p>\n<strong><span style=\"color: #ff0000\" class=\"Apple-style-span\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span> </strong>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี </span><span style=\"color: #0000ff\">ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง </span><span style=\"color: #0000ff\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า </span><span style=\"color: #0000ff\">พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ </span><span style=\"color: #0000ff\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว </span><span style=\"color: #0000ff\">เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ </span><span style=\"color: #0000ff\">และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้ </span><span style=\"color: #0000ff\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย </span><span style=\"color: #0000ff\">พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">เรียกชื่อว่า &quot;พระราชพิธีทวิธาภิเษก&quot; </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #ff0000\" class=\"Apple-style-span\"><strong>4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</strong></span>\n</p>\n<p><span style=\"color: #ff0000\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"color: #0000ff\">พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ </span></span><span style=\"color: #ff0000\" class=\"Apple-style-span\"></span></p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee) </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">ครบรอบ ๕๐ ปี (golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน &quot;เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐&quot; ของรัชกาลที่ ๔ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">&quot;ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">เมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">ณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗] </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง...&quot;๑ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ  </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศ เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">-เครื่องสิริมงคล </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">-เครื่องศิราภรณ์ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">-เครื่องภูษณาภร์ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">-เครื่องศัสตราวุธ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">-เครื่องราชูปโภค </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">-เครื่องสูง </span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">-ยานพาหนะ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">-เครื่องประโคม </span>\n</p>\n<p><span style=\"color: #0000ff\">-พระโกศ </span><span style=\"color: #0000ff\"></span></p>\n<p align=\"left\" style=\"text-align: center\">\n<img border=\"0\" width=\"431\" src=\"/files/u37754/1_original.jpg\" height=\"587\" />\n</p>\n<p align=\"center\" style=\"text-align: center\">\n<strong>อ้างอิง</strong>\n</p>\n<p align=\"center\" style=\"text-align: center\">\n<a href=\"http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%\"><u><span style=\"color: #0000ff\">http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%</span></u></a>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<a href=\"http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861\"><u><span style=\"color: #0000ff\">http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861</span></u></a>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<a href=\"http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&amp;cate_id=4&amp;post_id=6722\"><u><span style=\"color: #810081\">http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&amp;cate_id=4&amp;post_id=6722</span></u></a>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<a href=\"http://www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Kid/politics/k129_46.htm\"><u><span style=\"color: #0000ff\">http://www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Kid/politics/k129_46.htm</span></u></a>\n</p>\n<p></p>\n', created = 1717349226, expire = 1717435626, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:7a8e05b9db48f6d5aa28b64dd4e52292' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:de9ba9da6af5d5d4eb79478a2a506a69' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\" lang=\"TH\">1.สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span></i></b><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\"><o:p></o:p></span></i></b></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">         <span lang=\"TH\">ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่างโดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อแสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูลที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจเป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ(ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อนอำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกันทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนาเพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้าหรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม</span>  </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\" lang=\"TH\">2.มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</span></i></b><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\"><o:p></o:p></span></i></b></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">       <span lang=\"TH\">ก<a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%80%E0%B8%91%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C_%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A_2467&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"กฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467 (หน้านี้ไม่มี)\"><span style=\"text-decoration: none; color: black\">ฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์พระพุทธศักรราช 2467</span></a></span> <span lang=\"TH\">โดยรูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตาม<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81\" title=\"สิทธิของบุตรคนแรก\"><span style=\"text-decoration: none; color: black\">สิทธิของบุตรคนแรก</span></a>ที่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ. 2007)ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎม</span></span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\" lang=\"TH\">3.พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span></i></b><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\"><o:p></o:p></span></i></b></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">           <span lang=\"TH\">พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่งมีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132)</span>          <span lang=\"TH\">ตามหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษกในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ</span>  </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">         <span lang=\"TH\">ก่อนรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศรับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275 ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด</span></span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">          <span lang=\"TH\">ในรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราชสันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการแสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว</span>         </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">              <span lang=\"TH\">เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัดครั้งหนึ่งก่อน เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่าจนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จจึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯพราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มาก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน</span>       </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">            <span lang=\"TH\">พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษกเพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุดเพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯพระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธีการสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรเป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อยทำพอเป็นสังเขป การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหนก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง</span>        </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">           <span lang=\"TH\">งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯมีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑลเพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18 มณฑลส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา และพระราชลัญจกรแผ่นดิน</span>         </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">             <span lang=\"TH\">เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนานแล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยมซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิตและพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศกล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัยเมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว กลับมาประทับทิศตะวันออกหัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่งแล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ</span>       </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">          <span lang=\"TH\">พระมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า &quot;ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯพระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษกเป็นบรมราชาธิราช เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยามเหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาทมีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวงพร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์อันสมพระราชอิสริยยศ ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้นและทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้วขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป</span>  </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\" lang=\"TH\">4.เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span></i></b><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\"> </span></i></b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">               </span><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\"><o:p></o:p></span></i></b></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">            <span lang=\"TH\">พระราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกอันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุขว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้ว</span>        </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">            <span lang=\"TH\">ภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า</span> \'<span lang=\"TH\">พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร</span>\'        </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">          <span lang=\"TH\">พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทยเป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราชอิสริยยศอันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์ที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย</span>        </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">            <span lang=\"TH\">กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึงทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ</span> <span lang=\"TH\">รวมความแล้วหมายถึงสิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์</span>        </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">               <span lang=\"TH\">ประเพณีการถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทยมีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ</span> <span lang=\"TH\"><br /></span>                 <span lang=\"TH\">เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์ประกอบด้วย ดังนี้</span> </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\" lang=\"TH\">พระมหาเศวตฉัตร</span></i></b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">   </span><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\"><o:p></o:p></span></i></b></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">           <span lang=\"TH\">เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นพปฎลมหาเศวตฉัตรเป็นฉัตร ๙ ชั้น หุ้มผ้าขาวมีระบาย ๓ ชั้น ขลิบทอง แผ่ลวด มียอด</span> <span lang=\"TH\"><br />พระมหาเศวตฉัตรนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้หุ้มด้วยผ้าขาวแทนตาด ถือเป็นเคื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญยิ่งกว่าราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำขึ้นถวายที่พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรหลังจากทรงรับน้ำอภิเษกแล้วจากนั้นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังก็เชิญไปปักกางไว้เหนือพระที่นั่งภัทรบิฐต่อมาเมื่อเสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับ ณ พระที่นั่งภัทรบิฐเพื่อทรงรับเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์จึงไม่ต้องถวายเศวตฉัตรรวมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อื่น</span> <span lang=\"TH\">เดิมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ไทยบางรัชกาลมิได้กล่าวรวมพระมหาเศวตฉัตรหรือเศวตฉัตรเป็นเรื่องราชกกุธภัณฑ์ด้วยเพราะฉัตรเป็นของใหญ่โตมีปักอยู่แล้วเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐจึงถวายธารพระกรแทนจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</span>  </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\" lang=\"TH\">พระมหาพิชัยมงกุฎ</span></i></b><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\"><o:p></o:p></span></i></b></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">             <span lang=\"TH\">เป็นราชศิราภรณ์สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทำด้วยทองลงยาประดับเพชรต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เสริมแต่งพระมหาพิชัยมงกุฎให้งดงามและทรงคุณค่ายิ่งขึ้นจึงให้ผู้ชำนาญการดูเพชรไปหาซื้อเพชรจากประเทศอินเดียได้เพชรขนาดใหญ่น้ำดี จากเมืองกัลกัตตาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำมาประดับไว้บนยอดพระมหาพิชัยมงกุฎแล้วพระราชทานนามเพชรนี้ว่า</span>       <span lang=\"TH\">พระมหาวิเชียรมณี พระมหามงกุฎหมายถึงยอดวิมานของพระอินทร์ผู้เป็นประชาบดีของสวรรค์ชั้นสอง คือ ชั้นดาวดึงส์พระมหาพิชัยมงกุฎรวมพระจอน สูง๖๖ เซนติเมตร หนัก ๗.๓ กิโลกรัมในสมัยโบราณถือว่ามงกุฎมีค่าสำคัญเท่ากับราชกกุธภัณฑ์อื่นๆ และมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุดเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงรับมงกุฎมาแล้วก็เพียงทรงวางไว้ข้างพระองค์ต่อมาเมื่อประเทศไทยติดต่อกับประเทศในทวีปยุโรปมากขึ้นจึงนิยมตามราชสำนักยุโรปที่ถือว่าภาวะแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ที่เวลาได้สวมมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์ได้ทรงเชิญทูตในประเทศไทยร่วมในพระราชพิธีและทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎมาทรงสวมแต่นั้นมาก็ถือว่าพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในบรรดาเครื่องราชกกุธภัณฑ์และมหากษัตริย์จะทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก</span>   </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: red\"> </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\" lang=\"TH\">ธารพระกร</span></i></b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">   </span><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\"><o:p></o:p></span></i></b></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">              <span lang=\"TH\">ธารพระกรของเดิมสร้างในรัชกาลที่ ๑ ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ปิดทองหัวและสันเป็นเหล็กคร่ำลายทอง ที่สุดสันเป็นซ่อมลักษณะเหมือนกับไม้เท้าพระภิกษุที่ใช้ในการชักมหาบังสกุลเรียกธารพระกรของเดิมนั้นว่าธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างธารพระกรขึ้นใหม่องค์หนึ่งด้วยทองคำภายในมีพระแสงเสน่า ยอดมีรูปเทวดา จึงเรียกว่า ธารพระกรเทวรูปที่แท้ลักษณะเป็นพระแสงดาบมากกว่าเป็นธารพระกร แต่ได้ทรงสร้างขึ้นแล้วก็ทรงใช้แทนธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำธารพระกรชัยพฤกษ์กลับมาใช้อีกและยังคงใช้ธารพระกรชัยพฤกษ์ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน</span>   </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\" lang=\"TH\">พระแสงขรรค์ชัยศรี</span></i></b><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\"><o:p></o:p></span></i></b></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">            <span lang=\"TH\">เป็นพระแสงราชศัสตราวุธประจำพระองค์พระมหากษัตริย์เป็นพระแสงราชศัสตราปะจำพระองค์พระมหากษัตริย์พระขรรค์ หมายถึงพระปัญญาในการปกครองบ้านเมืองพระแสงขรรค์องค์ปัจจุบันมีประวัติว่า ในปี พ.ศ.๒๓๒๗ชาวประมงพบพระแสงองค์นี้ในทะเลสาบเมืองเสียมราฐ กรมการเมืองเห็นว่าองค์พระแสงขรรค์ยังอยู่ในสภาพดีและงดงามจึงนำพระแสงไปมอบให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน)ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเสียมราฐในขณะนั้นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เห็นว่าเป็นของเก่าฝีมือช่างสมัยนครวัดจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯเมื่อวันที่พระแสงองค์นี้มาถึงพระนครได้เกิดฟ้าผ่าในเขตในพระนครถึง ๗ แห่งมีประตูวิเศษไชยศรีในพระราชฐานชั้นนอกและประตูพิมานไชยศรี ในพระราชฐานชั้นกลางซึ่งเป็นทางที่อัญเชิญพระแสงองค์นี้ผ่านไป เพื่อเข้าไปในพระบรมมหาราชวังเป็นต้นดังนั้น ประตูพระบรมมหาราชวังดังกล่าว จึงมีคำท้ายชื่อว่า&quot;ไชยศรี&quot;ทั้งสองประตูเช่นเดียวกับชื่อพระขรรค์องค์นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทำด้ามและฝักขึ้นด้วยทองลงยาประดับมณีพระแสงขรรค์ชัยศรีนี้เฉพาะส่วนที่เป็นองค์พระขรรค์ยาว๖๔.๕ เซนติเมตรประกอบด้ามแล้วยาว ๘๙.๘ เซนติเมตรหนัก ๑.๓ กิโลกรัมสวมฝักแล้วยาว๑๐๑ เซนติเมตรหนัก ๑.๙กิโลกรัมพระแสงราชศัสตราที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีสำคัญหลายพิธี เช่นพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา</span>  </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: red\"> </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\" lang=\"TH\">พัดวาลวีชนีและพระแส้หางจามรี</span></i></b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">  </span><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\"><o:p></o:p></span></i></b></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">              <span lang=\"TH\">เป็นเครื่องใช้ประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ พัดวาลวีชนีทำด้วยใบตาลแต่ปิดทองทั้ง 2 ด้าน ด้ามและเครื่องประกอบทำด้วยทองลงยาส่วนพระแส้ทำด้วยขนจามรีด้ามเป็นแก้วทั้งสองสิ่งนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น</span>\'<span lang=\"TH\">วาลวีชนี</span>\' <span lang=\"TH\">เป็นภาษาบาลีแปลว่า เครื่องโบก ทำด้วยขนวาล ตรงกับที่ไทยเรียกจามรี</span> </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: red\"> </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\" lang=\"TH\">ฉลองพระบาทเชิงงอน</span></i></b><b><i><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #00b050\"><o:p></o:p></span></i></b></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">              <span lang=\"TH\">ฉลองพระบาทมีที่มาจากเกือกแก้วหมายถึงแผ่นดินอันเป็นที่รองรับเขาพระสุเมรุและเป็นที่อาศัยของอาณาประชาราษฎร์ทั่วทั้งแว่นแคว้นฉลองพระบาทเชิงงอนนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯให้สร้างขึ้นเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามแบบอินเดียโบราณทำด้วยทองคำทั้งองค์น้ำหนัก๖๕๐ กรัมลายที่สลักประกอบด้วยลายช่อหางโตแบบดอกเทศ ลงยาสีเขียวแดงโดยดอกลงยาสีเขียวเกสรลงยาสีแดงส่วนเชิงงอนนั้นทำเป็นตุ่มแบบกระดุมหรือดอกลำดวนมีคาดกลางทำเป็นลายก้านต่อดอกชนิดใบเทศฝังบุษย์น้ำเพชร</span></span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">             <span lang=\"TH\">ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเครื่องสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์เป็นของสำคัญที่พระราชครูพราหมณ์จะถวายแด่พระมหากษัตริย์เพื่อความสมบูรณ์ของพระราชพิธีโดยจะถวายจากลำดับสูงลงต่ำเริ่มจากพระมหาพิชัยมงกุฎพระแสงขรรค์ชัยศรีธารพระกรพัดวาลวีชนีและแส้หางจามรีและท้ายสุดจะสอดฉลองพระบาทเชิงงอนถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์เก็บรักษาไว้ณ ท้องพระโรงพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในหมู่พระมหามนเทียรภายในพระบรมมหาราชวังเดิมเจ้าพนักงานที่รักษาเครื่องราชูปโภคได้จัดพิธีสมโภชเครื่องราชูปโภคและเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นประจำทุกปีโดยเลือกทำในเดือน ๖เพราะมีพระราชพิธีน้อยจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่าวันพระบรมราชาภิเษกเป็นวันมงคล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้บำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระมหาเศวตฉัตรและเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในปีพ.ศ.๒๓๙๔ พระราชทานชื่อว่า พระราชพิธีฉัตรมงคลต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เพิ่มการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์เปลี่ยนเรียกชื่อพระราชพิธีว่าพระราชกุศลทักษิณานุประทาน และพระราชพิธีฉัตรมงคลสืบมาจนปัจจุบันนี้</span></span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #1f497d\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #17365d\" lang=\"TH\">ที่มา </span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #c00000\">www.vcharkarn.com/vcafe/<span lang=\"TH\">154861</span></span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #c00000\" lang=\"TH\"><span>     </span><span> </span><span> </span><a href=\"http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%25msg_id%25\"><span style=\"color: #c00000\" lang=\"EN-US\">http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=</span><span style=\"color: #c00000\">89.</span><span style=\"color: #c00000\" lang=\"EN-US\">msg%msg_id%</span></a></span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #c00000\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"line-height: normal\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #c00000\" lang=\"TH\"><span>     </span><span> </span><span> </span><u><a href=\"http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=luckystar&amp;month=06-2009&amp;date=08&amp;group=22&amp;gblog=43\"><span style=\"color: #c00000\" lang=\"EN-US\">http:/</span></a></u></span><u><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #c00000\">/www.bloggang.com/viewdiary.php?id=luckystar&amp;month=<span lang=\"TH\">06- <span>     </span>2009</span>&amp;date=<span lang=\"TH\">08</span>&amp;group=<span lang=\"TH\">22</span>&amp;gblog=<span lang=\"TH\">43</span></span></u><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #c00000\"> <o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; line-height: 115%; font-family: \'Angsana New\', serif; color: red\"><o:p> </o:p></span></p>\n', created = 1717349226, expire = 1717435626, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:de9ba9da6af5d5d4eb79478a2a506a69' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:a84a5b411b058b1631d02d1f7e13e1a8' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\nธนพนธ์ จันทร์สุข 5/8 เลขที่ 2\n</p>\n<p>\n<b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\"> </span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\"></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\">ตอบ</span></u></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\"> </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> </span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><o:p></o:p></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"><span>         </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"><span>    </span>ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">       </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 10pt\"> </span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\">อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 10pt\"> </span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\">สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง ก็จะมีสิทธิในการปกครองประเทศ เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ อย่างเช่น ในหลวง ของเรา โดยปกครองอาศัยหลักทศพิธราชธรรม ในการปกครองประเทศ</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 10pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\">2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์ </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\"></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\">ตอบ</span></u></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\"> </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"></span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><o:p></o:p></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\">ใ</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\">นการสืบสันตติวงศ์นั้น ก็คือ การสืบทอดเชื้อสายของพระมหากษัตริย์นั่นเอง คือ เป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ไม่ว่าจะเป็นลูกหลาน พี่น้องกัน ที่จะได้เป็นพระมหากษัตริย์</span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><o:p></o:p></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"><span>     </span>โดยในสมัยรัตนโกสินทร์ หรือ ในรัชสมัยราชวงศ์จักรี มีแผนภูมิแสดงลำดับการสืบสันตติวงศ์ พระมหากษัตริย์ ดังต่อไปนี้</span></b><span style=\"font-family: Arial; color: #2b3220; font-size: 10pt\">                          </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"><v:shapetype coordsize=\"21600,21600\" o:spt=\"75\" o:preferrelative=\"t\" path=\"m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe\" filled=\"f\" stroked=\"f\" id=\"_x0000_t75\"> <v:stroke joinstyle=\"miter\"></v:stroke><v:formulas><v:f eqn=\"if lineDrawn pixelLineWidth 0\"></v:f><v:f eqn=\"sum @0 1 0\"></v:f><v:f eqn=\"sum 0 0 @1\"></v:f><v:f eqn=\"prod @2 1 2\"></v:f><v:f eqn=\"prod @3 21600 pixelWidth\"></v:f><v:f eqn=\"prod @3 21600 pixelHeight\"></v:f><v:f eqn=\"sum @0 0 1\"></v:f><v:f eqn=\"prod @6 1 2\"></v:f><v:f eqn=\"prod @7 21600 pixelWidth\"></v:f><v:f eqn=\"sum @8 21600 0\"></v:f><v:f eqn=\"prod @7 21600 pixelHeight\"></v:f><v:f eqn=\"sum @10 21600 0\"></v:f></v:formulas><v:path o:extrusionok=\"f\" gradientshapeok=\"t\" o:connecttype=\"rect\"></v:path><o:lock v:ext=\"edit\" aspectratio=\"t\"></o:lock></v:shapetype><v:shape type=\"#_x0000_t75\" id=\"_x0000_i1025\" style=\"width: 318.75pt; height: 450pt\"><v:imagedata o:href=\"http://www.tlcthai.com/backoffice/upload_images/chakri/chart_map.jpg\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\HI-END~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtml1\\07\\clip_image001.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\"> </span></b> </p>\n<p>\n<b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ </span></b>\n</p>\n<p><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\"></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\">ตอบ</span></u></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"> </span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><o:p></o:p></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"><span>        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"><span></span>พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง มีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์ ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132) ตามหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก ในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ</span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">  </span></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> ก่อนรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275 ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด </span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> ในรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ แสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า จนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ จึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328 และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน </span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8 แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด เพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี การสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ มีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ ได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล เพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18 มณฑล ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา และพระราชลัญจกรแผ่นดิน</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน แล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว กลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ </span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> พระมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์ แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า &quot; ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม เหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท มีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง พร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป &quot; ทรงรับว่า &quot; ชอบละ พราหมณ์ &quot;</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: Arial; color: #2b3220; font-size: 10pt\">                                                       </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"> </span><span style=\"font-family: Arial; color: #2b3220; font-size: 10pt\">  </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"><v:shape o:spid=\"_x0000_i1026\" type=\"#_x0000_t75\" id=\"imgb\" style=\"width: 187.5pt; height: 273pt\"><v:imagedata o:href=\"http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/c/cb/Bhumbol_coronation_1.jpg/250px-Bhumbol_coronation_1.jpg\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\HI-END~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtml1\\07\\clip_image002.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 11pt\">และนี้ก็เป็นรูปที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง เข้า พระราชพิธีบรมราชาภิเษก</span></u></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 11pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> และในปีพุทธศักราช 2549 ก็ได้มีงาน งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙ (อังกฤษ. </span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">The Sixtieth Anniversary</span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> </span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">Celebrations of His Majesty\'s Accession to the Throne)</span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> เป็นงานเฉลิมฉลองที่ประกอบด้วยรัฐพิธีและราชพิธี มีขึ้นตลอดปี พ.ศ. ๒๕๔๙ เนื่องในวาระที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชสมบัติเป็นปีที่ ๖๐ ซึ่งยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในประวัติศาสตร์ชาติไทยและในโลกปัจจุบัน งานดังกล่าวกำกับดูแลและดำเนินการโดยรัฐบาลไทย</span></b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">                <span lang=\"TH\"> <v:shape type=\"#_x0000_t75\" id=\"_x0000_i1027\" style=\"width: 334.5pt; height: 174pt\"><v:imagedata o:href=\"http://www.moohin.com/festival/pictures/200606100920446.jpg\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\HI-END~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtml1\\07\\clip_image003.jpg\"></v:imagedata></v:shape><o:p></o:p></span></span><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\">รูปภาพงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖</span></u></b><b><u><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">o</span></span></u></b><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> ปี </span></u></b><b><u><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">,, </span></span></u></b><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\">ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม</span></u></b><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"><br />\n</span></u></b><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\">โดยมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศในประเทศไทย</span></u></b><b><u><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\"> </span></span></u></b><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\">โดย เปล่งคำว่า &quot;</span></u></b><b><u><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\"> </span></span></u></b><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\">ทรงพระเจริญ &quot; อย่างกึกก้องไปทั่วทั้งงาน</span></u></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\"></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 14pt\">ตอบ</span></u></b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"> <span lang=\"TH\"> </span></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05\"><o:p></o:p></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><span>            </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><span></span>พระราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุข ว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้ว</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">ภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า </span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05\"><span style=\"font-size: small\">\'</span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร</span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05\"><span style=\"font-size: small\">\'</span></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทย เป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราชอิสริยยศ อันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์ ที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึง ทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ รวมความแล้วหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">ประเพณีการถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย มีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05\"><span style=\"font-size: small\"> </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วย ดังนี้</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><v:shape type=\"#_x0000_t75\" id=\"_x0000_i1028\" style=\"width: 120pt; height: 218.25pt\"><v:imagedata o:href=\"http://www.buddha-cp.com/imagesnew/ratkuphun/benja00.jpg\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\HI-END~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtml1\\07\\clip_image004.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05\"><span style=\"font-size: small\">พระมหาเศวตฉัตร </span></span></u></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05\"><span style=\"font-size: small\">  </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"> </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นพปฎลมหาเศวตฉัตรเป็นฉัตร ๙ ชั้น หุ้มผ้าขาว มีระบาย ๓ ชั้น ขลิบทอง แผ่ลวด มียอด </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">พระมหาเศวตฉัตรนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้หุ้มด้วยผ้าขาว แทนตาด ถือเป็นเคื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญยิ่งกว่าราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ ในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำขึ้นถวายที่พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรหลังจากทรงรับน้ำอภิเษกแล้ว จากนั้นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังก็เชิญไปปักกางไว้เหนือพระที่นั่งภัทรบิฐ ต่อมาเมื่อเสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับ ณ พระที่นั่งภัทรบิฐ เพื่อทรงรับเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์ จึงไม่ต้องถวายเศวตฉัตรรวมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อื่น </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">เดิมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ไทยบางรัชกาล มิได้กล่าวรวมพระมหาเศวตฉัตรหรือเศวตฉัตรเป็นเรื่องราชกกุธภัณฑ์ด้วยเพราะฉัตรเป็นของใหญ่โต มีปักอยู่แล้วเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐจึงถวายธารพระกรแทน จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><v:shape type=\"#_x0000_t75\" id=\"_x0000_i1029\" style=\"width: 150pt; height: 187.5pt\"><v:imagedata o:href=\"http://195.145.133.206/rtc/de/culture/Kkrone.jpg\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\HI-END~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtml1\\07\\clip_image005.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span></b><span style=\"font-size: small\"><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05\">พระมหาพิชัยมงกุฎ </span></u></b><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></u></b></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">เป็นราชศิราภรณ์สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทำด้วยทองลงยาประดับเพชรต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสริมแต่งพระมหาพิชัยมงกุฎให้งดงามและทรงคุณค่ายิ่งขึ้นจึงให้ผู้ชำนาญการดูเพชรไปหาซื้อเพชรจากประเทศอินเดียได้เพชรขนาดใหญ่ น้ำดี จากเมืองกัลกัตตา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำมาประดับไว้บนยอดพระมหาพิชัยมงกุฎ แล้วพระราชทานนามเพชรนี้ว่า</span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">       <span lang=\"TH\">พระมหาวิเชียรมณี พระมหามงกุฎหมายถึงยอดวิมานของพระอินทร์ ผู้เป็นประชาบดีของสวรรค์ชั้นสอง คือ ชั้นดาวดึงส์พระมหาพิชัยมงกุฎรวมพระจอน สูง ๖๖ เซนติเมตร หนัก ๗.๓ กิโลกรัมในสมัยโบราณถือว่ามงกุฎมีค่าสำคัญเท่ากับราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ และมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงรับมงกุฎมาแล้วก็เพียงทรงวางไว้ข้างพระองค์ต่อมาเมื่อประเทศไทยติดต่อกับประเทศในทวีปยุโรปมากขึ้น จึงนิยมตามราชสำนักยุโรปที่ถือว่าภาวะแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ที่เวลาได้สวมมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงเชิญทูตในประเทศไทยร่วมในพระราชพิธี และทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎมาทรงสวมแต่นั้นมาก็ถือว่า พระมหาพิชัยมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในบรรดาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และมหากษัตริย์จะทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก <o:p></o:p></span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><v:shape type=\"#_x0000_t75\" id=\"_x0000_i1030\" style=\"width: 150pt; height: 187.5pt\"><v:imagedata o:href=\"http://195.145.133.206/rtc/de/culture/Kschwert.jpg\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\HI-END~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtml1\\07\\clip_image006.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span></b><span style=\"font-size: small\"><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05\">พระแสงขรรค์ชัยศรี </span></u></b><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></u></b></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">เป็นพระแสงราชศัสตราวุธประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ เป็นพระแสงราชศัสตราปะจำพระองค์พระมหากษัตริย์พระขรรค์ หมายถึง พระปัญญาในการปกครองบ้านเมืองพระแสงขรรค์องค์ปัจจุบันมีประวัติว่า ในปี พ.ศ.๒๓๒๗ ชาวประมงพบพระแสงองค์นี้ในทะเลสาบเมืองเสียมราฐ กรมการเมืองเห็นว่าองค์พระแสงขรรค์ยังอยู่ในสภาพดีและงดงาม จึงนำพระแสงไปมอบให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเสียมราฐในขณะนั้นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เห็นว่าเป็นของเก่าฝีมือช่างสมัยนครวัด จึงนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯเมื่อวันที่พระแสงองค์นี้มาถึงพระนคร ได้เกิดฟ้าผ่าในเขตในพระนครถึง ๗ แห่งมีประตูวิเศษไชยศรีในพระราชฐานชั้นนอก และประตูพิมานไชยศรี ในพระราชฐานชั้นกลาง ซึ่งเป็นทางที่อัญเชิญพระแสงองค์นี้ผ่านไป เพื่อเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง เป็นต้นดังนั้น ประตูพระบรมมหาราชวังดังกล่าว จึงมีคำท้ายชื่อว่า &quot;ไชยศรี&quot; ทั้งสองประตูเช่นเดียวกับชื่อพระขรรค์องค์นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำด้ามและฝักขึ้นด้วยทองลงยาประดับมณีพระแสงขรรค์ชัยศรีนี้เฉพาะส่วนที่เป็นองค์พระขรรค์ยาว ๖๔.๕ เซนติเมตรประกอบด้ามแล้วยาว ๘๙.๘ เซนติเมตรหนัก ๑.๓ กิโลกรัมสวมฝักแล้วยาว ๑๐๑ เซนติเมตรหนัก ๑.๙ กิโลกรัมพระแสงราชศัสตราที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีสำคัญหลายพิธี เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา <o:p></o:p></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><v:shape type=\"#_x0000_t75\" id=\"_x0000_i1031\" style=\"width: 219.75pt; height: 83.25pt\"><v:imagedata o:href=\"http://www.cpru.ac.th/oportor/pic/tanprakorn.jpg\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\HI-END~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtml1\\07\\clip_image007.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span></b><span style=\"font-size: small\"><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05\">ธารพระกร </span></u></b><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></u></b></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">ธารพระกรของเดิมสร้างในรัชกาลที่ ๑ ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ปิดทอง หัวและสันเป็นเหล็กคร่ำลายทอง ที่สุดสันเป็นซ่อม ลักษณะเหมือนกับไม้เท้าพระภิกษุที่ใช้ในการชักมหาบังสกุล เรียกธารพระกรของเดิมนั้นว่า ธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างธารพระกรขึ้นใหม่องค์หนึ่งด้วยทองคำ ภายในมีพระแสงเสน่า ยอดมีรูปเทวดา จึงเรียกว่า ธารพระกรเทวรูป ที่แท้ลักษณะเป็นพระแสงดาบมากกว่าเป็นธารพระกร แต่ได้ทรงสร้างขึ้นแล้วก็ทรงใช้แทนธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำธารพระกรชัยพฤกษ์กลับมาใช้อีกและยังคงใช้ธารพระกรชัยพฤกษ์ในพระราชพิธีบรมราชภิเษก มาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน <o:p></o:p></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><v:shape type=\"#_x0000_t75\" id=\"_x0000_i1032\" style=\"width: 214.5pt; height: 117.75pt\"><v:imagedata o:href=\"http://download.clib.psu.ac.th/datawebclib/exhonline/coronation/image/vanwishanee.jpg\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\HI-END~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtml1\\07\\clip_image008.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span></b><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05\"><span style=\"font-size: small\">พัดวาลวีชนี และพระแส้หางจามรี</span></span></u></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"> <span lang=\"TH\"><br />\n</span>    <span lang=\"TH\"><br />\n</span></span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">เป็นเครื่องใช้ประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ พัดวาลวีชนีทำด้วยใบตาล แต่ปิดทองทั้ง 2 ด้าน ด้ามและเครื่องประกอบทำด้วยทองลงยาส่วนพระแส้ทำด้วยขนจามรี ด้ามเป็นแก้วทั้งสองสิ่งนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น</span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">\'<span lang=\"TH\">วาลวีชนี</span>\' <span lang=\"TH\">เป็นภาษาบาลีแปลว่า เครื่องโบก ทำด้วยขนวาล ตรงกับที่ไทยเรียกจามรี </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><v:shape type=\"#_x0000_t75\" id=\"_x0000_i1033\" style=\"width: 150pt; height: 187.5pt\"><v:imagedata o:href=\"http://www.sahavicha.com/UserFiles/Image/c7.png\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\HI-END~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtml1\\07\\clip_image009.png\"></v:imagedata></v:shape></span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span></b><span style=\"font-size: small\"><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05\"><span> </span>ฉลองพระบาทเชิงงอน </span></u></b><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></u></b></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">ฉลองพระบาทมีที่มาจากเกือกแก้ว หมายถึงแผ่นดินอันเป็นที่รองรับเขาพระสุเมรุ และเป็นที่อาศัยของอาณาประชาราษฎร์ทั่วทั้งแว่นแคว้นฉลองพระบาทเชิงงอนนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ให้สร้างขึ้นเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามแบบอินเดียโบราณทำด้วยทองคำทั้งองค์น้ำหนัก ๖๕๐ กรัมลายที่สลักประกอบด้วยลายช่อหางโตแบบดอกเทศ ลงยาสีเขียวแดง โดยดอกลงยาสีเขียว เกสรลงยาสีแดงส่วนเชิงงอนนั้นทำเป็นตุ่มแบบกระดุมหรือดอกลำดวนมีคาดกลางทำเป็นลายก้านต่อดอกชนิดใบเทศฝังบุษย์น้ำเพชร <o:p></o:p></span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: black\"><span style=\"font-size: small\">        </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เครื่องสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์เป็นของสำคัญที่พระราชครูพราหมณ์จะถวายแด่พระมหากษัตริย์เพื่อความสมบูรณ์ของพระราชพิธีโดยจะถวายจากลำดับสูงลงต่ำ เริ่มจากพระมหาพิชัยมงกุฎพระแสงขรรค์ชัยศรีธารพระกรพัดวาลวีชนี และแส้หางจามรีและท้ายสุดจะสอดฉลองพระบาทเชิงงอนถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์เก็บรักษาไว้ ณ ท้องพระโรงพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในหมู่พระมหามนเทียร ภายในพระบรมมหาราชวังเดิมเจ้าพนักงานที่รักษาเครื่องราชูปโภคได้จัดพิธีสมโภชเครื่องราชูปโภคและเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นประจำทุกปี โดยเลือกทำในเดือน ๖ เพราะมีพระราชพิธีน้อยจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า วันพระบรมราชาภิเษกเป็นวันมงคล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระมหาเศวตฉัตรและเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๓๙๔ พระราชทานชื่อว่า พระราชพิธีฉัตรมงคลต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์เปลี่ยนเรียกชื่อพระราชพิธีว่า พระราชกุศลทักษิณานุประทาน และพระราชพิธีฉัตรมงคลสืบมาจนปัจจุบันนี้<o:p></o:p></span></b> </p>\n<div align=\"center\" class=\"MsoNormal\" style=\"text-align: center; margin: 0cm 0cm 0pt; background: #e7f2ba\">\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">\n<hr width=\"100%\" SIZE=\"1\" align=\"center\" />\n</span>\n</div>\n<p><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 9pt\">ข้อมูลอ้างอิงจาก </span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 9pt\">;<span lang=\"TH\"> </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><a href=\"http://www1.tv5.co.th/service/mod/heritage/king/rajapisek/index.htm\"><u><span style=\"color: #0000ff\"><span lang=\"EN-US\" style=\"font-size: 12pt\">http://www</span><span>1.</span><span lang=\"EN-US\" style=\"font-size: 12pt\">tv</span><span>5.</span><span lang=\"EN-US\" style=\"font-size: 12pt\">co.th/service/mod/heritage/king/rajapisek/index.htm</span></span></u></a><br />\n</span></b><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\">h<span lang=\"TH\"><a href=\"http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&amp;cate_id=4&amp;post_id=6722\"><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">ttp://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">1</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">&amp;cate_id=</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">4</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">&amp;post_id=</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">6722</span></a><br />\n</span>                         <span lang=\"TH\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/งานฉลองสิริราชสมบัติครบ\"><u><span style=\"color: #0000ff\"><span lang=\"EN-US\" style=\"font-size: 12pt\">http://th.wikipedia.org/wiki/</span><span>งานฉลองสิริราชสมบัติครบ</span></span></u></a> ๖๐ ปี<br />\n</span>                        <span lang=\"TH\"> </span>http;//<span lang=\"TH\">1.</span>tv<span lang=\"TH\">5.</span>co.th/service/mod/heritage/king/rajapisek/index.htm</span></b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05\"><o:p></o:p></span> </p>\n', created = 1717349226, expire = 1717435626, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:a84a5b411b058b1631d02d1f7e13e1a8' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:daf718280d37c9bd4a3337cf3c75e6fa' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><span style=\"color: #cc99ff\" class=\"Apple-style-span\"><b><sup>1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</sup></b></span></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><sup><u>ตอบ</u> <b>&quot;สิทธิธรรม&quot; นั่นคือ มีสิทธิ (อำนาจ) ในการปกครองที่ &quot;เป็นธรรม&quot; เท่านั้น<br />หรืออาจเรียกว่า &quot;การปกครองโดยธรรม&quot;<br />ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการยอมรับของผู้อยู่ใต้ปกครอง<br />แล้วพัฒนาเป็นอาณาจักรหรือประเทศที่เกิดจากความร่วมมือของผู้ถูกปกครองกับคำ<br />สั่งของผู้ปกครองที่ปฏิบัติได้จริง<br />เกิดเป็นเอกภาพหรือความเจริญของประเทศนั้น</b></sup></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><sup><b> </b></sup></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><span style=\"color: #cc99ff\" class=\"Apple-style-span\"><b><sup>2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</sup></b></span></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><sup><b><u>ตอบ </u>พระปฐมบรมราชชนก + เจ้าแม่วัดดุสิต ----&gt; ร.1<br />ร.1(พระ พุทธยอดฟ้า) + กรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์----------&gt;ร.2</b></sup></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><sup><b>ร.2(พระ<br />พุทธเลิศหล้า)+กรมสมเด็จพระศรีสุลาลัย (เจ้าจอมมารดาเรียม<br />พระสนมเอก)------&gt;ร.3(พระชนม์สูงสุดและรับราชการต่างพระเนตรพระกรรณมาก<br />จึงได้เสวยราชย์</b></sup></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><sup><b>ร.3 ไม่ตั้งพระอัครมเหสีและรัชทายาท ด้วยหวังคืนราชสมบัติแด่ เข้าฟ้ามงกุฎ (ร.4)</b></sup></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><sup><b>ร.2(พระพุทธเลิศหล้า )+กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์(พระอัครมเหสี)------&gt;ร.4(พระอนุชาร.3)</b></sup></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><sup><b>ร.4(พระ จอมเกล้า)+กรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์(พระอัครมเหสี)-----&gt; ร.5</b></sup></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><sup><b>ร.5(พระ จุลจอมเกล้า)+สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง -------&gt; ร.6</b></sup></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><sup><b>ร.5(พระ<br />จุลจอมเกล้า)+สมเด็จพระศรีพัช รินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี<br />พระพันปีหลวง -------&gt; ร.7(พระอนุชาร.6<br />เสวยราชย์ด้วยกฎมณเฑียรบาลที่ร.6ตราขึ้นและร.6ไม่มีพระราชโอรส)</b></sup></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><sup><b>ร.7<br />ไม่มีพระราชโอรสธิดาจึงเปนไปตามกฎมณเฑียรบาลให้เรียงการสืบจาก<br />พระศรีพัชรินทราไปยังสมเด็จพระศรีสวรินทราไปยังพระนางสุขุมาลมารศรี...สาย<br />พระศรีพัชรินทรสิ้นหมดแล้ว<br />และถูกข้ามด้วยกฎมณเฑียรบาลแลถูกพระบรมราชโองการถอดจากการเปนผู้สืบราช<br />สันตติวงศ์ สายการสืบสันตติวงศ์จึงตกมายัง สายสมเด็จพระศรีสวรินทรา<br />บรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า(อดีตพระอัครมเหสีใน ร.5 )<br />ซึ่งองค์แรกที่จะได้ราชสมบัติคือ สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ<br />เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ แต่ด้วยจากสิ้นพระชนม์แล้ว<br />จึงเปนไปตามบทบัญญัติแห่งกฏมณเฑียรบาล<br />คือหากพระรัชทายาท(หมายถึงสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล) หาพระองค์ไม่แล้ว<br />ก็ให้อัญเชิญพระโอรสของพระรัชทายาทองค์นั้น ขึ้นเสวยราชย์) ฉะนั้น<br />พระโอรสที่ประสูติจากเจ้าฟ้ามหิดล กับ หม่อมสังวาลย์ สะใภ้หลวง จึงเปน<br />ผู้สืบราชสันตติวงศ์ต่อมา คือ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ขึ้นเปนรัชกาลที่ 8<br />สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (ยังไม่ใช้&quot;พระบาทสมเด็จฯ<br />เนื่องด้วยยังไม่บรมราชาภิเษก) ต่อมา ร.8 สวรรคตด้วยพระแสงปืน<br />ในพระที่นั่งบรมพิมาน สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช<br />ด้วยทรงสถิตในตำแหน่งพระรัชทายาทโดยอนุโลมตามกฎหณเฑียรบาล<br />สภาผู้แทนราษฎรจึงอัญเชิญ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช<br />ขึ้นเปนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก<br />เสวยสิริราชสมบัติ แลทรงดำรงรัฐสีมาอาณาจักรล่วงมาถึงปรัตยุบันกาล เปนปีที่<br />58 ขอจงทรงพระเจริญ <br /> </b></sup></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><span style=\"color: #cc99ff\" class=\"Apple-style-span\"><b><sup>3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</sup></b></span></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup><u>ตอบ </u>พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก<br />หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น<br />เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)<br />ครบรอบ ๕๐ ปี (golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป<br />ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป<br />เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน &quot;เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐&quot; ของรัชกาลที่ ๔<br />ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>&quot;ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ<br />จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา<br />เมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา<br />ณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]<br />พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ<br />เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร<br />กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ<br />รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา<br />ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง...&quot;๑</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕<br />เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ<br />ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑<br />กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน<br />ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖<br />กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา<br />เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์<br />และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก<br />ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี<br />ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า<br />พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘<br />และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖<br />กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน<br />เรียกชื่อว่า &quot;พระราชพิธีทวิธาภิเษก&quot;</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา<br />กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย<br />กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้</sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><span style=\"color: #cc99ff\" class=\"Apple-style-span\"><b><sup>4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</sup></b></span></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" align=\"justify\"><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\"><b><u>ตอบ </u>เครื่องยศดังกล่าวนี้ ประกอบด้วยสิ่งของเครื่องใช้มากมายหลายประเภท<br />เป็นของต่างชนิดกันบ้างชนิดเดียว กันแต่ต่างกันที่รูปแบบบ้าง<br />ที่เนื้อวัสดุบ้าง ที่การตกแต่งบ้าง ตามแต่ยศ<br />ศักดิ์และตำแหน่งตลอดจนความดีความชอบ ของผู้ได้รับพระราชทาน<br />อาจจำแนกประเภทของเครื่องยศเป็นหมวดหมู่ได้ ๗ หมวด คือ หมวดเครื่องสิริมงคล<br />เครื่อง ศิราภรณ์ เครื่องภูษณาภรณ์ เครื่องศัสตราวุธ เครื่องอุปโภค<br />เครื่องสูง และยานพาหนะ*</b></span></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" align=\"justify\"><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\"><b><sup></sup></b></span></p>\n<p>ในส่วนขององค์พระมหากษัตริย์นั้น<br />ทรงมีเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสำหรับเครื่องแสดงฐานะเช่นกัน<br />สิ่งสำคัญที่ถือว่าเป็นเครื่องแสดงความเป็นพระมหากษัตริย์<br />ซึ่งยึดถือมาแต่โบราณ ๕ อย่าง เรียนกว่า เบญจราชกกุธ ภัณฑ์ มี ๒ แบบ ดังนี้</p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" align=\"justify\"><b><sup><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\"><br />แบบที่ ๑ ประกอบด้วย<br />๑. นพปฎลมหาเศวตฉัตร</span><br /><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\">๒. พระมหาพิชัยมงกุฎ</span><br /><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\">๓. พระแสงขรรค์ชัยศรี</span><br /><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\">๔. พัดวาลวิชนี และพระแส้จามรี (หรือพระแส้หางช้างเผือก)</span><br /><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\">๕. ฉลองพระบาทเชิงงอน</span></sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup>แบบที่ ๒ ประกอบด้วย<br /><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\">๑. พระมหาพิชัยมงกุฎ</span><br /><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\">๒. พระแสงขรรค์ชัยศรี</span><br /><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\">๓. </span><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\">ธารพระกรชัยพฤกษ์</span><br /><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\">๔. พัดวาลวิชนี และพระแส้จามรี (หรือพระแส้หางช้างเผือก)</span><br /><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\">๕. ฉลองพระบาทเชิงงอน</span></sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" align=\"justify\"><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\"><b><sup><br />สมัยโบราณนับถือพระมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งสำคัญกว่าอย่างอื่น<br />ถือว่ามีความหมายเท่ากับความเป็นพระราชา มหากษัตริย์<br />ส่วนมงกุฎนั้นถือเป็นราชกกุธภัณฑ์ที่เป็นเครื่องราชศิราภรณ์เท่านั้น<br />มิได้ถือเป็นยอดแห่งความสำคัญ อย่างเช่นพระมหาเศวตฉัตร จนถึงรัชกาลที่ ๔<br />แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ไทยเราได้สมาคมกับชาวตะวันตกที่นับถือพระ<br />มงกุฎอยู่หลายประเทศ<br />คติที่นับถือพระมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในจำนวนราชกกุธภัณฑ์จึงได้เข้ามาสู่<br />ประเทศไทยตั้งแต่ นั้น**</sup></b></span></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" align=\"justify\"><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\"><b><sup><br />คำว่า พระราชอิสริยยศ<br />เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรมราชวงศ์ชั้นสูงตั้งแต่<br />พระ บรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศอื่นๆ<br />ที่นอกไปจากเบญจราชกกุธภัณฑ์อันเป็นเครื่องพระ<br />ราชอิสริยยศพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ จึงเป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ<br />พระบรมราชวงศ์ชั้นสูงดังกล่าวแล้ว นั้นด้วย<br />โดยมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศของพระบรมราชวงศ์นั้น ๆ<br />อาจจำแนกประเภทเครื่อง<br />ประกอบพระราชอิสริยยศออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกันกับเครื่องยศดังนี้</sup></b></span></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" align=\"justify\"><b><sup>            <span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\">เครื่องสิริมงคล</span><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\"> <br />ได้แก่ พระสังวาล พระธำมรงค์ พระประคำทองคำ ๑๐๘ เม็ด พระสายดิ่ง และพระตะกรุดทองคำ <br />เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศหมวดนี้<br />เป็นของสำหรับพระมหากษัตริย์ และพระบรมราชวงศ์ชั้นสูงฝ่ายหน้า<br />ซึ่งในรัชกาลปัจจุบันมีพระองค์เดียวได้แก่ สมเด็จพระบรมโอรสาธราชฯ<br />สยามมกุฎราชกุมารี<br /></span><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\">พระ<br />สังวาล<br />ที่เป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสำหรับพระมหากษัตริย์ทรงในงานพระราชพิธี<br />สำคัญ มีอยู่ ๒ องค์ คือ สังวาลพระนพ และพระมหาสังวาลนพรัตน์<br />ส่วนพระธำมรงค์ คือ พระธำมรงค์วิเชียรจินดา และพระธำมงค์ รัตนวราวุธ<br />เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศในหมวดนี้ที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงได้รับพระ ราชทาน มีดังนี้***<br />๑. พระสังวาลพระนพน้อย<br />๒. พระธำมรงค์นพรัตน์<br />๓. พระประคำทองคำ ๑๐๘ เม็ด<br />๔. พระสายดิ่งทองคำ<br />๕. พระตะกรุดทองคำสายทอง<br />๖. พระตะกรุดทองคำลงยาประดับเพชร</span></sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\">&nbsp;</p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" align=\"justify\"><b><sup>            <span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\">เครื่องศิราภรณ์</span><span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\"><br />คือ เครื่องประดับพระเศียร ได้แก่ พระมงกุฎ พระชฎา และพระมาลา ซึ่งมีหลายแบบหลายองค์ สำหรับทรงใน โอกาสต่างๆ กัน<br />เครื่องราชศิราภรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาล<br />ปัจจุบันพระราชทาน เป็นเครื่องประกอบพระราช<br />อิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้แก่ <br />๑. พระอนุราชมงกุฎ<br />๒. พระมาลาเส้าสูงทองคำลงยา<br /></span></sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\" align=\"justify\"><b><sup> <span style=\"font-size: small; font-family: Verdana, Arial, Helvetica, sans-serif; color: #333333\"><u>เครื่องภูษณาภรณ์</u><br />ได้แก่ ฉลองพระองค์ต่างๆ เช่น ฉลองพระองค์ครุย<br />สำหรับพระมหากษัตริย์ทรงในงานพระราชพิธีสำคัญ ที่มี การเสด็จออกมหาสมาคม<br />เพื่อรับการถวายพระพรชัยมงคล</span></sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><b><sup> </sup></b></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\"><b><sup> <a href=\"http://www.siamhistory.org/index.php?topic=21.0\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: underline\" title=\"http://www.siamhistory.org/index.php?topic=21.0\">http://www.siamhistory.org/index.php?topic=21.0</a></sup></b></span></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><a href=\"http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: underline\" title=\"http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%\"><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\"><b><sup>http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%</sup></b></span></a></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><a href=\"http://thaihandiwork.com/thailand_ry3.php\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: underline\" title=\"http://thaihandiwork.com/thailand_ry3.php\"><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\"><b><sup>http://thaihandiwork.com/thailand_ry3.php</sup></b></span></a></p>\n<p style=\"margin-right: 0cm; margin-left: 0cm; font-size: 12pt; font-family: \'Times New Roman\', serif\"><a href=\"http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: underline\" title=\"http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759\"><span style=\"color: #999999\" class=\"Apple-style-span\"><b><sup>http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759</sup></b></span></a></p>\n', created = 1717349226, expire = 1717435626, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:daf718280d37c9bd4a3337cf3c75e6fa' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:4aa92528930133de2c3f2626d9d4220e' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 9pt\">ตอบ</span></span><span style=\"color: #ff9900\"><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">&quot;สิทธิธรรม&quot; นั่นคือ มีสิทธิ (อำนาจ) ในการปกครองที่ &quot;เป็นธรรม&quot; เท่านั้น หรืออาจเรียกว่า &quot;การปกครองโดยธรรม&quot; ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการยอมรับของผู้อยู่ใต้ปกครอง แล้วพัฒนาเป็นอาณาจักรหรือประเทศที่เกิดจากความร่วมมือของผู้ถูกปกครองกับคำสั่งของผู้ปกครองที่ปฏิบัติได้จริง เกิดเป็นเอกภาพหรือความเจริญของประเทศนั้น <o:p></o:p></span></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><span style=\"color: #ff9900\">&quot;อำนาจหน้าที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงอยู่และปฏิบัติการของการปกครองทุกระบอบ ไม่ว่าจะมีอำนาจการบีบบังคับทางกายภาพที่ยิ่งใหญ่เพียงไร ผู้ปกครองทุกคนก็ต้องอาศัยการที่ประชาชนยอมรับหน้าที่ ตลอดจนยอมรับสิทธิในการปกครองและสิทธิในการสั่งการของตน กุญแจสำคัญที่ทำให้เกิดยอมรับเชื่อฟังเป็นนิสัย คือ การเข้าถึงจิตใจผู้ถูกปกครอง โดยนิยามแล้ว อำนาจหน้าที่จะต้องเป็นที่ยอมรับของปวงชนอย่างสมัครใจ ดังนั้น อำนาจหน้าที่ของผู้ปกครองจึงขึ้นอยู่กับเจตจำนงที่ดีของผู้ถูกปกครอง และจะแปรเปลี่ยนไปเมื่อเจตจำนงผันเปลี่ยนสภาพ&quot; (</span></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><span>Gene Sharp, <span style=\"color: #ff9900\">1973)หมายความว่า ถ้าหากรัฐบาลในยุคประชาธิปไตยรวมถึงระบบกษัตริย์ในสมัยโบราณ ใช้อำนาจหน้าที่เบียดเบียน กดขี่ข่มเหง ถืออำนาจตามอำเภอใจ เป็นทรราช หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ จนประชาชนเดือดร้อนทุกข์ยาก ผลกระทบจะทำให้เกิด &quot;เจตจำนงที่เลว หรือทัศนคติด้านลบ&quot; ของประชาชนต่อรัฐบาล การไม่ยินยอมเชื่อฟังของประชาชนจะทำให้รัฐบาลนั้นอายุสั้นลงในที่สุด</span> </span></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n<span style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><span lang=\"TH\"></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><span lang=\"TH\"></span><o:p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 9pt\">ตอบ </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 10pt\">สันตติวงศ์</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> สำหรับในปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 บัญญัติว่า</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220\"><span style=\"font-size: small\">“</span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\">ในกรณีที่ราชบัญลังก์ว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงค์ พระพุทธศักราช 2476 แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ปรัธานรัฐสภาเรียกประชุมเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอันเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ </span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\">ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง และเป็นกรณีที่พระมหากษัตย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่งให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา 22 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในกรณีนี้จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วให้ประทานรัฐสภาอันเชิญผู้สืบราช</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 10pt\">สันตติวงศ์</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\">ขึ้นทรงราชเป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ (</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 10pt\">มาตรา 23</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\">)&quot; </span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n&nbsp;\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n&nbsp;\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n&nbsp;\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 9pt\">ตอบ</span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <span lang=\"TH\"> พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก<br />\nหรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น<br />\nเป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (</span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">silver jubilee)<span lang=\"TH\"><br />\nครบรอบ ๕๐ ปี (</span>golden jubilee) <span lang=\"TH\">หรือครบรอบ ๖๐ ปี (</span>diamond<span lang=\"TH\"> </span>jubilee)<span lang=\"TH\"> แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป<br />\nตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป<br />\nเช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน &quot;เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐&quot; ของรัชกาลที่ ๔<br />\nดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">&quot;ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ<br />\nจะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา<br />\nเมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา<br />\nณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]<br />\nพระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ<br />\nเพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร<br />\nกรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ<br />\nรู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา<br />\nก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง...&quot;๑ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕<br />\nเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />\nเป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nเป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ<br />\nระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑<br />\nกำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน<br />\nทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />\nไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา<br />\nเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์<br />\nและทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก<br />\nตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี<br />\nระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐</span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">,<span lang=\"TH\">๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nเป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘<br />\nและทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔</span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">,<span lang=\"TH\">๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้ <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />\nพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒</span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">,<span lang=\"TH\">๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน<br />\nเรียกชื่อว่า &quot;พระราชพิธีทวิธาภิเษก&quot; <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้ <o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n&nbsp;\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n&nbsp;\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 9pt\"> <span lang=\"TH\">ตอบ</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"> การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า </span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">เครื่องยศ</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\nเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ </span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">พระราชอิสริยยศ </span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้ <o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">เครื่องสิริมงคล</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">เครื่องศิราภรณ์</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">เครื่องภูษณาภร์</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">เครื่องศัสตราวุธ</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">เครื่องราชูปโภค</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">เครื่องสูง</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">ยานพาหนะ</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">เครื่องประโคม</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">พระโกศ</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><v:shapetype coordsize=\"21600,21600\" o:spt=\"75\" o:preferrelative=\"t\" path=\"m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe\" filled=\"f\" stroked=\"f\" id=\"_x0000_t75\"><v:stroke joinstyle=\"miter\"></v:stroke><v:formulas><v:f eqn=\"if lineDrawn pixelLineWidth 0\"></v:f><v:f eqn=\"sum @0 1 0\"></v:f><v:f eqn=\"sum 0 0 @1\"></v:f><v:f eqn=\"prod @2 1 2\"></v:f><v:f eqn=\"prod @3 21600 pixelWidth\"></v:f><v:f eqn=\"prod @3 21600 pixelHeight\"></v:f><v:f eqn=\"sum @0 0 1\"></v:f><v:f eqn=\"prod @6 1 2\"></v:f><v:f eqn=\"prod @7 21600 pixelWidth\"></v:f><v:f eqn=\"sum @8 21600 0\"></v:f><v:f eqn=\"prod @7 21600 pixelHeight\"></v:f><v:f eqn=\"sum @10 21600 0\"></v:f></v:formulas><v:path o:extrusionok=\"f\" gradientshapeok=\"t\" o:connecttype=\"rect\"></v:path><o:lock v:ext=\"edit\" aspectratio=\"t\"></o:lock></v:shapetype><v:shape type=\"#_x0000_t75\" id=\"_x0000_i1025\" style=\"width: 0.75pt; height: 0.75pt\"><v:imagedata o:href=\"http://www.vcharkarn.com/uploads/114/114960.jpg\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\HI-END~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtml1\\05\\clip_image001.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">อ้างอิง</span><span style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"> <span lang=\"TH\"> </span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><a href=\"http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759\"><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">http://www.ryt</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">9.</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">com/s/tpd/</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">1046759</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><a href=\"http://stat05.diaryclub.com/?date=20071001&amp;ydiff=1&amp;mdiff=0\"><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">http://stat</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">05.</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">diaryclub.com/?date=</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">20071001</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">&amp;ydiff=</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">1</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">&amp;mdiff=</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">0</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><a href=\"http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%25msg_id%25\"><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">89.</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">msg%msg_id%</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><a href=\"http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861\"><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">http://www.vcharkarn.com/vcafe/</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">154861</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span> </p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n&nbsp;\n</p>\n<p></p>\n', created = 1717349226, expire = 1717435626, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:4aa92528930133de2c3f2626d9d4220e' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:4aa92528930133de2c3f2626d9d4220e' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 9pt\">ตอบ</span></span><span style=\"color: #ff9900\"><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">&quot;สิทธิธรรม&quot; นั่นคือ มีสิทธิ (อำนาจ) ในการปกครองที่ &quot;เป็นธรรม&quot; เท่านั้น หรืออาจเรียกว่า &quot;การปกครองโดยธรรม&quot; ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการยอมรับของผู้อยู่ใต้ปกครอง แล้วพัฒนาเป็นอาณาจักรหรือประเทศที่เกิดจากความร่วมมือของผู้ถูกปกครองกับคำสั่งของผู้ปกครองที่ปฏิบัติได้จริง เกิดเป็นเอกภาพหรือความเจริญของประเทศนั้น <o:p></o:p></span></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><span style=\"color: #ff9900\">&quot;อำนาจหน้าที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงอยู่และปฏิบัติการของการปกครองทุกระบอบ ไม่ว่าจะมีอำนาจการบีบบังคับทางกายภาพที่ยิ่งใหญ่เพียงไร ผู้ปกครองทุกคนก็ต้องอาศัยการที่ประชาชนยอมรับหน้าที่ ตลอดจนยอมรับสิทธิในการปกครองและสิทธิในการสั่งการของตน กุญแจสำคัญที่ทำให้เกิดยอมรับเชื่อฟังเป็นนิสัย คือ การเข้าถึงจิตใจผู้ถูกปกครอง โดยนิยามแล้ว อำนาจหน้าที่จะต้องเป็นที่ยอมรับของปวงชนอย่างสมัครใจ ดังนั้น อำนาจหน้าที่ของผู้ปกครองจึงขึ้นอยู่กับเจตจำนงที่ดีของผู้ถูกปกครอง และจะแปรเปลี่ยนไปเมื่อเจตจำนงผันเปลี่ยนสภาพ&quot; (</span></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><span>Gene Sharp, <span style=\"color: #ff9900\">1973)หมายความว่า ถ้าหากรัฐบาลในยุคประชาธิปไตยรวมถึงระบบกษัตริย์ในสมัยโบราณ ใช้อำนาจหน้าที่เบียดเบียน กดขี่ข่มเหง ถืออำนาจตามอำเภอใจ เป็นทรราช หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ จนประชาชนเดือดร้อนทุกข์ยาก ผลกระทบจะทำให้เกิด &quot;เจตจำนงที่เลว หรือทัศนคติด้านลบ&quot; ของประชาชนต่อรัฐบาล การไม่ยินยอมเชื่อฟังของประชาชนจะทำให้รัฐบาลนั้นอายุสั้นลงในที่สุด</span> </span></span>\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n<span style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><span lang=\"TH\"></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><span lang=\"TH\"></span><o:p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 9pt\">ตอบ </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 10pt\">สันตติวงศ์</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: black; font-size: 10pt\"> สำหรับในปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 บัญญัติว่า</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><b><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220\"><span style=\"font-size: small\">“</span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\">ในกรณีที่ราชบัญลังก์ว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงค์ พระพุทธศักราช 2476 แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ปรัธานรัฐสภาเรียกประชุมเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอันเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ </span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\">ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง และเป็นกรณีที่พระมหากษัตย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่งให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา 22 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในกรณีนี้จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วให้ประทานรัฐสภาอันเชิญผู้สืบราช</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 10pt\">สันตติวงศ์</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\">ขึ้นทรงราชเป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ (</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 10pt\">มาตรา 23</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\">)&quot; </span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #161a05; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n&nbsp;\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n&nbsp;\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n&nbsp;\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 9pt\">ตอบ</span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <span lang=\"TH\"> พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก<br />\nหรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น<br />\nเป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (</span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">silver jubilee)<span lang=\"TH\"><br />\nครบรอบ ๕๐ ปี (</span>golden jubilee) <span lang=\"TH\">หรือครบรอบ ๖๐ ปี (</span>diamond<span lang=\"TH\"> </span>jubilee)<span lang=\"TH\"> แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป<br />\nตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป<br />\nเช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน &quot;เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐&quot; ของรัชกาลที่ ๔<br />\nดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">&quot;ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ<br />\nจะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา<br />\nเมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา<br />\nณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]<br />\nพระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ<br />\nเพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร<br />\nกรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ<br />\nรู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา<br />\nก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง...&quot;๑ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕<br />\nเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />\nเป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nเป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ<br />\nระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑<br />\nกำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน<br />\nทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />\nไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา<br />\nเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์<br />\nและทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก<br />\nตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี<br />\nระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า<br />\nพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐</span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">,<span lang=\"TH\">๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />\nเป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘<br />\nและทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔</span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">,<span lang=\"TH\">๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้ <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย<br />\nพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒</span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">,<span lang=\"TH\">๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />\nให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน<br />\nเรียกชื่อว่า &quot;พระราชพิธีทวิธาภิเษก&quot; <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย<br />\nกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑ <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\">หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้ <o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n&nbsp;\n</p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n&nbsp;\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: red; font-size: 9pt\"> <span lang=\"TH\">ตอบ</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"> การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า </span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">เครื่องยศ</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\nเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ </span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">พระราชอิสริยยศ </span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้ <o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">เครื่องสิริมงคล</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">เครื่องศิราภรณ์</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">เครื่องภูษณาภร์</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">เครื่องศัสตราวุธ</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">เครื่องราชูปโภค</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">เครื่องสูง</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">ยานพาหนะ</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">เครื่องประโคม</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><br />\n</span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">พระโกศ</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><v:shapetype coordsize=\"21600,21600\" o:spt=\"75\" o:preferrelative=\"t\" path=\"m@4@5l@4@11@9@11@9@5xe\" filled=\"f\" stroked=\"f\" id=\"_x0000_t75\"><v:stroke joinstyle=\"miter\"></v:stroke><v:formulas><v:f eqn=\"if lineDrawn pixelLineWidth 0\"></v:f><v:f eqn=\"sum @0 1 0\"></v:f><v:f eqn=\"sum 0 0 @1\"></v:f><v:f eqn=\"prod @2 1 2\"></v:f><v:f eqn=\"prod @3 21600 pixelWidth\"></v:f><v:f eqn=\"prod @3 21600 pixelHeight\"></v:f><v:f eqn=\"sum @0 0 1\"></v:f><v:f eqn=\"prod @6 1 2\"></v:f><v:f eqn=\"prod @7 21600 pixelWidth\"></v:f><v:f eqn=\"sum @8 21600 0\"></v:f><v:f eqn=\"prod @7 21600 pixelHeight\"></v:f><v:f eqn=\"sum @10 21600 0\"></v:f></v:formulas><v:path o:extrusionok=\"f\" gradientshapeok=\"t\" o:connecttype=\"rect\"></v:path><o:lock v:ext=\"edit\" aspectratio=\"t\"></o:lock></v:shapetype><v:shape type=\"#_x0000_t75\" id=\"_x0000_i1025\" style=\"width: 0.75pt; height: 0.75pt\"><v:imagedata o:href=\"http://www.vcharkarn.com/uploads/114/114960.jpg\" src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\HI-END~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtml1\\05\\clip_image001.jpg\"></v:imagedata></v:shape></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\">อ้างอิง</span><span style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"> <span lang=\"TH\"> </span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><a href=\"http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759\"><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">http://www.ryt</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">9.</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">com/s/tpd/</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">1046759</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><a href=\"http://stat05.diaryclub.com/?date=20071001&amp;ydiff=1&amp;mdiff=0\"><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">http://stat</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">05.</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">diaryclub.com/?date=</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">20071001</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">&amp;ydiff=</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">1</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">&amp;mdiff=</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">0</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><a href=\"http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%25msg_id%25\"><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">89.</span><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">msg%msg_id%</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: blue; font-size: 9pt\"><a href=\"http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861\"><span lang=\"EN-US\" style=\"color: #69951d; font-size: 12pt; text-decoration: none; text-underline: none\">http://www.vcharkarn.com/vcafe/</span><span style=\"color: #69951d; text-decoration: none; text-underline: none\">154861</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span> </p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n&nbsp;\n</p>\n<p></p>\n', created = 1717349226, expire = 1717435626, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:4aa92528930133de2c3f2626d9d4220e' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:55871a132a8bb44db6393b5a70f763d0' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p style=\"text-align: center\" align=\"center\"><span style=\"font-size: 18pt\">1. <span lang=\"TH\">สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง</span><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"margin-bottom: 0.0001pt; text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><o:p> </o:p></span></b></p>\n<p style=\"margin-bottom: 0.0001pt; text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\">ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่างโดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อแสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว</span></b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\">ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพหรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูลที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ(ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน</span></b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\">อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิตโดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม</span></b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\">สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครองก็จะมีสิทธิในการปกครองประเทศ เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ อย่างเช่น ในหลวงของเรา โดยปกครองอาศัยหลักทศพิธราชธรรม ในการปกครองประเทศ</span></b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center\" align=\"center\"><span style=\"font-size: 18pt\">2. <span lang=\"TH\">มาตรการในการสืบสันตติวงศ์</span><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center\" align=\"center\"><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\">ในการสืบสันตติวงศ์นั้นก็คือ การสืบทอดเชื้อสายของพระมหากษัตริย์นั่นเอง คือเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ไม่ว่าจะเป็นลูกหลาน พี่น้องกันที่จะได้เป็นพระมหากษัตริย์ โดยในสมัยรัตนโกสินทร์ หรือ ในรัชสมัยราชวงศ์จักรีมีแผนภูมิแสดงลำดับการสืบสันตติวงศ์ พระมหากษัตริย์ ดังต่อไปนี้</span></b></p>\n<p style=\"text-align: center\" align=\"center\"> <span style=\"font-size: 28.8px\" class=\"Apple-style-span\">3. <span lang=\"TH\">พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ</span></span></p>\n<p style=\"text-align: center\" align=\"center\"><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 18pt\" lang=\"TH\">พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์</span></span><span style=\"font-size: 18pt\"><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมาพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้นได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (</span>silver jubilee)</span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">ครบรอบ ๕๐ ปี (</span>golden jubilee)<span lang=\"TH\">หรือครบรอบ ๖๐ ปี (</span>diamond jubilee) <span lang=\"TH\">แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆเป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน&quot;เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐&quot; ของรัชกาลที่ ๔</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\">&quot;<span lang=\"TH\">ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ดทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">เมื่อเวลาครบหกปีจึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">ณเดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศกพระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนานจึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักรกงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไรเจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง...&quot;๑</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปีเดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวันเดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปีที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์จำนวน ๓๘ องค์</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ณ พระบรมมหาราชวัง</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐</span>,<span lang=\"TH\">๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายนพ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ชั่ง หรือ ๒๒๔</span>,<span lang=\"TH\">๐๐๐ บาทเพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒</span>,<span lang=\"TH\">๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">เรียกชื่อว่า&quot;พระราชพิธีทวิธาภิเษก&quot;</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">พระราชพิธีรัชมงคลเนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒แห่งกรุงศรีอยุธยา</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษกเนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลยจนในรัชกาลปัจจุบันนี้</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">๑ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ (ขำ บุนนาค)</span>,</span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ</span>,<span lang=\"TH\">๒๕๔๗</span>, <span lang=\"TH\">น. ๒๗๑-๒๗๓.</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">๒ ศิรินันท์ บุญศิริ.&quot;พระราชพิธีสำคัญในพระมหากษัตริย์สองรัชกาล : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช</span>,&quot;</span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">ในเอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">เรื่องราชอาณาจักรไทยในรอบ ๕ทศวรรษแห่งการครองราชย์ วันที่ ๗-๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพมหานคร.น. ๓.</span></span><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">๓มีพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีที่ครองราชย์นานเกิน ๒๕ ปีดังนี้ รัชกาลที่ ๑</span>,<span lang=\"TH\">๒</span>, <span lang=\"TH\">๓</span>, <span lang=\"TH\">๔</span>, <span lang=\"TH\">๕ และ ๙</span></span></span><o:p></o:p></p>\n<p style=\"text-align: center\" align=\"center\"><span style=\"font-size: 18pt\">4. <span lang=\"TH\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ</span><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center\" align=\"center\"><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 18pt\" lang=\"TH\">การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมาพระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการโดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมายและพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะหรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า</span></span><span class=\"apple-converted-space\"><span style=\"font-size: 18pt\"> </span></span><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\">เครื่องยศ</span></b><b><span style=\"font-size: 18pt\"><br /></span></b><span style=\"font-size: 18pt\"><br /><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ</span></span><span class=\"apple-converted-space\"> </span><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\">พระราชอิสริยยศ</span></b><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\">เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไปเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้</span></span></span></p>\n<p><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\">เครื่องสิริมงคล</span></b><b><br /><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\">เครื่องศิราภรณ์</span></b><br /><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\">เครื่องภูษณาภร์</span></b><br /><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\">เครื่องศัสตราวุธ</span></b><br /><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\">เครื่องราชูปโภค</span></b><br /><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\">เครื่องสูง</span></b><br /><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\">ยานพาหนะ</span></b><br /><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\">เครื่องประโคม</span></b><br /><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif\" lang=\"TH\">พระโกศ</span></b></b></p>\n<p style=\"text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\" lang=\"TH\">๓.<b>พระยานมาศสามลำคาน</b></span><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"> </span></b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\" lang=\"TH\">พระราชยานนี้จะใช้เฉพาะในงานพระบรมศพพระยานมาศสามลำคานองค์แรกสร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช</span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"> <br /><span lang=\"TH\">พระยานมาศสามลำคาน เป็นคานหามขนาดใหญ่กลางตั้งแท่นทำด้วยไม้สลักปิดทองประดับกระจกสี ลักษณะเป็นแท่นซ้อนลดลง ๔ ชั้นย่อมุมไม้สิบสอง</span> <span lang=\"TH\">๓ ชั้นหน้ากระดานฐานล่างเรียบเกลี้ยงไม่มีลวดลาย</span> <span lang=\"TH\">ชั้นบนสุดทำเป็นแผงราชวัติจำหลักลายประดับกระจกกั้นเว้นช่องที่ส่วนหน้าและส่วนหลัง และมีมุขยื่นออกมา ฐานชั้นที่ ๓ ประดับด้วยครุฑ ๓๘ตัว ชั้นที่ ๔ ประดับด้วยเทพพนม ๒๖ องค์ ใช้พนักงานหาม ๖๐ คน เวลาหามจริงใช้คน ๒ผลัด</span><br />(<span lang=\"TH\">ศิลปากร</span>,<span lang=\"TH\">กรม</span>,<span lang=\"TH\">๒๕๓๙</span>,<span lang=\"TH\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)</span></span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"margin-bottom: 0.0001pt; text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"margin-bottom: 0.0001pt; text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\" lang=\"TH\">พระยานมาศสามลำคานอีกมุมหนึ่งค่ะ</span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><br />(<span lang=\"TH\">ศิลปากร</span>,<span lang=\"TH\">กรม</span>,<span lang=\"TH\">๒๕๓๙</span>,<span lang=\"TH\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)</span></span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"margin-bottom: 0.0001pt; text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"margin-bottom: 0.0001pt; text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\" lang=\"TH\">๖.<b>พระราชยานงา</b></span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"> <span lang=\"TH\">สร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีลักษณะเช่นเดียวกับพระราชยานถม เพียงแต่ทำด้วยงาช้างสลักลวดลายทั้งส่วนฐานกระจัง พนัก และกระดานพิง คานหามสองข้างหุ้มงาช้างตลอดถึงหัวเม็ดการหามใช้วิธีเดียวกับพระยานมาศ ใช้คนหาม ๘ คน</span> <br />(<span lang=\"TH\">ศิลปากร</span>,<span lang=\"TH\">กรม</span>,<span lang=\"TH\">๒๕๓๙</span>,<span lang=\"TH\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)</span></span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"margin-bottom: 0.0001pt; text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\" lang=\"TH\">พระราชยานงา ให้เห็นความสวยงามละเอียดอ่อนแบบชัดๆค่ะ</span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"> <br />(<span lang=\"TH\">ศิลปากร</span>,<span lang=\"TH\">กรม</span>,<span lang=\"TH\">๒๕๓๙</span>,<span lang=\"TH\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)</span><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"margin-bottom: 0.0001pt; text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\" lang=\"TH\">ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการสร้างพระราชยานขึ้นหลายองค์ พระราชยานทองลงยา พระราชยานพุดตาลถม พระราชยานงาการสร้างพระราชยานทองลงยานั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายว่าอาจเป็นพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแต่มาสำเร็จในรัชกาลที่๕ หรือเป็นพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเองหรืออาจจะเป็นปรารภของผู้ใหญ่ในสมัยนั้นกราบทูลเสนอว่าควรจะสร้างพระราชยานด้วยของวิเศษขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติดังเช่นพระมหากษัตริย์รัชกาลก่อนๆ</span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"> </span></p>\n<p><span lang=\"TH\">พระราชยานทองลงยา อีกมุมค่ะ(ศิลปากร</span>,<span lang=\"TH\">กรม</span>,<span lang=\"TH\">๒๕๓๙</span>,<span lang=\"TH\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถและพระเมรุมาศ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)</span><o:p></o:p></p>\n<p style=\"text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"margin-bottom: 0.0001pt; text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\" lang=\"TH\">พระเสลี่ยงกง</span></b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"> <span lang=\"TH\">เป็นพระราชยานแบบประทับราบทำด้วยไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก มีกงหรือที่วางแขนเป็นวงโค้งและมีพนักหรือกระดานพิง มีกระจังรวนและกระจังปฏิญาณอยู่ด้านนอกของกงพื้นที่นั่งเป็นไม้หวายเส้นผูกเรียงกัน หรือหวายสาน ด้านล่างมีห่วงโลหะ ๔ ห่วงสำหรับสอดคาน ๒ คาน การหามใช้วิธีผูกเชือกเป็นสาแหรกกับคานน้อย ใช้คนหาม ๘ คนใช้ทรงในเวลาปกติ หรือเจ้านายทรงตามเสด็จและใช้อัญเชิญพระโกศหรือพระสรีรางคารพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ระดับหม่อมเจ้าจนถึงพระองค์เจ้า</span><br />(<span lang=\"TH\">ศิลปากร</span>,<span lang=\"TH\">กรม</span>,<span lang=\"TH\">๒๕๓๙</span>,<span lang=\"TH\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)</span><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"margin-bottom: 0.0001pt; text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\" lang=\"TH\">พระเสลี่ยง</span></b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"> <span lang=\"TH\">เป็นพระราชยานแบบประทับราบสร้างด้วยไม้สลักปิดทอง มีพนักและกระดานพิง ด้านหน้าพนักเรียบไม่แกะลายใช้สำหรับพระมหากษัตริย์ทรงยามปกติ และเจ้านายทรง พื้นเป็นหวายเส้นผูกเรียงกันหวายสาน หรือพื้นไม้กระดาน มีห่วงโลหะ ๔ ห่วง ด้านล่าง สำหรับสอดคานหามการหามใช้เชือกผูกคานเป็นสาแหรกกับคานน้อย หากเป็นที่ประทับบางครั้งมีขนาดใหญ่ใช้คนหาม ๘ คน เรียกว่า</span> <i><span lang=\"TH\">พระราชยาน</span></i> <span lang=\"TH\">หากเป็นของเจ้านายทรงขนาดย่อมลงมาใช้คนหาม ๔ คน</span> <br />(<span lang=\"TH\">ศิลปากร</span>,<span lang=\"TH\">กรม</span>,<span lang=\"TH\">๒๕๓๙</span>,<span lang=\"TH\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)</span><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"margin-bottom: 0.0001pt; text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"margin-bottom: 0.0001pt; text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\" lang=\"TH\">พระวอประเวศวัง</span></b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"> <span lang=\"TH\">เป็นพระราชยานประทับราบทำด้วยไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก มีเสาสี่เสาและหลังคาทรงคฤห์ ดาดด้วยผ้าตาดปักทองแผ่ลวดมีระบายโดยรอบสามชั้น และมีม่านผูกที่เสาทั้งสี่พื้นพระวอทำด้วยหวายเส้นผูกเรียงกัน มีกงสำหรับวางแขนและกระดานพิงมีกระจังประดับฐานด้านหน้าและหลัง เว้นเฉพาะด้านข้างทั้งสองด้าน เป็นทางขึ้นลงมีคาน ๒ คาน ใช้เจ้าพนักงานหาม ๑๖ คน</span> </span></p>\n<p><span lang=\"TH\">สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ได้ทรงพระราชดำริเอาแบบแคร่กันยาของขุนนาง ไปสร้างเป็นวอ ดาดหลังคาด้วยผ้าขี้ผึ้งผูกม่านแพรสำหรับเสด็จเข้าวัง และพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ก็ได้โปรดให้สร้างวอลักษณะดังกล่าวขึ้นสำหรับพระองค์บ้างได้พระราชทานนามว่า</span> <i><span lang=\"TH\">วอประเวศวัง</span> </i><span lang=\"TH\">ต่อมาเมื่อทรงเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้วจึงได้ทรงพระราชทาน วอประเวศวัง แก่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎขณะที่ยังทรงผนวชอยู่</span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"margin-bottom: 0.0001pt; text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\" lang=\"TH\">ส่วนล้อของพระมหาพิชัยราชรถค่ะ</span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><br />(<span lang=\"TH\">ศิลปากร</span>,<span lang=\"TH\">กรม</span>,<span lang=\"TH\">๒๕๓๙</span>,<span lang=\"TH\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)</span></span></p>\n<!--[if !supportLineBreakNewLine]--><!--[if !supportLineBreakNewLine]--><p></p>\n<!--[endif]--><!--[endif]--><p><o:p></o:p></p>\n<p style=\"margin-bottom: 0.0001pt; text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\" lang=\"TH\">การเคลื่อนพระโกศโดยเกรินขึ้นสู่พระมหาพิชัยราชรถ</span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><br />(<span lang=\"TH\">ศิลปากร</span>,<span lang=\"TH\">กรม</span>,<span lang=\"TH\">๒๕๓๙</span>,<span lang=\"TH\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)</span></span></p>\n<!--[if !supportLineBreakNewLine]--><!--[if !supportLineBreakNewLine]--><p></p>\n<!--[endif]--><!--[endif]--><p><o:p></o:p></p>\n<p style=\"margin-bottom: 0.0001pt; text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\" lang=\"TH\">พระเวชยันตราชรถ</span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><br />(<span lang=\"TH\">ศิลปากร</span>,<span lang=\"TH\">กรม</span>,<span lang=\"TH\">๒๕๓๙</span>,<span lang=\"TH\">เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)</span><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"margin-bottom: 0.0001pt; text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"margin-bottom: 0.0001pt; text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\" lang=\"TH\">ในภาพเป็นพระเมรุมาศสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินีพระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๕เป็นปราสาททรงมณฑป ประดับส่วนปลียอดเป็นรูปปรางค์ มีอาคารสร้างหรือสานส้างรายรอบกั้นอาณาเขต ด้วยราชวัตรโปร่ง ประดับฉัตรโลหะฉลุ ๗ ชั้น โดยรอบ</span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"> </span></p>\n<p><span lang=\"TH\">พระเมรุมาศทรงปราสาท คงเป็นลักษณะแบบแผนในสมัยรัตนโกสินทร์ทั้งพระเมรุมาศพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศ์ชั้นสูงที่ทรงคุณยิ่งใหญ่แก่บ้านเมือง</span></p>\n<p>(<span lang=\"TH\">ศิลปากร</span>,<span lang=\"TH\">กรม</span>,<span lang=\"TH\">๒๕๓๙</span>,<span lang=\"TH\">ศิลปสถาปัตยกรรมไทยในพระเมรุมาศ)</span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><o:p></o:p></span></p>\n<p style=\"margin-bottom: 0.0001pt; text-align: center; line-height: normal\" align=\"center\" class=\"MsoNormal\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\"><o:p> </o:p></span></p>\n<p style=\"text-align: center\" align=\"center\"><span style=\"font-size: 14.4px\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\" lang=\"TH\">ในภาพเป็นพระเมรุมาศสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระเมรุมาศแรกที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบ (ศิลปากร</span><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: black\">,<span lang=\"TH\">กรม</span>,<span lang=\"TH\">๒๕๓๙</span>,<span lang=\"TH\">ศิลปสถาปัตยกรรมไทยในพระเมรุมาศ)</span></span></span> </p>\n<p style=\"text-align: center\" align=\"center\">&nbsp;</p>\n<p style=\"text-align: center\" align=\"center\"> <span class=\"Apple-style-span\" style=\"font-size: 28.8px; line-height: 27px; font-family: \'Angsana New\', serif\"><img src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image001.jpg\" width=\"425\" height=\"600\" alt=\"http://www.tlcthai.com/backoffice/upload_images/chakri/chart_map.jpg\" v:shapes=\"Picture_x0020_1\" /></span></p>\n<p style=\"text-align: center\" align=\"center\"> <span class=\"Apple-style-span\" style=\"font-size: 28.8px; line-height: 27px; font-family: \'Angsana New\', serif\"><img src=\"file:///C:\\DOCUME~1\\ADMINI~1\\LOCALS~1\\Temp\\msohtmlclip1\\01\\clip_image002.gif\" width=\"500\" height=\"685\" alt=\"http://www.school.stjohn.ac.th/images/pic-journal/chakri-dynasty.jpg\" v:shapes=\"Picture_x0020_3\" /></span></p>\n<p style=\"text-align: center\" align=\"center\">&nbsp;</p>\n<p><span style=\"font-size: 14.4px\" class=\"Apple-style-span\">\n<p><span style=\"font-size: 14.4px\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"line-height: 15px; font-size: small; font-family: arial, sans-serif\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"color: #000000\" class=\"Apple-style-span\">www.vcharkarn.com/vcafe</span></span></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 14.4px\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"line-height: 15px; font-size: small; font-family: arial, sans-serif\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"color: #000000\" class=\"Apple-style-span\"></span></span></span><span style=\"font-size: 14.4px; color: #000000\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"font-size: 20.16px\" class=\"Apple-style-span\"><span style=\"line-height: 15px; font-size: small; font-family: arial, sans-serif\" class=\"Apple-style-span\">www.chulabook.com/description.aspbarcode=9789748132211</span> </span> </span></p>\n<p></p></span></p>\n', created = 1717349226, expire = 1717435626, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:55871a132a8bb44db6393b5a70f763d0' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

การเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ สาระประวัติศาสตร์ ส32104ภาคเรียนที่2/2553

รูปภาพของ nsspramote

การเถลิงถวัลย์ราชสมบัติประมุขของรัฐ เปี่ยมล้นด้วยอำนาจสิทธิ์ขาดในการนำพาอาณาประชาราษฎร์ไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ทั้งยังสามารถขยายความจงรักภักดีและยำเกรงในบุญญาธิการให้บังเกิดในมวลชนทุกหมู่เหล่าทั้งในและนอกอาณาจักรได้โดยสมบูรณ์นั้นจำเป็นต้องประกอบด้วยปัจจัยสำคัญเหล่านี้คือ  (ให้นักเรียนหาข้อมูลและอธิบายตามข้อที่กำหนด)

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์

3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ

รูปภาพของ nss40087

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง ตอบ   ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม 2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์ ตอบ   สันตติวงศ์ สำหรับในปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 บัญญัติว่า ในกรณีที่ราชบัญลังก์ว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงค์ พระพุทธศักราช 2476 แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ปรัธานรัฐสภาเรียกประชุมเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอันเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง และเป็นกรณีที่พระมหากษัตย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่งให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา 22 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในกรณีนี้จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วให้ประทานรัฐสภาอันเชิญผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชเป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ (มาตรา 23)" 3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ ตอบ   พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก
หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น
เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง
ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)
ครบรอบ ๕๐ ปี (
golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป
ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป
เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา
ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน "เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐" ของรัชกาลที่ ๔
ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้
"ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ
จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา
เมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา
ณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]
พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ
เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร
กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ
รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา
ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง..."๑
ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖
ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ
ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙
พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑
กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม
พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา
เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์
และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท
พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก
ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี
ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐
,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘
และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔
,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้ พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒
,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน
เรียกชื่อว่า "พระราชพิธีทวิธาภิเษก"
พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑
หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้ 4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ตอบ   การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศ เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศ เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้ เครื่องสิริมงคล
เครื่องศิราภรณ์
เครื่องภูษณาภร์
เครื่องศัสตราวุธ
เครื่องราชูปโภค
เครื่องสูง
ยานพาหนะ
เครื่องประโคม
พระโกศ
อ้างอิง http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

 ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพ ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม 

 2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์

 ฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467 โดยรูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตามสิทธิของบุตรคนแรกที่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ. 2007) ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎม

3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง มีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์ ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132)  ตามหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก ในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ   ก่อนรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275 ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด ในรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ แสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า จนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ จึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328 และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน  พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8 แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด เพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี การสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง   งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ มีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ ได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล เพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18 มณฑล ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา และพระราชลัญจกรแผ่นดิน  เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน แล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว กลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ   พระมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์ แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า " ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม เหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท มีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง พร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป 

4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ

  พระราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุข ว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้ว    ภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า 'พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร'   พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทย เป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราชอิสริยยศ อันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์ ที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย       กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึง ทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ รวมความแล้วหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์   ประเพณีการถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย มีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ    เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

 ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพ ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม 

 2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์

 ฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467 โดยรูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตามสิทธิของบุตรคนแรกที่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ. 2007) ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎม

3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง มีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์ ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132)  ตามหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก ในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ   ก่อนรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275 ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด ในรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ แสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า จนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ จึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328 และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน  พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8 แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด เพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี การสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง   งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ มีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ ได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล เพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18 มณฑล ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา และพระราชลัญจกรแผ่นดิน  เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน แล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว กลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ   พระมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์ แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า " ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม เหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท มีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง พร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป 

4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ

  พระราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุข ว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้ว    ภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า 'พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร'   พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทย เป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราชอิสริยยศ อันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์ ที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย       กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึง ทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ รวมความแล้วหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์   ประเพณีการถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย มีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ    เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์

รูปภาพของ nss40160

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

 ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพ ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม 

 2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์

 ฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467 โดยรูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตามสิทธิของบุตรคนแรกที่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ. 2007) ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎม

3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

  พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง มีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์ ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132)  ตามหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก ในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ   ก่อนรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275 ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด ในรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ แสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า จนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ จึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328 และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน  พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8 แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด เพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี การสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง   งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ มีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ ได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล เพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18 มณฑล ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา และพระราชลัญจกรแผ่นดิน  เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน แล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว กลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ   พระมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์ แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า " ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม เหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท มีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง พร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป 

4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ

  พระราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุข ว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้ว    ภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า 'พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร'   พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทย เป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราชอิสริยยศ อันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์ ที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย       กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึง ทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ รวมความแล้วหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์   ประเพณีการถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย มีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ    เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์

 อ้างอิง : http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id% 

รูปภาพของ nss40153

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

 
แก่นแท้ของมันคือการที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยในสังคมไม่ยอมรับอำนาจรัฐ ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐอีกต่อไป อย่างน้อยก็ในทางการเมืองนี่เป็นการฟาดตรงหัวใจของอำนาจรัฐ เพราะโดยเนื้อแท้แล้วอำนาจรัฐจะทำงานได้ต้องตั้งอยู่บนการยินยอม-ยอมรับ (
consent) ของผู้คน ไม่ใช่การใช้กำลังข่มขู่บังคับ (coercion)  

ไม่
มีรัฐที่ไหนกุมปืนจ่อหัวผู้คนพลเมืองทุกคนทั่วประเทศให้ทำตามคำสั่งได้
ส่วนใหญ่ที่สุดรัฐดำเนินงานต่อไปได้ก็เพราะคนส่วนข้างมากยอมรับอำนาจรัฐและ
ยินยอมทำตามคำสั่งของรัฐเอง 
 

 
รัฐ
ที่อำนาจเข้มแข็งคือรัฐที่ผู้คนพลเมือง (รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐเอง)
ให้การยอมรับสูงและยินยอมทำตามคำสั่งรัฐโดยดุษณีไม่มีข้อแม้หรือกระทั่งทำ
ตามอย่างแข็งขันโดยรัฐมิพักต้องใช้กำลังข่มขู่บังคับหรือใช้ก็เพียงเล็กน้อย 
 

 
ในทางตรงข้าม รัฐที่อำนาจอ่อนแอคือรัฐที่ถูกผู้คนพลเมือง (รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ) ปฏิเสธ ไม่ยอมนับถือว่าเป็นรัฐของตัว และดิ้นรนขัดขืนเฉื่อยเนือยเกียร์ว่างต่อคำสั่งของรัฐทุกวิถีทาง 
 

 
ตามความหมายนี้ ในช่วงเดือนกว่าที่ผ่านมา อำนาจรัฐกำลังอ่อนแอลงอย่างรวดเร็วและถูกท้าทายหนักขึ้นทุกที 
 

รัฐบาลอภิสิทธิ์สูญเสียการยินยอม-ยอมรับของสังคมไปอย่างมากหลังเกิดเหตุเมษาฯวิปโยคเมื่อคืนวันที่ 10 เมษายนศกนี้  

 


ก่อน
หน้านั้น
รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ถูกตั้งคำถามท้าทายเรื่องความชอบธรรมของที่มาแห่งอำนาจ
อยู่บ้างเพราะถึงแม้มันจะเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกระบวนการรัฐสภา
แต่ก็ดูไม่ชอบมาพากลที่บรรดาตัวแทนพรรคร่วมไปประชุมก่อตั้งรัฐบาลกันขึ้นใน
ค่ายทหารและอาศัยกลุ่มการเมืองที่แปรพักตร์เป็นฐานพลิกคะแนนเสียงในสภา


แต่จุดด่างพร้อยนี้เทียบไม่ได้เลยกับความผิดพลาดสาหัสร้ายแรงที่เกิดขึ้นในการตัดสินใจสั่งการใช้กำลังทหารเข้า "ขอ
ยึดพื้นที่คืน" จากที่ชุมนุมของ นปช. บนถนนราชดำเนินในเวลากลางคืน
จนส่งผลให้มีประชาชนผู้ชุมนุมและทหารรวมทั้งผู้สื่อข่าวต่างประเทศเสียชีวิต
รวม 25 คน และบาดเจ็บกว่า 800 คน โดยที่ในจำนวนนี้บาดเจ็บสาหัสนับร้อยและหลายคนอาจต้องพิการหรือทุพพลภาพไปตลอดชีวิต 
 

 
ขณะ
ที่การสอบสวนสืบหาผู้ใช้อาวุธสังหารในคืนนั้นต้องดำเนินต่อไปเพื่อหาคนผิดมา
รับโทษตามกฎหมาย
รัฐบาลเองจักต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตนอย่าง
เต็มที่ไม่ว่าใครเป็นคนยิงก็ตาม-ไม่วันนี้ก็วันใดวันหนึ่งข้างหน้าอย่างแน่
นอน 
 

 
ถ้าก่อนหน้านั้นความชอบธรรมของรัฐบาลอภิสิทธิ์ดูคลุมเครือไม่ชัดเจน หลังคืนนองเลือดวันที่ 10 เมษายน มันก็พังพินาศแหลกลาญไม่มีชิ้นดีต่อหน้าต่อตาคนทั้งประเทศและทั่วโลก 
 


สำหรับ
ผู้ชุมนุมเรือนพันเรือนหมื่นและญาติมิตรครอบครัว
จะให้พวกเขายอมรับรัฐบาลอภิสิทธิ์ว่าเป็นรัฐบาลของพวกเขา
และยอมทำตามคำสั่งของรัฐบาลได้อย่างไร
ในเมื่อพวกเขาอดรู้สึกไม่ได้ว่ากลางดึกชุ่มเลือดคืนนั้นรัฐบาลดูจะมุ่งเอา
ชีวิตของเขาและคนที่เขารัก
และก็ได้เอาชีวิตของผู้ร่วมชุมนุมกับเขาไปนับสิบๆ คน
?  

หลังเมษาฯวิปโยค รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้สูญเสียสิทธิอำนาจทางศีลธรรมหรือสิทธิธรรมที่จะปกครอง (the moral authority to rule) ไปแล้วสำหรับรัฐๆ หนึ่ง นี่เป็นวิกฤตอย่างยิ่งและยากมากที่จะธำรงรักษาการยอมรับ-ยินยอมของผู้คนพลเมือง รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐเองไว้ต่อไปนี่คือที่มาสำคัญที่สุดของกระแสคลื่นการปฏิเสธอำนาจรัฐปัจจุบันทางออกก็คือต้องหาทางประกอบสร้างสิทธิอำนาจทางศีลธรรมหรือสิทธิธรรมที่จะปกครองขึ้นมาใหม่ (reconstitution of the moral authority to rule) เพื่อให้ผู้คนพลเมืองกลับมายอมรับใหม่ว่านี่เป็นรัฐบาลของพวกเขา และยอมทำตามคำสั่งของรัฐบาลอีกครั้ง  

2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์

การสืบสันติวงค์ หมายถึง การสืบทอดราชบัลลังก์ คือ
ตำแหน่งกษัตริย์ของเจ้านายในราชวงศ์เดียวกัน
ส่วนใหญ่เป็นการสืบทอดจากพ่อไปสู่ลูกชาย
ยกเว้นในกรณีที่กษัตริย์พระองค์นั้นไม่มีพระโอรส หรือโอรสยังทรงพระเยาว์
ตำแหน่งกระกษัตริย์จะสืบทอดไปยังพระอนุชา
โดยเฉพาะอนุชาองค์นั้นได้บำเพ็ญคุณประโยชน์แก่บ้านเมือง
เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาราษฎร์ก็จะเป็นที่ยอมรับโดยไม่มีอุปสรรคข้อขัดแย้ง

3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ 

พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธี ที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษกหรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้นเป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)ครบรอบ ๕๐ ปี (golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรปตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไปเช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน "เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐" ของรัชกาลที่ ๔ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้  "ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบจะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃาเมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนาณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณเพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักรกรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศรู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃาก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง..."

ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบันแต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ  พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้  พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกันทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยาเป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท  พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษกตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘  พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้ พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายนเรียกชื่อว่า "พระราชพิธีทวิธาภิเษก" พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยากำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก

เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทยกำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑ หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้

4.เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ     

เครื่องราชอิสริยยศ หมายถึง เครื่องหมายแสดงเกียรติยศ เครื่องประกอบเกียรติยศ
แสดงถึงความสำคัญของตำแหน่งหน้าที่และบำเหน็จความชอบที่พระมหากษัตริย์ทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่ผู้ที่กระทำความดีความชอบในราชการแผ่นดิน
ซึ่งแต่ครั้งโบราณได้มีระเบียบประเพณียึดถือเพื่อพระราชทานแก่พระบรมวงศานุ
วงศ์ ราชตระกูล ขุนนาง ข้าราชการที่มีตำแหน่งหน้าที่
หรือผู้ที่มีความชอบต่อแผ่นดินให้ปรากฏตามยศชั้นและฐานันดรศักดิ์เหล่านั้น
เครื่องยศทำด้วยวัสดุที่สูงค่างดงามด้วยฝีมือช่างโบราณที่มีความประณีต
วิจิตรบรรจงมีรูปลักษณ์และลวดลายที่แตกต่างกันตามลำดับชั้นยศ
เมื่อมีงานสำคัญผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องยศสามารถแต่งกายและนำเครื่องยศ
ไปตั้งเป็นเกียรติยศ และใช้สอยได้ต่อหน้าพระพักตร์ภายในท้องพระโรง
โดยมีการจำแนกเครื่องยศออกเป็น 7 หมวด ดังนี้

1. หมวดเครื่องสิริมงคล

ได้แก่ สังวาลและแหวนนพรัตน์ ประคำ 108 เม็ด ตะกรุด สายดิ่ง โดยบางอย่างไม่ใช่เพียงแต่เป็นเครื่องสิริมงคลอย่างเดียว ยังหมายถึงความสำคัญอันยิ่งยวดด้วย สำหรับประคำ 108 เม็ดและสายดิ่งนั้น พระราชทานให้เป็นเครื่องเตือนใจผู้ได้รับ ให้ปกครองตนและปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรม

2. หมวดเครื่องศิราภรณ์


พระราชทานจำกัดอยู่ในบรรดาผู้มีอิสริยศักดิ์สูง ได้แก่ พระมงกุฎ พระชฎา
พระราชทานเฉพาะเจ้านายในขัตติยราชสกุล
พระมาลาเส้าสูงมียี่ก่าประดับขนนกการเวกสำหรับราชสกุลชั้นเจ้าฟ้า
มาลาเส้าสะเทิ้นไม่มียี่ก่าสำหรับเจ้าพระยา ส่วนหมวกทรงประพาส
พระราชทานแก่ข้าราชการตำแหน่งผู้ว่าราชการเมือง
สำหรับเจ้าเมืองทางใต้ที่นับถือศาสนาอิสลาม
จะพระราชทานผ้าโพกศีรษะแทนหมวกทรงประพาส

3. หมวดเครื่องภูษณาภรณ์


ได้แก่ เสื้อที่พระราชทานตามลำดับของชั้นยศ มีหลายแบบ
บางชั้นก็เดินดิ้นทองเป็นริ้วที่แขนที่คอ อาทิ เสื้อครุย
ทำด้วยผ้ากรองทองหรือกรองเงิน ปักดิ้นทองเป็นดอกดวงหรือเป็นลายต่างๆ เช่น
ลายก้านแย่ง ลายดอกกระจาย เป็นต้น นอกจากนั้น ก็มีผ้านุ่งสนับเพลา รัดประคด
หรือผ้าคาดเอว

4. หมวดเครื่องศาสตราวุธ


ได้แก่ หอก ง้าว ปืน กั้นหยั่น ดาบ หรือกระบี่
โดยกระบี่ที่พระราชทานเป็นเครื่องยศนั้นมีหลายชนิด เช่น
ตัวกระบี่ตีในรูปแบบธรรมดาบ้าง ทำเป็นสันปรุ คือ
ปรุเนื้อเหล็กสันดาบให้เป็นลวดลายต่างๆ กัน เป็นต้น
ฝักกระบี่มีทั้งฝักที่เรียกว่า บั้งเงิน บั้งทอง ฝักนาก ฝักทองคำเกลี้ยง
ฝักทองคำจำหลักลาย และฝักทองคำลงยาราชาวดี
ลักษณะของฝักก็มีทั้งชนิดที่เป็นรูปนาคเศียรเดียว นาคสามเศียร และรูปดอกบัว

5. หมวดเครื่องอุปโภค


เป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น พานหมาก หีบหมาก คนโท เจียด กาน้ำ
ขันน้ำ ที่ชา กระโถน เป็นต้น
โดยการพระราชทานจะต่างกันในเรื่องของวัสดุที่ใช้ผลิต ได้แก่
เครื่องอุปโภคทองคำลงยาราชาวดีจะพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์
และสามัญชนที่ดำรงตำแหน่งสมเด็จเจ้าพระยาจนถึงพระอัครมเหสี
เครื่องอุปโภคทองคำลายสลักจะพระราชทานแก่พระองค์เจ้าต่างกรมลงมาจนถึงผู้
ดำรงตำแหน่งพระยา  

6. หมวดเครื่องสูง


ได้แก่ ฉัตร อภิรุมชุมสาย บังสูรย์ บังแทรก จามร กลด พัดโบก ฉัตรเบญจา
สัปทน กรรชิง และธงทิวต่างๆ เครื่องยศหมวดนี้
บางอย่างเป็นเครื่องแสดงอิสริยยศ บางอย่างเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศ
ส่วนมากใช้เมื่อผู้มียศไปโดยกระบวนแห่
บางอย่างตั้งหรือแขวนประกอบเกียรติยศศพ และบางอย่างใช้ในกระบวนแห่ศพ

7. หมวดยานพาหนะ


ได้แก่ ราชรถ พระวอสีวิกากาญจน์ เสลี่ยง แคร่กัญญา
เครื่องยศหมวดนี้มีการพระราชทานมาแต่โบราณ พระวอสีวิกากาญจน์
เป็นยานพาหนะสำหรับพระราชวงศ์ฝ่ายในชั้นสูง มีลักษณะคล้ายกับแคร่กัญญา
แต่จะมีม่านทองสำหรับปิดกั้นไม่ให้คนภายนอกสามารถมองเห็นเจ้านายฝ่ายในได้
เสลี่ยงและแคร่กัญญามีลักษณะแตกต่างกัน คือ เสลี่ยง
เป็นคานหามเปิดไม่มีหลังคา แคร่กัญญา หมายถึงคานหามประเภทมีหลังคา
ขุนนางผู้ใหญ่บางตำแหน่งอาจได้รับพระราชทานทั้งสองประเภท
      ปัจจุบัน
หลังจากที่ประเทศไทยได้ติดต่อกับตะวันตกมาตั้งแต่ช่วงต้นรัชกาลที่สี่
การพระราชทานเครื่องยศ ได้รับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา
จึงมีการสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขึ้นแทน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่สี่
ที่ทำเป็นดวงดาราต่าง ๆ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการ
ตราพระราชบัญญัติและสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลต่างๆ เช่น
จุลจอมเกล้า ช้างเผือก รามาธิบดี เป็นต้น การพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศ
จึงงดไป เปลี่ยนไปเป็นการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
เพื่อเป็นบำเหน็จความชอบในแผ่นดินแทน
  

รูปภาพของ nss40086

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพ ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม

2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์

กฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467 โดยรูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตามสิทธิของบุตรคนแรกที่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ. 2007) ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎม

3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง มีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์ ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132) ตามหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก ในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ ก่อนรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275 ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด ในรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ แสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า จนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ จึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328 และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8 แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด เพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี การสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ มีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ ได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล เพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18 มณฑล ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา และพระราชลัญจกรแผ่นดิน เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน แล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว กลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ พระมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์ แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า " ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม เหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท มีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง พร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป

4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ

พระราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุข ว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้ว ภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า 'พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร' พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทย เป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราชอิสริยยศ อันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์ ที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึง ทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ รวมความแล้วหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์ ประเพณีการถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย มีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์

 อ้างอิง : http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%

รูปภาพของ nss37587

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

ตอบ   ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว

ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน

อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม

2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์

ตอบ   สันตติวงศ์ สำหรับในปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 บัญญัติว่า

“ในกรณีที่ราชบัญลังก์ว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงค์ พระพุทธศักราช 2476 แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ปรัธานรัฐสภาเรียกประชุมเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอันเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ

ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง และเป็นกรณีที่พระมหากษัตย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่งให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา 22 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในกรณีนี้จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วให้ประทานรัฐสภาอันเชิญผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชเป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ (มาตรา 23)"

3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

ตอบ   พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์

นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก
หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น
เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง

ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)
ครบรอบ ๕๐ ปี (golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป
ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป
เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา

ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน "เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐" ของรัชกาลที่ ๔
ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้

"ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ
จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา
เมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา
ณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]
พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ
เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร
กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ
รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา
ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง..."๑

ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน

แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ

พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖

ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้

พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ
ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙

พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑
กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม

พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง

ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา
เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์
และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท

พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก
ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี
ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง

พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘

พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘
และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้

พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน
เรียกชื่อว่า "พระราชพิธีทวิธาภิเษก"

พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑

หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้

4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ

ตอบ   การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศ

เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศ เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้

เครื่องสิริมงคล
เครื่องศิราภรณ์
เครื่องภูษณาภร์
เครื่องศัสตราวุธ
เครื่องราชูปโภค
เครื่องสูง
ยานพาหนะ
เครื่องประโคม
พระโกศ

อ้างอิง

http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759

รูปภาพของ nssss40832

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

ตอบ กษัตริย์จึงมีสิทธิ์อันชอบธรรม ที่จะใช้อำนาจเหนือคนอื่นๆ ในสังคม มีฐานะเป็นเจ้าชีวิต ตลอดจนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน (เป็นเจ้าของผืนแผ่นดิน บนโลกนี้ ที่พระเจ้าสร้างขึ้น) ในฐานะเป็นตัวแทน ของพระเจ้าหรือเทพองค์นั้นๆ บนโลกมนุษย์

2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์

ตอบ รูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตามสิทธิของบุตรคนแรกที่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ. 2007) ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎมณเฑียรบาล โดยให้พระราชธิดาสามารถสืบราชสันติวงศ์ได้ด้วยเช่นกัน

3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

 ตอบ  พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวั
นที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘

และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้

พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน
เรียกชื่อว่า "พระราชพิธีทวิธาภิเษก"

พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑

หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้

4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ

ตอบ การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศ

เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศ เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้
เครื่องสิริมงคล เครื่องศิราภรณ์ เครื่องภูษณาภร์ เครื่องศัสตราวุธ เครื่องราชูปโภค เครื่องสูง ยานพาหนะ เครื่องประโคม พระโกศ

อ้างอิง http://th.wikipedia.org/wiki/  Cool

รูปภาพของ nss37850

1.      สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง เนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีการสืบเชื้อสายต่อๆไป ทำให้ราษฎรเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่สามารถยึดถือเป็นที่พึ่งทางใจได้ ทำให้กลายเป็นศูนย์รวมของคนไทยทุกคน2.      มาตรการในการสืบสันตติวงศ์      สืบสานทางสายเลือด3.      พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก
หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น
เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง
ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)
ครบรอบ ๕๐ ปี (
golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป
ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป
เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา
ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน "เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐" ของรัชกาลที่ ๔
ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้
"ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ
จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา
เมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา
ณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]
พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ
เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร
กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ
รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา
ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง..."๑
ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบันแต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖
ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ
ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙
พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑
กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม
พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้งครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา
เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์
และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท
พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก
ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี
ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐
,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘
และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔
,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้
พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒
,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน
เรียกชื่อว่า "พระราชพิธีทวิธาภิเษก"
พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑
หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้อ้างอิง๑ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ (ขำ บุนนาค),
กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ
, ๒๕๔๗, น. ๒๗๑-๒๗๓.
๒ ศิรินันท์ บุญศิริ. "พระราชพิธีสำคัญในพระมหากษัตริย์สองรัชกาล : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
,"
ใน เอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี
เรื่องราชอาณาจักรไทยในรอบ ๕ ทศวรรษแห่งการครองราชย์ วันที่ ๗-๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙
ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพมหานคร. น. ๓.
๓ มีพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีที่ครองราชย์นานเกิน ๒๕ ปีดังนี้ รัชกาลที่ ๑,,,, ๕ และ ๙(รุ่นพี่ที่จบประวัติศาสตร์)4.      เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศเครื่องสิริมงคล
เครื่องศิราภรณ์
เครื่องภูษณาภรณ์เครื่องศัสตราวุธ    เครื่องราชูปโภค
เครื่องสูง  
ยานพาหนะ  เครื่องประโคม
พระโกศ

รูปภาพของ gritsana

1.      สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง เนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีการสืบเชื้อสายต่อๆไป ทำให้ราษฎรเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่สามารถยึดถือเป็นที่พึ่งทางใจได้ ทำให้กลายเป็นศูนย์รวมของคนไทยทุกคน2.      มาตรการในการสืบสันตติวงศ์      สืบสานทางสายเลือด3.      พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก
หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น
เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง
ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)
ครบรอบ ๕๐ ปี (
golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป
ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป
เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา
ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน "เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐" ของรัชกาลที่ ๔
ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้
"ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ
จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา
เมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา
ณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]
พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ
เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร
กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ
รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา
ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง..."๑
ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบันแต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖
ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ
ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙
พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑
กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม
พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้งครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา
เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์
และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท
พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก
ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี
ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐
,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘
และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔
,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้
พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒
,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน
เรียกชื่อว่า "พระราชพิธีทวิธาภิเษก"
พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑
หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้อ้างอิง๑ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ (ขำ บุนนาค),
กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ
, ๒๕๔๗, น. ๒๗๑-๒๗๓.
๒ ศิรินันท์ บุญศิริ. "พระราชพิธีสำคัญในพระมหากษัตริย์สองรัชกาล : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
,"
ใน เอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี
เรื่องราชอาณาจักรไทยในรอบ ๕ ทศวรรษแห่งการครองราชย์ วันที่ ๗-๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙
ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพมหานคร. น. ๓.
๓ มีพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีที่ครองราชย์นานเกิน ๒๕ ปีดังนี้ รัชกาลที่ ๑,,,, ๕ และ ๙(รุ่นพี่ที่จบประวัติศาสตร์)4.      เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศเครื่องสิริมงคล
เครื่องศิราภรณ์
เครื่องภูษณาภรณ์เครื่องศัสตราวุธ    เครื่องราชูปโภค
เครื่องสูง  
ยานพาหนะ  เครื่องประโคม
พระโกศ  

รูปภาพของ nss40088

       1.สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

        ตอบ ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม   1.   มาตรการในการสืบสันตติวงศ์  สันตติวงศ์ สำหรับในปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 บัญญัติว่า “ในกรณีที่ราชบัญลังก์ว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงค์ พระพุทธศักราช 2476 แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ปรัธานรัฐสภาเรียกประชุมเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอันเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง และเป็นกรณีที่พระมหากษัตย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่งให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา 22 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในกรณีนี้จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วให้ประทานรัฐสภาอันเชิญผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชเป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ (มาตรา 23)

     2.มาตรการในการสืบสันตติวงศ์

     ตอบ ในการสืบสันตติวงศ์นั้นก็คือ การสืบทอดเชื้อสายของพระมหากษัตริย์นั่นเอง คือเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ไม่ว่าจะเป็นลูกหลาน พี่น้องกันที่จะได้เป็นพระมหากษัตริย์ โดยในสมัยรัตนโกสินทร์ หรือ ในรัชสมัยราชวงศ์จักรี

     3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

     ตอบ เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ พระราชพิธีสมภาเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑ กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์ และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้ พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน เรียกชื่อว่า "พระราชพิธีทวิธาภิเษก" พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑ หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้

     4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ

     ตอบ พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee) ครบรอบ ๕๐ ปี (golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน "เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐" ของรัชกาลที่ ๔ ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้ "ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา เมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา ณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗] พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง..."๑ ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ  พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศ เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศ เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้ -เครื่องสิริมงคล -เครื่องศิราภรณ์ -เครื่องภูษณาภร์ -เครื่องศัสตราวุธ -เครื่องราชูปโภค -เครื่องสูง -ยานพาหนะ -เครื่องประโคม -พระโกศ

รูปภาพของ nss40089

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพ ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม 

 2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์   

ฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467 โดยรูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตามสิทธิของบุตรคนแรกที่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ. 2007) ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎม

3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง มีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์ ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132) ตามหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก ในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ  ก่อนรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275 ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด ในรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ แสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า จนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ จึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328 และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน  พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8 แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด เพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี การสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง  งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ มีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ ได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล เพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18 มณฑล ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา และพระราชลัญจกรแผ่นดิน  เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน แล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว กลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ พระมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์ แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า " ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม เหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท มีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง พร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป 

4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ  

พระราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุข ว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้วภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า 'พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร  พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทย เป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราชอิสริยยศ อันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์ ที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย   กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึง ทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ รวมความแล้วหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์   ประเพณีการถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย มีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ 
 เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วย ดังนี้
 
      พระมหาเศวตฉัตร  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นพปฎลมหาเศวตฉัตรเป็นฉัตร ๙ ชั้น หุ้มผ้าขาว มีระบาย ๓ ชั้น ขลิบทอง แผ่ลวด มียอด 
พระมหาเศวตฉัตรนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้หุ้มด้วยผ้าขาว แทนตาด ถือเป็นเคื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญยิ่งกว่าราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ ในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำขึ้นถวายที่พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรหลังจากทรงรับน้ำอภิเษกแล้ว จากนั้นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังก็เชิญไปปักกางไว้เหนือพระที่นั่งภัทรบิฐ ต่อมาเมื่อเสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับ ณ พระที่นั่งภัทรบิฐ เพื่อทรงรับเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์ จึงไม่ต้องถวายเศวตฉัตรรวมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อื่น
 เดิมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ไทยบางรัชกาล มิได้กล่าวรวมพระมหาเศวตฉัตรหรือเศวตฉัตรเป็นเรื่องราชกกุธภัณฑ์ด้วยเพราะฉัตรเป็นของใหญ่โต มีปักอยู่แล้วเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐจึงถวายธารพระกรแทน จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  
พระมหาพิชัยมงกุเป็นราชศิราภรณ์สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทำด้วยทองลงยาประดับเพชรต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสริมแต่งพระมหาพิชัยมงกุฎให้งดงามและทรงคุณค่ายิ่งขึ้นจึงให้ผู้ชำนาญการดูเพชรไปหาซื้อเพชรจากประเทศอินเดียได้เพชรขนาดใหญ่ น้ำดี จากเมืองกัลกัตตา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำมาประดับไว้บนยอดพระมหาพิชัยมงกุฎ แล้วพระราชทานนามเพชรนี้ว่าพระมหาวิเชียรมณี พระมหามงกุฎหมายถึงยอดวิมานของพระอินทร์ ผู้เป็นประชาบดีของสวรรค์ชั้นสอง คือ ชั้นดาวดึงส์พระมหาพิชัยมงกุฎรวมพระจอน สูง ๖๖ เซนติเมตร หนัก ๗.๓ กิโลกรัมในสมัยโบราณถือว่ามงกุฎมีค่าสำคัญเท่ากับราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ และมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงรับมงกุฎมาแล้วก็เพียงทรงวางไว้ข้างพระองค์ต่อมาเมื่อประเทศไทยติดต่อกับประเทศในทวีปยุโรปมากขึ้น จึงนิยมตามราชสำนักยุโรปที่ถือว่าภาวะแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ที่เวลาได้สวมมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงเชิญทูตในประเทศไทยร่วมในพระราชพิธี และทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎมาทรงสวมแต่นั้นมาก็ถือว่า พระมหาพิชัยมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในบรรดาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และมหากษัตริย์จะทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกธารพระกร  ธารพระกรของเดิมสร้างในรัชกาลที่ ๑ ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ปิดทอง หัวและสันเป็นเหล็กคร่ำลายทอง ที่สุดสันเป็นซ่อม ลักษณะเหมือนกับไม้เท้าพระภิกษุที่ใช้ในการชักมหาบังสกุล เรียกธารพระกรของเดิมนั้นว่า ธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างธารพระกรขึ้นใหม่องค์หนึ่งด้วยทองคำ ภายในมีพระแสงเสน่า ยอดมีรูปเทวดา จึงเรียกว่า ธารพระกรเทวรูป ที่แท้ลักษณะเป็นพระแสงดาบมากกว่าเป็นธารพระกร แต่ได้ทรงสร้างขึ้นแล้วก็ทรงใช้แทนธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำธารพระกรชัยพฤกษ์กลับมาใช้อีกและยังคงใช้ธารพระกรชัยพฤกษ์ในพระราชพิธีบรมราชภิเษก มาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน    พระแสงขรรค์ชัยศรี เป็นพระแสงราชศัสตราวุธประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ เป็นพระแสงราชศัสตราปะจำพระองค์พระมหากษัตริย์พระขรรค์ หมายถึง พระปัญญาในการปกครองบ้านเมืองพระแสงขรรค์องค์ปัจจุบันมีประวัติว่า ในปี พ.ศ.๒๓๒๗ ชาวประมงพบพระแสงองค์นี้ในทะเลสาบเมืองเสียมราฐ กรมการเมืองเห็นว่าองค์พระแสงขรรค์ยังอยู่ในสภาพดีและงดงาม จึงนำพระแสงไปมอบให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเสียมราฐในขณะนั้นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เห็นว่าเป็นของเก่าฝีมือช่างสมัยนครวัด จึงนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯเมื่อวันที่พระแสงองค์นี้มาถึงพระนคร ได้เกิดฟ้าผ่าในเขตในพระนครถึง ๗ แห่งมีประตูวิเศษไชยศรีในพระราชฐานชั้นนอก และประตูพิมานไชยศรี ในพระราชฐานชั้นกลาง ซึ่งเป็นทางที่อัญเชิญพระแสงองค์นี้ผ่านไป เพื่อเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง เป็นต้นดังนั้น ประตูพระบรมมหาราชวังดังกล่าว จึงมีคำท้ายชื่อว่า "ไชยศรี" ทั้งสองประตูเช่นเดียวกับชื่อพระขรรค์องค์นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำด้ามและฝักขึ้นด้วยทองลงยาประดับมณีพระแสงขรรค์ชัยศรีนี้เฉพาะส่วนที่เป็นองค์พระขรรค์ยาว ๖๔.๕ เซนติเมตรประกอบด้ามแล้วยาว ๘๙.๘ เซนติเมตรหนัก ๑.๓ กิโลกรัมสวมฝักแล้วยาว ๑๐๑ เซนติเมตรหนัก ๑.๙ กิโลกรัมพระแสงราชศัสตราที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีสำคัญหลายพิธี เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา      พัดวาลวีชนี และพระแส้หางจามรี เป็นเครื่องใช้ประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ พัดวาลวีชนีทำด้วยใบตาล แต่ปิดทองทั้ง 2 ด้าน ด้ามและเครื่องประกอบทำด้วยทองลงยาส่วนพระแส้ทำด้วยขนจามรี ด้ามเป็นแก้วทั้งสองสิ่งนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น'วาลวีชนี' เป็นภาษาบาลีแปลว่า เครื่องโบก ทำด้วยขนวาล ตรงกับที่ไทยเรียกจามรี   ฉลองพระบาทเชิงงอน   ฉลองพระบาทมีที่มาจากเกือกแก้ว หมายถึงแผ่นดินอันเป็นที่รองรับเขาพระสุเมรุ และเป็นที่อาศัยของอาณาประชาราษฎร์ทั่วทั้งแว่นแคว้นฉลองพระบาทเชิงงอนนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ให้สร้างขึ้นเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามแบบอินเดียโบราณทำด้วยทองคำทั้งองค์น้ำหนัก ๖๕๐ กรัมลายที่สลักประกอบด้วยลายช่อหางโตแบบดอกเทศ ลงยาสีเขียวแดง โดยดอกลงยาสีเขียว เกสรลงยาสีแดงส่วนเชิงงอนนั้นทำเป็นตุ่มแบบกระดุมหรือดอกลำดวนมีคาดกลางทำเป็นลายก้านต่อดอกชนิดใบเทศฝังบุษย์น้ำเพชร ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เครื่องสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์เป็นของสำคัญที่พระราชครูพราหมณ์จะถวายแด่พระมหากษัตริย์เพื่อความสมบูรณ์ของพระราชพิธีโดยจะถวายจากลำดับสูงลงต่ำ เริ่มจากพระมหาพิชัยมงกุฎพระแสงขรรค์ชัยศรีธารพระกรพัดวาลวีชนี และแส้หางจามรีและท้ายสุดจะสอดฉลองพระบาทเชิงงอนถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์เก็บรักษาไว้ ณ ท้องพระโรงพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในหมู่พระมหามนเทียร ภายในพระบรมมหาราชวังเดิมเจ้าพนักงานที่รักษาเครื่องราชูปโภคได้จัดพิธีสมโภชเครื่องราชูปโภคและเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นประจำทุกปี โดยเลือกทำในเดือน ๖ เพราะมีพระราชพิธีน้อยจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า วันพระบรมราชาภิเษกเป็นวันมงคล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระมหาเศวตฉัตรและเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๓๙๔ พระราชทานชื่อว่า พระราชพิธีฉัตรมงคลต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์เปลี่ยนเรียกชื่อพระราชพิธีว่า พระราชกุศลทักษิณานุประทาน และพระราชพิธีฉัตรมงคลสืบมาจนปัจจุบันนี้ 

อ้างอิง 

http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id% http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861 http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=luckystar&month=06-2009&date=08&group=22&gblog=43

รูปภาพของ nss40161

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง       อุดมการณ์ทางการเมืองลัทธิการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่ทรงอิทธิพล ครอบงำประชาคม มนุษย์ทั่วโลกทุกวันนี้ มีรากฐานมาจากปรัชญาการเมือง สำนักทฤษฎี สัญญาประชาคม (social contract theory) ที่ถูกพัฒนาขึ้น เมื่อไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา นักปรัชญาสำนักทฤษฎีสัญญาประชาคม ได้เสนอมโนทัศน์เรื่อง "สิทธ"ิ ขึ้น เพื่อเป็น เครื่องมือโค่นล้ม อำนาจของสถาบันกษัตริย์ ที่อาศัยรากฐาน ของกรอบ อุดมการณ์ทางการเมือง ในลัทธิเทวสิทธิ์ (divine right) เป็นกรอบอ้างอิง ความชอบธรรม เพื่อค้ำจุนอำนาจทางการเมืองของผู้ปกครองรัฐให้มั่นคง แนวคิดสำคัญของลัทธิเทวสิทธิ์อยู่ที่พื้นฐานความเชื่อว่า พระเจ้าหรือเทพต่างๆ เป็นผู้สร้างโลก และสร้างมนุษย์ขึ้น ในขณะที่กษัตริย์เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเทพ เป็นองค์อวตาร ของเทพ หรือเป็นตระกูลที่ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือ เทพผู้สร้างโลก ให้มาทำหน้าที่ปกครองมนุษย์ด้วยกัน   ฉะนั้นกษัตริย์จึงมีสิทธิ์อันชอบธรรม ที่จะใช้อำนาจเหนือคนอื่นๆ ในสังคม มีฐานะเป็นเจ้าชีวิต ตลอดจนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน (เป็นเจ้าของผืนแผ่นดิน บนโลกนี้ ที่พระเจ้าสร้างขึ้น) ในฐานะเป็นตัวแทน ของพระเจ้าหรือเทพองค์นั้นๆ บนโลกมนุษย์  แก่นสารของที่มาแห่งอำนาจทางการเมือง ในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงมาจากอำนาจของพระเจ้า หรือเทพ ตามแนวความคิดของลัทธิความเชื่อ ทางศาสนาที่ชนชาตินั้นๆ ศรัทธานับถือ   ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว    ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน   อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม   ความบีบคั้นจากอำนาจสิทธิ์ขาดของกษัตริย์ที่ยึดกุมอำนาจทางการเมืองไว้ ในมือมาตั้งแต่ยุคโบราณ ในอารยธรรมของมนุษย์ ประกอบกับความอ่อนแอของศาสนจักรในช่วง ปลายยุคกลาง ตลอดจน บรรยากาศแห่งการแสวงหาความรู้ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา รวมทั้งการปฏิวัติความคิดทางวิทยาศาสตร์ ในยุโรปช่วงต้นของยุคสมัยใหม่ ทำให้เริ่มมีผู้ตั้งข้อสงสัย ต่อคำอธิบาย เกี่ยวกับรากฐานที่มา ของอำนาจรัฐ ในลัทธิเทวสิทธิ์   นักคิดส่วนหนึ่งได้พัฒนาชุดของคำอธิบายชุดใหม่ตามทฤษฎีสัญญาประชาคมขึ้น เพื่อให้คำอรรถาธิบาย ถึงรากฐานที่มาของอำนาจรัฐในแนวทางใหม่ สำหรับ เป็นเครื่องมือ ทางความคิด ในการต่อสู้และโค่นล้ม อำนาจของสถาบันกษัตริย์ ภายใต้ลัทธิเทวสิทธิ์   ทฤษฎีสัญญาประชาคมให้คำอรรถาธิบาย ว่า ในภาวะดั้งเดิมตามธรรมชาติ ก่อนที่ระบบสังคมการเมือง ของมนุษย์จะอุบัติขึ้นมานั้น เดิมทีมนุษย์อยู่กันอย่างอิสระ พร้อมกับ "สิทธิตามธรรมชาติ" (natural right) ซึ่งเป็นคุณสมบัติ ที่ทุกคนมีติดตัวมาตั้งแต่เกิด   ครั้นเมื่อมนุษย์เริ่มมาอยู่รวมกันเป็นสังคม เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการต่อสู้กับภยันตรายต่างๆ ที่คุกคามความอยู่รอดของชีวิต ภาวะดั้งเดิมตามธรรมชาติ (state of nature) ก็เริ่มเปลี่ยนแปลง ไปสู่ภาวะความขัดแย้ง (state of war) เพราะการกระทบกระทั่ง ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ที่มาอยู่รวมกัน เป็นระบบสังคม ตลอดจนระหว่างมนุษย์ในสังคมหนึ่ง กับสังคมอื่นๆ   เพื่อลดภาวะความบีบคั้นจากความขัดแย้ง ให้น้อยลง มนุษย์จึงได้หันมาทำข้อตกลง เพื่อการอยู่ร่วมกัน ในสังคมขึ้น อันเสมือนหนึ่งได้มีการลงนามในสัญญาประชาคม (social contract) ร่วมกันว่า มนุษย์แต่ละคนในสังคม จะยอมสละ สิทธิตามธรรมชาติ ที่มีติดตัวมาแต่เกิดในบางระดับ เพื่อมอบหมาย ให้บุคคลที่จะมาทำหน้าที่ เป็นผู้ปกครองรัฐ สามารถใช้อำนาจ เหนือสิทธิส่วนบุคคล ของมนุษย์ในสังคม ดังกล่าว ไม่เกินขอบเขตตามข้อตกลงแห่งพันธะสัญญาประชาคมที่ทำกันไว้ ทั้งนี้เพื่อให้ ผู้ปกครองรัฐ สามารถใช้อำนาจที่ได้รับมอบหมายนั้นๆ จัดระเบียบ การอยู่ร่วมกัน ของสมาชิก ในสังคมให้เป็นไป อย่างสงบสุข ตลอดจนป้องกัน ผู้รุกราน จากศัตรูภายนอก   อำนาจรัฐจึงไม่ได้มีที่มาจากพระเจ้าหรือเทพบนสรวงสวรรค์ แต่มีรากฐาน มาจาก มนุษย์ด้วยกัน ที่ยินยอมลดสิทธิตามธรรมชาติ บางส่วน เพื่อสถาปนา อำนาจรัฐ ขึ้นเหนือสิทธิ ส่วนบุคคล เท่าที่ผู้คนในสังคมนั้นๆ ยินยอมสละ ให้ดังกล่าว โดยวิธีที่จะควบคุม ให้ผู้ปกครองรัฐ ใช้อำนาจตามเงื่อนไข ของสัญญาประชาคม ด้วยความรับผิดชอบ (accountability) ต่อสมาชิกของประชาคมในรัฐนั้นๆ ก็คือ การเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้ง ผู้ปกครองรัฐในรอบระยะเวลาหนึ่งๆ   หากผู้ปกครองรัฐล่วงละเมิดเงื่อนไขแห่งสัญญาประชาคม สมาชิกของรัฐนั้นๆ จะได้สามารถเปลี่ยนตัว ผู้ปกครองรัฐใหม่ได้ในการเลือกตั้งสมัยต่อไป   ผู้ปกครองรัฐจึงต้องมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน และต้องทำงานเพื่อประชาชน ด้วยเงื่อนไขทางตรรกะ ที่เชื่อมโยงกับฐานกำเนิด แห่งอำนาจรัฐดังกล่าว  อย่างไรก็ตาม ก่อนที่นักคิดทางตะวันตก จะได้พัฒนาแนวคิด เรื่องทฤษฎี สัญญาประชาคม อันเป็นรากฐานของการเมืองแบบประชาธิปไตย ที่ทรงอิทธิพล ครอบงำประชาคมโลกทุกวันนี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึง แนวคิดทางการเมือง ที่มีลักษณะคล้ายคลึง กับทฤษฎีสัญญาประชาคม ก่อนหน้านักคิดทางตะวันตก กว่า ๒๐๐๐ ปีแล้ว ในอัคคัญญสูตร ฑีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เมื่อพราหมณ์ผู้หนึ่งได้มาสนทนา กับพระพุทธเจ้า และ เสนอทัศนะเรื่องลัทธิเทวสิทธิ์ ตามความเชื่อ ของศาสนา พราหมณ์ในยุคนั้น โดยอ้างว่าพระพรหม ทรงสร้างโลกและสร้างมนุษย์ขึ้นมา ๔ วรรณะ คือวรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร เพื่อให้มนุษย์แต่ละวรรณะกระทำหน้าที่แตกต่างกันในสังคม   กษัตริย์จึงมีความชอบธรรมแห่งอำนาจที่จะปกครองมนุษย์ (โดยคำแนะนำ ของพวกพราหมณ์ปุโรหิต ที่เป็นคนกลาง ซึ่งสามารถติดต่อกับพระพรหม ผ่านทางการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาต่างๆ) ขณะที่คนในวรรณะศูทร ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ จะต้องมีหน้าที่รับใช้วรรณะ อื่นๆ ที่สูงกว่า ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไป ตามเจตจำนง ของพระพรหมผู้สร้างโลก ที่ประสงค์จะให้เป็นเช่นนั้น   พระพุทธเจ้าได้ตรัสแย้งลัทธิเทวสิทธิ์ ของศาสนาพราหมณ์ ที่ก่อให้เกิดการแบ่งชั้น วรรณะกัน อย่างรุนแรงในสังคมอินเดีย และอธิบายว่า วรรณะทั้ง ๔ ไม่ได้เป็น คุณสมบัติ ที่เกิดจากการสร้างของพระพรหม ซึ่งติดตัวมนุษย์ทุกคน มาตั้งแต่เกิด แต่มาจากการแบ่งหน้าที่กัน ทำตามขั้นตอนที่เกิดในตรรก แห่งวิวัฒนาการ ของสังคมมนุษย์ ตั้งแต่ก่อนที่จะมีระบบสังคมการเมือง ในภาวะดั้งเดิมตามธรรมชาติ จนกระทั่ง มีการก่อเกิด สถาบันการปกครอง ที่เป็นวรรณะกษัตริย์ สถาบันศาสนา ที่เป็นวรรณะพราหมณ์ ตลอดจนการแบ่งหน้าที่กันทำ ระหว่างโครงสร้างส่วนที่ทำหน้าท ี่ทางด้านการกระจายผลผลิต หรือวรรณะแพศย์ และโครงสร้างส่วนที่ทำหน้าที่ ด้านการผลิต หรือวรรณะศูทร   อำนาจรัฐจึงไม่ได้มีที่มาจากพระเจ้าผู้สร้างโลกตามทัศนะของพวกพราหมณ์ ที่มีอิทธิพลครอบงำ ความคิดของชาวอินเดียยุคนั้น แต่มีที่มาจากมนุษย์ ที่ได้ร่วมกัน สถาปนา สถาบันการปกครองขึ้นในสังคม เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง ของผู้คน ในสังคม   ตรรกแห่งการกำเนิดของอำนาจรัฐตามที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ใน อัคคัญญสูตรนี้ ถึงแม้จะดูเหมือน มีสาระสำคัญที่คล้ายคลึงกับแนวคิด ในทฤษฎี สัญญาประชาคม ตามที่นักคิดทางตะวันตก ได้พัฒนาขึ้นหลังพุทธกาล กว่า ๒๐๐๐ ปี ดังที่ได้กล่าวมา แต่ก็มีเนื้อหาสำคัญบางส่วน ที่แตกต่างจากแก่นสาร ของทฤษฎี สัญญาประชาคม อย่างมีนัยสำคัญ อันจะได้กล่าวถึงในตอนต่อไป  

 

 

 2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์       รัชทายาทผู้มีสิทธิโดยตรงพระองค์ปัจจุบันของพระมหากษัตริย์ไทยหรือตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมาร คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ อันเป็นไปตามกฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467 โดยรูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตามสิทธิของบุตรคนแรกที่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ. 2007) ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎมณเฑียรบาล โดยให้พระราชธิดาสามารถสืบราชสันติวงศ์ได้ด้วยเช่นกัน      

 

 

 

 

  3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก  หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น  เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง  ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)  ครบรอบ ๕๐ ปี (golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป  ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป  เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา  ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน "เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐" ของรัชกาลที่ ๔   ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้"ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ  จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา   เมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา   ณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]   พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ   เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร   กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ   รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃาก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง..."๑ ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน   แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕   เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ    พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย   เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖   ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้   พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ   ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙   พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย   พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑   กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน   ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย   ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม   พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง   ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖   กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา   เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์   และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท   พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก   ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี   ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวังพระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘  พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘  และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้ พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖  กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายนเรียกชื่อว่า "พระราชพิธีทวิธาภิเษก"  พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา  กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑  หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้  

 

 

 4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ              การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมา ช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศตามหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และ พระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการต่างพระเนตรพระกรรณเหล่านั้นเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบ และเพื่อเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราช ทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศ            การพระราชทานเครื่องยศ คงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่โบราณแล้ว เพียงแต่ไม่มีเรื่องราวจารึกไว้เป็นหลัก ฐาน และอาจจะยังไม่มีการวางระเบียบไว้เป็นประเพณี มามีหลักฐานปรากฏชัดว่าได้มีพระราชกำหนดตราขึ้นเป็น ระเบียบประเพณีในสมัยอยุธยา ตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอู่ทองเป็นต้นมา ดังที่มีกล่าวถึงในเอกสารต่างๆ เช่น ใน กฎมณเฑียรบาลบ้าง ในพระราชพงศาวดารบ้าง             การพระราชทานเครื่องยศในสมัยต่อมา ได้ยึดถือโบราณราชประเพณีแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นหลักถึงแม้ เมื่อมีการสร้างราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้สร้างขึ้นเป็นครั้งแรก เป็นดวง ดาราสำหรับติดเสื้อ เรียกกันในสมัยนั้นว่า ตรา* และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปรับปรุง ตลอด จนกำหนดระเบียบตั้งเป็นพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทาน เป็นบำเหน็จความชอบแก่พระ บรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และบุคคลอื่นๆ แล้วประเพณีการรับพระราชทานเครื่องยศก็ยังคงมีอยู่สืบมาจนถึงปัจจุบัน แต่จำกัดลงเฉพาะในโอกาสรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า และในการสถาปนาพระอิสริยศักดิ์ พระราชวงศ์**     

 

 

 

 อ้างอิงจาก http://www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Kid/politics/k129_46.htm                  http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%                      http://thaihandiwork.com/thailand_ry2.php?osCsid=4d5751b69f345279701e358d007d1296

รูปภาพของ nss40094

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง?

ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพ ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม  

 2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์?

        ฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักรราช 2467 โดยรูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตามสิทธิของบุตรคนแรกที่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ. 2007) ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎม

3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ?

           พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง มีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์ ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132)          ตามหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก ในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ                       ก่อนรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275 ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด                      ในรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ แสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว                         เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า จนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ จึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328 และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน                        พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8 แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด เพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี การสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง                       งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ มีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ ได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล เพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18 มณฑล ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา และพระราชลัญจกรแผ่นดิน                        เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน แล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว กลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ                      พระมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์ แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า " ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม เหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท มีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง พร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป 

4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ?

              พระราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุข ว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้ว                       ภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า 'พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร'                      พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทย เป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราชอิสริยยศ อันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์ ที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย                        กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึง ทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ รวมความแล้วหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์                           ประเพณีการถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย มีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ 
                 เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วย ดังนี้

 พระมหาเศวตฉัตร                เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นพปฎลมหาเศวตฉัตรเป็นฉัตร ๙ ชั้น หุ้มผ้าขาว มีระบาย ๓ ชั้น ขลิบทอง แผ่ลวด มียอด 
พระมหาเศวตฉัตรนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้หุ้มด้วยผ้าขาว แทนตาด ถือเป็นเคื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญยิ่งกว่าราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ ในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำขึ้นถวายที่พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรหลังจากทรงรับน้ำอภิเษกแล้ว จากนั้นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังก็เชิญไปปักกางไว้เหนือพระที่นั่งภัทรบิฐ ต่อมาเมื่อเสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับ ณ พระที่นั่งภัทรบิฐ เพื่อทรงรับเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์ จึงไม่ต้องถวายเศวตฉัตรรวมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อื่น
 เดิมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ไทยบางรัชกาล มิได้กล่าวรวมพระมหาเศวตฉัตรหรือเศวตฉัตรเป็นเรื่องราชกกุธภัณฑ์ด้วยเพราะฉัตรเป็นของใหญ่โต มีปักอยู่แล้วเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐจึงถวายธารพระกรแทน จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  

พระมหาพิชัยมงกุฎ              เป็นราชศิราภรณ์สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทำด้วยทองลงยาประดับเพชรต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสริมแต่งพระมหาพิชัยมงกุฎให้งดงามและทรงคุณค่ายิ่งขึ้นจึงให้ผู้ชำนาญการดูเพชรไปหาซื้อเพชรจากประเทศอินเดียได้เพชรขนาดใหญ่ น้ำดี จากเมืองกัลกัตตา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำมาประดับไว้บนยอดพระมหาพิชัยมงกุฎ แล้วพระราชทานนามเพชรนี้ว่า       พระมหาวิเชียรมณี พระมหามงกุฎหมายถึงยอดวิมานของพระอินทร์ ผู้เป็นประชาบดีของสวรรค์ชั้นสอง คือ ชั้นดาวดึงส์พระมหาพิชัยมงกุฎรวมพระจอน สูง ๖๖ เซนติเมตร หนัก ๗.๓ กิโลกรัมในสมัยโบราณถือว่ามงกุฎมีค่าสำคัญเท่ากับราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ และมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงรับมงกุฎมาแล้วก็เพียงทรงวางไว้ข้างพระองค์ต่อมาเมื่อประเทศไทยติดต่อกับประเทศในทวีปยุโรปมากขึ้น จึงนิยมตามราชสำนักยุโรปที่ถือว่าภาวะแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ที่เวลาได้สวมมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงเชิญทูตในประเทศไทยร่วมในพระราชพิธี และทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎมาทรงสวมแต่นั้นมาก็ถือว่า พระมหาพิชัยมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในบรรดาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และมหากษัตริย์จะทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก    

ธารพระกร                   ธารพระกรของเดิมสร้างในรัชกาลที่ ๑ ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ปิดทอง หัวและสันเป็นเหล็กคร่ำลายทอง ที่สุดสันเป็นซ่อม ลักษณะเหมือนกับไม้เท้าพระภิกษุที่ใช้ในการชักมหาบังสกุล เรียกธารพระกรของเดิมนั้นว่า ธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างธารพระกรขึ้นใหม่องค์หนึ่งด้วยทองคำ ภายในมีพระแสงเสน่า ยอดมีรูปเทวดา จึงเรียกว่า ธารพระกรเทวรูป ที่แท้ลักษณะเป็นพระแสงดาบมากกว่าเป็นธารพระกร แต่ได้ทรงสร้างขึ้นแล้วก็ทรงใช้แทนธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำธารพระกรชัยพฤกษ์กลับมาใช้อีกและยังคงใช้ธารพระกรชัยพฤกษ์ในพระราชพิธีบรมราชภิเษก มาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน   

พระแสงขรรค์ชัยศรี             เป็นพระแสงราชศัสตราวุธประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ เป็นพระแสงราชศัสตราปะจำพระองค์พระมหากษัตริย์พระขรรค์ หมายถึง พระปัญญาในการปกครองบ้านเมืองพระแสงขรรค์องค์ปัจจุบันมีประวัติว่า ในปี พ.ศ.๒๓๒๗ ชาวประมงพบพระแสงองค์นี้ในทะเลสาบเมืองเสียมราฐ กรมการเมืองเห็นว่าองค์พระแสงขรรค์ยังอยู่ในสภาพดีและงดงาม จึงนำพระแสงไปมอบให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเสียมราฐในขณะนั้นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เห็นว่าเป็นของเก่าฝีมือช่างสมัยนครวัด จึงนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯเมื่อวันที่พระแสงองค์นี้มาถึงพระนคร ได้เกิดฟ้าผ่าในเขตในพระนครถึง ๗ แห่งมีประตูวิเศษไชยศรีในพระราชฐานชั้นนอก และประตูพิมานไชยศรี ในพระราชฐานชั้นกลาง ซึ่งเป็นทางที่อัญเชิญพระแสงองค์นี้ผ่านไป เพื่อเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง เป็นต้นดังนั้น ประตูพระบรมมหาราชวังดังกล่าว จึงมีคำท้ายชื่อว่า "ไชยศรี" ทั้งสองประตูเช่นเดียวกับชื่อพระขรรค์องค์นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำด้ามและฝักขึ้นด้วยทองลงยาประดับมณีพระแสงขรรค์ชัยศรีนี้เฉพาะส่วนที่เป็นองค์พระขรรค์ยาว ๖๔.๕ เซนติเมตรประกอบด้ามแล้วยาว ๘๙.๘ เซนติเมตรหนัก ๑.๓ กิโลกรัมสวมฝักแล้วยาว ๑๐๑ เซนติเมตรหนัก ๑.๙ กิโลกรัมพระแสงราชศัสตราที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีสำคัญหลายพิธี เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา   

พัดวาลวีชนี และพระแส้หางจามรี                  เป็นเครื่องใช้ประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ พัดวาลวีชนีทำด้วยใบตาล แต่ปิดทองทั้ง 2 ด้าน ด้ามและเครื่องประกอบทำด้วยทองลงยาส่วนพระแส้ทำด้วยขนจามรี ด้ามเป็นแก้วทั้งสองสิ่งนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น'วาลวีชนี' เป็นภาษาบาลีแปลว่า เครื่องโบก ทำด้วยขนวาล ตรงกับที่ไทยเรียกจามรี  

ฉลองพระบาทเชิงงอน                  ฉลองพระบาทมีที่มาจากเกือกแก้ว หมายถึงแผ่นดินอันเป็นที่รองรับเขาพระสุเมรุ และเป็นที่อาศัยของอาณาประชาราษฎร์ทั่วทั้งแว่นแคว้นฉลองพระบาทเชิงงอนนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ให้สร้างขึ้นเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามแบบอินเดียโบราณทำด้วยทองคำทั้งองค์น้ำหนัก ๖๕๐ กรัมลายที่สลักประกอบด้วยลายช่อหางโตแบบดอกเทศ ลงยาสีเขียวแดง โดยดอกลงยาสีเขียว เกสรลงยาสีแดงส่วนเชิงงอนนั้นทำเป็นตุ่มแบบกระดุมหรือดอกลำดวนมีคาดกลางทำเป็นลายก้านต่อดอกชนิดใบเทศฝังบุษย์น้ำเพชร                        ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เครื่องสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์เป็นของสำคัญที่พระราชครูพราหมณ์จะถวายแด่พระมหากษัตริย์เพื่อความสมบูรณ์ของพระราชพิธีโดยจะถวายจากลำดับสูงลงต่ำ เริ่มจากพระมหาพิชัยมงกุฎพระแสงขรรค์ชัยศรีธารพระกรพัดวาลวีชนี และแส้หางจามรีและท้ายสุดจะสอดฉลองพระบาทเชิงงอนถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์เก็บรักษาไว้ ณ ท้องพระโรงพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในหมู่พระมหามนเทียร ภายในพระบรมมหาราชวังเดิมเจ้าพนักงานที่รักษาเครื่องราชูปโภคได้จัดพิธีสมโภชเครื่องราชูปโภคและเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นประจำทุกปี โดยเลือกทำในเดือน ๖ เพราะมีพระราชพิธีน้อยจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า วันพระบรมราชาภิเษกเป็นวันมงคล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระมหาเศวตฉัตรและเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๓๙๔ พระราชทานชื่อว่า พระราชพิธีฉัตรมงคลต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์เปลี่ยนเรียกชื่อพระราชพิธีว่า พระราชกุศลทักษิณานุประทาน และพระราชพิธีฉัตรมงคลสืบมาจนปัจจุบันนี้   

อ้างอิงค์  http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id% http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861 http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=luckystar&month=06-2009&date=08&group=22&gblog=43

รูปภาพของ nss40159

1.สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

         ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญบางอย่างโดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆเพื่อเป็นเครื่องสื่อแสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพหรือมาจากวงศ์ตระกูลที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์โอรสของกษัตริย์ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูลที่ได้รับความพึงพอใจเป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ(ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว)สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อนอำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์จึงสืบทอดส่งผ่านกันทางสายโลหิตโดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์เว้นแต่มีการทำรัฐประหารแล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนาเพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้าหรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม  

2.มาตรการในการสืบสันตติวงศ์

       ฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์พระพุทธศักรราช 2467 โดยรูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตามสิทธิของบุตรคนแรกที่เป็นชายเท่านั้นอย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ.2007)ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎม

3.พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

           พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิเทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่งมีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภูทางใต้นครจำปาศักดิ์ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132)          ตามหลักเดิมของไทยนั้นเมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่าจะได้ทรงรับราชาภิเษกในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตรมีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ  

              เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัดครั้งหนึ่งก่อนเนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่าจนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จจึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่งเมื่อ ปีพ.ศ. 2328และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มาโดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯพราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มาก็คงใช้แบบอย่างนี้โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน       

            พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษกเพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง8แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุดเพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถาชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯพระอารามทั้งหลายย่ำระฆังแบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธีการสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกันขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรเป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกันการขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อยทำพอเป็นสังเขปการสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวยถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหนก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง        

           งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯมีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพฯได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17มณฑลเพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18มณฑลส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตาและพระราชลัญจกรแผ่นดิน         

             เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก3วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสรงพระมุรธาภิเษกสนานแล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยมซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิตและพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปดผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศกล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆแล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัยเมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้วกลับมาประทับทิศตะวันออกหัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออกกราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่งแล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่งซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ       

          พระมหาราชครูร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อนแปลเป็นไทยว่า "ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อมขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯพระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้าด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษกเป็นบรมราชาธิราชเป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยามเหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ข้าทูลละอองธุลีพระบาทมีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวงพร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกันขอขนานพระปรมาภิไธยถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้นและขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์อันสมพระราชอิสริยยศขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้นและทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้วขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอเพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป  

4.เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ                

พระมหาเศวตฉัตร   

           เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นพปฎลมหาเศวตฉัตรเป็นฉัตร ๙ ชั้น หุ้มผ้าขาวมีระบาย๓ ชั้น ขลิบทอง แผ่ลวด มียอด 
พระมหาเศวตฉัตรนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้หุ้มด้วยผ้าขาวแทนตาดถือเป็นเคื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญยิ่งกว่าราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆในรัชกาลปัจจุบันทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำขึ้นถวายที่พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรหลังจากทรงรับน้ำอภิเษกแล้วจากนั้นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังก็เชิญไปปักกางไว้เหนือพระที่นั่งภัทรบิฐต่อมาเมื่อเสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับณพระที่นั่งภัทรบิฐเพื่อทรงรับเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์จึงไม่ต้องถวายเศวตฉัตรรวมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อื่น
 เดิมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ไทยบางรัชกาลมิได้กล่าวรวมพระมหาเศวตฉัตรหรือเศวตฉัตรเป็นเรื่องราชกกุธภัณฑ์ด้วยเพราะฉัตรเป็นของใหญ่โตมีปักอยู่แล้วเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐจึงถวายธารพระกรแทนจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 
 

พระมหาพิชัยมงกุฎ

             เป็นราชศิราภรณ์สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทำด้วยทองลงยาประดับเพชรต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เสริมแต่งพระมหาพิชัยมงกุฎให้งดงามและทรงคุณค่ายิ่งขึ้นจึงให้ผู้ชำนาญการดูเพชรไปหาซื้อเพชรจากประเทศอินเดียได้เพชรขนาดใหญ่น้ำดีจากเมืองกัลกัตตาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำมาประดับไว้บนยอดพระมหาพิชัยมงกุฎแล้วพระราชทานนามเพชรนี้ว่า       พระมหาวิเชียรมณีพระมหามงกุฎหมายถึงยอดวิมานของพระอินทร์ผู้เป็นประชาบดีของสวรรค์ชั้นสอง คือชั้นดาวดึงส์พระมหาพิชัยมงกุฎรวมพระจอน สูง๖๖ เซนติเมตร หนัก ๗.๓กิโลกรัมในสมัยโบราณถือว่ามงกุฎมีค่าสำคัญเท่ากับราชกกุธภัณฑ์อื่นๆและมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุดเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงรับมงกุฎมาแล้วก็เพียงทรงวางไว้ข้างพระองค์ต่อมาเมื่อประเทศไทยติดต่อกับประเทศในทวีปยุโรปมากขึ้นจึงนิยมตามราชสำนักยุโรปที่ถือว่าภาวะแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ที่เวลาได้สวมมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์ได้ทรงเชิญทูตในประเทศไทยร่วมในพระราชพิธีและทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎมาทรงสวมแต่นั้นมาก็ถือว่าพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในบรรดาเครื่องราชกกุธภัณฑ์และมหากษัตริย์จะทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก    

ธารพระกร   

              ธารพระกรของเดิมสร้างในรัชกาลที่ ๑ ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ปิดทองหัวและสันเป็นเหล็กคร่ำลายทองที่สุดสันเป็นซ่อมลักษณะเหมือนกับไม้เท้าพระภิกษุที่ใช้ในการชักมหาบังสกุลเรียกธารพระกรของเดิมนั้นว่าธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างธารพระกรขึ้นใหม่องค์หนึ่งด้วยทองคำภายในมีพระแสงเสน่ายอดมีรูปเทวดา จึงเรียกว่าธารพระกรเทวรูปที่แท้ลักษณะเป็นพระแสงดาบมากกว่าเป็นธารพระกรแต่ได้ทรงสร้างขึ้นแล้วก็ทรงใช้แทนธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำธารพระกรชัยพฤกษ์กลับมาใช้อีกและยังคงใช้ธารพระกรชัยพฤกษ์ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน   

พระแสงขรรค์ชัยศรี

            เป็นพระแสงราชศัสตราวุธประจำพระองค์พระมหากษัตริย์เป็นพระแสงราชศัสตราปะจำพระองค์พระมหากษัตริย์พระขรรค์หมายถึงพระปัญญาในการปกครองบ้านเมืองพระแสงขรรค์องค์ปัจจุบันมีประวัติว่า ในปีพ.ศ.๒๓๒๗ชาวประมงพบพระแสงองค์นี้ในทะเลสาบเมืองเสียมราฐกรมการเมืองเห็นว่าองค์พระแสงขรรค์ยังอยู่ในสภาพดีและงดงามจึงนำพระแสงไปมอบให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์(แบน)ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเสียมราฐในขณะนั้นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เห็นว่าเป็นของเก่าฝีมือช่างสมัยนครวัดจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯเมื่อวันที่พระแสงองค์นี้มาถึงพระนครได้เกิดฟ้าผ่าในเขตในพระนครถึง๗ แห่งมีประตูวิเศษไชยศรีในพระราชฐานชั้นนอกและประตูพิมานไชยศรีในพระราชฐานชั้นกลางซึ่งเป็นทางที่อัญเชิญพระแสงองค์นี้ผ่านไปเพื่อเข้าไปในพระบรมมหาราชวังเป็นต้นดังนั้น ประตูพระบรมมหาราชวังดังกล่าวจึงมีคำท้ายชื่อว่า"ไชยศรี"ทั้งสองประตูเช่นเดียวกับชื่อพระขรรค์องค์นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทำด้ามและฝักขึ้นด้วยทองลงยาประดับมณีพระแสงขรรค์ชัยศรีนี้เฉพาะส่วนที่เป็นองค์พระขรรค์ยาว๖๔.๕เซนติเมตรประกอบด้ามแล้วยาว ๘๙.๘ เซนติเมตรหนัก ๑.๓ กิโลกรัมสวมฝักแล้วยาว๑๐๑เซนติเมตรหนัก ๑.๙กิโลกรัมพระแสงราชศัสตราที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีสำคัญหลายพิธีเช่นพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา   

พัดวาลวีชนีและพระแส้หางจามรี  

              เป็นเครื่องใช้ประจำพระองค์พระมหากษัตริย์พัดวาลวีชนีทำด้วยใบตาลแต่ปิดทองทั้ง 2 ด้าน ด้ามและเครื่องประกอบทำด้วยทองลงยาส่วนพระแส้ทำด้วยขนจามรีด้ามเป็นแก้วทั้งสองสิ่งนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น'วาลวีชนีเป็นภาษาบาลีแปลว่า เครื่องโบกทำด้วยขนวาล ตรงกับที่ไทยเรียกจามรี  

ฉลองพระบาทเชิงงอน

              ฉลองพระบาทมีที่มาจากเกือกแก้วหมายถึงแผ่นดินอันเป็นที่รองรับเขาพระสุเมรุและเป็นที่อาศัยของอาณาประชาราษฎร์ทั่วทั้งแว่นแคว้นฉลองพระบาทเชิงงอนนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯให้สร้างขึ้นเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามแบบอินเดียโบราณทำด้วยทองคำทั้งองค์น้ำหนัก๖๕๐กรัมลายที่สลักประกอบด้วยลายช่อหางโตแบบดอกเทศลงยาสีเขียวแดงโดยดอกลงยาสีเขียวเกสรลงยาสีแดงส่วนเชิงงอนนั้นทำเป็นตุ่มแบบกระดุมหรือดอกลำดวนมีคาดกลางทำเป็นลายก้านต่อดอกชนิดใบเทศฝังบุษย์น้ำเพชร

 www.vcharkarn.com/vcafe/154861

www.bloggang.com/viewdiary.php?id=luckystar&month=06-     2009&date=08&group=22&gblog=43 

 

รูปภาพของ nss40091

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

ตอบ  ก่อน
ที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์
จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง
โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ
เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์
ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์
ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว

       
ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล
ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์
ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล
ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม
ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว)
สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน

        อำนาจ
รัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน
ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์
เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา
เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า
หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม

        สิทธิ
ธรรมในการเป็นผู้ปกครอง ก็จะมีสิทธิในการปกครองประเทศ
เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ อย่างเช่น ในหลวง ของเรา
โดยปกครองอาศัยหลักทศพิธราชธรรม ในการปกครองประเทศ 

 

2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์

ตอบ 
ในการสืบสันตติวงศ์นั้น ก็คือ การสืบทอดเชื้อสายของพระมหากษัตริย์นั่นเอง
คือ เป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ไม่ว่าจะเป็นลูกหลาน
พี่น้องกัน ที่จะได้เป็นพระมหากษัตริย์ !

        
โดยในสมัยรัตนโกสินทร์ หรือ ในรัชสมัยราชวงศ์จักรี
มีแผนภูมิแสดงลำดับการสืบสันตติวงศ์ พระมหากษัตริย์ ดังต่อไปนี้ 
                         

 

 


3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

ตอบ พระ
ราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์
และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง
มีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู
ทางใต้นครจำปาศักดิ์ ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ.
1132)
         ตาม
หลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่
จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก
ในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น
ไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ 
 

         ก่อน
รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ
ไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้
เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275
ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด

         ใน
รัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ
แสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว

         เมื่อ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ
ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน
เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า
จนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ
จึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328
และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ
พราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา
ก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน

         พิธี
บรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก
เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8
แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด
เพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์
ฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ
ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ
หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี
การสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน
ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน
การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป
การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่
ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย
ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง

         งานพระ
บรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ
มีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ
ได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล
เพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18
มณฑล ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา
และพระราชลัญจกรแผ่นดิน

         เมื่อ
ถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน
ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน
แล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ
ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ
ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด
ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ
แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว
กลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก
กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง
ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ

         พระ
มหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์
แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า "
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
พระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า
ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช
เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม
เหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท
มีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง
พร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย
ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น
และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ
ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้
ครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ
เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป " ทรงรับว่า " ชอบละ พราหมณ์ "

                                                          

 

และนี้ก็เป็นรูปที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง เข้า พระราชพิธีบรมราชาภิเษก

         และ
ในปีพุทธศักราช 2549 ก็ได้มีงาน งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช
๒๕๔๙ (อังกฤษ. The Sixtieth Anniversary Celebrations of His Majesty's
Accession to the Throne) เป็นงานเฉลิมฉลองที่ประกอบด้วยรัฐพิธีและราชพิธี
มีขึ้นตลอดปี พ.ศ. ๒๕๔๙
เนื่องในวาระที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชสมบัติ
เป็นปีที่ ๖๐
ซึ่งยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในประวัติศาสตร์ชาติไทยและในโลก
ปัจจุบัน งานดังกล่าวกำกับดูแลและดำเนินการโดยรัฐบาลไทย
 

รูปภาพงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖o ปี ,, ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม
โดยมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศในประเทศไทย โดย เปล่งคำว่า " ทรงพระเจริญ " อย่างกึกก้องไปทั่วทั้งงาน

4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ

ตอบ  พระ
ราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุข
ว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้ว

         ภาย
หลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่
๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ
ในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า
'พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดี
จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร'

         พระ
ราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทย
เป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็น
สมมุติเทพ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราช
อิสริยยศ อันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์
ที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย

         กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึง ทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ รวมความแล้วหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์

         ประเพณี
การถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย
มีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมา
จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราช
ภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ
เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วย ดังนี้ 


พระมหาเศวตฉัตร

เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นพปฎลมหาเศวตฉัตรเป็นฉัตร ๙ ชั้น หุ้มผ้าขาว มีระบาย ๓ ชั้น ขลิบทอง แผ่ลวด มียอด
พระมหาเศวตฉัตรนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้หุ้มด้วย
ผ้าขาว แทนตาด ถือเป็นเคื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญยิ่งกว่าราชกกุธภัณฑ์อื่น
ๆ ในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้นำขึ้นถวายที่พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรหลังจากทรงรับน้ำอภิเษกแล้ว
จากนั้นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังก็เชิญไปปักกางไว้เหนือพระที่นั่งภัทรบิฐ
ต่อมาเมื่อเสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับ ณ พระที่นั่งภัทรบิฐ
เพื่อทรงรับเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์
จึงไม่ต้องถวายเศวตฉัตรรวมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อื่น
เดิมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ไทยบางรัชกาล
มิได้กล่าวรวมพระมหาเศวตฉัตรหรือเศวตฉัตรเป็นเรื่องราชกกุธภัณฑ์ด้วยเพราะ
ฉัตรเป็นของใหญ่โต มีปักอยู่แล้วเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐจึงถวายธารพระกรแทน
จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


พระมหาพิชัยมงกุฎ

         เป็น
ราชศิราภรณ์สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทำด้วยทองลงยาประดับเพชรต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เสริมแต่งพระมหาพิชัยมงกุฎให้งดงามและทรงคุณค่ายิ่งขึ้นจึงให้ผู้ชำนาญ
การดูเพชรไปหาซื้อเพชรจากประเทศอินเดียได้เพชรขนาดใหญ่ น้ำดี
จากเมืองกัลกัตตา
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำมาประดับไว้บนยอดพระมหาพิชัยมงกุฎ
แล้วพระราชทานนามเพชรนี้ว่า       พระมหาวิเชียรมณี
พระมหามงกุฎหมายถึงยอดวิมานของพระอินทร์ ผู้เป็นประชาบดีของสวรรค์ชั้นสอง
คือ ชั้นดาวดึงส์พระมหาพิชัยมงกุฎรวมพระจอน สูง ๖๖ เซนติเมตร หนัก ๗.๓
กิโลกรัมในสมัยโบราณถือว่ามงกุฎมีค่าสำคัญเท่ากับราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ
และมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด
เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงรับมงกุฎมาแล้วก็เพียงทรงวางไว้ข้างพระองค์ต่อมา
เมื่อประเทศไทยติดต่อกับประเทศในทวีปยุโรปมากขึ้น
จึงนิยมตามราชสำนักยุโรปที่ถือว่าภาวะแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ที่
เวลาได้สวมมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่
หัว พระองค์ได้ทรงเชิญทูตในประเทศไทยร่วมในพระราชพิธี
และทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎมาทรงสวมแต่นั้นมาก็ถือว่า
พระมหาพิชัยมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในบรรดาเครื่องราชกกุธภัณฑ์
และมหากษัตริย์จะทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก


พระแสงขรรค์ชัยศรี

         เป็น
พระแสงราชศัสตราวุธประจำพระองค์พระมหากษัตริย์
เป็นพระแสงราชศัสตราปะจำพระองค์พระมหากษัตริย์พระขรรค์ หมายถึง
พระปัญญาในการปกครองบ้านเมืองพระแสงขรรค์องค์ปัจจุบันมีประวัติว่า ในปี
พ.ศ.๒๓๒๗ ชาวประมงพบพระแสงองค์นี้ในทะเลสาบเมืองเสียมราฐ
กรมการเมืองเห็นว่าองค์พระแสงขรรค์ยังอยู่ในสภาพดีและงดงาม
จึงนำพระแสงไปมอบให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน)
ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเสียมราฐในขณะนั้นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เห็นว่าเป็นของเก่า
ฝีมือช่างสมัยนครวัด
จึงนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯเมื่อวันที่พระ
แสงองค์นี้มาถึงพระนคร ได้เกิดฟ้าผ่าในเขตในพระนครถึง ๗
แห่งมีประตูวิเศษไชยศรีในพระราชฐานชั้นนอก และประตูพิมานไชยศรี
ในพระราชฐานชั้นกลาง ซึ่งเป็นทางที่อัญเชิญพระแสงองค์นี้ผ่านไป
เพื่อเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง เป็นต้นดังนั้น
ประตูพระบรมมหาราชวังดังกล่าว จึงมีคำท้ายชื่อว่า "ไชยศรี"
ทั้งสองประตูเช่นเดียวกับชื่อพระขรรค์องค์นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา
โลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ทำด้ามและฝักขึ้นด้วยทองลงยาประดับมณีพระแสงขรรค์ชัยศรีนี้เฉพาะส่วนที่
เป็นองค์พระขรรค์ยาว ๖๔.๕ เซนติเมตรประกอบด้ามแล้วยาว ๘๙.๘ เซนติเมตรหนัก
๑.๓ กิโลกรัมสวมฝักแล้วยาว ๑๐๑ เซนติเมตรหนัก ๑.๙
กิโลกรัมพระแสงราชศัสตราที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีสำคัญหลายพิธี เช่น
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา


ธารพระกร

         ธารพระกร
ของเดิมสร้างในรัชกาลที่ ๑ ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ปิดทอง
หัวและสันเป็นเหล็กคร่ำลายทอง ที่สุดสันเป็นซ่อม
ลักษณะเหมือนกับไม้เท้าพระภิกษุที่ใช้ในการชักมหาบังสกุล
เรียกธารพระกรของเดิมนั้นว่า
ธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง
ธารพระกรขึ้นใหม่องค์หนึ่งด้วยทองคำ ภายในมีพระแสงเสน่า ยอดมีรูปเทวดา
จึงเรียกว่า ธารพระกรเทวรูป ที่แท้ลักษณะเป็นพระแสงดาบมากกว่าเป็นธารพระกร
แต่ได้ทรงสร้างขึ้นแล้วก็ทรงใช้แทนธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ
มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้นำธารพระกรชัยพฤกษ์กลับมาใช้อีกและยังคงใช้ธารพระกรชัยพฤกษ์ในพระราชพิธี
บรมราชภิเษก มาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน


พัดวาลวีชนี และพระแส้หางจามรี 

         เป็น
เครื่องใช้ประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ พัดวาลวีชนีทำด้วยใบตาล
แต่ปิดทองทั้ง 2 ด้าน
ด้ามและเครื่องประกอบทำด้วยทองลงยาส่วนพระแส้ทำด้วยขนจามรี
ด้ามเป็นแก้วทั้งสองสิ่งนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น'วาลวีชนี' เป็นภาษาบาลีแปลว่า
เครื่องโบก ทำด้วยขนวาล ตรงกับที่ไทยเรียกจามรี


ฉลองพระบาทเชิงงอน

         ฉลอง
พระบาทมีที่มาจากเกือกแก้ว หมายถึงแผ่นดินอันเป็นที่รองรับเขาพระสุเมรุ
และเป็นที่อาศัยของอาณาประชาราษฎร์ทั่วทั้งแว่นแคว้นฉลองพระบาทเชิงงอนนี้
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ
ให้สร้างขึ้นเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามแบบอินเดียโบราณทำด้วยทองคำทั้งองค์
น้ำหนัก ๖๕๐ กรัมลายที่สลักประกอบด้วยลายช่อหางโตแบบดอกเทศ ลงยาสีเขียวแดง
โดยดอกลงยาสีเขียว
เกสรลงยาสีแดงส่วนเชิงงอนนั้นทำเป็นตุ่มแบบกระดุมหรือดอกลำดวนมีคาดกลางทำ
เป็นลายก้านต่อดอกชนิดใบเทศฝังบุษย์น้ำเพชร

         ใน
การพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เครื่องสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์เป็นของสำคัญที่พระราชครูพราหมณ์จะถวายแด่พระ
มหากษัตริย์เพื่อความสมบูรณ์ของพระราชพิธีโดยจะถวายจากลำดับสูงลงต่ำ
เริ่มจากพระมหาพิชัยมงกุฎพระแสงขรรค์ชัยศรีธารพระกรพัดวาลวีชนี
และแส้หางจามรีและท้ายสุดจะสอดฉลองพระบาทเชิงงอนถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์
เก็บรักษาไว้ ณ ท้องพระโรงพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในหมู่พระมหามนเทียร
ภายในพระบรมมหาราชวังเดิมเจ้าพนักงานที่รักษาเครื่องราชูปโภคได้จัดพิธี
สมโภชเครื่องราชูปโภคและเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นประจำทุกปี
โดยเลือกทำในเดือน ๖
เพราะมีพระราชพิธีน้อยจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระ
ราชดำริว่า วันพระบรมราชาภิเษกเป็นวันมงคล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้บำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระมหาเศวตฉัตรและเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขึ้นเป็น
ครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๓๙๔ พระราชทานชื่อว่า พระราชพิธีฉัตรมงคลต่อมา
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เพิ่มการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชแห่งกรุงรัตน
โกสินทร์เปลี่ยนเรียกชื่อพระราชพิธีว่า พระราชกุศลทักษิณานุประทาน
และพระราชพิธีฉัตรมงคลสืบมาจนปัจจุบันนี้ 

 


ข้อมูลอ้างอิงจาก ; http://www1.tv5.co.th/service/mod/heritage/king/rajapisek/index.htm
http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=4&post_id=6722
http://th.wikipedia.org/wiki/งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี
http;//1.tv5.co.th/service/mod/heritage/king/rajapisek/index.htm

 

จัดทำโดย

นายธันย์ศรุต พิชิตศักดิ์ประภา เลขที่ 17 ม.5/8

รูปภาพของ nss40093

 1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง ตอบ  ก่อน
ที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์
จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง
โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ
เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์
ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์
ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว
       
ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล
ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์
ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล
ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม
ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว)
สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน
        อำนาจ
รัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน
ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์
เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา
เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า
หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม
        สิทธิ
ธรรมในการเป็นผู้ปกครอง ก็จะมีสิทธิในการปกครองประเทศ
เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ อย่างเช่น ในหลวง ของเรา
โดยปกครองอาศัยหลักทศพิธราชธรรม ในการปกครองประเทศ ... ..
;D
   2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์ ตอบ 
ในการสืบสันตติวงศ์นั้น ก็คือ การสืบทอดเชื้อสายของพระมหากษัตริย์นั่นเอง
คือ เป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ไม่ว่าจะเป็นลูกหลาน พี่น้องกัน
ที่จะได้เป็นพระมหากษัตริย์ !
        
โดยในสมัยรัตนโกสินทร์ หรือ ในรัชสมัยราชวงศ์จักรี
มีแผนภูมิแสดงลำดับการสืบสันตติวงศ์ พระมหากษัตริย์ ดังต่อไปนี้ .... ... .
. .
                            3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ ตอบ พระ
ราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์
และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง
มีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์
ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132)
         ตาม
หลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่
จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก
ในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น
ไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ
  
         ก่อน
รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ
ไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้
เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275
ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด
         ใน
รัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ
แสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว
         เมื่อ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ
ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน
เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า
จนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ
จึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328
และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ
พราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา
ก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน
         พิธี
บรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก
เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8
แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด
เพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์
ฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ
ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ
หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี
การสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน
ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน
การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป
การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่
ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย
ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง
         งานพระ
บรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ
มีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ
ได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล
เพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18
มณฑล ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา
และพระราชลัญจกรแผ่นดิน
         เมื่อ
ถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน
ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน
แล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ
ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ
ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด
ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ
แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว
กลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก
กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง
ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ
         พระ
มหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์
แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า "
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
พระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า
ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช
เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม
เหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท
มีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง
พร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย
ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น
และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ
ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้
ครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ
เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป " ทรงรับว่า " ชอบละ พราหมณ์ "
                                                           และนี้ก็เป็นรูปที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง เข้า พระราชพิธีบรมราชาภิเษก          และ
ในปีพุทธศักราช 2549 ก็ได้มีงาน งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช
๒๕๔๙ (อังกฤษ.
The Sixtieth Anniversary Celebrations of His Majesty's
Accession to the Throne) เป็นงานเฉลิมฉลองที่ประกอบด้วยรัฐพิธีและราชพิธี
มีขึ้นตลอดปี พ.ศ. ๒๕๔๙
เนื่องในวาระที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชสมบัติ
เป็นปีที่ ๖๐
ซึ่งยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในประวัติศาสตร์ชาติไทยและในโลก
ปัจจุบัน งานดังกล่าวกำกับดูแลและดำเนินการโดยรัฐบาลไทย
  รูปภาพงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖o ปี ,, ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม
โดยมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศในประเทศไทย
 โดย เปล่งคำว่า " ทรงพระเจริญ " อย่างกึกก้องไปทั่วทั้งงาน
4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ตอบ  พระ
ราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุข
ว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้ว
         ภาย
หลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕
พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ
ในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า
'พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดี
จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
'
         พระ
ราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทย
เป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็น
สมมุติเทพ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราช
อิสริยยศ อันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์
ที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย
         กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึง ทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ รวมความแล้วหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์          ประเพณี
การถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย
มีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมา
จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราช
ภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ
เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วย ดังนี้ ....

+ พระมหาเศวตฉัตร
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นพปฎลมหาเศวตฉัตรเป็นฉัตร ๙ ชั้น หุ้มผ้าขาว มีระบาย ๓ ชั้น ขลิบทอง แผ่ลวด มียอด
พระมหาเศวตฉัตรนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้หุ้มด้วย
ผ้าขาว แทนตาด ถือเป็นเคื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญยิ่งกว่าราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ
ในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้นำขึ้นถวายที่พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรหลังจากทรงรับน้ำอภิเษกแล้ว
จากนั้นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังก็เชิญไปปักกางไว้เหนือพระที่นั่งภัทรบิฐ
ต่อมาเมื่อเสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับ ณ พระที่นั่งภัทรบิฐ
เพื่อทรงรับเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์
จึงไม่ต้องถวายเศวตฉัตรรวมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อื่น
เดิมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ไทยบางรัชกาล
มิได้กล่าวรวมพระมหาเศวตฉัตรหรือเศวตฉัตรเป็นเรื่องราชกกุธภัณฑ์ด้วยเพราะ
ฉัตรเป็นของใหญ่โต มีปักอยู่แล้วเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐจึงถวายธารพระกรแทน
จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
+ พระมหาพิชัยมงกุฎ         เป็น
ราชศิราภรณ์สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทำด้วยทองลงยาประดับเพชรต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เสริมแต่งพระมหาพิชัยมงกุฎให้งดงามและทรงคุณค่ายิ่งขึ้นจึงให้ผู้ชำนาญ
การดูเพชรไปหาซื้อเพชรจากประเทศอินเดียได้เพชรขนาดใหญ่ น้ำดี
จากเมืองกัลกัตตา
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำมาประดับไว้บนยอดพระมหาพิชัยมงกุฎ
แล้วพระราชทานนามเพชรนี้ว่า
       พระมหาวิเชียรมณี
พระมหามงกุฎหมายถึงยอดวิมานของพระอินทร์ ผู้เป็นประชาบดีของสวรรค์ชั้นสอง
คือ ชั้นดาวดึงส์พระมหาพิชัยมงกุฎรวมพระจอน สูง ๖๖ เซนติเมตร หนัก ๗.๓
กิโลกรัมในสมัยโบราณถือว่ามงกุฎมีค่าสำคัญเท่ากับราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ
และมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด
เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงรับมงกุฎมาแล้วก็เพียงทรงวางไว้ข้างพระองค์ต่อมา
เมื่อประเทศไทยติดต่อกับประเทศในทวีปยุโรปมากขึ้น
จึงนิยมตามราชสำนักยุโรปที่ถือว่าภาวะแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ที่
เวลาได้สวมมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่
หัว พระองค์ได้ทรงเชิญทูตในประเทศไทยร่วมในพระราชพิธี
และทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎมาทรงสวมแต่นั้นมาก็ถือว่า
พระมหาพิชัยมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในบรรดาเครื่องราชกกุธภัณฑ์
และมหากษัตริย์จะทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
+ พระแสงขรรค์ชัยศรี         เป็น
พระแสงราชศัสตราวุธประจำพระองค์พระมหากษัตริย์
เป็นพระแสงราชศัสตราปะจำพระองค์พระมหากษัตริย์พระขรรค์ หมายถึง
พระปัญญาในการปกครองบ้านเมืองพระแสงขรรค์องค์ปัจจุบันมีประวัติว่า ในปี
พ.ศ.๒๓๒๗ ชาวประมงพบพระแสงองค์นี้ในทะเลสาบเมืองเสียมราฐ
กรมการเมืองเห็นว่าองค์พระแสงขรรค์ยังอยู่ในสภาพดีและงดงาม
จึงนำพระแสงไปมอบให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน)
ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเสียมราฐในขณะนั้นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เห็นว่าเป็นของเก่า
ฝีมือช่างสมัยนครวัด
จึงนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯเมื่อวันที่พระ
แสงองค์นี้มาถึงพระนคร ได้เกิดฟ้าผ่าในเขตในพระนครถึง ๗
แห่งมีประตูวิเศษไชยศรีในพระราชฐานชั้นนอก และประตูพิมานไชยศรี
ในพระราชฐานชั้นกลาง ซึ่งเป็นทางที่อัญเชิญพระแสงองค์นี้ผ่านไป
เพื่อเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง เป็นต้นดังนั้น ประตูพระบรมมหาราชวังดังกล่าว
จึงมีคำท้ายชื่อว่า "ไชยศรี"
ทั้งสองประตูเช่นเดียวกับชื่อพระขรรค์องค์นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา
โลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ทำด้ามและฝักขึ้นด้วยทองลงยาประดับมณีพระแสงขรรค์ชัยศรีนี้เฉพาะส่วนที่
เป็นองค์พระขรรค์ยาว ๖๔.๕ เซนติเมตรประกอบด้ามแล้วยาว ๘๙.๘ เซนติเมตรหนัก
๑.๓ กิโลกรัมสวมฝักแล้วยาว ๑๐๑ เซนติเมตรหนัก ๑.๙
กิโลกรัมพระแสงราชศัสตราที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีสำคัญหลายพิธี เช่น
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
+ ธารพระกร         ธารพระกร
ของเดิมสร้างในรัชกาลที่ ๑ ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ปิดทอง
หัวและสันเป็นเหล็กคร่ำลายทอง ที่สุดสันเป็นซ่อม
ลักษณะเหมือนกับไม้เท้าพระภิกษุที่ใช้ในการชักมหาบังสกุล
เรียกธารพระกรของเดิมนั้นว่า
ธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง
ธารพระกรขึ้นใหม่องค์หนึ่งด้วยทองคำ ภายในมีพระแสงเสน่า ยอดมีรูปเทวดา
จึงเรียกว่า ธารพระกรเทวรูป ที่แท้ลักษณะเป็นพระแสงดาบมากกว่าเป็นธารพระกร
แต่ได้ทรงสร้างขึ้นแล้วก็ทรงใช้แทนธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ
มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้นำธารพระกรชัยพฤกษ์กลับมาใช้อีกและยังคงใช้ธารพระกรชัยพฤกษ์ในพระราชพิธี
บรมราชภิเษก มาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน
+ พัดวาลวีชนี และพระแส้หางจามรี           เป็น
เครื่องใช้ประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ พัดวาลวีชนีทำด้วยใบตาล
แต่ปิดทองทั้ง 2 ด้าน
ด้ามและเครื่องประกอบทำด้วยทองลงยาส่วนพระแส้ทำด้วยขนจามรี
ด้ามเป็นแก้วทั้งสองสิ่งนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น
'วาลวีชนี' เป็นภาษาบาลีแปลว่า
เครื่องโบก ทำด้วยขนวาล ตรงกับที่ไทยเรียกจามรี
 + ฉลองพระบาทเชิงงอน         ฉลอง
พระบาทมีที่มาจากเกือกแก้ว หมายถึงแผ่นดินอันเป็นที่รองรับเขาพระสุเมรุ
และเป็นที่อาศัยของอาณาประชาราษฎร์ทั่วทั้งแว่นแคว้นฉลองพระบาทเชิงงอนนี้
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ
ให้สร้างขึ้นเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามแบบอินเดียโบราณทำด้วยทองคำทั้งองค์
น้ำหนัก ๖๕๐ กรัมลายที่สลักประกอบด้วยลายช่อหางโตแบบดอกเทศ ลงยาสีเขียวแดง
โดยดอกลงยาสีเขียว
เกสรลงยาสีแดงส่วนเชิงงอนนั้นทำเป็นตุ่มแบบกระดุมหรือดอกลำดวนมีคาดกลางทำ
เป็นลายก้านต่อดอกชนิดใบเทศฝังบุษย์น้ำเพชร
         ใน
การพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เครื่องสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์เป็นของสำคัญที่พระราชครูพราหมณ์จะถวายแด่พระ
มหากษัตริย์เพื่อความสมบูรณ์ของพระราชพิธีโดยจะถวายจากลำดับสูงลงต่ำ
เริ่มจากพระมหาพิชัยมงกุฎพระแสงขรรค์ชัยศรีธารพระกรพัดวาลวีชนี
และแส้หางจามรีและท้ายสุดจะสอดฉลองพระบาทเชิงงอนถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์
เก็บรักษาไว้ ณ ท้องพระโรงพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในหมู่พระมหามนเทียร
ภายในพระบรมมหาราชวังเดิมเจ้าพนักงานที่รักษาเครื่องราชูปโภคได้จัดพิธี
สมโภชเครื่องราชูปโภคและเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นประจำทุกปี
โดยเลือกทำในเดือน ๖
เพราะมีพระราชพิธีน้อยจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระ
ราชดำริว่า วันพระบรมราชาภิเษกเป็นวันมงคล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้บำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระมหาเศวตฉัตรและเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขึ้นเป็น
ครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๓๙๔ พระราชทานชื่อว่า พระราชพิธีฉัตรมงคลต่อมา
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เพิ่มการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชแห่งกรุงรัตน
โกสินทร์เปลี่ยนเรียกชื่อพระราชพิธีว่า พระราชกุศลทักษิณานุประทาน
และพระราชพิธีฉัตรมงคลสืบมาจนปัจจุบันนี้
อ้างอิง http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861 http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=4&post_id=6722

รูปภาพของ nss 37669

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง- ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าวในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อนอำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม 2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์ ตอบ สันตติวงศ์ สำหรับในปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 บัญญัติว่า ในกรณีที่ราชบัญลังก์ว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงค์ พระพุทธศักราช 2476 แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ปรัธานรัฐสภาเรียกประชุมเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอันเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง และเป็นกรณีที่พระมหากษัตย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่งให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา 22 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในกรณีนี้จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วให้ประทานรัฐสภาอันเชิญผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชเป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ (มาตรา 23)" 3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ ตอบ พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก
หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น
เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง
ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)
ครบรอบ ๕๐ ปี (
golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป
ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป
เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา
ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน "เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐" ของรัชกาลที่ ๔
ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้
"ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ
จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา
เมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา
ณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]
พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ
เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร
กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ
รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา
ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง..."๑
ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖
ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ
ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙
พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑
กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม
พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา
เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์
และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท
พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก
ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี
ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐
,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘
และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔
,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้ พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒
,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน
เรียกชื่อว่า "พระราชพิธีทวิธาภิเษก"
พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑
หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้ 4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ตอบ การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศ เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้ เครื่องสิริมงคล
เครื่องศิราภรณ์
เครื่องภูษณาภร์
เครื่องศัสตราวุธ
เครื่องราชูปโภค
เครื่องสูง
ยานพาหนะ
เครื่องประโคม
พระโกศ
อ้างอิง http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759 http://stat05.diaryclub.com/?date=20071001&ydiff=1&mdiff=0 http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id% http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861

รูปภาพของ nss 37669

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง- ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าวในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อนอำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม 2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์ ตอบ สันตติวงศ์ สำหรับในปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 บัญญัติว่า ในกรณีที่ราชบัญลังก์ว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงค์ พระพุทธศักราช 2476 แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ปรัธานรัฐสภาเรียกประชุมเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอันเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง และเป็นกรณีที่พระมหากษัตย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่งให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา 22 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในกรณีนี้จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วให้ประทานรัฐสภาอันเชิญผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชเป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ (มาตรา 23)" 3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ ตอบ พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก
หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น
เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง
ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)
ครบรอบ ๕๐ ปี (
golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป
ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป
เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา
ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน "เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐" ของรัชกาลที่ ๔
ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้
"ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ
จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา
เมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา
ณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]
พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ
เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร
กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ
รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา
ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง..."๑
ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖
ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ
ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙
พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑
กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม
พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา
เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์
และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท
พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก
ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี
ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐
,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘
และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔
,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้ พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒
,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน
เรียกชื่อว่า "พระราชพิธีทวิธาภิเษก"
พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑
หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้ 4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ตอบ การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศ เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้ เครื่องสิริมงคล
เครื่องศิราภรณ์
เครื่องภูษณาภร์
เครื่องศัสตราวุธ
เครื่องราชูปโภค
เครื่องสูง
ยานพาหนะ
เครื่องประโคม
พระโกศ
อ้างอิง http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759 http://stat05.diaryclub.com/?date=20071001&ydiff=1&mdiff=0 http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id% http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861

รูปภาพของ nss37398

การเถลิงถวัลย์ราชสมบัติประมุขของรัฐ
เปี่ยมล้นด้วยอำนาจสิทธิ์ขาดในการนำพาอาณาประชาราษฎร์ไปสู่ความเจริญ
รุ่งเรือง
ทั้งยังสามารถขยายความจงรักภักดีและยำเกรงในบุญญาธิการให้บังเกิดในมวลชนทุก
หมู่เหล่าทั้งในและนอกอาณาจักรได้โดยสมบูรณ์นั้นจำเป็นต้องประกอบด้วยปัจจัย
สำคัญเหล่านี้คือ 
(ให้นักเรียนหาข้อมูลและอธิบายตามข้อที่กำหนด)

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

ตอบ               แนวคิดสำคัญของลัทธิเทวสิทธิ์อยู่ที่พื้นฐานความเชื่อว่า
พระเจ้าหรือเทพต่างๆ เป็นผู้สร้างโลก ฉะนั้นกษัตริย์จึงมีสิทธิ์อันชอบธรรม
ที่จะใช้อำนาจเหนือคนอื่นๆ ในสังคม มีฐานะเป็นเจ้าชีวิต
ตลอดจนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน (เป็นเจ้าของผืนแผ่นดิน บนโลกนี้
ที่พระเจ้าสร้างขึ้น) ในฐานะเป็นตัวแทน ของพระเจ้าหรือเทพองค์นั้นๆ
บนโลกมนุษย์

ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์
จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง
โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ
เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์
ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์
ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว

ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล
ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์
ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล
ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม
ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว)
สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน

อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์
จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต
โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์
เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา
เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า
หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม

2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์

ตอบ                      

 

3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

ตอบ         นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก
หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์
แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น
เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง

ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น
ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)ครบรอบ ๕๐ ปี (golden
jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee)
แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรปตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการ
ฉลองอายุครบรอบต่างๆ
เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไปเช่น
ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา                                   

ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน
"เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐" ของรัชกาลที่
๔ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔
ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้   "ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด
ทรงพระราชดำริห์ว่า
พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบจะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้า
แผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา  เมื่อเวลาครบหกปี
จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา 
เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ
[คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก
พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย
คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณเพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน
จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราช
อาณาจักร
กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร
กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศรู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือ
ถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป
กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา      ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง..."๑

ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา
ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน  
แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕   เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม
พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ  พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒
ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ.
๒๔๒๖ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจาก
ครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้

พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔       ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ
ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙

พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑
กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม

พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง

ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา
เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์
และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท

พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก
ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี
ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง

พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘

พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘
และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้

พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน
เรียกชื่อว่า "พระราชพิธีทวิธาภิเษก"

พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑

หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้

4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ

ตอบ                     เราสามารถแบ่งประเภทของเครื่องราชอิสริยยศออกได้เป็นประเภท ประมาณ 6 ประเภทดังนี้

เครื่องอุปโภคที่ทำจากวัสดุหรือโลหะสูงค่า เช่น เจียด พานหมาก ถาดหมาก หีบหมาก คนโฑ 

กาน้ำ ซองพลู ซองบุหรี่ มังษี ผอบ ตลับภู่ น้ำเต้า ถาดชา ถ้วยฝาชา และกระโถน เป็นต้น

โดยวัสดุที่ใช้ทำเครื่องอุปโภคนี้มีหลายประเภทตามศักดิ์ฐานะ และบรรดาศักดิ์

เช่น ทองคำ เงิน เงินกาไหล่ทอง เงินถมดำ อาจมีการจำหลักลาย ลงราชาวดี

หรือลงราชาวดีประดับพลอย หรือเป็นวัสดุเกลี้ยง ๆ เป็นต้น

 

หีบพระศรี (หีบหมาก)

คนโฑ

 

 

เครื่องศาสตราวุธ ได้แก่ ดาบ กระบี่ ซึ่งอาจแบ่งย่อยออกได้เป็น กระบี่บั้งเงิน กระบี่บั้งทอง

บั้งหมายถึงการทำลวดลายสลักฝั้งลงไปบนฝักดาบ หรือ ตัวดาบเป็นช่วงๆ

แล้วนำเอาทองหรือเงินฝังลงไปแทน นอกจากนี้ การจำแนกความสำคัญยังดูได้จากด้าม หรือฝัก

เช่น กระบี่ฝรั่งฝักทองเหลือง กระบี่ฝักทองคำจำหลักลาย กระบี่ฝักทองคำโกร่งลงราชาวดี

กระบี่นาคเศียรเดียว และกระบี่นาคสามเศียร เป็นต้น

เครื่องสูง ได้แก่เครื่องแห่ที่ใช้ในขบวนแห่ต่างๆ เช่น กลด สัปทน บังสูรย์ บังแทรก

พัด ร่ม การจำแนกชั้นยศ ดูได้จากวัสดุที่ทำ เช่น โหมด แพรผ้าขาว

เครื่องพาหนะ ได้แก่ เครื่องคานหามที่ใช้เดินทางบนบก เช่น เสลี่ยง ยาน คานหาม

ส่วนทางน้ำได้แก่ เรือต่างๆ เช่น เรือกัญญา เป็นต้น การจำแนกชั้นยศ ดูได้จากการสลักลาย

การลงรักปิดทอง ชนิดของคานหามและเครื่องประกอบอื่นๆ

เครื่องประดับ แบ่งออกได้เป็นชนิดต่างๆ ดังนี้

ศิราภรณ์ คือ เครื่องประดับศีรษะ ได้แก่ มงกุฏ ชฏา พระมาลา หมวกสีต่างๆ กันตามชั้นยศ

 

พระสังวาลย์และ รัดประคต แหวน เช่น แหวนนพเก้า เป็นต้น

เครื่องนุ่งหุ่มได้แก่ ผ้าแพรพรรณ โดยจะมีลวดลายปักจำแนกตามชั้นยศ

เช่น เสื้อครุย เสื้อทรงประพาส เสื้อเยียรบับ เสื้อแพร ผ้าปูม ผ้าสมปัก ผ้าม่วง ผ้าห่ม ผ้าแพร เป็นต้น

เครื่องประดับที่เกี่ยวข้องกับศาสนา เช่น ประคำทอง ตระกรุด เป็นต้น

ตะกรุดทองคำลงยาประดับเพชรซีก

ตะกรุดทองคำลงยาประดับเพชรซีก พร้อมด้วยลูกคั่นทองคำลงยา

สายสร้อยเป็นสายสร้อยทองคำถักแบบหกเสา เป็นเครื่องราชอิสริยยศหมวดเครื่องสิริมงคล

ปัจจุบันหลังจากที่ประเทศไทยได้ติดต่อกับตะวันตกมาตั้งแต่ช่วงต้นรัชกาลที่สี่

การพระราชทานเครื่องยศ ได้รับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา

จึงมีการสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขึ้นแทน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่สี่

ที่ทำเป็นดวงดาราต่าง ๆ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการตราพระราชบัญญัติ

และสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลต่างๆ เช่น จุลจอมเกล้า ช้างเผือก รามาธิบดี เป็นต้น

การพระราชทานเครื่องราชอิสริยยศ จึงงดไป เปลี่ยนไปเป็นการพระราชทาน

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ เพื่อเป็นบำเหน็จความชอบในแผ่นดินแทน

 

 

เครื่องประกอบพระอิสริยยศ

ดาราไอราพต (เครื่องต้น)

ดาราไอราพต (องค์ต้น)สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 ทำด้วยทองคำลงยาราชาวดี

รูปกลมรี มีรัศมี 12 แฉก ลายกลางจำหลักเป็นรูปไอราพต (ช้างสามเศียร)

มีบุษบกมหาอุณาโลมประดิษฐานอยู่บนหลัง ขนาบด้วยฉัตร ข้างละ 1 คู่

อยู่ภายในวงกรอบประดับเพชร ประดับฉลองพระองค์เบื้องซ้ายสำหรับพระมหากษัตริย์ทรง

ทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดินเหล่านี้ จัดแสดงอยู่ภายในศาลาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ ภายในพระบรมมหาราชวัง

ส่วนเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เก็บรักษาไว้ ณ ท้องพระโรง

พระที่นั่งจักรพรรดิ์พิมาน ในพระบรมมหาราชวัง

มีพิธีสมโภช เครื่องราชูปโภคและเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นประจำทุกปี 

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้

บำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระมหาเศวตฉัตร และเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นครั้งแรก

เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๔ พระราชทานชื่อว่า พระราชพิธีฉัตรมงคล

โดยกระทำในวันพระบรมราชาภิเษก สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน

 

 

อ้างอิง

๑ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ (ขำ บุนนาค),
กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, ๒๕๔๗, น. ๒๗๑-๒๗๓.

๒ ศิรินันท์ บุญศิริ. "พระราชพิธีสำคัญในพระมหากษัตริย์สองรัชกาล : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช,"
ใน เอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี
เรื่องราชอาณาจักรไทยในรอบ ๕ ทศวรรษแห่งการครองราชย์ วันที่ ๗-๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙
ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพมหานคร. น. ๓.

๓ มีพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีที่ครองราชย์นานเกิน ๒๕ ปีดังนี้ รัชกาลที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ และ ๙

http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:BYbuspVVFtYJ:www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Kid/politics/k129_46.htm+%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87&cd=3&hl=th&ct=clnk&gl=th

http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:1DupV0qWfB8J:www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php%3Ftable_id%3D1%26cate_id%3D4%26post_id%3D6722+%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th

http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:p838kjYSz5IJ:www.oknation.net/blog/print.php%3Fid%3D485358+%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A9%E0%B8%81&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th

รูปภาพของ nss40151

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

ตอบ        

เนื่อง
จากพระมหากษัตริย์ทรงได้รับการยกย่องเทิดทูนให้เป็นประมุขสูงสุดของประเทศ
และเพื่อเป็นการเทิดพระบารมีรัฐธรรมนูญกำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ใช้
อำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นของประชาชนโดยทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา
อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี และอำนาจตุลาการทางศาล
การกำหนดเช่นนี้หมายความว่า  อำนาจต่างๆ
จะใช้ในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ซึ่งในความเป็นจริงอำนาจเหล่านี้มี
องค์กรอื่นเป็นผู้ใช้
 เป็น
ต้นว่าการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจะต้องมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งแต่มิได้หมาย
ความว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้พิจารณาเลือกนายกรัฐมนตรีเอง
 แต่
ประธานรัฐสภาจะเป็นผู้สรรหาหรือคัดเลือกมาทูลเกล้าฯถวายเพื่อทรงแต่งตั้งตาม
กฎเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติหรือการที่พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยใน
พระราชบัญญัติก็มิได้หมายความว่าพระราชบัญญัตินั้นพระองค์ทรงเป็นผู้ริเริ่ม
หรือสั่งการให้บัญญัติขึ้นแต่รัฐสภาเป็นองค์กรพิจารณาอนุมัติให้นายก
รัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายเพื่อลงพระปรมาภิไธยเพราะฉะนั้นการที่บัญญัติ
ว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติอำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ
ผ่านทางองค์การต่างๆ
นั้นจึงเป็นการใช้พระราชอำนาจแต่โดยพระปรมาภิไธยแต่อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่
องค์กรที่เป็นผู้พิจารณานำขึ้นทูลเกล้าฯ
ถวายพระมหากษัตริย์ไม่ต้องรับผิดชอบในพระบรมราชโองการหรือการกระทำในพระ
ปรมาภิไธยของพระองค์ในกรณีที่มีความเสียหายหรือบกพร่องเกิดขึ้นผู้ลงนามรับ
สนองพระบรมราชโองการจะต้องรับผิดชอบเพราะในทางปฏิบัตินั้นพระมหากษัตริย์มิ
ได้ทรงริเริ่มหรือดำเนินข้อราชการต่างๆด้วยพระองค์เองจะต้องมีเจ้าหน้าที่
หรือองค์กรหนึ่งองค์กรได้เป็นฝ่ายดำเนินการและกราบทูลขึ้นมาและเมื่อทรงลง
พระปรมาภิไธยแล้วผู้รับสนองพระบรมราชโองการจะต้องเป็นผู้รับไปปฏิบัติและรับ
ผิดชอบเองจะไปละเมิดกล่าวโทษพระมหากษัตริย์มิได้
 
  

2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์

ตอบ การเมืองการปกครอง สถาบันพระมหากษัตริย์ได้มีบทบาทเกี่ยวกับการเมืองการปกครองการรวมชาติ  การสร้างเอกราช  การวางรากฐานการเมืองการปกครอง การสร้างเสถียรภาพทางการเมืองการปกครอง  การปฏิรูปการปกครองแผ่นดินตั้งแต่อดีตสืบต่อมาตลอดปัจจุบันบทบาทของพระมหากษัตริย์มีส่วนช่วยสร้างเอกภาพของประเทศเป็นอย่างมาก  คนไทยทุกกลุ่มไม่ว่าศาสนาใดมีขนบธรรมเนียมแตกต่างกันอย่างไรก็มีความรู้สึกร่วมในการมีพระมหากษัตริย์องค์เดียวกัน  การเสด็จออกเยี่ยมราษฎรในจังหวัดต่างๆ แม้ท้องถิ่นทุรกันดาร หรือมากด้วยภยันตรายอยู่ตลอดเวลา  ทำให้ราษฎรมีขวัญและกำลังใจดี  มีความรู้สึกผูกพันกับชาติว่ามิได้ถูกทอดทิ้ง  พระราชกรณียกิจดังกล่าวของพระองค์มีส่วนช่วยในการปกครองเป็นอย่างมาก        พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์นั้นมีมาก  และล้วนก่อประโยชน์ให้เกิดขึ้นต่อส่วนรวมทั้งสิ้น  แม้การปฏิบัติพระราชกรณียกิจจะเป็นพระราชภาระอันหนัก  แต่
ก็ได้ทรงกระทำอย่างครบถ้วนสม่ำเสมอ
จนกระทั่งสามารถที่จะผูกจิตใจของประชาชนให้เกิดความจงรักภักดี
เพาะตระหนักถึงน้ำพระทัยของพระองค์ว่า
ทรงเห็นแก่ประโยชน์สุขของส่วนรวมมากกว่าพระองค์เอง
  ทรงเสียสละยอมทุกข์ยากเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริงดังพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน  ที่ว่า  เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม   เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม   

 3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

ตอบ

พระมหากษัตริย์ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจทั้งปวงเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขและความเจริญแก่สังคม  ได้
ทรงริเริ่มโครงการต่างๆ
ทำให้เกิดการพัฒนาขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  
พระราชดำริและโครงการที่ทรงริเริ่มมีมากซึ่งล้วนแต่เป็นรากฐานในการพัฒนา
ชาติทั้งสิ้น โครงการของพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันที่สำคัญ  ได้แก่
 โครงการอีสานเขียว  โครงการฝนหลวง  โครงการปลูกป่า  โครงการขุดคลองระบายน้ำ โครงการปรับปรุงแหล่งชุมชนแออัดในเมืองใหญ่  โครงการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม  และอื่นๆ ทรงทำเป็นแบบอย่างที่ดีประชาชนและหน่วยราชการนำไปปฏิบัติก่อให้เกิดประโยชน์ในทางการพัฒนาชาติขึ้นมาก นอกจากนี้ทรงทำให้เกิดความคิดในการดำรงชีวิตแบบใหม่ เช่น การประกอบอาชีพ  การใช้วิทยาการมาช่วยทำให้สังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
         การ
พัฒนาและการปฏิรูปที่สำคัญๆ ของชาติส่วนใหญ่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปูพื้นฐานประชาธิปไตย
โดยการจัดตั้งกระทรวงต่างๆ ทรงส่งเสริมการศึกษาและเลิกทาส
ปัจจุบันพระมหากษัตริย์ทรงเกื้อหนุนวิทยาการสาขาต่างๆ
ทรงสนับสนุนการศึกษาและศิลปวัฒนาธรรม
ทรงริเริ่มกิจการอันเป็นการแก้ปัญหาหลักทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
โดยจะเห็นว่าโครงการตามพระราชดำริส่วนใหญ่มุ่งแก้ปัญหาหลักทางเกษตรกรรม
เพื่อชาวนา
  ชาวไร่ และประชาชนผู้ยากไร้และด้อยโอกาสอันเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ  เช่น  โครงการฝนหลวง  ชลประทาน พัฒนาที่ดิน  พัฒนาชาวเขา
 

4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ

ตอบ

การ
พัฒนาและการปฏิรูปที่สำคัญๆของชาติส่วนใหญ่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำพระ
บาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปูพื้นฐานประชาธิปไตยโดยการจัดตั้ง
กระทรวงต่างๆ
ทรงส่งเสริมการศึกษาและเลิกทาสปัจจุบันพระมหากษัตริย์ทรงเกื้อหนุนวิทยาการ
สาขาต่างๆ
ทรงสนับสนุนการศึกษาและศิลปวัฒนาธรรมทรงริเริ่มกิจการอันเป็นการแก้ปัญหา
หลักทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยจะเห็นว่าโครงการตามพระราชดำริส่วนใหญ่
มุ่งแก้ปัญหาหลักทางเกษตรกรรมเพื่อชาวนาชาวไร่
และประชาชนผู้ยากไร้และด้อยโอกาสอันเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ
เช่นโครงการฝนหลวง
 ชลประทาน พัฒนาที่ดิน  พัฒนาชาวเขา  เป็นต้น

อ้างอิง http://www.bbc07politics.ob.tc/117.htm

รูปภาพของ nss40090

1.      สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

เนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีการสืบเชื้อสายต่อๆไป ทำให้ราษฎรเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่สามารถยึดถือเป็นที่พึ่งทางใจได้ ทำให้กลายเป็นศูนย์รวมของคนไทยทุกคน

2.      มาตรการในการสืบสันตติวงศ์     

 สืบสานทางสายเลือด

3.      พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์

นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก
หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น
เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง

ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)
ครบรอบ ๕๐ ปี (golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป
ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป
เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา

ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน "เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐" ของรัชกาลที่ ๔
ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้

"ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ
จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา
เมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา
ณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]
พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ
เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร
กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ
รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา
ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง..."๑

ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน

แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ

พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖

ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้

พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ
ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙

พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑
กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม

พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง

ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา
เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์
และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท

พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก
ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี
ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง

พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘

พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘
และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้

พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน
เรียกชื่อว่า "พระราชพิธีทวิธาภิเษก"

พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑

หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้

๑ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ (ขำ บุนนาค),
กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, ๒๕๔๗, น. ๒๗๑-๒๗๓.

๒ ศิรินันท์ บุญศิริ. "พระราชพิธีสำคัญในพระมหากษัตริย์สองรัชกาล : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช,"
ใน เอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี
เรื่องราชอาณาจักรไทยในรอบ ๕ ทศวรรษแห่งการครองราชย์ วันที่ ๗-๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙
ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพมหานคร. น. ๓.

๓ มีพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีที่ครองราชย์นานเกิน ๒๕ ปีดังนี้ รัชกาลที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ และ ๙

4.เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศเครื่องสิริมงคล
เครื่องศิราภรณ์
เครื่องภูษณาภรณ์
เครื่องศัสตราวุธ

เครื่องราชูปโภค
เครื่องสูง  
ยานพาหนะ  
เครื่องประโคม
พระโก

รูปภาพของ nss40155

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

ผู้ปกครองมาจากประชาชนผู้ยอมให้ปกครอง โดยประชาชนยินยอมมอบอำนาจของตนให้ผู้ปกครอง พร้อมกับหน้าที่ควบคู่ไปด้วย ดังนั้น เมื่อผู้ปกครองมีอำนาจสั่งการหรือออกกฎหมายได้ พวกเขาจะต้องมีอำนาจหน้าที่ที่ดีงาม (จริยธรรม) หรือเพื่อสาธารณะควบคู่ไปด้วย ผู้อยู่ใต้ปกครองจึงจะยอมเชื่อฟังและให้ความร่วมมือ เหตุนี้ อำนาจหน้าที่ของผู้ปกครองจึงมีลักษณะเป็น "สิทธิธรรม" นั่นคือ มีสิทธิ (อำนาจ) ในการปกครองที่ "เป็นธรรม" เท่านั้น หรืออาจเรียกว่า "การปกครองโดยธรรม" ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการยอมรับของผู้อยู่ใต้ปกครอง แล้วพัฒนาเป็นอาณาจักรหรือประเทศที่เกิดจากความร่วมมือของผู้ถูกปกครองกับคำสั่งของผู้ปกครองที่ปฏิบัติได้จริง เกิดเป็นเอกภาพหรือความเจริญของประเทศนั้น

2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์

สำหรับในกรณีแรก เป็นกรณีที่ถ้อยคำที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนั้น จะมีการจำกัดสิทธิและเสรีภาพใน 2 ลักษณะ ได้แก่ การจำกัดเนื้อหาที่จะแสดงออก และ การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการแสดงความคิดเห็น ในกรณีที่รัฐตรากฎเกณฑ์ในการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดโดยตรง จะเข้าข้อสันนิษฐานว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ เว้นแต่ รัฐจะพิสูจน์ให้ศาลเชื่อตามมาตรฐานขั้นสูงสุด (Strict scrutiny) ว่ามาตรการดังกล่าวเข้าองค์ประกอบ 3 ประการ ดังนี้

1.มาตรการนั้น เพื่อรักษาผลประโยชน์อันจำเป็นอย่างยิ่งของรัฐ (Compelling government objective)

2. มาตรการนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็น (Necessary) ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ และ

3. มาตรการนั้น เป็นวิธีการที่รุนแรงน้อยที่สุด และแคบที่สุด (Narrowly as possible to achieve that objective) กล่าวคือ ไม่มีช่องทางอื่นที่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกแล้ว

หากรัฐสามารถพิสูจน์ได้ครบองค์ประกอบทั้งสามประการข้างต้น ก็จะถือได้ว่ามาตรการดังกล่าวไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ในกรณีที่รัฐประสงค์จะออกกฎเกณฑ์ทั่วไปที่เป็นเพียงการจัดระเบียบเกี่ยวกับวิธีการแสดงความคิดเห็น เวลา หรือ สถานที่ ในลักษณะเป็น Content-neutral รัฐจะต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่า มาตรการที่ใช้ดังกล่าวนั้น ครบองค์ประกอบ 3 ประการ ดังนี้

1.กฎเกณฑ์นั้น เพื่อคุ้มครองประโยชน์อันสำคัญของรัฐ (Significant governmental interest)

2. เป็นวิธีการที่รุนแรงน้อยที่สุด (Narrowly tailored to serve that governmental interest) และ

3. ต้องมีทางเลือกอื่นในการแสดงความคิดเห็น (Alternative channels) ให้แก่ประชาชน

3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

จะทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ 60 ปี ในวันที่ 9 มิถุนายน 2549 นี้

ขออันเชิญ พระราชดำรัสความว่า...

...ในยามที่สถานการณ์ของบ้านเมืองเรา และประเทศต่างๆ

ในภูมิภาคส่วนนี้ของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอย่างรวด

เร็ว ท่านทั้งหลายต้องควบคุมสติให้มั่นไม่หวั่นไหวไปกับวิกฤต

ทำความคิดจิตใจให้หนักแน่น และเที่ยงตรงเสมอเหมือนกัน

แล้วมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรู้ความสามารถ

ด้วยความเฉลียวฉลาดรอบคอบและความสามัคคี

เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็จะร่วมกันปฏิบัติบริหารงานทุกด้าน

ได้อย่างเข้มแข็ง เหนียวแน่น และประสบความสำเร็จ

ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)
ครบรอบ ๕๐ ปี (golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป
ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป
เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน "เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐" ของรัชกาลที่ ๔
ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้

4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ

การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศ

เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศ เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้

เครื่องสิริมงคล
เครื่องศิราภรณ์
เครื่องภูษณาภร์
เครื่องศัสตราวุธ
เครื่องราชูปโภค
เครื่องสูง
ยานพาหนะ
เครื่องประโคม
พระโกศ

ประเทศไทยมีการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งชาติสืบมาแต่โบราณ เป็นระยะเวลายาว นานกว่า ๗๐๐ ปี นับแต่กรุงสุโขทัยได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นราชธานี เมื่อราว พ.ศ. ๑๘๐๐ เป็นต้นมา ในสมัยสุโขทัย พระมหากษัตริย์ทรงปกครองบ้านเมืองในลักษณะของบิดาปกครองบุตร ซึ่งเป็นระบบการปกครองที่เหมาะสมต่อ สถานการณ์ในขณะนั้น เพราะอาณาเขตยังไม่กว้างขวางนัก จำนวนประชากรก็ยังน้อย พระมหากษัตริย์จึงสามารถดู และและสร้างความสัมพันธ์กับราษฎรได้อย่างใกล้ชิด เปิดโอกาสให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนมาร้องทุกข์ และเข้าเฝ้าขอความเป็นธรรมได้ตลอดเวลา


            เมื่อถึงสมัยอยุธยา ราชอาณาจักรไทยมีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โตขึ้นมาก การปกครองจึงย่อมมีความซับ ซ้อนแตกต่างไปจากสมัยสุโขทัย แม้จะมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในการปกครองอยู่เช่นเดิมแต่ฐานะของพระ มหากษัตริย์ได้เปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยได้รับการยกย่องเป็นพ่อเมืองในสมัยสุโขทัย ก็ได้รับการยกย่องขึ้นเป็น สมมุติเทพ ตามคติเทวราชของขอมกันเป็นคติที่ขอมได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาฮินดูที่เชื่อในเรื่องเทพอวตาร โดย เฉพาะวิษณุ (พระนารายณ์) ซึ่งอวตารหรือแบ่งภาคลงมาปราบยุคเข็ญให้แก่ชาวโลก ในสมัยอยุธยาพระมหากษัตริย์ จึงได้รับการเคารพนับถือ และทรงพระราชอำนาจประดุจเทพเจ้าทรงเป็นทั้งเจ้าแผ่นดิน และเจ้าชีวิตของประชาชนมี อำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองราชอาณาจักร

ที่มา http://thaihandiwork.com/thailand_ry.php

http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861

 


 


 

รูปภาพของ nss40096

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว

ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน

อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม 

2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์

 

3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖

ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้

พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ

ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙

พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑

กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม

พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง

ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖

กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา

เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์

และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท

พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก

ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้ พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖

กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ

ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน

เรียกชื่อว่า "พระราชพิธีทวิธาภิเษก"

พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา

กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย

กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑

หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้

4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ

พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์

นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก

หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น

เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง

ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)

ครบรอบ ๕๐ ปี (golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป

ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป

เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา

ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน "เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐" ของรัชกาลที่ ๔

ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้

"ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ

จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา

เมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา

ณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]

พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ

เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร

กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ

รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา

ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง..."๑

ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน

แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕

เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ 

พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศ

เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศ เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้

-เครื่องสิริมงคล

-เครื่องศิราภรณ์

-เครื่องภูษณาภร์

-เครื่องศัสตราวุธ

-เครื่องราชูปโภค

-เครื่องสูง

 

-ยานพาหนะ

-เครื่องประโคม

-พระโกศ

อ้างอิง

http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%

http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861

http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=4&post_id=6722

http://www.asoke.info/09Communication/DharmaPublicize/Kid/politics/k129_46.htm

รูปภาพของ nss40164

1.สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

         ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่างโดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อแสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูลที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจเป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ(ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อนอำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกันทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชย์บัลลังก์เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนาเพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้าหรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม  

2.มาตรการในการสืบสันตติวงศ์

       ฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์พระพุทธศักรราช 2467 โดยรูปแบบของการสืบราชสันติวงศ์จะสืบทอดจากพระราชบิดาไปสู่พระราชบุตรตามสิทธิของบุตรคนแรกที่เป็นชายเท่านั้น อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550 หรือ ค.ศ. 2007)ได้บัญญัติเพิ่มเติมจากกฎม

3.พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

           พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่งมีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132)          ตามหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษกในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ  

         ก่อนรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศรับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275 ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด

          ในรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราชสันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการแสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว         

              เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัดครั้งหนึ่งก่อน เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่าจนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จจึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯพราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มาก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน       

            พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษกเพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุดเพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯพระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธีการสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรเป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อยทำพอเป็นสังเขป การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหนก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง        

           งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯมีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑลเพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18 มณฑลส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา และพระราชลัญจกรแผ่นดิน         

             เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนานแล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยมซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิตและพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศกล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัยเมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว กลับมาประทับทิศตะวันออกหัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่งแล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ       

          พระมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า "ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯพระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษกเป็นบรมราชาธิราช เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยามเหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาทมีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวงพร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์อันสมพระราชอิสริยยศ ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้นและทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้วขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป  

4.เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ                

            พระราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกอันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุขว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้ว        

            ภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า 'พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร'        

          พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทยเป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราชอิสริยยศอันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์ที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย        

            กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึงทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ รวมความแล้วหมายถึงสิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์        

               ประเพณีการถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทยมีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ 
                 เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์ประกอบด้วย ดังนี้ 

พระมหาเศวตฉัตร   

           เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นพปฎลมหาเศวตฉัตรเป็นฉัตร ๙ ชั้น หุ้มผ้าขาวมีระบาย ๓ ชั้น ขลิบทอง แผ่ลวด มียอด 
พระมหาเศวตฉัตรนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้หุ้มด้วยผ้าขาวแทนตาด ถือเป็นเคื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญยิ่งกว่าราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำขึ้นถวายที่พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรหลังจากทรงรับน้ำอภิเษกแล้วจากนั้นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังก็เชิญไปปักกางไว้เหนือพระที่นั่งภัทรบิฐต่อมาเมื่อเสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับ ณ พระที่นั่งภัทรบิฐเพื่อทรงรับเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์จึงไม่ต้องถวายเศวตฉัตรรวมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อื่น
 เดิมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ไทยบางรัชกาลมิได้กล่าวรวมพระมหาเศวตฉัตรหรือเศวตฉัตรเป็นเรื่องราชกกุธภัณฑ์ด้วยเพราะฉัตรเป็นของใหญ่โตมีปักอยู่แล้วเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐจึงถวายธารพระกรแทนจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  

พระมหาพิชัยมงกุฎ

             เป็นราชศิราภรณ์สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทำด้วยทองลงยาประดับเพชรต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เสริมแต่งพระมหาพิชัยมงกุฎให้งดงามและทรงคุณค่ายิ่งขึ้นจึงให้ผู้ชำนาญการดูเพชรไปหาซื้อเพชรจากประเทศอินเดียได้เพชรขนาดใหญ่น้ำดี จากเมืองกัลกัตตาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำมาประดับไว้บนยอดพระมหาพิชัยมงกุฎแล้วพระราชทานนามเพชรนี้ว่า       พระมหาวิเชียรมณี พระมหามงกุฎหมายถึงยอดวิมานของพระอินทร์ผู้เป็นประชาบดีของสวรรค์ชั้นสอง คือ ชั้นดาวดึงส์พระมหาพิชัยมงกุฎรวมพระจอน สูง๖๖ เซนติเมตร หนัก ๗.๓ กิโลกรัมในสมัยโบราณถือว่ามงกุฎมีค่าสำคัญเท่ากับราชกกุธภัณฑ์อื่นๆ และมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุดเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงรับมงกุฎมาแล้วก็เพียงทรงวางไว้ข้างพระองค์ต่อมาเมื่อประเทศไทยติดต่อกับประเทศในทวีปยุโรปมากขึ้นจึงนิยมตามราชสำนักยุโรปที่ถือว่าภาวะแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ที่เวลาได้สวมมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์ได้ทรงเชิญทูตในประเทศไทยร่วมในพระราชพิธีและทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎมาทรงสวมแต่นั้นมาก็ถือว่าพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในบรรดาเครื่องราชกกุธภัณฑ์และมหากษัตริย์จะทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก    

ธารพระกร   

              ธารพระกรของเดิมสร้างในรัชกาลที่ ๑ ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ปิดทองหัวและสันเป็นเหล็กคร่ำลายทอง ที่สุดสันเป็นซ่อมลักษณะเหมือนกับไม้เท้าพระภิกษุที่ใช้ในการชักมหาบังสกุลเรียกธารพระกรของเดิมนั้นว่าธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างธารพระกรขึ้นใหม่องค์หนึ่งด้วยทองคำภายในมีพระแสงเสน่า ยอดมีรูปเทวดา จึงเรียกว่า ธารพระกรเทวรูปที่แท้ลักษณะเป็นพระแสงดาบมากกว่าเป็นธารพระกร แต่ได้ทรงสร้างขึ้นแล้วก็ทรงใช้แทนธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำธารพระกรชัยพฤกษ์กลับมาใช้อีกและยังคงใช้ธารพระกรชัยพฤกษ์ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน   

พระแสงขรรค์ชัยศรี

            เป็นพระแสงราชศัสตราวุธประจำพระองค์พระมหากษัตริย์เป็นพระแสงราชศัสตราปะจำพระองค์พระมหากษัตริย์พระขรรค์ หมายถึงพระปัญญาในการปกครองบ้านเมืองพระแสงขรรค์องค์ปัจจุบันมีประวัติว่า ในปี พ.ศ.๒๓๒๗ชาวประมงพบพระแสงองค์นี้ในทะเลสาบเมืองเสียมราฐ กรมการเมืองเห็นว่าองค์พระแสงขรรค์ยังอยู่ในสภาพดีและงดงามจึงนำพระแสงไปมอบให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน)ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเสียมราฐในขณะนั้นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เห็นว่าเป็นของเก่าฝีมือช่างสมัยนครวัดจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯเมื่อวันที่พระแสงองค์นี้มาถึงพระนครได้เกิดฟ้าผ่าในเขตในพระนครถึง ๗ แห่งมีประตูวิเศษไชยศรีในพระราชฐานชั้นนอกและประตูพิมานไชยศรี ในพระราชฐานชั้นกลางซึ่งเป็นทางที่อัญเชิญพระแสงองค์นี้ผ่านไป เพื่อเข้าไปในพระบรมมหาราชวังเป็นต้นดังนั้น ประตูพระบรมมหาราชวังดังกล่าว จึงมีคำท้ายชื่อว่า"ไชยศรี"ทั้งสองประตูเช่นเดียวกับชื่อพระขรรค์องค์นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทำด้ามและฝักขึ้นด้วยทองลงยาประดับมณีพระแสงขรรค์ชัยศรีนี้เฉพาะส่วนที่เป็นองค์พระขรรค์ยาว๖๔.๕ เซนติเมตรประกอบด้ามแล้วยาว ๘๙.๘ เซนติเมตรหนัก ๑.๓ กิโลกรัมสวมฝักแล้วยาว๑๐๑ เซนติเมตรหนัก ๑.๙กิโลกรัมพระแสงราชศัสตราที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีสำคัญหลายพิธี เช่นพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา   

พัดวาลวีชนีและพระแส้หางจามรี  

              เป็นเครื่องใช้ประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ พัดวาลวีชนีทำด้วยใบตาลแต่ปิดทองทั้ง 2 ด้าน ด้ามและเครื่องประกอบทำด้วยทองลงยาส่วนพระแส้ทำด้วยขนจามรีด้ามเป็นแก้วทั้งสองสิ่งนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น'วาลวีชนีเป็นภาษาบาลีแปลว่า เครื่องโบก ทำด้วยขนวาล ตรงกับที่ไทยเรียกจามรี  

ฉลองพระบาทเชิงงอน

              ฉลองพระบาทมีที่มาจากเกือกแก้วหมายถึงแผ่นดินอันเป็นที่รองรับเขาพระสุเมรุและเป็นที่อาศัยของอาณาประชาราษฎร์ทั่วทั้งแว่นแคว้นฉลองพระบาทเชิงงอนนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯให้สร้างขึ้นเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามแบบอินเดียโบราณทำด้วยทองคำทั้งองค์น้ำหนัก๖๕๐ กรัมลายที่สลักประกอบด้วยลายช่อหางโตแบบดอกเทศ ลงยาสีเขียวแดงโดยดอกลงยาสีเขียวเกสรลงยาสีแดงส่วนเชิงงอนนั้นทำเป็นตุ่มแบบกระดุมหรือดอกลำดวนมีคาดกลางทำเป็นลายก้านต่อดอกชนิดใบเทศฝังบุษย์น้ำเพชร

             ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเครื่องสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์เป็นของสำคัญที่พระราชครูพราหมณ์จะถวายแด่พระมหากษัตริย์เพื่อความสมบูรณ์ของพระราชพิธีโดยจะถวายจากลำดับสูงลงต่ำเริ่มจากพระมหาพิชัยมงกุฎพระแสงขรรค์ชัยศรีธารพระกรพัดวาลวีชนีและแส้หางจามรีและท้ายสุดจะสอดฉลองพระบาทเชิงงอนถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์เก็บรักษาไว้ณ ท้องพระโรงพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในหมู่พระมหามนเทียรภายในพระบรมมหาราชวังเดิมเจ้าพนักงานที่รักษาเครื่องราชูปโภคได้จัดพิธีสมโภชเครื่องราชูปโภคและเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นประจำทุกปีโดยเลือกทำในเดือน ๖เพราะมีพระราชพิธีน้อยจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่าวันพระบรมราชาภิเษกเป็นวันมงคล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้บำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระมหาเศวตฉัตรและเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในปีพ.ศ.๒๓๙๔ พระราชทานชื่อว่า พระราชพิธีฉัตรมงคลต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เพิ่มการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์เปลี่ยนเรียกชื่อพระราชพิธีว่าพระราชกุศลทักษิณานุประทาน และพระราชพิธีฉัตรมงคลสืบมาจนปัจจุบันนี้

 

ที่มา www.vcharkarn.com/vcafe/154861

       http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%

       http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=luckystar&month=06-      2009&date=08&group=22&gblog=43 

 

รูปภาพของ nss37413

ธนพนธ์ จันทร์สุข 5/8 เลขที่ 2

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

ตอบ               ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่าง โดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อ แสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว         ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพ หรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์ โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูล ที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ (ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์ จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิต โดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธี กรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการ ได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์ สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง ก็จะมีสิทธิในการปกครองประเทศ เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ อย่างเช่น ในหลวง ของเรา โดยปกครองอาศัยหลักทศพิธราชธรรม ในการปกครองประเทศ2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์ ตอบ  นการสืบสันตติวงศ์นั้น ก็คือ การสืบทอดเชื้อสายของพระมหากษัตริย์นั่นเอง คือ เป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ไม่ว่าจะเป็นลูกหลาน พี่น้องกัน ที่จะได้เป็นพระมหากษัตริย์     โดยในสมัยรัตนโกสินทร์ หรือ ในรัชสมัยราชวงศ์จักรี มีแผนภูมิแสดงลำดับการสืบสันตติวงศ์ พระมหากษัตริย์ ดังต่อไปนี้                            

3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

ตอบ         พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพิธีที่ผสมด้วยลัทธิพราหมณ์ และพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท และยังมีลัทธิ เทวราชของเขมรมาผสมอยู่อีกส่วนหนึ่ง มีร่องรอยให้เห็นคือ น้ำพุที่เขาลิงคบรรพต ข้างบนวัดภู ทางใต้นครจำปาศักดิ์ ได้นำมาใช้เป็นน้ำอภิเษก ตามความในศิลาจารึก (พ.ศ. 1132) ตามหลักเดิมของไทยนั้น เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ จะทรงเป็นแต่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไปก่อน จนกว่า จะได้ทรงรับราชาภิเษก ในระหว่างนั้นเครื่องยศบางอย่างก็ต้องลด เช่น พระเศวตฉัตร มีเพียง 7 ชั้น ไม่ใช่ 9 ชั้น คำสั่งของพระองค์ไม่เป็นโองการ ฯลฯ            ก่อนรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ ไม่ได้มีหลักฐานบรรยายการทำพิธีบรมราชาภิเษกเอาไว้ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ รับราชสมบัติ ในปี พ.ศ. 2275 ได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพิธีลัด          ในรัชสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช สันนิษฐานว่าได้มีการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เพราะได้พบหลักฐานที่อ้างพระบรมราชโองการของพระองค์ การใช้พระบรมราชโองการ แสดงว่าได้รับราชาภิเษก แล้ว          เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นเสวยราชสมบัตินั้นได้ทำพิธีบรมราชาภิเษกอย่างลัด ครั้งหนึ่งก่อน เนื่องจากติดงานพระราชสงครามกับพม่า จนเมื่อสร้างพระนครทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเสร็จ จึงได้ทรงทำบรมราชาภิเษกโดยพิสดารอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ปีพ.ศ. 2328 และได้เป็นแบบแผนในรัชกาลต่อ ๆ มา โดยเปลี่ยนรายการบางอย่างไปบ้าง เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พราหมณ์และราชบัณฑิตย์กราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลี แล้วแปลเป็นภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบทั้ง 2 ภาษา ในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็คงใช้แบบอย่างนี้ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อยเช่นกัน          พิธีบรมราชาภิเษกสมัยนี้ แต่เดิมสำคัญอยู่ที่ทรงรับน้ำอภิเษก เพื่อแสดงความเป็นใหญ่ในแคว้นทั้ง 8 แต่ในสมัยนี้อนุโลมเอาการสวมพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นการสำคัญที่สุด เพราะตอนนี้พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ชาวพนักงานประโคมสังข์ บัณเฑาะว์ ฆ้องชัย ฯลฯ พระอารามทั้งหลายย่ำระฆัง แบบอย่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายไว้ว่าได้ทำกันมาเป็น 2 ตำรา คือ หลักแห่งการราชาภิเษกมีรดน้ำแล้วเถลิงราชอาสน์เป็นเสร็จพิธี การสรงมุรธาภิเษกกับขึ้นอัฐทิศรับน้ำเป็นการรดน้ำเหมือนกัน ขึ้นภัทรบิฐกับขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร เป็นเถลิงราชาอาสน์เหมือนกัน การขึ้นพระที่นั่งอัฐทิศและภัทรบิฐนั้น เป็นอย่างน้อย ทำพอเป็นสังเขป การสรงมุรธาภิเษก และขึ้นพระแท่นเศวตฉัตรนั้นเป็นอย่างใหญ่ ทั้งสองอย่างสำหรับให้เลือกทำตามโอกาสจะอำนวย ถ้าสงสัยไม่แน่ใจว่าจะเอาอย่างไหน ก็เลยทำเสียทั้ง 2 อย่าง          งานพระบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ มีแบบอย่างที่มีทั้งของเก่าและของใหม่ โดยก่อนเริ่มพระราชพิธีที่กรุงเทพ ฯ ได้มีการเสกน้ำสรงปูชนียสถานสำคัญ หรือที่ตั้งมณฑลทั้ง 17 มณฑล เพิ่มวัดพระมหาธาตุสวรรคโลกซึ่งอยู่ในมณฑลพิษณุโลกอีกแห่งหนึ่ง รวมเป็น 18 มณฑล ส่วนที่กรุงเทพฯ ก็มีพิธีจารึกพระสุพรรณบัตร ดวงพระชาตา และพระราชลัญจกรแผ่นดิน          เมื่อถึงกำหนดงาน ก็มีพิธีตั้งน้ำวงด้ายวันหนึ่ง กับสวดมนต์เลี้ยงพระอีก 3 วัน ครั้งถึงวันที่ 4 เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงพระมุรธาภิเษกสนาน แล้วทรงเครื่องต้นออกสู่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับเหนือพระราชอาสน์แปดเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งอัฐทิศ ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น ราชบัณฑิต และพราหมณ์นั่งประจำทิศทั้งแปด ผลัดเปลี่ยนกันคราวละทิศ กล่าวคำอัญเชิญให้ทรงปกปักรักษาทิศนั้น ๆ แล้วถวายน้ำอภิเษก และถวายพระพรชัย เมื่อเวียนไปครบ 8 ทิศ แล้ว กลับมาประทับทิศตะวันออก หัวหน้าราชบัณฑิตย์ซึ่งนั่งประจำทิศตะวันออก กราบบังคมทูลรวบยอดอีกทีหนึ่ง แล้วจึงเสด็จไปสู่พระราชอาสน์อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า พระที่นั่งภัทรบิฐ          พระมหาราชครู ร่ายเวทสรรเสริญไกรลาสจนเสร็จพิธีพราหมณ์ แล้วกราบบังคมทูลเป็นภาษาบาลีก่อน แปลเป็นไทยว่า " ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ขอได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาส แก่ข้าพระพุทธเจ้า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับพระมุรธาภิเษก เป็นบรมราชาธิราช เป็นเจ้าเป็นใหญ่ของประชาชนชาวสยาม เหตุดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาท มีท่านเสนาบดีเป็นประธาน และสมณพราหมณ์จารย์ทั้งปวง พร้อมเพรียงมีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ขอขนานพระปรมาภิไธย ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งได้จารึกไว้ในพระสุพรรณบัตรนั้น และขอมอบถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันสมพระราชอิสริยยศ ขอได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยโดยกำหนดนั้น และทรงรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์นี้ ครั้นแล้ว ขอได้ทรงราชภาระดำรงราชสมบัติโดยธรรมสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และสุขแห่งมหาชนสืบไป " ทรงรับว่า " ชอบละ พราหมณ์ "                                                            และนี้ก็เป็นรูปที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง เข้า พระราชพิธีบรมราชาภิเษก          และในปีพุทธศักราช 2549 ก็ได้มีงาน งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙ (อังกฤษ. The Sixtieth Anniversary Celebrations of His Majesty's Accession to the Throne) เป็นงานเฉลิมฉลองที่ประกอบด้วยรัฐพิธีและราชพิธี มีขึ้นตลอดปี พ.ศ. ๒๕๔๙ เนื่องในวาระที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชสมบัติเป็นปีที่ ๖๐ ซึ่งยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในประวัติศาสตร์ชาติไทยและในโลกปัจจุบัน งานดังกล่าวกำกับดูแลและดำเนินการโดยรัฐบาลไทย                   รูปภาพงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖o ปี ,, ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม
โดยมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศในประเทศไทย โดย เปล่งคำว่า " ทรงพระเจริญ " อย่างกึกก้องไปทั่วทั้งงาน 4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ตอบ              พระราชพิธีสำคัญอย่างหนึ่งของประเทศไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก อันเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศองค์พระประมุข ว่าได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์แล้ว          ภายหลังเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฎว่า 'พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมิหตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร'          พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในประเทศไทย เป็นพระราชพิธีที่ได้รับคติมาจากอินเดียที่เชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชครูพราหมณ์จะถวายเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์เพื่อปะกอบพระราชอิสริยยศ อันเป็นประเพณีที่สืบเนื่องมาจากลักธิพราหมณ์ ที่มีพระมหาราชครูพราหมณ์เป็นผู้กล่าวถวาย          กกุธภัณฑ์มาจากรูปศัพท์ หมายถึง ฟ้ากุ หมายถึง ดินธ หมายถึง ทรงไว้ภัณฑ์ หมายถึง สิ่งของ รวมความแล้วหมายถึง สิ่งใดก็ตามที่เป็นเครื่องใช้ประกอบพระราชอิสริยยศแห่งพระมหากษัตริย์          ประเพณีการถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย มีปรากฎมาแต่ครั้งสมัยสุโขทัยในสมัยอยุธยาก็ยึดถือพระราชประเพณีนี้สืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชภิเษกส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ
 เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระมหาราชครูถวายในพระราชพิธีบรมราชภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วย ดังนี้พระมหาเศวตฉัตร
  
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นพปฎลมหาเศวตฉัตรเป็นฉัตร ๙ ชั้น หุ้มผ้าขาว มีระบาย ๓ ชั้น ขลิบทอง แผ่ลวด มียอด
พระมหาเศวตฉัตรนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้หุ้มด้วยผ้าขาว แทนตาด ถือเป็นเคื่องราชกกุธภัณฑ์ที่สำคัญยิ่งกว่าราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ ในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำขึ้นถวายที่พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรหลังจากทรงรับน้ำอภิเษกแล้ว จากนั้นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังก็เชิญไปปักกางไว้เหนือพระที่นั่งภัทรบิฐ ต่อมาเมื่อเสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับ ณ พระที่นั่งภัทรบิฐ เพื่อทรงรับเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์ จึงไม่ต้องถวายเศวตฉัตรรวมกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อื่น
เดิมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ไทยบางรัชกาล มิได้กล่าวรวมพระมหาเศวตฉัตรหรือเศวตฉัตรเป็นเรื่องราชกกุธภัณฑ์ด้วยเพราะฉัตรเป็นของใหญ่โต มีปักอยู่แล้วเหนือพระที่นั่งภัทรบิฐจึงถวายธารพระกรแทน จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาพิชัยมงกุฎ          เป็นราชศิราภรณ์สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทำด้วยทองลงยาประดับเพชรต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสริมแต่งพระมหาพิชัยมงกุฎให้งดงามและทรงคุณค่ายิ่งขึ้นจึงให้ผู้ชำนาญการดูเพชรไปหาซื้อเพชรจากประเทศอินเดียได้เพชรขนาดใหญ่ น้ำดี จากเมืองกัลกัตตา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นำมาประดับไว้บนยอดพระมหาพิชัยมงกุฎ แล้วพระราชทานนามเพชรนี้ว่า       พระมหาวิเชียรมณี พระมหามงกุฎหมายถึงยอดวิมานของพระอินทร์ ผู้เป็นประชาบดีของสวรรค์ชั้นสอง คือ ชั้นดาวดึงส์พระมหาพิชัยมงกุฎรวมพระจอน สูง ๖๖ เซนติเมตร หนัก ๗.๓ กิโลกรัมในสมัยโบราณถือว่ามงกุฎมีค่าสำคัญเท่ากับราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ และมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงรับมงกุฎมาแล้วก็เพียงทรงวางไว้ข้างพระองค์ต่อมาเมื่อประเทศไทยติดต่อกับประเทศในทวีปยุโรปมากขึ้น จึงนิยมตามราชสำนักยุโรปที่ถือว่าภาวะแห่งความเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ที่เวลาได้สวมมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงเชิญทูตในประเทศไทยร่วมในพระราชพิธี และทรงรับพระมหาพิชัยมงกุฎมาทรงสวมแต่นั้นมาก็ถือว่า พระมหาพิชัยมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในบรรดาเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และมหากษัตริย์จะทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระแสงขรรค์ชัยศรี          เป็นพระแสงราชศัสตราวุธประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ เป็นพระแสงราชศัสตราปะจำพระองค์พระมหากษัตริย์พระขรรค์ หมายถึง พระปัญญาในการปกครองบ้านเมืองพระแสงขรรค์องค์ปัจจุบันมีประวัติว่า ในปี พ.ศ.๒๓๒๗ ชาวประมงพบพระแสงองค์นี้ในทะเลสาบเมืองเสียมราฐ กรมการเมืองเห็นว่าองค์พระแสงขรรค์ยังอยู่ในสภาพดีและงดงาม จึงนำพระแสงไปมอบให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเสียมราฐในขณะนั้นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เห็นว่าเป็นของเก่าฝีมือช่างสมัยนครวัด จึงนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯเมื่อวันที่พระแสงองค์นี้มาถึงพระนคร ได้เกิดฟ้าผ่าในเขตในพระนครถึง ๗ แห่งมีประตูวิเศษไชยศรีในพระราชฐานชั้นนอก และประตูพิมานไชยศรี ในพระราชฐานชั้นกลาง ซึ่งเป็นทางที่อัญเชิญพระแสงองค์นี้ผ่านไป เพื่อเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง เป็นต้นดังนั้น ประตูพระบรมมหาราชวังดังกล่าว จึงมีคำท้ายชื่อว่า "ไชยศรี" ทั้งสองประตูเช่นเดียวกับชื่อพระขรรค์องค์นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำด้ามและฝักขึ้นด้วยทองลงยาประดับมณีพระแสงขรรค์ชัยศรีนี้เฉพาะส่วนที่เป็นองค์พระขรรค์ยาว ๖๔.๕ เซนติเมตรประกอบด้ามแล้วยาว ๘๙.๘ เซนติเมตรหนัก ๑.๓ กิโลกรัมสวมฝักแล้วยาว ๑๐๑ เซนติเมตรหนัก ๑.๙ กิโลกรัมพระแสงราชศัสตราที่สำคัญที่สุดในพระราชพิธีสำคัญหลายพิธี เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ธารพระกร          ธารพระกรของเดิมสร้างในรัชกาลที่ ๑ ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ปิดทอง หัวและสันเป็นเหล็กคร่ำลายทอง ที่สุดสันเป็นซ่อม ลักษณะเหมือนกับไม้เท้าพระภิกษุที่ใช้ในการชักมหาบังสกุล เรียกธารพระกรของเดิมนั้นว่า ธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างธารพระกรขึ้นใหม่องค์หนึ่งด้วยทองคำ ภายในมีพระแสงเสน่า ยอดมีรูปเทวดา จึงเรียกว่า ธารพระกรเทวรูป ที่แท้ลักษณะเป็นพระแสงดาบมากกว่าเป็นธารพระกร แต่ได้ทรงสร้างขึ้นแล้วก็ทรงใช้แทนธารพระกรชัยพฤกษ์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำธารพระกรชัยพฤกษ์กลับมาใช้อีกและยังคงใช้ธารพระกรชัยพฤกษ์ในพระราชพิธีบรมราชภิเษก มาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน พัดวาลวีชนี และพระแส้หางจามรี 
    
         เป็นเครื่องใช้ประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ พัดวาลวีชนีทำด้วยใบตาล แต่ปิดทองทั้ง 2 ด้าน ด้ามและเครื่องประกอบทำด้วยทองลงยาส่วนพระแส้ทำด้วยขนจามรี ด้ามเป็นแก้วทั้งสองสิ่งนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น'วาลวีชนี' เป็นภาษาบาลีแปลว่า เครื่องโบก ทำด้วยขนวาล ตรงกับที่ไทยเรียกจามรี  ฉลองพระบาทเชิงงอน          ฉลองพระบาทมีที่มาจากเกือกแก้ว หมายถึงแผ่นดินอันเป็นที่รองรับเขาพระสุเมรุ และเป็นที่อาศัยของอาณาประชาราษฎร์ทั่วทั้งแว่นแคว้นฉลองพระบาทเชิงงอนนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ให้สร้างขึ้นเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามแบบอินเดียโบราณทำด้วยทองคำทั้งองค์น้ำหนัก ๖๕๐ กรัมลายที่สลักประกอบด้วยลายช่อหางโตแบบดอกเทศ ลงยาสีเขียวแดง โดยดอกลงยาสีเขียว เกสรลงยาสีแดงส่วนเชิงงอนนั้นทำเป็นตุ่มแบบกระดุมหรือดอกลำดวนมีคาดกลางทำเป็นลายก้านต่อดอกชนิดใบเทศฝังบุษย์น้ำเพชร          ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เครื่องสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์เป็นของสำคัญที่พระราชครูพราหมณ์จะถวายแด่พระมหากษัตริย์เพื่อความสมบูรณ์ของพระราชพิธีโดยจะถวายจากลำดับสูงลงต่ำ เริ่มจากพระมหาพิชัยมงกุฎพระแสงขรรค์ชัยศรีธารพระกรพัดวาลวีชนี และแส้หางจามรีและท้ายสุดจะสอดฉลองพระบาทเชิงงอนถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์เก็บรักษาไว้ ณ ท้องพระโรงพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในหมู่พระมหามนเทียร ภายในพระบรมมหาราชวังเดิมเจ้าพนักงานที่รักษาเครื่องราชูปโภคได้จัดพิธีสมโภชเครื่องราชูปโภคและเครื่องราชกกุธภัณฑ์เป็นประจำทุกปี โดยเลือกทำในเดือน ๖ เพราะมีพระราชพิธีน้อยจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า วันพระบรมราชาภิเษกเป็นวันมงคล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บำเพ็ญพระราชกุศลสมโภชพระมหาเศวตฉัตรและเครื่องราชกกุธภัณฑ์ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๓๙๔ พระราชทานชื่อว่า พระราชพิธีฉัตรมงคลต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์เปลี่ยนเรียกชื่อพระราชพิธีว่า พระราชกุศลทักษิณานุประทาน และพระราชพิธีฉัตรมงคลสืบมาจนปัจจุบันนี้


ข้อมูลอ้างอิงจาก ; http://www1.tv5.co.th/service/mod/heritage/king/rajapisek/index.htm
http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=4&post_id=6722
                         http://th.wikipedia.org/wiki/งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี
                         http;//1.tv5.co.th/service/mod/heritage/king/rajapisek/index.htm

รูปภาพของ nss40156

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

ตอบ "สิทธิธรรม" นั่นคือ มีสิทธิ (อำนาจ) ในการปกครองที่ "เป็นธรรม" เท่านั้น
หรืออาจเรียกว่า "การปกครองโดยธรรม"
ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการยอมรับของผู้อยู่ใต้ปกครอง
แล้วพัฒนาเป็นอาณาจักรหรือประเทศที่เกิดจากความร่วมมือของผู้ถูกปกครองกับคำ
สั่งของผู้ปกครองที่ปฏิบัติได้จริง
เกิดเป็นเอกภาพหรือความเจริญของประเทศนั้น

 

2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์

ตอบ พระปฐมบรมราชชนก + เจ้าแม่วัดดุสิต ----> ร.1
ร.1(พระ พุทธยอดฟ้า) + กรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์---------->ร.2

ร.2(พระ
พุทธเลิศหล้า)+กรมสมเด็จพระศรีสุลาลัย (เจ้าจอมมารดาเรียม
พระสนมเอก)------>ร.3(พระชนม์สูงสุดและรับราชการต่างพระเนตรพระกรรณมาก
จึงได้เสวยราชย์

ร.3 ไม่ตั้งพระอัครมเหสีและรัชทายาท ด้วยหวังคืนราชสมบัติแด่ เข้าฟ้ามงกุฎ (ร.4)

ร.2(พระพุทธเลิศหล้า )+กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์(พระอัครมเหสี)------>ร.4(พระอนุชาร.3)

ร.4(พระ จอมเกล้า)+กรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์(พระอัครมเหสี)-----> ร.5

ร.5(พระ จุลจอมเกล้า)+สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง -------> ร.6

ร.5(พระ
จุลจอมเกล้า)+สมเด็จพระศรีพัช รินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี
พระพันปีหลวง -------> ร.7(พระอนุชาร.6
เสวยราชย์ด้วยกฎมณเฑียรบาลที่ร.6ตราขึ้นและร.6ไม่มีพระราชโอรส)

ร.7
ไม่มีพระราชโอรสธิดาจึงเปนไปตามกฎมณเฑียรบาลให้เรียงการสืบจาก
พระศรีพัชรินทราไปยังสมเด็จพระศรีสวรินทราไปยังพระนางสุขุมาลมารศรี...สาย
พระศรีพัชรินทรสิ้นหมดแล้ว
และถูกข้ามด้วยกฎมณเฑียรบาลแลถูกพระบรมราชโองการถอดจากการเปนผู้สืบราช
สันตติวงศ์ สายการสืบสันตติวงศ์จึงตกมายัง สายสมเด็จพระศรีสวรินทรา
บรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า(อดีตพระอัครมเหสีใน ร.5 )
ซึ่งองค์แรกที่จะได้ราชสมบัติคือ สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ
เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ แต่ด้วยจากสิ้นพระชนม์แล้ว
จึงเปนไปตามบทบัญญัติแห่งกฏมณเฑียรบาล
คือหากพระรัชทายาท(หมายถึงสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล) หาพระองค์ไม่แล้ว
ก็ให้อัญเชิญพระโอรสของพระรัชทายาทองค์นั้น ขึ้นเสวยราชย์) ฉะนั้น
พระโอรสที่ประสูติจากเจ้าฟ้ามหิดล กับ หม่อมสังวาลย์ สะใภ้หลวง จึงเปน
ผู้สืบราชสันตติวงศ์ต่อมา คือ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ขึ้นเปนรัชกาลที่ 8
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (ยังไม่ใช้"พระบาทสมเด็จฯ
เนื่องด้วยยังไม่บรมราชาภิเษก) ต่อมา ร.8 สวรรคตด้วยพระแสงปืน
ในพระที่นั่งบรมพิมาน สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช
ด้วยทรงสถิตในตำแหน่งพระรัชทายาทโดยอนุโลมตามกฎหณเฑียรบาล
สภาผู้แทนราษฎรจึงอัญเชิญ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช
ขึ้นเปนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เสวยสิริราชสมบัติ แลทรงดำรงรัฐสีมาอาณาจักรล่วงมาถึงปรัตยุบันกาล เปนปีที่
58 ขอจงทรงพระเจริญ 
 

3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

ตอบ พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์

นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก
หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น
เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง

ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)
ครบรอบ ๕๐ ปี (golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป
ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป
เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา

ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน "เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐" ของรัชกาลที่ ๔
ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้

"ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ
จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา
เมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา
ณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]
พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ
เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร
กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ
รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา
ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง..."๑

ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน

แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ

พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖

ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้

พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ
ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙

พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑
กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม

พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง

ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา
เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์
และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท

พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก
ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี
ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง

พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘

พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘
และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้

พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน
เรียกชื่อว่า "พระราชพิธีทวิธาภิเษก"

พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑

หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้

4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ

ตอบ เครื่องยศดังกล่าวนี้ ประกอบด้วยสิ่งของเครื่องใช้มากมายหลายประเภท
เป็นของต่างชนิดกันบ้างชนิดเดียว กันแต่ต่างกันที่รูปแบบบ้าง
ที่เนื้อวัสดุบ้าง ที่การตกแต่งบ้าง ตามแต่ยศ
ศักดิ์และตำแหน่งตลอดจนความดีความชอบ ของผู้ได้รับพระราชทาน
อาจจำแนกประเภทของเครื่องยศเป็นหมวดหมู่ได้ ๗ หมวด คือ หมวดเครื่องสิริมงคล
เครื่อง ศิราภรณ์ เครื่องภูษณาภรณ์ เครื่องศัสตราวุธ เครื่องอุปโภค
เครื่องสูง และยานพาหนะ*

ในส่วนขององค์พระมหากษัตริย์นั้น
ทรงมีเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสำหรับเครื่องแสดงฐานะเช่นกัน
สิ่งสำคัญที่ถือว่าเป็นเครื่องแสดงความเป็นพระมหากษัตริย์
ซึ่งยึดถือมาแต่โบราณ ๕ อย่าง เรียนกว่า เบญจราชกกุธ ภัณฑ์ มี ๒ แบบ ดังนี้


แบบที่ ๑ ประกอบด้วย
๑. นพปฎลมหาเศวตฉัตร

๒. พระมหาพิชัยมงกุฎ
๓. พระแสงขรรค์ชัยศรี
๔. พัดวาลวิชนี และพระแส้จามรี (หรือพระแส้หางช้างเผือก)
๕. ฉลองพระบาทเชิงงอน

แบบที่ ๒ ประกอบด้วย
๑. พระมหาพิชัยมงกุฎ
๒. พระแสงขรรค์ชัยศรี
๓. ธารพระกรชัยพฤกษ์
๔. พัดวาลวิชนี และพระแส้จามรี (หรือพระแส้หางช้างเผือก)
๕. ฉลองพระบาทเชิงงอน


สมัยโบราณนับถือพระมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งสำคัญกว่าอย่างอื่น
ถือว่ามีความหมายเท่ากับความเป็นพระราชา มหากษัตริย์
ส่วนมงกุฎนั้นถือเป็นราชกกุธภัณฑ์ที่เป็นเครื่องราชศิราภรณ์เท่านั้น
มิได้ถือเป็นยอดแห่งความสำคัญ อย่างเช่นพระมหาเศวตฉัตร จนถึงรัชกาลที่ ๔
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ไทยเราได้สมาคมกับชาวตะวันตกที่นับถือพระ
มงกุฎอยู่หลายประเทศ
คติที่นับถือพระมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในจำนวนราชกกุธภัณฑ์จึงได้เข้ามาสู่
ประเทศไทยตั้งแต่ นั้น**


คำว่า พระราชอิสริยยศ
เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรมราชวงศ์ชั้นสูงตั้งแต่
พระ บรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศอื่นๆ
ที่นอกไปจากเบญจราชกกุธภัณฑ์อันเป็นเครื่องพระ
ราชอิสริยยศพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ จึงเป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ
พระบรมราชวงศ์ชั้นสูงดังกล่าวแล้ว นั้นด้วย
โดยมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศของพระบรมราชวงศ์นั้น ๆ
อาจจำแนกประเภทเครื่อง
ประกอบพระราชอิสริยยศออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกันกับเครื่องยศดังนี้

            เครื่องสิริมงคล 
ได้แก่ พระสังวาล พระธำมรงค์ พระประคำทองคำ ๑๐๘ เม็ด พระสายดิ่ง และพระตะกรุดทองคำ 
เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศหมวดนี้
เป็นของสำหรับพระมหากษัตริย์ และพระบรมราชวงศ์ชั้นสูงฝ่ายหน้า
ซึ่งในรัชกาลปัจจุบันมีพระองค์เดียวได้แก่ สมเด็จพระบรมโอรสาธราชฯ
สยามมกุฎราชกุมารี
พระ
สังวาล
ที่เป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสำหรับพระมหากษัตริย์ทรงในงานพระราชพิธี
สำคัญ มีอยู่ ๒ องค์ คือ สังวาลพระนพ และพระมหาสังวาลนพรัตน์
ส่วนพระธำมรงค์ คือ พระธำมรงค์วิเชียรจินดา และพระธำมงค์ รัตนวราวุธ
เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศในหมวดนี้ที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงได้รับพระ ราชทาน มีดังนี้***
๑. พระสังวาลพระนพน้อย
๒. พระธำมรงค์นพรัตน์
๓. พระประคำทองคำ ๑๐๘ เม็ด
๔. พระสายดิ่งทองคำ
๕. พระตะกรุดทองคำสายทอง
๖. พระตะกรุดทองคำลงยาประดับเพชร

 

            เครื่องศิราภรณ์
คือ เครื่องประดับพระเศียร ได้แก่ พระมงกุฎ พระชฎา และพระมาลา ซึ่งมีหลายแบบหลายองค์ สำหรับทรงใน โอกาสต่างๆ กัน
เครื่องราชศิราภรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาล
ปัจจุบันพระราชทาน เป็นเครื่องประกอบพระราช
อิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้แก่ 
๑. พระอนุราชมงกุฎ
๒. พระมาลาเส้าสูงทองคำลงยา

 เครื่องภูษณาภรณ์
ได้แก่ ฉลองพระองค์ต่างๆ เช่น ฉลองพระองค์ครุย
สำหรับพระมหากษัตริย์ทรงในงานพระราชพิธีสำคัญ ที่มี การเสด็จออกมหาสมาคม
เพื่อรับการถวายพระพรชัยมงคล

 

 http://www.siamhistory.org/index.php?topic=21.0

http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id%

http://thaihandiwork.com/thailand_ry3.php

http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759

รูปภาพของ nss37496

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง ตอบ "สิทธิธรรม" นั่นคือ มีสิทธิ (อำนาจ) ในการปกครองที่ "เป็นธรรม" เท่านั้น หรืออาจเรียกว่า "การปกครองโดยธรรม" ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการยอมรับของผู้อยู่ใต้ปกครอง แล้วพัฒนาเป็นอาณาจักรหรือประเทศที่เกิดจากความร่วมมือของผู้ถูกปกครองกับคำสั่งของผู้ปกครองที่ปฏิบัติได้จริง เกิดเป็นเอกภาพหรือความเจริญของประเทศนั้น

"อำนาจหน้าที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงอยู่และปฏิบัติการของการปกครองทุกระบอบ ไม่ว่าจะมีอำนาจการบีบบังคับทางกายภาพที่ยิ่งใหญ่เพียงไร ผู้ปกครองทุกคนก็ต้องอาศัยการที่ประชาชนยอมรับหน้าที่ ตลอดจนยอมรับสิทธิในการปกครองและสิทธิในการสั่งการของตน กุญแจสำคัญที่ทำให้เกิดยอมรับเชื่อฟังเป็นนิสัย คือ การเข้าถึงจิตใจผู้ถูกปกครอง โดยนิยามแล้ว อำนาจหน้าที่จะต้องเป็นที่ยอมรับของปวงชนอย่างสมัครใจ ดังนั้น อำนาจหน้าที่ของผู้ปกครองจึงขึ้นอยู่กับเจตจำนงที่ดีของผู้ถูกปกครอง และจะแปรเปลี่ยนไปเมื่อเจตจำนงผันเปลี่ยนสภาพ" (Gene Sharp, 1973)หมายความว่า ถ้าหากรัฐบาลในยุคประชาธิปไตยรวมถึงระบบกษัตริย์ในสมัยโบราณ ใช้อำนาจหน้าที่เบียดเบียน กดขี่ข่มเหง ถืออำนาจตามอำเภอใจ เป็นทรราช หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ จนประชาชนเดือดร้อนทุกข์ยาก ผลกระทบจะทำให้เกิด "เจตจำนงที่เลว หรือทัศนคติด้านลบ" ของประชาชนต่อรัฐบาล การไม่ยินยอมเชื่อฟังของประชาชนจะทำให้รัฐบาลนั้นอายุสั้นลงในที่สุด

2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์ ตอบ สันตติวงศ์ สำหรับในปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 บัญญัติว่า ในกรณีที่ราชบัญลังก์ว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงค์ พระพุทธศักราช 2476 แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ปรัธานรัฐสภาเรียกประชุมเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอันเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง และเป็นกรณีที่พระมหากษัตย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่งให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา 22 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในกรณีนี้จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วให้ประทานรัฐสภาอันเชิญผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชเป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ (มาตรา 23)"

 

 

 

3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ ตอบ  พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก
หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น
เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง
ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)
ครบรอบ ๕๐ ปี (
golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป
ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป
เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา
ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน "เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐" ของรัชกาลที่ ๔
ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้
"ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ
จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา
เมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา
ณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]
พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ
เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร
กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ
รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา
ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง..."๑
ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖
ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ
ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙
พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑
กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม
พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา
เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์
และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท
พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก
ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี
ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐
,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘
และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔
,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้ พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒
,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน
เรียกชื่อว่า "พระราชพิธีทวิธาภิเษก"
พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑
หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้

 

 

4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ  ตอบ การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศ

เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ
พระราชอิสริยยศ เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้ เครื่องสิริมงคล
เครื่องศิราภรณ์
เครื่องภูษณาภร์
เครื่องศัสตราวุธ
เครื่องราชูปโภค
เครื่องสูง
ยานพาหนะ
เครื่องประโคม
พระโกศอ้างอิง  http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759 http://stat05.diaryclub.com/?date=20071001&ydiff=1&mdiff=0 http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id% http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861

 

รูปภาพของ nss37496

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง ตอบ "สิทธิธรรม" นั่นคือ มีสิทธิ (อำนาจ) ในการปกครองที่ "เป็นธรรม" เท่านั้น หรืออาจเรียกว่า "การปกครองโดยธรรม" ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการยอมรับของผู้อยู่ใต้ปกครอง แล้วพัฒนาเป็นอาณาจักรหรือประเทศที่เกิดจากความร่วมมือของผู้ถูกปกครองกับคำสั่งของผู้ปกครองที่ปฏิบัติได้จริง เกิดเป็นเอกภาพหรือความเจริญของประเทศนั้น

"อำนาจหน้าที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงอยู่และปฏิบัติการของการปกครองทุกระบอบ ไม่ว่าจะมีอำนาจการบีบบังคับทางกายภาพที่ยิ่งใหญ่เพียงไร ผู้ปกครองทุกคนก็ต้องอาศัยการที่ประชาชนยอมรับหน้าที่ ตลอดจนยอมรับสิทธิในการปกครองและสิทธิในการสั่งการของตน กุญแจสำคัญที่ทำให้เกิดยอมรับเชื่อฟังเป็นนิสัย คือ การเข้าถึงจิตใจผู้ถูกปกครอง โดยนิยามแล้ว อำนาจหน้าที่จะต้องเป็นที่ยอมรับของปวงชนอย่างสมัครใจ ดังนั้น อำนาจหน้าที่ของผู้ปกครองจึงขึ้นอยู่กับเจตจำนงที่ดีของผู้ถูกปกครอง และจะแปรเปลี่ยนไปเมื่อเจตจำนงผันเปลี่ยนสภาพ" (Gene Sharp, 1973)หมายความว่า ถ้าหากรัฐบาลในยุคประชาธิปไตยรวมถึงระบบกษัตริย์ในสมัยโบราณ ใช้อำนาจหน้าที่เบียดเบียน กดขี่ข่มเหง ถืออำนาจตามอำเภอใจ เป็นทรราช หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ จนประชาชนเดือดร้อนทุกข์ยาก ผลกระทบจะทำให้เกิด "เจตจำนงที่เลว หรือทัศนคติด้านลบ" ของประชาชนต่อรัฐบาล การไม่ยินยอมเชื่อฟังของประชาชนจะทำให้รัฐบาลนั้นอายุสั้นลงในที่สุด

2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์ ตอบ สันตติวงศ์ สำหรับในปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 บัญญัติว่า ในกรณีที่ราชบัญลังก์ว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฏมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงค์ พระพุทธศักราช 2476 แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ปรัธานรัฐสภาเรียกประชุมเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอันเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลง และเป็นกรณีที่พระมหากษัตย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่งให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา 22 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในกรณีนี้จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วให้ประทานรัฐสภาอันเชิญผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชเป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ (มาตรา 23)"

 

 

 

3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ ตอบ  พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก
หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น
เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง
ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้น ได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)
ครบรอบ ๕๐ ปี (
golden jubilee) หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป
ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆ เป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป
เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา
ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน "เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐" ของรัชกาลที่ ๔
ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้
"ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ด ทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ
จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา
เมื่อเวลาครบหกปี จึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา
ณ เดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]
พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศก พระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ
เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนาน จึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร
กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักร กงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ
รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไร เจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา
ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง..."๑
ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปี เดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖
ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก ๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวัน เดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ
ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙
พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑
กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม
พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปี ที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา
เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ จำนวน ๓๘ องค์
และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท
พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒ เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก
ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี
ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระบรมมหาราชวัง
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐
,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘
และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ ชั่ง หรือ ๒๒๔
,๐๐๐ บาท เพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้ พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒
,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน
เรียกชื่อว่า "พระราชพิธีทวิธาภิเษก"
พระราชพิธีรัชมงคล เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑
หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลย จนในรัชกาลปัจจุบันนี้

 

 

4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ  ตอบ การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศ

เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ
พระราชอิสริยยศ เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้ เครื่องสิริมงคล
เครื่องศิราภรณ์
เครื่องภูษณาภร์
เครื่องศัสตราวุธ
เครื่องราชูปโภค
เครื่องสูง
ยานพาหนะ
เครื่องประโคม
พระโกศอ้างอิง  http://www.ryt9.com/s/tpd/1046759 http://stat05.diaryclub.com/?date=20071001&ydiff=1&mdiff=0 http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=89.msg%msg_id% http://www.vcharkarn.com/vcafe/154861

 

รูปภาพของ nss37670

1. สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง

 

ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ จึงต้องผ่านการประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาที่สำคัญบางอย่างโดยพระหรือนักบวชชั้นสูงในลัทธิความเชื่อทางศาสนานั้นๆ เพื่อเป็นเครื่องสื่อแสดงถึงฉันทานุมัติ จากพระเจ้าหรือเทพบนสวรรค์ ให้กษัตริย์พระองค์ใหม่ มีสิทธิธรรมที่จะใช้อำนาจปกครองมนุษย์ในนามของพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว

ในขณะที่กษัตริย์สืบสายโลหิตมาจากเทพหรือมาจากวงศ์ตระกูล ที่ได้รับการคัดเลือกจากพระเจ้า หรือเทพให้มาปกครองมนุษย์โอรสของกษัตริย์ ซึ่งย่อมจะมีสายเลือด ของความเป็นเทพ (หรือของวงศ์ตระกูลที่ได้รับความพึงพอใจ เป็นพิเศษจากเทพ) จึงย่อมจะมีสิทธิธรรม ในการครอบครองอำนาจรัฐ(ที่มาจากพระเจ้าหรือเทพองค์ดังกล่าว) สืบต่อจากกษัตริย์พระองค์ก่อน

อำนาจรัฐภายใต้กรอบอุดมการณ์ทางการเมืองในลัทธิเทวสิทธิ์จึงสืบทอดส่งผ่านกัน ทางสายโลหิตโดยปุถุชนทั่วไปไม่มีสิทธิธรรมที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ เว้นแต่มีการทำรัฐประหาร แล้วประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อสถาปนาฐานะแห่งความเป็นสมมติเทพ หรือการได้รับฉันทานุมัติจากพระเจ้า หรือเทพให้เป็นราชวงศ์ใหม่ที่ จะมาปกครองมนุษย์สืบแทนกษัตริย์ราชวงศ์เดิม

สิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครองก็จะมีสิทธิในการปกครองประเทศ เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ อย่างเช่น ในหลวงของเรา โดยปกครองอาศัยหลักทศพิธราชธรรม ในการปกครองประเทศ

2. มาตรการในการสืบสันตติวงศ์

ในการสืบสันตติวงศ์นั้นก็คือ การสืบทอดเชื้อสายของพระมหากษัตริย์นั่นเอง คือเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ไม่ว่าจะเป็นลูกหลาน พี่น้องกันที่จะได้เป็นพระมหากษัตริย์ โดยในสมัยรัตนโกสินทร์ หรือ ในรัชสมัยราชวงศ์จักรีมีแผนภูมิแสดงลำดับการสืบสันตติวงศ์ พระมหากษัตริย์ ดังต่อไปนี้

 3. พระราชพิธีและธรรมเนียมการครองสิริราชสมบัติ

พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์
นับแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมาพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์ของพระมหากษัตริย์จะเป็นพระราชพิธีราชาภิเษก
หรือปราบดาภิเษกเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์แต่พระราชพิธีที่นับปีการครองราชย์และมีการฉลองสมโภชนั้น
เป็นสิ่งที่ริเริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรีนี้เอง
ธรรมเนียมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัตินั้นได้แนวคิดจากงานฉลองครบรอบ ๒๕ ปี (silver jubilee)
ครบรอบ ๕๐ ปี (golden jubilee)หรือครบรอบ ๖๐ ปี (diamond jubilee) แห่งการครองราชย์ของกษัตริย์ทางยุโรป
ตลอดจนเป็นแนวคิดที่มาจากทางจีนในการฉลองอายุครบรอบต่างๆเป็นดังงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างใหญ่กว่าที่จัดโดยทั่วไป
เช่น ครบรอบพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา
ครั้งแรกที่มีบันทึกถึงพระราชพิธีในลักษณะนี้คือในงาน"เฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐" ของรัชกาลที่ ๔
ดังที่บันทึกในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ดังนี้
"ครั้นมาถึงเดือนสิบเอ็ดทรงพระราชดำริห์ว่า พระชัณษาครบเต็มบริบูรณหกสิบ
จะทำการเฉลิมพระชัณษาอย่างใหญ่เหมือนอย่างเจ้าแผ่นดินเมืองจีนเมืองยุโรปเขาก็ทำเป็นการใหญ่ตามวิไสยเฃา
เมื่อเวลาครบหกปีจึงโปรดเกล้าให้ตั้งสวดพระพุทธมนต์ มีธรรมเทศนา
ณเดือนสิบเอ็จแรมค่ำหนึ่งแรมสองค่ำแรมสามค่ำวันพุฒเดือนสิบเอ็จแรมสี่ค่ำ [คือระหว่างวันที่๑๖-๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๗]
พระฤกษได้สรงน้ำพระมุรธาภิเศกพระบรมวงษานุวงษท่านเสนาบดีฃ้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย คิดกันทำการฉลองพระเดชพระคุณ
เพื่อจะให้พระชนมายุเจริญนานจึงป่าวร้องบอกกล่าวกันทั้งกรุงเทพมหานครแลหัวเมืองปากใต้ฝ่ายเหนือในพระราชอาณาจักร
กรุงเทพมหานคร...การเฉลิมพระชัณษาครั้งนั้นทั่วหัวเมืองแลในพระราชอาณาจักรกงสุลฝ่ายสยามที่ได้ทรงตั้งไปอยู่เมืองต่างประเทศ
รู้เหตุแต่เดิมก็มีหนังสือถามเฃ้ามาว่าวันไรเจ้าพนักงานก็ได้บอกออกไป กงสุลเหล่านั้นก็ทำตามนิไสยเฃา
ก็เป็นพระราชกุศลใหญ่คราวหนึ่ง..."๑
ในรัชกาลต่อมาจึงได้ใช้พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ๖๐ พรรษา ในครั้งนี้เป็นแนวทางสืบมาจนปัจจุบัน
แต่พระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์โดยแท้จริงเริ่มในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕
เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ คือ
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๒ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เป็นเวลา ๑๖ ปี เท่ากันทั้งจำนวนปีเดือน และวัน กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖
ในรัชกาลนี้ยังมีพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับการครองราชย์นอกเหนือจากครั้งนี้ต่อมาอีก๙ ครั้งด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๔ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๑๘ ปี เท่ากันทั้งจำนวนวันเดือน ปี ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ กำหนดให้จัดการเป็นมงคลราชพิธีพิเศษ
ระหว่างวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ถึง ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙
พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่๒ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็น๒ เท่า เป็นเวลา ๓๑ ปี ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑
กำหนดการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลระหว่างวันที่๑๗-๑๙ กรกฎาคม และในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ปีเดียวกัน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดกระบวนแห่อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ไปประดิษฐานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม
พระราชพิธีรัชดาภิเษก เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ๒๕ บริบูรณ์๓ กำหนดการพระราชพิธีเป็น ๒ ครั้ง
ครั้งแรก ครบรอบ ๒๕ ปีที่ทรงครองราชย์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐กันยายน ถึง ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา
เป็นการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์จำนวน ๓๘ องค์
และทรงสร้างเหรียญรัชดาภิเษกพระราชทานแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าทูลละอองธุลีพระบาท
พระราชพิธีรัชดาภิเษก ครั้งที่ ๒เป็นการครบรอบ ๒๕ ปี นับแต่ประกอบพิธีบรมราชาภิเษก
ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ถึง ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ กำหนดการพระราชพิธี
ระหว่างวันที่ ๑-๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ณ พระบรมมหาราชวัง
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๑เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่า
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเป็นเวลา ๒๘ ปี หรือ ๑๐,๐๑๕ วัน ในวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๘
พระราชพิธีสมภาคาภิเษกเท่ารัชกาลที่ ๓เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัตินานเท่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา ๒๘ ปี ในวันที่ ๑๒ มิถุนายนพ.ศ. ๒๔๓๘ กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๙-๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๘
และทรงพระราชอุทิศปัจจัยจำนวน ๒๘๐ชั่ง หรือ ๒๒๔,๐๐๐ บาทเพื่อปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สร้างในรัชกาลที่ ๓ นี้
พระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติเสมอด้วยรัชกาลที่๔ ทวีคูณ เนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติเสมอด้วย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น ๒ เท่า เป็นเวลา ๓๖ ปี หรือ ๑๒,๗๔๔ วัน ในวันที่ ๓ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๖
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓-๔ตุลาคม และวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๖ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้รวมการมงคลราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติเป็นงานเดียวกับการพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือนพฤศจิกายน
เรียกชื่อว่า"พระราชพิธีทวิธาภิเษก"
พระราชพิธีรัชมงคลเนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี เสมอด้วยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒แห่งกรุงศรีอยุธยา
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่ ๓๐พฤศจิกายน ถึง ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ณ พระราชวังหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษกเนื่องในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย
กำหนดการพระราชพิธีระหว่างวันที่๑๑-๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๑
หลังจากนั้นก็มิได้มีงานเฉลิมฉลองสมโภชเช่นนี้อีกเลยจนในรัชกาลปัจจุบันนี้
๑ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๔ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ (ขำ บุนนาค),
กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ,๒๕๔๗, น. ๒๗๑-๒๗๓.
๒ ศิรินันท์ บุญศิริ."พระราชพิธีสำคัญในพระมหากษัตริย์สองรัชกาล : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช,"
ในเอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี
เรื่องราชอาณาจักรไทยในรอบ ๕ทศวรรษแห่งการครองราชย์ วันที่ ๗-๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙
ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพมหานคร.น. ๓.
๓มีพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีที่ครองราชย์นานเกิน ๒๕ ปีดังนี้ รัชกาลที่ ๑,, , , ๕ และ ๙

4. เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ

การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมาพระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการโดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมายและพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเป็นเครื่องแสดงฐานะหรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆของพระราชทานดังกล่าว เรียกว่า เครื่องยศ

เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศ พระราชอิสริยยศเป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรามราชวงศ์ชั้นสูงตั้งพระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไปเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสามารถแยกออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกับเครื่องยศดังนี้

เครื่องสิริมงคล
เครื่องศิราภรณ์
เครื่องภูษณาภร์
เครื่องศัสตราวุธ
เครื่องราชูปโภค
เครื่องสูง
ยานพาหนะ
เครื่องประโคม
พระโกศ

๓.พระยานมาศสามลำคาน พระราชยานนี้จะใช้เฉพาะในงานพระบรมศพพระยานมาศสามลำคานองค์แรกสร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช 
พระยานมาศสามลำคาน เป็นคานหามขนาดใหญ่กลางตั้งแท่นทำด้วยไม้สลักปิดทองประดับกระจกสี ลักษณะเป็นแท่นซ้อนลดลง ๔ ชั้นย่อมุมไม้สิบสอง ๓ ชั้นหน้ากระดานฐานล่างเรียบเกลี้ยงไม่มีลวดลาย ชั้นบนสุดทำเป็นแผงราชวัติจำหลักลายประดับกระจกกั้นเว้นช่องที่ส่วนหน้าและส่วนหลัง และมีมุขยื่นออกมา ฐานชั้นที่ ๓ ประดับด้วยครุฑ ๓๘ตัว ชั้นที่ ๔ ประดับด้วยเทพพนม ๒๖ องค์ ใช้พนักงานหาม ๖๐ คน เวลาหามจริงใช้คน ๒ผลัด
(ศิลปากร,กรม,๒๕๓๙,เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)

 

 

พระยานมาศสามลำคานอีกมุมหนึ่งค่ะ
(ศิลปากร,กรม,๒๕๓๙,เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)

 

 

๖.พระราชยานงา สร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีลักษณะเช่นเดียวกับพระราชยานถม เพียงแต่ทำด้วยงาช้างสลักลวดลายทั้งส่วนฐานกระจัง พนัก และกระดานพิง คานหามสองข้างหุ้มงาช้างตลอดถึงหัวเม็ดการหามใช้วิธีเดียวกับพระยานมาศ ใช้คนหาม ๘ คน 
(ศิลปากร,กรม,๒๕๓๙,เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)

 

พระราชยานงา ให้เห็นความสวยงามละเอียดอ่อนแบบชัดๆค่ะ 
(ศิลปากร,กรม,๒๕๓๙,เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)

 

 

ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการสร้างพระราชยานขึ้นหลายองค์ พระราชยานทองลงยา พระราชยานพุดตาลถม พระราชยานงาการสร้างพระราชยานทองลงยานั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายว่าอาจเป็นพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแต่มาสำเร็จในรัชกาลที่๕ หรือเป็นพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเองหรืออาจจะเป็นปรารภของผู้ใหญ่ในสมัยนั้นกราบทูลเสนอว่าควรจะสร้างพระราชยานด้วยของวิเศษขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติดังเช่นพระมหากษัตริย์รัชกาลก่อนๆ 

พระราชยานทองลงยา อีกมุมค่ะ(ศิลปากร,กรม,๒๕๓๙,เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถและพระเมรุมาศ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)

 

 

พระเสลี่ยงกง เป็นพระราชยานแบบประทับราบทำด้วยไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก มีกงหรือที่วางแขนเป็นวงโค้งและมีพนักหรือกระดานพิง มีกระจังรวนและกระจังปฏิญาณอยู่ด้านนอกของกงพื้นที่นั่งเป็นไม้หวายเส้นผูกเรียงกัน หรือหวายสาน ด้านล่างมีห่วงโลหะ ๔ ห่วงสำหรับสอดคาน ๒ คาน การหามใช้วิธีผูกเชือกเป็นสาแหรกกับคานน้อย ใช้คนหาม ๘ คนใช้ทรงในเวลาปกติ หรือเจ้านายทรงตามเสด็จและใช้อัญเชิญพระโกศหรือพระสรีรางคารพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ระดับหม่อมเจ้าจนถึงพระองค์เจ้า
(ศิลปากร,กรม,๒๕๓๙,เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)

 

พระเสลี่ยง เป็นพระราชยานแบบประทับราบสร้างด้วยไม้สลักปิดทอง มีพนักและกระดานพิง ด้านหน้าพนักเรียบไม่แกะลายใช้สำหรับพระมหากษัตริย์ทรงยามปกติ และเจ้านายทรง พื้นเป็นหวายเส้นผูกเรียงกันหวายสาน หรือพื้นไม้กระดาน มีห่วงโลหะ ๔ ห่วง ด้านล่าง สำหรับสอดคานหามการหามใช้เชือกผูกคานเป็นสาแหรกกับคานน้อย หากเป็นที่ประทับบางครั้งมีขนาดใหญ่ใช้คนหาม ๘ คน เรียกว่า พระราชยาน หากเป็นของเจ้านายทรงขนาดย่อมลงมาใช้คนหาม ๔ คน 
(ศิลปากร,กรม,๒๕๓๙,เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)

 

 

 

พระวอประเวศวัง เป็นพระราชยานประทับราบทำด้วยไม้แกะสลักปิดทองประดับกระจก มีเสาสี่เสาและหลังคาทรงคฤห์ ดาดด้วยผ้าตาดปักทองแผ่ลวดมีระบายโดยรอบสามชั้น และมีม่านผูกที่เสาทั้งสี่พื้นพระวอทำด้วยหวายเส้นผูกเรียงกัน มีกงสำหรับวางแขนและกระดานพิงมีกระจังประดับฐานด้านหน้าและหลัง เว้นเฉพาะด้านข้างทั้งสองด้าน เป็นทางขึ้นลงมีคาน ๒ คาน ใช้เจ้าพนักงานหาม ๑๖ คน 

สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ได้ทรงพระราชดำริเอาแบบแคร่กันยาของขุนนาง ไปสร้างเป็นวอ ดาดหลังคาด้วยผ้าขี้ผึ้งผูกม่านแพรสำหรับเสด็จเข้าวัง และพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ก็ได้โปรดให้สร้างวอลักษณะดังกล่าวขึ้นสำหรับพระองค์บ้างได้พระราชทานนามว่า วอประเวศวัง ต่อมาเมื่อทรงเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้วจึงได้ทรงพระราชทาน วอประเวศวัง แก่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎขณะที่ยังทรงผนวชอยู่

 

ส่วนล้อของพระมหาพิชัยราชรถค่ะ
(ศิลปากร,กรม,๒๕๓๙,เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)

 

การเคลื่อนพระโกศโดยเกรินขึ้นสู่พระมหาพิชัยราชรถ
(ศิลปากร,กรม,๒๕๓๙,เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)

 

พระเวชยันตราชรถ
(ศิลปากร,กรม,๒๕๓๙,เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี)

 

 

ในภาพเป็นพระเมรุมาศสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินีพระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๕เป็นปราสาททรงมณฑป ประดับส่วนปลียอดเป็นรูปปรางค์ มีอาคารสร้างหรือสานส้างรายรอบกั้นอาณาเขต ด้วยราชวัตรโปร่ง ประดับฉัตรโลหะฉลุ ๗ ชั้น โดยรอบ 

พระเมรุมาศทรงปราสาท คงเป็นลักษณะแบบแผนในสมัยรัตนโกสินทร์ทั้งพระเมรุมาศพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศ์ชั้นสูงที่ทรงคุณยิ่งใหญ่แก่บ้านเมือง

(ศิลปากร,กรม,๒๕๓๙,ศิลปสถาปัตยกรรมไทยในพระเมรุมาศ)

 

ในภาพเป็นพระเมรุมาศสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระเมรุมาศแรกที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบ (ศิลปากร,กรม,๒๕๓๙,ศิลปสถาปัตยกรรมไทยในพระเมรุมาศ) 

 

 http://www.tlcthai.com/backoffice/upload_images/chakri/chart_map.jpg

 http://www.school.stjohn.ac.th/images/pic-journal/chakri-dynasty.jpg

 

www.vcharkarn.com/vcafe

www.chulabook.com/description.aspbarcode=9789748132211  

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 615 คน กำลังออนไลน์