• user warning: Duplicate entry '536306482' for key 'PRIMARY' query: INSERT INTO accesslog (title, path, url, hostname, uid, sid, timer, timestamp) values('***...>>> ปฏิบัติการ ม.4/2 <<<...***', 'node/57569', '', '18.223.195.101', 0, 'f78e1c2982bc5b72de690aeb49fcc091', 149, 1716219997) in /home/tgv/htdocs/modules/statistics/statistics.module on line 63.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:4add8b8ccff38eed32dd6bd77730c16d' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n<span style=\"color: #0000ff\">คำถามท้าทายให้ตอบ</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #ff0000\">1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #ff0000\">ให้นักเรียนหาเหตุผลมาเขียนสนับสนุนตามหัวข้อที่กำหนดทั้ง 2 ข้อให้ครบ</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #0000ff\">1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล</span>\n</p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:4add8b8ccff38eed32dd6bd77730c16d' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:ec066670104c6ece17671de2b3ec2fd3' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span style=\"font-size: 9pt; color: #333399; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา</span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: red; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">ตอบ</span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\"> อดีตอำนาจสูงสุดในแผ่นดินเป็นของพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นเจ้าชีวิตที่ทรงมีพระราชอำนาจเหนือชีวิตของคนทุกคน จะให้ประหารชีวิต ลงโทษราษฎรใดๆ ได้ตามพระราชอัธยาศัยและทรงเป็นเจ้าแผ่นดิน หรือ เป็นเจ้าของแผ่นดินทั่วพระราชอาณาจักร ราษฎรทั้งหลายเป็นข้าของแผ่นดิน จะมีสิทธิครอบครองที่ดินได้ต้องขอพระบรมราชานุญาตก่อน นั่นคือ ความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพระเจ้าแผ่นดิน <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">การดำรงฐานะของเจ้าชีวิตเจ้าแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีตมี รูปแบบการใช้อำนาจแตกต่างกันไปบ้างตามกาลสมัย แต่ก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งพระราชอำนาจสูงสุดเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของผู้คนตลอดทั่วพระราชอาณาจักร และทรงเป็นผู้นำทางจิตใจของคนไทยโดยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลากว่า 1</span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\">,<span lang=\"TH\">000 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน <o:p></o:p></span></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">สมัยกรุงสุโขทัยมีพระมหากษัตริย์ที่เรียกว่า &quot;พ่อขุน&quot; เป็นเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน ทรงเป็นผู้ครองนครที่ดูแลทุกข์สุข ปกครองบ้านเมืองให้อยู่อย่างปลอดภัย คอยปกป้องดูแลราษฎรให้มีความสุขได้รับความยุติธรรมเสมอหน้ากัน ราษฎรมีสิทธิในการร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์ และมีเสรีภาพในการทำมาค้าขาย เป็นการปกครองเยี่ยงบิดากับบุตร หรือ &quot;พ่อปกครองลูก&quot; <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">ในสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ในฐานะเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน ทรงเป็นสมมติเทพของคนไทยตามอิทธิพลลัทธิมหายานปนลัทธิพราหมณ์ที่มีความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นพระจักรพรรดิและได้มีการยกฐานะพระมหากษัตริย์เท่ากับพระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่ในเทวภูมิ (ราชบัลลังก์ของพระมหากษัตริย์เหมือนแท่นบัลลังก์ของพระอินทร์ประดับด้วยรูปสิงห์และครุฑตามความเชื่อในเทพต่าง ๆ เช่น พระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์ พระนามของพระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์จึงทรงพระนามตามชื่อเทพพรหมเหล่านั้น เช่น พระนารายณ์มหาราช พระรามาธิบดี) ขณะเดียวกัน &quot;พระมหากษัตริย์&quot; ในสมัยอยุธยาก็ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกในพระพุทธศาสนา คนไทยเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ของตนคือพระ &quot;ธรรมราชา&quot; เป็นผู้มีพระบรมเดชานุภาพทรงความเข้มแข็งเด็ดขาดควบคู่ไปกับทรงต้องบำรุงพระพุทธศาสนา <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">หลังจากพระนเรศวรมหาราชทรงขับไล่พม่าข้าศึกไปจากกรุงศรีอยุธยาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็หันไปบำรุงด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม มิได้บำรุงด้านทหารให้เข้มแข็งเหมือนเดิม มินานก็เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 แก่พม่าอีกครั้งหนึ่ง จนอยุธยาต้องล่มสลายลงเมื่อ พ.ศ. 2310 <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">สมัยพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ต้องใช้พระราชอำนาจเด็ดขาดกอบกู้บ้านเมือง ขับไล่ศัตรูจนสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี กอบกู้เอกราชได้สำเร็จ ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงรักษาความเป็นธรรมราชาด้วยแต่พระองค์ก็ทรงครองราชย์อยู่ในช่วงเวลาอันสั้น <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ความเป็นเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน เปลี่ยนแปลงรูปแบบอีกครั้ง จากเทพสมมติ มาเป็น &quot;อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ&quot; คือ เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ประชาชนทั้งปวงยอมรับ ด้วยการที่ข้าราชการและราษฎรทั้งปวงพร้อมกันกราบทูลวิงวอนเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นครองราชสมบัติ นอกจากประชาชนจะยอมรับในองค์พระมหากษัตริย์แล้ว ประชาชนยังมีความเชื่ออีกว่า พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์จะต้องทรงตั้งมั่นในหลักธรรมะ คือ ทศพิธราชธรรม สังคหวัตถุ และ จักรวรรดิวัตร ที่จะทรงใช้ในการทรงคุ้มครองและทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดินและราษฎร <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: blue; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล</span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: red; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">ตอบ </span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">พระมหากษัตริย์ทรงทำให้เกิดความสำนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้ว่าสถาบันการเมืองการปกครองจะแยกสถาบันนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ แต่ต้องให้อำนาจของตนภายใต้พระปรมาภิไธย ทำให้ทุกสถาบันมีจุดรวมกัน อำนาจที่ได้มาจากแหล่งเดียวกัน คือ พระมหากษัตริย์ นอกจากนี้พระมหากษัตริย์ยังทำให้เกิดความสำนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ระหว่างหมู่ชนภายในชาติ โดยที่ต่างเคารพสักการะและจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ร่วมกัน แม้จะมีความแตกต่างกันในด้านเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา ก็มีความสมานสามัคคีกลมเกลียวกันในปวงชนทั้งหลาย ทำให้เกิดความเป็นปึกแผ่นและเป็นพลังที่สำคัญยิ่งของชาติ กล่าวได้ว่า พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมของชาติเป็นศูนย์รวมจิตใจ ก่อให้เกิดความสมานสามัคคี และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ เกิดเอกภาพทั้งในทางการเมืองการปกครองในหมู่ประชาชนอย่างดียิ่ง พระมหากษัตริย์ทรงรักใคร่ห่วงใยประชาชนอย่างยิ่ง ทรงโปรดประชาชนและทรงให้เข้าเฝ้าฯอย่างใกล้ชิด ทำให้เกิดความจงรักภักดีแน่นแฟ้นมากขึ้นไม่เสื่อมคลายพระองค์เสด้จพระราชดำเนินไปทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นถิ่นทุรกันดารหรือมีอันตรายเพียงไร เพื่อทรงทราบถึงทุกข์สุขของประชาชน และพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์อย่างกว้างขวางโดยไม่จำกัด ฐานะ เพศ วัย ประชาชนก็มีความผูกพันกับพระมหากษัตริย์อย่างลึกซึ้งกว้างขวางแน่นแฟ้นมั่นคง จนยากที่จะมีอำนาจใดมาทำให้สั่นคลอนได้ <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: maroon; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\">ที่มา</span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span><span style=\"font-size: 9pt; color: #2b3220; font-family: Tahoma\" lang=\"TH\"><a href=\"http://www.oknation.net/blog/print.php?id=413500\" title=\"http://www.oknation.net/blog/print.php?id=413500\"><span style=\"color: black; text-decoration: none; text-underline: none\" lang=\"EN-US\">http://www.oknation.net/blog/print.php?id=</span><span style=\"color: black; text-decoration: none; text-underline: none\">413500</span></a> <o:p></o:p></span></p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:ec066670104c6ece17671de2b3ec2fd3' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:4a58735a585375a486bd2df0d9c33776' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ </p>\n<p>\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #ff0000\">ตอบ</span> การปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการดำเนินการทางการเมืองการปกครอง รัฐธรรมนูญได้กำหนดพระราชอำนาจของ<br />\nพระมหากษัตริย์ ในยุคสมัยโบราณกษัตริย์คือผู้นำทางสังคมสูงสุด เป็นแกนกลางของอำนาจทั้งหลายทั้งปวงในขอบเขตแห่งดินแดนที่อำนาจของอาณาจักรแผ่ไปถึง กำหนดและดำเนินนโยบายแห่งรัฐอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด อันเป็นความจำเป็นในสถานการณ์เช่นนั้น เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป สถาบันกษัตริย์ก็จำต้องปรับตัวไปตามสภาพความเป็นจริงของสังคม ดังในปัจจุบันนี้ สถาบันกษัตริย์ในประเทศต่างๆที่มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย คงอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ปราศจากอำนาจในทางการเมืองโดยตรง<br />\nถึงแม้สถาบันกษัตริย์ในปัจจุบันจะดำรงอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ปราศจากอำนาจทางการเมือง แต่ได้รับความคุ้มครองให้อยู่ในสถานะอันพิเศษ แม้พระองค์จะไม่ทรงมีอำนาจทางการเมืองโดยตรง แต่อำนาจแห่งราชธรรมนั้น ทำให้พระองค์ทรงดำเนินงานด้านต่างๆ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง\n</p>\n<p>\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #333399\">1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา</span>\n</p>\n<p>\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #ff0000\">ตอบ</span> อดีตอำนาจสูงสุดในแผ่นดินเป็นของพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นเจ้าชีวิตที่ทรงมีพระราชอำนาจเหนือชีวิตของคนทุกคน จะให้ประหารชีวิต ลงโทษราษฎรใดๆ ได้ตามพระราชอัธยาศัยและทรงเป็นเจ้าแผ่นดิน หรือ เป็นเจ้าของแผ่นดินทั่วพระราชอาณาจักร ราษฎรทั้งหลายเป็นข้าของแผ่นดิน จะมีสิทธิครอบครองที่ดินได้ต้องขอพระบรมราชานุญาตก่อน นั่นคือ ความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพระเจ้าแผ่นดิน\n</p>\n<p>\nการดำรงฐานะของเจ้าชีวิตเจ้าแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีตมี รูปแบบการใช้อำนาจแตกต่างกันไปบ้างตามกาลสมัย แต่ก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งพระราชอำนาจสูงสุดเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของผู้คนตลอดทั่วพระราชอาณาจักร และทรงเป็นผู้นำทางจิตใจของคนไทยโดยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลากว่า 1,000 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน\n</p>\n<p>\nสมัยกรุงสุโขทัยมีพระมหากษัตริย์ที่เรียกว่า &quot;พ่อขุน&quot; เป็นเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน ทรงเป็นผู้ครองนครที่ดูแลทุกข์สุข ปกครองบ้านเมืองให้อยู่อย่างปลอดภัย คอยปกป้องดูแลราษฎรให้มีความสุขได้รับความยุติธรรมเสมอหน้ากัน ราษฎรมีสิทธิในการร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์ และมีเสรีภาพในการทำมาค้าขาย เป็นการปกครองเยี่ยงบิดากับบุตร หรือ &quot;พ่อปกครองลูก&quot;\n</p>\n<p>\nในสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ในฐานะเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน ทรงเป็นสมมติเทพของคนไทยตามอิทธิพลลัทธิมหายานปนลัทธิพราหมณ์ที่มีความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นพระจักรพรรดิและได้มีการยกฐานะพระมหากษัตริย์เท่ากับพระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่ในเทวภูมิ (ราชบัลลังก์ของพระมหากษัตริย์เหมือนแท่นบัลลังก์ของพระอินทร์ประดับด้วยรูปสิงห์และครุฑตามความเชื่อในเทพต่าง ๆ เช่น พระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์ พระนามของพระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์จึงทรงพระนามตามชื่อเทพพรหมเหล่านั้น เช่น พระนารายณ์มหาราช พระรามาธิบดี) ขณะเดียวกัน &quot;พระมหากษัตริย์&quot; ในสมัยอยุธยาก็ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกในพระพุทธศาสนา คนไทยเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ของตนคือพระ &quot;ธรรมราชา&quot; เป็นผู้มีพระบรมเดชานุภาพทรงความเข้มแข็งเด็ดขาดควบคู่ไปกับทรงต้องบำรุงพระพุทธศาสนา\n</p>\n<p>\nหลังจากพระนเรศวรมหาราชทรงขับไล่พม่าข้าศึกไปจากกรุงศรีอยุธยาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็หันไปบำรุงด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม มิได้บำรุงด้านทหารให้เข้มแข็งเหมือนเดิม มินานก็เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 แก่พม่าอีกครั้งหนึ่ง จนอยุธยาต้องล่มสลายลงเมื่อ พ.ศ. 2310\n</p>\n<p>\nสมัยพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ต้องใช้พระราชอำนาจเด็ดขาดกอบกู้บ้านเมือง ขับไล่ศัตรูจนสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี กอบกู้เอกราชได้สำเร็จ ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงรักษาความเป็นธรรมราชาด้วยแต่พระองค์ก็ทรงครองราชย์อยู่ในช่วงเวลาอันสั้น\n</p>\n<p>\nสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ความเป็นเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน เปลี่ยนแปลงรูปแบบอีกครั้ง จากเทพสมมติ มาเป็น &quot;อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ&quot; คือ เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ประชาชนทั้งปวงยอมรับ ด้วยการที่ข้าราชการและราษฎรทั้งปวงพร้อมกันกราบทูลวิงวอนเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นครองราชสมบัติ นอกจากประชาชนจะยอมรับในองค์พระมหากษัตริย์แล้ว ประชาชนยังมีความเชื่ออีกว่า พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์จะต้องทรงตั้งมั่นในหลักธรรมะ คือ ทศพิธราชธรรม สังคหวัตถุ และ จักรวรรดิวัตร ที่จะทรงใช้ในการทรงคุ้มครองและทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดินและราษฎร\n</p>\n<p>\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #0000ff\">1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล</span>\n</p>\n<p>\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #ff0000\">ตอบ </span>พระมหากษัตริย์ทรงทำให้เกิดความสำนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้ว่าสถาบันการเมืองการปกครองจะแยกสถาบันนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ แต่ต้องให้อำนาจของตนภายใต้พระปรมาภิไธย ทำให้ทุกสถาบันมีจุดรวมกัน อำนาจที่ได้มาจากแหล่งเดียวกัน คือ พระมหากษัตริย์ นอกจากนี้พระมหากษัตริย์ยังทำให้เกิดความสำนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ระหว่างหมู่ชนภายในชาติ โดยที่ต่างเคารพสักการะและจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ร่วมกัน แม้จะมีความแตกต่างกันในด้านเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา ก็มีความสมานสามัคคีกลมเกลียวกันในปวงชนทั้งหลาย ทำให้เกิดความเป็นปึกแผ่นและเป็นพลังที่สำคัญยิ่งของชาติ กล่าวได้ว่า พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมของชาติเป็นศูนย์รวมจิตใจ ก่อให้เกิดความสมานสามัคคี และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ เกิดเอกภาพทั้งในทางการเมืองการปกครองในหมู่ประชาชนอย่างดียิ่ง พระมหากษัตริย์ทรงรักใคร่ห่วงใยประชาชนอย่างยิ่ง ทรงโปรดประชาชนและทรงให้เข้าเฝ้าฯอย่างใกล้ชิด ทำให้เกิดความจงรักภักดีแน่นแฟ้นมากขึ้นไม่เสื่อมคลายพระองค์เสด้จพระราชดำเนินไปทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นถิ่นทุรกันดารหรือมีอันตรายเพียงไร เพื่อทรงทราบถึงทุกข์สุขของประชาชน และพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์อย่างกว้างขวางโดยไม่จำกัด ฐานะ เพศ วัย ประชาชนก็มีความผูกพันกับพระมหากษัตริย์อย่างลึกซึ้งกว้างขวางแน่นแฟ้นมั่นคง จนยากที่จะมีอำนาจใดมาทำให้สั่นคลอนได้\n</p>\n<p>\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #800000\">ที่มา</span>\n</p>\n<p>\n<a href=\"http://www.oknation.net/blog/print.php?id=413500\" title=\"http://www.oknation.net/blog/print.php?id=413500\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none\"><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #000000\">http://www.oknation.net/blog/print.php?id=413500</span></a>\n</p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:4a58735a585375a486bd2df0d9c33776' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:268325a00b51922a4ba1871db85378f5' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n<span class=\"apple-style-span\"><b><span lang=\"TH\" style=\"background: lime; color: black; font-size: 16pt\"><span style=\"font-family: Angsana New\">1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ</span></span></b></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: black; font-size: 9pt\"> </span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: black; font-size: 9pt\"></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: black; font-size: 9pt\"></span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: black; font-size: 9pt\"><o:p></o:p></span><strong><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; background: green; color: black; font-size: 16pt\">ตอบ</span></u></strong><strong><span style=\"font-family: \'Angsana New\',\'serif\'; background: green; color: black; font-size: 16pt\">    <span lang=\"TH\"> </span></span></strong><span style=\"font-family: Angsana New\"><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"background: green; color: black; font-size: 16pt\">-</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"background: white; color: black; font-size: 16pt\"> <span style=\"background: red\">แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญ และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้1. พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ2. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน3.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี</span></span></span></span> </p>\n<p>\n<span style=\"font-family: Angsana New\"><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"background: white; color: black; font-size: 16pt\"><span style=\"background: red\"></span></span></span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-family: Angsana New\"><span class=\"apple-style-span\"><b><span lang=\"TH\" style=\"background: lime; color: black; font-size: 16pt\">1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา</span></b></span><span lang=\"TH\" style=\"background: white; color: black; font-size: 16pt\"> </span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-family: Angsana New\"><span lang=\"TH\" style=\"background: white; color: black; font-size: 16pt\"></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: Angsana New\"><span lang=\"TH\" style=\"background: white; color: black; font-size: 16pt\"><o:p></o:p></span></span><span class=\"apple-style-span\"><u><span lang=\"TH\" style=\"background: green; color: black; font-size: 16pt\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ตอบ</span></span></u></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"background: white; color: black; font-size: 16pt\"><span style=\"font-family: Angsana New\"> <span lang=\"TH\"> -</span> </span><span lang=\"TH\" style=\"background: red\"><span style=\"font-family: Angsana New\">รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด 800 ปี ภายใต้การปกครองแบบ</span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A\" title=\"สมบูรณาญาสิทธิราช\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">สมบูรณาญาสิทธิราช</span></a></span><span style=\"background: red\"><span style=\"font-family: Angsana New\"> </span><span lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็น</span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A2\" title=\"อาณาจักรสุโขทัย\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">อาณาจักรสุโขทัย</span></a></span><span style=\"font-family: Angsana New\"> </span><span lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">โดยมี</span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C\" title=\"พ่อขุนศรีอินทราทิตย์\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">พ่อขุนศรีอินทราทิตย์</span></a><span style=\"font-family: Angsana New\">เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของ</span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9\" title=\"ศาสนาฮินดู\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">ศาสนาฮินดู</span></a></span><span style=\"font-family: Angsana New\"> (</span><span lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ซึ่งรับเข้ามาจาก</span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B9%8C\" title=\"จักรวรรดิขะแมร์\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">จักรวรรดิขะแมร์</span></a><span style=\"font-family: Angsana New\">) และหลักความเชื่อแบบ</span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97\" title=\"นิกายเถรวาท\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท</span></a></span><span style=\"font-family: Angsana New\"> </span><span lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจาก</span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B0\" title=\"วรรณะ\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">วรรณะ</span></a></span><span style=\"font-family: Angsana New\"> &quot;<span lang=\"TH\">กษัตริย์&quot; ของศาสนาฮินดู เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหาร ส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด &quot;ธรรมราชา&quot; ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท หลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรมสมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบ</span></span></span></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"background: red; color: black; font-size: 16pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"พ่อปกครองลูก (หน้านี้ไม่มี)\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">พ่อปกครองลูก</span></a></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"background: red; color: black; font-size: 16pt\"><span style=\"font-family: Angsana New\"> </span><span lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า &quot;พ่อขุน&quot; มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาล</span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A\" title=\"พ่อขุนรามคำแหงมหาราช\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">พ่อขุนรามคำแหงมหาราช</span></a><span style=\"font-family: Angsana New\">แล้ว พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า &quot;พญา&quot; เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาล</span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%84%E0%B8%97\" title=\"พญาลิไท\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">พญาลิไท</span></a></span><span style=\"font-family: Angsana New\"> </span><span lang=\"TH\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2\" title=\"พระพุทธศาสนา\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">พระพุทธศาสนา</span></a><span style=\"font-family: Angsana New\">ลัทธิ</span><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"ลังกาวงศ์ (หน้านี้ไม่มี)\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">ลังกาวงศ์</span></a></span><span style=\"font-family: Angsana New\"> <span lang=\"TH\">เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด</span> </span><span lang=\"TH\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"ธรรมราชา (หน้านี้ไม่มี)\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">ธรรมราชา</span></a></span><span style=\"font-family: Angsana New\"> </span><span lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ตามคติพุทธขึ้นมา ทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า &quot;พระมหาธรรมราชา&quot; ในสมัย</span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2\" title=\"กรุงศรีอยุธยา\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">กรุงศรีอยุธยา</span></a></span><span style=\"font-family: Angsana New\"> <span lang=\"TH\">ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้นประชาชนมากขึ้น</span> </span><span lang=\"TH\"><span style=\"font-family: Angsana New\">คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า &quot;สมเด็จ&quot; หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น</span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2\" title=\"ระบอบประชาธิปไตย\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">ระบอบประชาธิปไตย</span></a></span><span style=\"font-family: Angsana New\"> <span lang=\"TH\">พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหาร พระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราช</span></span></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><span lang=\"TH\" style=\"background: white; color: black; font-size: 16pt\"> </span></span></span></p>\n<p>\n<span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><span lang=\"TH\" style=\"background: white; color: black; font-size: 16pt\"></span></span></span>\n</p>\n<p><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><span lang=\"TH\" style=\"background: white; color: black; font-size: 16pt\"></span><span lang=\"TH\" style=\"color: black\"><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-family: Angsana New\"><span class=\"apple-style-span\"><b><span lang=\"TH\" style=\"background: lime; color: black; font-size: 16pt\">1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล</span></b></span><b><span lang=\"TH\" style=\"background: white; color: black; font-size: 16pt\"> </span></b></span></p>\n<p>\n<span style=\"font-family: Angsana New\"><b><span lang=\"TH\" style=\"background: white; color: black; font-size: 16pt\"></span></b></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: Angsana New\"><b><span lang=\"TH\" style=\"background: white; color: black; font-size: 16pt\"></span></b><span lang=\"TH\" style=\"color: black\"><o:p></o:p></span></span><u><span lang=\"TH\" style=\"background: green; color: black; font-size: 16pt\"><o:p><span style=\"font-family: Angsana New\">ตอบ</span><span style=\"background: white; color: black; font-size: 16pt\"><span style=\"font-family: Angsana New\">  -<span lang=\"TH\"> </span> <span lang=\"TH\" style=\"background: red\">การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์ </span><span style=\"background: red\"> <span lang=\"TH\">ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญ </span> <span lang=\"TH\">ไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด  เพราะฉะนั้น </span> <span lang=\"TH\">พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง </span> <span lang=\"TH\">หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์ </span> <span lang=\"TH\">ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลง เป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรี </span> <span lang=\"TH\">และให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรอง </span> <span lang=\"TH\">ดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็น พระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง</span></span><span lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span></span></span></o:p></span></u></p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:268325a00b51922a4ba1871db85378f5' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:c29e7e8b331f2a498835ea20fc6a55c6' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><img src=\"/sites/all/modules/tinymce/tinymce/jscripts/tiny_mce/plugins/emotions/images/smiley-innocent.gif\" title=\"Innocent\" alt=\"Innocent\" border=\"0\" />1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ</p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #ff0000\">ตอบ</span> การปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการดำเนินการทางการเมืองการปกครอง รัฐธรรมนูญได้กำหนดพระราชอำนาจของ<br />พระมหากษัตริย์ ในยุคสมัยโบราณกษัตริย์คือผู้นำทางสังคมสูงสุด เป็นแกนกลางของอำนาจทั้งหลายทั้งปวงในขอบเขตแห่งดินแดนที่อำนาจของอาณาจักรแผ่ไปถึง กำหนดและดำเนินนโยบายแห่งรัฐอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด อันเป็นความจำเป็นในสถานการณ์เช่นนั้น เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป สถาบันกษัตริย์ก็จำต้องปรับตัวไปตามสภาพความเป็นจริงของสังคม ดังในปัจจุบันนี้ สถาบันกษัตริย์ในประเทศต่างๆที่มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย คงอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ปราศจากอำนาจในทางการเมืองโดยตรง<br />ถึงแม้สถาบันกษัตริย์ในปัจจุบันจะดำรงอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ปราศจากอำนาจทางการเมือง แต่ได้รับความคุ้มครองให้อยู่ในสถานะอันพิเศษ แม้พระองค์จะไม่ทรงมีอำนาจทางการเมืองโดยตรง แต่อำนาจแห่งราชธรรมนั้น ทำให้พระองค์ทรงดำเนินงานด้านต่างๆ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง</p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #333399\">1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา</span></p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #ff0000\">ตอบ</span> อดีตอำนาจสูงสุดในแผ่นดินเป็นของพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นเจ้าชีวิตที่ทรงมีพระราชอำนาจเหนือชีวิตของคนทุกคน จะให้ประหารชีวิต ลงโทษราษฎรใดๆ ได้ตามพระราชอัธยาศัยและทรงเป็นเจ้าแผ่นดิน หรือ เป็นเจ้าของแผ่นดินทั่วพระราชอาณาจักร ราษฎรทั้งหลายเป็นข้าของแผ่นดิน จะมีสิทธิครอบครองที่ดินได้ต้องขอพระบรมราชานุญาตก่อน นั่นคือ ความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพระเจ้าแผ่นดิน</p>\n<p>การดำรงฐานะของเจ้าชีวิตเจ้าแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีตมี รูปแบบการใช้อำนาจแตกต่างกันไปบ้างตามกาลสมัย แต่ก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งพระราชอำนาจสูงสุดเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของผู้คนตลอดทั่วพระราชอาณาจักร และทรงเป็นผู้นำทางจิตใจของคนไทยโดยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลากว่า 1,000 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน</p>\n<p>สมัยกรุงสุโขทัยมีพระมหากษัตริย์ที่เรียกว่า &quot;พ่อขุน&quot; เป็นเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน ทรงเป็นผู้ครองนครที่ดูแลทุกข์สุข ปกครองบ้านเมืองให้อยู่อย่างปลอดภัย คอยปกป้องดูแลราษฎรให้มีความสุขได้รับความยุติธรรมเสมอหน้ากัน ราษฎรมีสิทธิในการร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์ และมีเสรีภาพในการทำมาค้าขาย เป็นการปกครองเยี่ยงบิดากับบุตร หรือ &quot;พ่อปกครองลูก&quot;</p>\n<p>ในสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ในฐานะเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน ทรงเป็นสมมติเทพของคนไทยตามอิทธิพลลัทธิมหายานปนลัทธิพราหมณ์ที่มีความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นพระจักรพรรดิและได้มีการยกฐานะพระมหากษัตริย์เท่ากับพระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่ในเทวภูมิ (ราชบัลลังก์ของพระมหากษัตริย์เหมือนแท่นบัลลังก์ของพระอินทร์ประดับด้วยรูปสิงห์และครุฑตามความเชื่อในเทพต่าง ๆ เช่น พระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์ พระนามของพระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์จึงทรงพระนามตามชื่อเทพพรหมเหล่านั้น เช่น พระนารายณ์มหาราช พระรามาธิบดี) ขณะเดียวกัน &quot;พระมหากษัตริย์&quot; ในสมัยอยุธยาก็ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกในพระพุทธศาสนา คนไทยเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ของตนคือพระ &quot;ธรรมราชา&quot; เป็นผู้มีพระบรมเดชานุภาพทรงความเข้มแข็งเด็ดขาดควบคู่ไปกับทรงต้องบำรุงพระพุทธศาสนา</p>\n<p>หลังจากพระนเรศวรมหาราชทรงขับไล่พม่าข้าศึกไปจากกรุงศรีอยุธยาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็หันไปบำรุงด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม มิได้บำรุงด้านทหารให้เข้มแข็งเหมือนเดิม มินานก็เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 แก่พม่าอีกครั้งหนึ่ง จนอยุธยาต้องล่มสลายลงเมื่อ พ.ศ. 2310</p>\n<p>สมัยพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ต้องใช้พระราชอำนาจเด็ดขาดกอบกู้บ้านเมือง ขับไล่ศัตรูจนสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี กอบกู้เอกราชได้สำเร็จ ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงรักษาความเป็นธรรมราชาด้วยแต่พระองค์ก็ทรงครองราชย์อยู่ในช่วงเวลาอันสั้น</p>\n<p>สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ความเป็นเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน เปลี่ยนแปลงรูปแบบอีกครั้ง จากเทพสมมติ มาเป็น &quot;อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ&quot; คือ เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ประชาชนทั้งปวงยอมรับ ด้วยการที่ข้าราชการและราษฎรทั้งปวงพร้อมกันกราบทูลวิงวอนเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นครองราชสมบัติ นอกจากประชาชนจะยอมรับในองค์พระมหากษัตริย์แล้ว ประชาชนยังมีความเชื่ออีกว่า พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์จะต้องทรงตั้งมั่นในหลักธรรมะ คือ ทศพิธราชธรรม สังคหวัตถุ และ จักรวรรดิวัตร ที่จะทรงใช้ในการทรงคุ้มครองและทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดินและราษฎร</p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #0000ff\">1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล</span></p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #ff0000\">ตอบ </span>พระมหากษัตริย์ทรงทำให้เกิดความสำนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้ว่าสถาบันการเมืองการปกครองจะแยกสถาบันนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ แต่ต้องให้อำนาจของตนภายใต้พระปรมาภิไธย ทำให้ทุกสถาบันมีจุดรวมกัน อำนาจที่ได้มาจากแหล่งเดียวกัน คือ พระมหากษัตริย์ นอกจากนี้พระมหากษัตริย์ยังทำให้เกิดความสำนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ระหว่างหมู่ชนภายในชาติ โดยที่ต่างเคารพสักการะและจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ร่วมกัน แม้จะมีความแตกต่างกันในด้านเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา ก็มีความสมานสามัคคีกลมเกลียวกันในปวงชนทั้งหลาย ทำให้เกิดความเป็นปึกแผ่นและเป็นพลังที่สำคัญยิ่งของชาติ กล่าวได้ว่า พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมของชาติเป็นศูนย์รวมจิตใจ ก่อให้เกิดความสมานสามัคคี และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ เกิดเอกภาพทั้งในทางการเมืองการปกครองในหมู่ประชาชนอย่างดียิ่ง พระมหากษัตริย์ทรงรักใคร่ห่วงใยประชาชนอย่างยิ่ง ทรงโปรดประชาชนและทรงให้เข้าเฝ้าฯอย่างใกล้ชิด ทำให้เกิดความจงรักภักดีแน่นแฟ้นมากขึ้นไม่เสื่อมคลายพระองค์เสด้จพระราชดำเนินไปทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นถิ่นทุรกันดารหรือมีอันตรายเพียงไร เพื่อทรงทราบถึงทุกข์สุขของประชาชน และพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์อย่างกว้างขวางโดยไม่จำกัด ฐานะ เพศ วัย ประชาชนก็มีความผูกพันกับพระมหากษัตริย์อย่างลึกซึ้งกว้างขวางแน่นแฟ้นมั่นคง จนยากที่จะมีอำนาจใดมาทำให้สั่นคลอนได้</p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #800000\">ที่มา</span></p>\n<p><a href=\"http://www.oknation.net/blog/print.php?id=413500\" title=\"http://www.oknation.net/blog/print.php?id=413500\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none\"><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #000000\">http://www.oknation.net/blog/print.php?id=413500</span></a></p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:c29e7e8b331f2a498835ea20fc6a55c6' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:c25cf26136cc4cd50c3831976ad332fe' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>  </p>\n<h2 align=\"center\" class=\"ctl\"><a href=\"file:///node/82485\"><span style=\"color: #0099ff\"><span style=\"font-size: x-large\"><u>รากฐานแห่งพระราชอำนาจ</u></span></span></a></h2>\n<p>\n<span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #ff0000\">1.</span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #ff0000\">รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ</span> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #ff0000\"><span style=\"font-size: x-large\">ตอบ</span></span><span style=\"font-size: x-large\"> </span><span style=\"font-size: large\">แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการปฏิบัติการทางการเมืองการ ปกครองทุกอย่างแต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้ รับรองโดยรัฐธรรมนูญและพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของ ไทยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้</span>\n</p>\n<div dir=\"ltr\" id=\"comments\">\n<p>\n<span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: large\">1.</span></span><span style=\"font-size: large\">พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: large\">2.</span></span><span style=\"font-size: large\">พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: large\">3.</span></span><span style=\"font-size: large\">พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี</span>\n</p>\n</div>\n<ol>\n<li> \n<ol>\n<li>\n<p>\n <span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #ff0000\"><span style=\"font-size: x-large\"><span lang=\"th-TH\">อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา</span></span></span></span>\n </p>\n<p>\n <span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #ff0000\"><span style=\"font-size: x-large\"><span lang=\"th-TH\">ตอบ</span></span></span></span>\n </p>\n</li>\n</ol>\n</li>\n</ol>\n<p>\n<a name=\"comments\" title=\"comments\"></a><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด </span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">800 </span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">ปี ภายใต้การปกครองแบบ<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/สมบูรณาญาสิทธิราช\"><u><span style=\"color: #0000ff\">สมบูรณาญาสิทธิราช</span></u></a></span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"> </span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็น<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/อาณาจักรสุโขทัย\"><u><span style=\"color: #0000ff\">อาณาจักรสุโขทัย</span></u></a></span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"> </span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">โดยมี<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/พ่อขุนศรีอินทราทิตย์\"><u><span style=\"color: #0000ff\">พ่อขุนศรีอินทราทิตย์</span></u></a>เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของ<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/ศาสนาฮินดู\"><u><span style=\"color: #0000ff\">ศาสนาฮินดู</span></u></a></span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\">   </span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\">(</span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">ซึ่งรับเข้ามาจาก<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/จักรวรรดิขะแมร์\"><u><span style=\"color: #0000ff\">จักรวรรดิขะแมร์</span></u></a></span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">) </span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">และหลักความเชื่อแบบ<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/นิกายเถรวาท\"><u><span style=\"color: #0000ff\">พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท</span></u></a></span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"> </span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจาก<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/วรรณะ\"><u><span style=\"color: #0000ff\">วรรณะ</span></u></a></span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"> </span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\">&quot;</span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">กษัตริย์</span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">&quot;<br />\n</span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">ของศาสนาฮินดู เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหาร</span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\"><br />\n</span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">ส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด </span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">&quot;</span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">ธรรมราชา</span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">&quot; </span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท</span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\"><br />\n</span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">หลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ </span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">6<br />\n</span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม</span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\"><br />\n</span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบ<a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=พ่อปกครองลูก&amp;action=edit&amp;redlink=1\"><u><span style=\"color: #0000ff\">พ่อปกครองลูก</span></u></a></span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"> </span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า </span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">&quot;</span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">พ่อขุน</span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">&quot; </span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาล<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/พ่อขุนรามคำแหงมหาราช\"><u><span style=\"color: #0000ff\">พ่อขุนรามคำแหงมหาราช</span></u></a>แล้ว พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า </span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">&quot;</span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">พญา</span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">&quot; </span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาล<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/พญาลิไท\"><u><span style=\"color: #0000ff\">พญาลิไท</span></u></a></span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"> </span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/พระพุทธศาสนา\"><u><span style=\"color: #0000ff\">พระพุทธศาสนา</span></u></a>ลัทธิ<a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=ลังกาวงศ์&amp;action=edit&amp;redlink=1\"><u><span style=\"color: #0000ff\">ลังกาวงศ์</span></u></a></span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"> </span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด</span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"> </span></span><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=ธรรมราชา&amp;action=edit&amp;redlink=1\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\"><u>ธรรมราชา</u></span></span></span></a><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"> </span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">ตามคติพุทธขึ้นมา ทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า </span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">&quot;</span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">พระมหาธรรมราชา</span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">&quot; </span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">ในสมัย<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/กรุงศรีอยุธยา\"><u><span style=\"color: #0000ff\">กรุงศรีอยุธยา</span></u></a></span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"> </span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">ได้</span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\"><br />\n</span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ</span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\"><br />\n</span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์</span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\"><br />\n</span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้น</span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\"><br />\n</span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">ประชาชนมากขึ้น</span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"> </span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า </span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">&quot;</span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">สมเด็จ</span></span></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">&quot; </span></span></span></span></span><span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/ระบอบประชาธิปไตย\"><u><span style=\"color: #0000ff\">ระบอบประชาธิปไตย</span></u></a></span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"> </span></span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\">พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหาร พระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราช</span></span></span><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"font-size: large\">     </span></span><span style=\"font-size: large\"> </span></span>\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<ol>\n<li> <br />\n<ol start=\"2\">\n<li>\n<p>\n <span style=\"color: #ff0000\"><span style=\"font-size: x-large\">การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล</span></span>\n </p>\n<p>\n <span style=\"font-size: x-large\"><span style=\"color: #ff0000\">ตอบ</span></span>\n </p>\n</li>\n<li>\n<p>\n <a name=\"comments1\" title=\"comments1\"></a><span style=\"font-size: x-large\"><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\"><span style=\"font-weight: normal\">การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์ </span></span></span></span></span></strong><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"font-weight: normal\"> </span></span></span></strong><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\"><span style=\"font-weight: normal\">ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญ </span></span></span></span></span></strong><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"font-weight: normal\"> </span></span></span></strong><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\"><span style=\"font-weight: normal\">ไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด  เพราะฉะนั้น </span></span></span></span></span></strong><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"font-weight: normal\"> </span></span></span></strong><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\"><span style=\"font-weight: normal\">พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง </span></span></span></span></span></strong><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"font-weight: normal\"> </span></span></span></strong><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\"><span style=\"font-weight: normal\">หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์ </span></span></span></span></span></strong><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"font-weight: normal\"> </span></span></span></strong><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\"><span style=\"font-weight: normal\">ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลง เป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรี </span></span></span></span></span></strong><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"font-weight: normal\"> </span></span></span></strong><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\"><span style=\"font-weight: normal\">และให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรอง </span></span></span></span></span></strong><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"font-weight: normal\"> </span></span></span></strong><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><span style=\"font-size: large\"><span lang=\"th-TH\"><span style=\"font-weight: normal\">ดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็น พระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง</span></span></span></span></span></strong><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"font-weight: normal\">  </span></span></span></strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"font-weight: normal\"> </span></span></span></span>\n </p>\n</li>\n</ol>\n</li>\n</ol>\n<p style=\"font-weight: normal\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"font-weight: normal\">\n<a name=\"comments2\" title=\"comments2\"></a><span style=\"color: #000000\"> <span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: medium\">www.mwit.ac.th/~keng/lesson<span lang=\"th-TH\">05/7.</span>doc  </span></span></span>\n</p>\n<p style=\"font-weight: normal\">\n&nbsp;\n</p>\n<p style=\"font-weight: normal\">\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: Times New Roman, serif\"><span style=\"font-size: medium\">http://power.manager.co.th/57-67.html</span></span></span>\n</p>\n<p style=\"margin-bottom: 0cm\">\n&nbsp;\n</p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:c25cf26136cc4cd50c3831976ad332fe' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:0db6cf2a2985ff1983073790f0bd237d' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n<span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #ff0000\">1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ</span> <strong><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 9pt\">พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมืองและกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่างแต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญและพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้</span><span style=\"font-size: 9pt\">                      <span lang=\"TH\"> </span></span></strong></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 9pt\"><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #800080\"><strong><span style=\"color: #000000\">                        <span lang=\"TH\"> 1.พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราบัญญัติ</span>  </span></strong><strong><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\"> <br />\n</span>                       <span lang=\"TH\"> </span> </span></strong><strong><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\">2.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน<br />\n</span>                        <span lang=\"TH\"> 3.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี</span></span></strong></span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"></span>\n</p>\n<p>\n1.1 อิทธิพลและการสนับ สนุนจากลัทธิศาสนา\n</p>\n<p>\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #ff0000\"><span style=\"color: #000000\"><u><strong>ตอบ</strong></u> รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด 800 ปี ภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู (ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์) และหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ &quot;กษัตริย์&quot; ของศาสนาฮินดู เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหาร ส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด &quot;ธรรมราชา&quot; ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท หลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม                                                                     </span></span>\n</p>\n<p>\n<span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #ff0000\"></span><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #ff0000\"><span style=\"color: #000000\">    สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า &quot;พ่อขุน&quot; มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า &quot;พญา&quot; เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาลพญาลิไท พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด ธรรมราชา ตามคติพุทธขึ้นมา ทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า &quot;พระมหาธรรมราชา&quot; ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้นประชาชนมากขึ้น คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า &quot;สมเด็จ&quot; หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหาร พระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราช</span></span>\n</p>\n<p>\n1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล\n</p>\n<p>\n<strong><u>ตอบ </u></strong><span style=\"color: #984806\"> </span><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\">การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์</span> <span lang=\"TH\">ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญ</span> <span lang=\"TH\"> ไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด</span> <span lang=\"TH\"> เพราะฉะนั้น</span> <span lang=\"TH\">พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง</span> <span lang=\"TH\">หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์</span> <span lang=\"TH\"> ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลงเป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรี</span> <span lang=\"TH\">และให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรอง</span> <span lang=\"TH\">ดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็นพระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง</span>  </span>\n</p>\n<p>\n<span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: red; font-size: 14.5pt\"><span style=\"color: #000000\">อ้างอิง </span></span></span>\n</p>\n<p>\n<span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\', serif; color: red; font-size: 14.5pt\"><span style=\"color: #000000\">www.mwit.ac.th/~keng/lesson05/7.doc</span></span></span>\n</p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:0db6cf2a2985ff1983073790f0bd237d' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:e378d4eab9b6e050f0b6042911eca21f' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><b><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"background-color: #ccffff\"><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #99cc00\">1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ</span></span></span></span></b></p>\n<p><span style=\"color: #000000\"><b><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\">           ตอบ   </span></span></b><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt\">แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง</span><span style=\"font-size: 20pt\"><span>  </span><span lang=\"TH\">และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง</span><span>  </span><span lang=\"TH\">แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญ</span><span>  </span><span lang=\"TH\">และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย</span><span>  </span><span lang=\"TH\">พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์</span><span>  </span><span lang=\"TH\">มีดังนี้</span></span></span></span></p>\n<p><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"font-size: 20pt\"><span lang=\"TH\"><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #000000\">            </span><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #cc99ff\"> </span></span></span></span><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #cc99ff\"><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Browallia New\', sans-serif\"><span>1.<span style=\"font-family: \'Times New Roman\'\">      </span></span></span></b><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt\">พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ</span></span></span></p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #cc99ff\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt\">             </span></span><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Browallia New\', sans-serif\"><span>2.<span style=\"font-family: \'Times New Roman\'\">      </span></span></span></b><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt\">พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน</span></span></span></p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #cc99ff\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt\">             </span></span><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Browallia New\', sans-serif\"><span>3.<span style=\"font-family: \'Times New Roman\'\">      </span></span></span></b><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt\">พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี</span><span style=\"font-size: 20pt\"> </span></span></span></p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #ff00ff\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"font-size: 20pt\"><span></span></span></span><b><span style=\"font-size: 20pt\"><span style=\"background-color: #ccffff\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\">1.1</span><span style=\"font-family: \'Times New Roman\'\">    </span></span></span></b><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><b><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt\"><span style=\"background-color: #ccffff\">อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา</span></span></b></span></span></p>\n<p><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><b><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt\">             </span></b></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #000000\">รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด 800 ปี ภายใต้การปกครองแบบ</span></span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A\" title=\"สมบูรณาญาสิทธิราช\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif; color: windowtext\">สมบูรณาญาสิทธิราช</span></a><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #000000\"> <span lang=\"TH\">โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็น</span></span></span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A2\" title=\"อาณาจักรสุโขทัย\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif; color: windowtext\">อาณาจักรสุโขทัย</span></a><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #000000\"> <span lang=\"TH\">โดยมี</span></span></span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C\" title=\"พ่อขุนศรีอินทราทิตย์\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif; color: windowtext\">พ่อขุนศรีอินทราทิตย์</span></a><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #000000\">เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของ</span></span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9\" title=\"ศาสนาฮินดู\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif; color: windowtext\">ศาสนาฮินดู</span></a><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #000000\"> (<span lang=\"TH\">ซึ่งรับเข้ามาจาก</span></span></span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B9%8C\" title=\"จักรวรรดิขะแมร์\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif; color: windowtext\">จักรวรรดิขะแมร์</span></a><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #000000\">) และหลักความเชื่อแบบ</span></span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97\" title=\"นิกายเถรวาท\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif; color: windowtext\">พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท</span></a><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #000000\"> <span lang=\"TH\">ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจาก</span></span></span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B0\" title=\"วรรณะ\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif; color: windowtext\">วรรณะ</span></a><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #000000\"> &quot;<span lang=\"TH\">กษัตริย์&quot; ของศาสนาฮินดู เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหาร ส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด &quot;ธรรมราชา&quot; ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท หลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม</span></span></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\">             </span></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #000000\">สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบ</span></span><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"พ่อปกครองลูก (หน้านี้ไม่มี)\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif; color: windowtext\">พ่อปกครองลูก</span></a><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #000000\"> <span lang=\"TH\">พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า &quot;พ่อขุน&quot; มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาล</span></span></span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A\" title=\"พ่อขุนรามคำแหงมหาราช\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif; color: windowtext\">พ่อขุนรามคำแหงมหาราช</span></a><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #000000\">แล้ว พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า &quot;พญา&quot; เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาล</span></span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%84%E0%B8%97\" title=\"พญาลิไท\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif; color: windowtext\">พญาลิไท</span></a><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #000000\"> </span></span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2\" title=\"พระพุทธศาสนา\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif; color: windowtext\">พระพุทธศาสนา</span></a><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #000000\">ลัทธิ</span></span><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"ลังกาวงศ์ (หน้านี้ไม่มี)\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif; color: windowtext\">ลังกาวงศ์</span></a><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #000000\"> <span lang=\"TH\">เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด</span> </span></span><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"ธรรมราชา (หน้านี้ไม่มี)\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif; color: windowtext\">ธรรมราชา</span></a><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #000000\"> <span lang=\"TH\">ตามคติพุทธขึ้นมา ทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า &quot;พระมหาธรรมราชา&quot; ในสมัย</span></span></span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2\" title=\"กรุงศรีอยุธยา\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif; color: windowtext\">กรุงศรีอยุธยา</span></a><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #000000\"> <span lang=\"TH\">ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้นประชาชนมากขึ้น</span> <span lang=\"TH\">คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า &quot;สมเด็จ&quot; หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น</span></span></span><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2\" title=\"ระบอบประชาธิปไตย\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; text-decoration: none; font-family: \'Angsana New\', serif; color: windowtext\">ระบอบประชาธิปไตย</span></a><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span style=\"color: #000000\"> <span lang=\"TH\">พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหาร พระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราช</span></span></span></p>\n<p><span class=\"Apple-style-span\" style=\"color: #003366\"><span style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span lang=\"TH\"></span></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'\"><span style=\"background-color: #ccffff\">1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล</span> </span></span></b></span></p>\n<p><b><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt\"><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #000000\">             </span></span></b><span><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\" style=\"line-height: 31px; font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">พระมหากษัตริย์ได้รับการยอมรับเทิดทูนจากประชาชน</span><span style=\"line-height: 31px; font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span>  </span><span lang=\"TH\">ในลักษณะเป็นเสมือนสถาบันศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ความคุ้มครองแก่ตน</span><span>  </span><span lang=\"TH\">การยอมอยู่ใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์เป็นไปด้วยความสมัครใจ</span><span> </span><span lang=\"TH\">บังเกิดจากความจงรักภักดีเพราะตระหนักว่า</span><span>  </span><span lang=\"TH\">ประเทศชาติมีความสงบและมั่นคงเพราะพระบารมีของพระมหากษัตริย์</span></span></span></span></p>\n<p><span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"line-height: 31px; font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span lang=\"TH\">             </span></span></span><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\" style=\"line-height: 31px; font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\">ปัจจุบันแม้ประเทศไทยจะเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข</span><span style=\"line-height: 31px; font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span>  </span><span lang=\"TH\">แต่ประชาชนในประเทศไทยมีความจงรักภักดีและยึดมั่นพระมหากษัตริย์เสมือนเจ้าเหนือหัว</span><span>  </span><span lang=\"TH\">ดังที่ใช้ศัพท์แทนองค์พระมหากษัตริย์ว่า พระเจ้าอยู่หัว</span><span>  </span><span lang=\"TH\">คนไทยมีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์เพราะพระมหากษัตริย์ทรงมีความใกล้ชิดกับประชาชน</span><span>  </span><span lang=\"TH\">ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุข</span><span>  </span><span lang=\"TH\">เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับประชาชนไม่ว่าจะเสด็จไปที่แห่งใดประชาขนสามารถเข้าเฝ้าฯ ได้อย่างใกล้ชิด</span><span>  </span><span lang=\"TH\">นอกจากนี้พระมหากษัตริย์ทรงมีบทบาทในการช่วยเหลือประชาชนมาตลอด</span><span>  </span><span lang=\"TH\">การเสด็จเยี่ยมประชาชนในท้องถิ่นทุรกันดาร</span><span>  </span><span lang=\"TH\">ทรงรับทราบทุกข์สุขและพยายามหาทางแก้ไขช่วยเหลือ จัดทำและสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ชาติ</span><span>  </span><span lang=\"TH\">ประชาชน ความรู้สึกผูกพันและยึดถือ</span></span></span></span></p>\n<p><span><span style=\"color: #000000\"><span style=\"line-height: 31px; font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span lang=\"TH\"></span></span></span></span></p>\n<p><span style=\"background-color: #ccffcc\"><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 20pt; font-family: \'Angsana New\', serif\"> </span></span><span style=\"font-size: x-small\"><span style=\"font-family: Arial, sans-serif; color: #0e774a\"><span style=\"font-size: small\"><span style=\"color: #000000\"><a href=\"http://www.mwit.ac.th/~keng/lesson05/7.doc\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none; color: #69951d\">www.mwit.ac.th/~keng/lesson<span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 10pt; font-family: \'Angsana New\', serif; color: #0e774a\">05/7.</span><span style=\"font-family: Arial, sans-serif; color: #0e774a\"><span style=\"font-size: small\">doc</span></span></span></a></span></span></span></span></span></p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:e378d4eab9b6e050f0b6042911eca21f' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:699c2937cf43edf9de50b2db99320444' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span style=\"color: #000000\"><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\">1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ</span></b><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p></o:p></span></b></span> </p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><span> </span>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับยืนยันความเป็นประมุขสูงสุดของพระมหากษัตริย์ โดยบัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ หมายความว่า ผู้ใดจะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ไม่ได้ ผู้ละเมิดต่อพระมหากษัตริย์ถือว่าเป็นการกระทำความผิดอย่างร้ายแรง รัฐธรรมนูญบางฉบับถึงกับไม่ยอมให้มีการนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ <span>  </span>การปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการดำเนินการทางการเมืองการปกครอง รัฐธรรมนูญได้กำหนดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ </span></span>\n</p>\n<p><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p></o:p></span></span> <span style=\"color: #000000\"><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\">1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา </span></b><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p></o:p></span></b></span><span style=\"color: #000000\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\">พระพุทธศาสนาได้เข้ามาในประเทศจีนดังได้ปรากฏในหลักฐาน เมื่อประมาณพุทธศักราช </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\">608<span lang=\"TH\"> ในสมัยของพระจักรพรรดิเม่งเต้แห่งราชวงศ์ฮั่น พระได้จัดส่งคณะทูต </span>18<span lang=\"TH\"> คน ไปสืบพระพุทธศาสนาในอินเดีย คณะทูตชุดนี้ได้เดินทางกลับประเทศจีนพร้อมด้วยพระภิกษุ </span>2<span lang=\"TH\"> รูป คือ พระกาศยปมาตังคะ และพระธรรมรักษ์ รวมทั้งคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาอีกส่วนหนึ่งด้วย เมื่อพระเถระ </span>2<span lang=\"TH\"> รูป พร้อมด้วยคณะทูตมาถึงนครโลยาง พระเจ้าฮั่นเม่งเต้ ได้ทรงสั่งให้สร้างวัดเพื่อเป็นที่อยู่ของพระทั้ง </span>2<span lang=\"TH\"> รูป นั้นซึ่งมีชื่อว่า วัดแป๊ะเบ๊ยี่ แปลเป็นไทยว่า วัดม้าขาว เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ม้าตัวที่บรรทุกพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากับพระเถระทั้งสอง หลังจากนั้นพระปาศยมาตังตะ กับพระธรรมรักษ์ได้แปลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็นภาษาจีนเล่มแรก</span><o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"> </span></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span>  </p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"></span></o:p></span><span style=\"color: #000000\"><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\">1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล </span></b><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p></o:p></span></b></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><span style=\"color: #000000\"><span>       </span>การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์<span>  </span>ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญ<span>  </span>ไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใดเพราะฉะนั้น<span>  </span>พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง<span>  </span>หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์<span>  </span>ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลงเป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรี<span>  </span>และให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรอง<span>  </span>ดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็นพระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง<span>     </span><o:p></o:p></span></span><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"> </span></o:p></span></b><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; font-size: 16pt\"><o:p><span style=\"color: #000000\"> </span></o:p></span></b> </p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:699c2937cf43edf9de50b2db99320444' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:9ebb09737bad8ff6304a76346449d9d6' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">1.</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"> <span lang=\"TH\">รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ</span><o:p></o:p></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\">  <span lang=\"TH\">และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ<br />\nในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง</span>  <span lang=\"TH\">แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญ</span>  <span lang=\"TH\">และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย</span>  <span lang=\"TH\">พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์</span>  <span lang=\"TH\">มีดังนี้</span>     <span lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">1. พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ<o:p></o:p></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">2.</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"> <span lang=\"TH\">พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน<br />\n3.</span> <span lang=\"TH\">พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี</span> <span lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\">           <span lang=\"TH\"> ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข</span>  <span lang=\"TH\">นอกเหนือจากพระราชอำนาจที่มีการกำหนดแน่ชัดโดยรัฐธรรมนูญแล้วก็ยังมีสิทธิบางประการที่ยึดถือว่าเป็นสิทธิของพระมหากษัตริย์ที่ทรงกระทำได้แม้รัฐธรรมนูญจะมิได้กำหนดไว้ก็ตาม</span> <span lang=\"TH\">สิทธิของพระมหากษัตริย์</span>  <span lang=\"TH\">ในระบอบประชาธิปไตย</span>  <span lang=\"TH\">ได้แก่<o:p></o:p></span></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">1.สิทธิที่จะพระราชทานคำแนะนำตักเตือน<o:p></o:p></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">2. สิทธิที่จะทรงได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"> <span lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">3.</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"> <span lang=\"TH\">สิทธิที่จะพระราชทานคำปรึกษาหารือ<o:p></o:p></span></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">4.</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"> <span lang=\"TH\">สิทธิที่จะพระราชทานการสนับสนุน<o:p></o:p></span></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา</span></b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด<br />\n800</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"> <span lang=\"TH\">ปีภายใต้การปกครองแบบ<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A\" title=\"สมบูรณาญาสิทธิราช\"><span style=\"color: #e36c0a; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">สมบูรณาญาสิทธิราช</span></span></a></span> <span lang=\"TH\">โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็น<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A2\" title=\"อาณาจักรสุโขทัย\"><span style=\"color: #e36c0a; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">อาณาจักรสุโขทัย</span></span></a></span> <span lang=\"TH\">โดยมี<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C\" title=\"พ่อขุนศรีอินทราทิตย์\"><span style=\"color: #e36c0a; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พ่อขุนศรีอินทราทิตย์</span></span></a>เป็นปฐมกษัตริย์แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของ<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9\" title=\"ศาสนาฮินดู\"><span style=\"color: #e36c0a; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ศาสนาฮินดู</span></span></a></span> (<span lang=\"TH\">ซึ่งรับเข้ามาจาก<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B9%8C\" title=\"จักรวรรดิขะแมร์\"><span style=\"color: #e36c0a; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">จักรวรรดิขะแมร์</span></span></a>)</span> <span lang=\"TH\">และหลักความเชื่อแบบ<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97\" title=\"นิกายเถรวาท\"><span style=\"color: #e36c0a; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท</span></span></a></span> <span lang=\"TH\">ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจาก<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B0\" title=\"วรรณะ\"><span style=\"color: #e36c0a; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">วรรณะ</span></span></a></span> &quot;<span lang=\"TH\">กษัตริย์&quot; ของศาสนาฮินดูเนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหารส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด&quot;ธรรมราชา&quot; ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทหลังจากที่พระพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6</span> <span lang=\"TH\">อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม<o:p></o:p></span></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า&quot;พ่อขุน&quot; มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้วพระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า &quot;พญา&quot;เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น<br />\nในรัชกาลพญาลิไท</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"> <span lang=\"TH\">พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์</span> <span lang=\"TH\">เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด</span> <span lang=\"TH\">ธรรมราชา</span> <span lang=\"TH\">ตามคติพุทธขึ้นมาทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า<br />\n&quot;พระมหาธรรมราชา&quot; ในสมัยกรุงศรีอยุธยา</span> <span lang=\"TH\">ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพหมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์<br />\nทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้น ประชาชนมากขึ้นคำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า&quot;สมเด็จ&quot; หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย</span> <span lang=\"TH\">พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหารพระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราชอำนาจผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ<o:p></o:p></span></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">1.2</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"> <span lang=\"TH\">การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล</span></span></b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">การปกครองโดยพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อนที่เรียกว่า</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #e36c0a; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\">  <span lang=\"TH\">ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์<br />\nนั้น</span>  <span lang=\"TH\">แม้จะมีลักษณะเป็นการปกครองที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดผู้ปกครอง</span>  <span lang=\"TH\">อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของพระมหากษัตริย์ แต่มีลักษณะที่ผิดไปจากระบอบเผด็จการ</span> <span lang=\"TH\">เพราะพระมหากษัตริย์ได้รับการยอมรับเทิดทูนจากประชาชน</span>  <span lang=\"TH\">ในลักษณะเป็นเสมือนสถาบันศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ความคุ้มครองแก่ตน</span>  <span lang=\"TH\">การยอมอยู่ใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์เป็นไปด้วยความสมัครใจ</span>  <span lang=\"TH\">บังเกิดจากความจงรักภักดีเพราะตระหนักว่า</span>  <span lang=\"TH\">ประเทศชาติมีความสงบและมั่นคงเพราะพระบารมีของพระมหากษัตริย์<o:p></o:p></span></span></b><span style=\"font-size: 22pt; color: #1f497d; line-height: 115%; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"><o:p> </o:p></span><span style=\"font-size: 22pt; color: #1f497d; line-height: 115%; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"><o:p> </o:p></span> </p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:9ebb09737bad8ff6304a76346449d9d6' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:5a50ad2134e882eae91d5d98eb05856c' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span style=\"font-size: 18pt; color: black; font-family: \'Angsana New\', serif\"><span lang=\"TH\"><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #00b0f0; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">1.</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #00b0f0; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"> <span lang=\"TH\">รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ</span></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #2b3220; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"><o:p></o:p></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\">  <span lang=\"TH\">และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ<br />\nในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง</span>  <span lang=\"TH\">แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญ</span>  <span lang=\"TH\">และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย</span>  <span lang=\"TH\">พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์</span>  <span lang=\"TH\">มีดังนี้</span>     <span lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">1. พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ<o:p></o:p></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">2.</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"> <span lang=\"TH\">พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน<br />\n3.</span> <span lang=\"TH\">พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี</span> <span lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\">           <span lang=\"TH\"> ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข</span>  <span lang=\"TH\">นอกเหนือจากพระราชอำนาจที่มีการกำหนดแน่ชัดโดยรัฐธรรมนูญแล้วก็ยังมีสิทธิบางประการที่ยึดถือว่าเป็นสิทธิของพระมหากษัตริย์ที่ทรงกระทำได้แม้รัฐธรรมนูญจะมิได้กำหนดไว้ก็ตาม</span> <span lang=\"TH\">สิทธิของพระมหากษัตริย์</span>  <span lang=\"TH\">ในระบอบประชาธิปไตย</span>  <span lang=\"TH\">ได้แก่<o:p></o:p></span></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">1.สิทธิที่จะพระราชทานคำแนะนำตักเตือน<o:p></o:p></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">2. สิทธิที่จะทรงได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"> <span lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">3.</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"> <span lang=\"TH\">สิทธิที่จะพระราชทานคำปรึกษาหารือ<o:p></o:p></span></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">4.</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"> <span lang=\"TH\">สิทธิที่จะพระราชทานการสนับสนุน<o:p></o:p></span></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #00b0f0; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา</span></b><span style=\"font-size: 22pt; color: #2b3220; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด<br />\n800</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"> <span lang=\"TH\">ปีภายใต้การปกครองแบบ<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A\" title=\"สมบูรณาญาสิทธิราช\"><span style=\"color: red; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">สมบูรณาญาสิทธิราช</span></span></a></span> <span lang=\"TH\">โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็น<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A2\" title=\"อาณาจักรสุโขทัย\"><span style=\"color: red; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">อาณาจักรสุโขทัย</span></span></a></span> <span lang=\"TH\">โดยมี<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C\" title=\"พ่อขุนศรีอินทราทิตย์\"><span style=\"color: red; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พ่อขุนศรีอินทราทิตย์</span></span></a>เป็นปฐมกษัตริย์แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของ<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9\" title=\"ศาสนาฮินดู\"><span style=\"color: red; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ศาสนาฮินดู</span></span></a></span> (<span lang=\"TH\">ซึ่งรับเข้ามาจาก<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B9%8C\" title=\"จักรวรรดิขะแมร์\"><span style=\"color: red; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">จักรวรรดิขะแมร์</span></span></a>)</span> <span lang=\"TH\">และหลักความเชื่อแบบ<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97\" title=\"นิกายเถรวาท\"><span style=\"color: red; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท</span></span></a></span> <span lang=\"TH\">ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจาก<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B0\" title=\"วรรณะ\"><span style=\"color: red; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">วรรณะ</span></span></a></span> &quot;<span lang=\"TH\">กษัตริย์&quot; ของศาสนาฮินดูเนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหารส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด&quot;ธรรมราชา&quot; ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทหลังจากที่พระพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6</span> <span lang=\"TH\">อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม<o:p></o:p></span></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า&quot;พ่อขุน&quot; มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้วพระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า &quot;พญา&quot;เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น<br />\nในรัชกาลพญาลิไท</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"> <span lang=\"TH\">พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์</span> <span lang=\"TH\">เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด</span> <span lang=\"TH\">ธรรมราชา</span> <span lang=\"TH\">ตามคติพุทธขึ้นมาทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า<br />\n&quot;พระมหาธรรมราชา&quot; ในสมัยกรุงศรีอยุธยา</span> <span lang=\"TH\">ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพหมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์<br />\nทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้น ประชาชนมากขึ้นคำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า&quot;สมเด็จ&quot; หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย</span> <span lang=\"TH\">พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหารพระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราชอำนาจผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ<o:p></o:p></span></span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #00b0f0; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">1.2</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: #00b0f0; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"> <span lang=\"TH\">การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล</span></span></b><span style=\"font-size: 22pt; color: #00b0f0; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\"><o:p></o:p></span><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">การปกครองโดยพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อนที่เรียกว่า</span></b><b><span style=\"font-size: 22pt; color: red; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\">  <span lang=\"TH\">ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์<br />\nนั้น</span>  <span lang=\"TH\">แม้จะมีลักษณะเป็นการปกครองที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดผู้ปกครอง</span>  <span lang=\"TH\">อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของพระมหากษัตริย์ แต่มีลักษณะที่ผิดไปจากระบอบเผด็จการ</span> <span lang=\"TH\">เพราะพระมหากษัตริย์ได้รับการยอมรับเทิดทูนจากประชาชน</span>  <span lang=\"TH\">ในลักษณะเป็นเสมือนสถาบันศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ความคุ้มครองแก่ตน</span>  <span lang=\"TH\">การยอมอยู่ใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์เป็นไปด้วยความสมัครใจ</span>  <span lang=\"TH\">บังเกิดจากความจงรักภักดีเพราะตระหนักว่า</span>  <span lang=\"TH\">ประเทศชาติมีความสงบและมั่นคงเพราะพระบารมีของพระมหากษัตริย์<o:p></o:p></span></span></b> </span></span></p>\n<p style=\"text-indent: 18pt\" class=\"MsoNormal\">\n<br />\n \n</p>\n<p></p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:5a50ad2134e882eae91d5d98eb05856c' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:12b8614be9a21b0e9a8820f52b921305' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p style=\"margin: 0in 0in 10pt; text-indent: 0.5in\" class=\"MsoNormal\">\n<b><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; line-height: 115%; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"><span style=\"font-family: Times New Roman\">1.<span lang=\"TH\">รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ</span></span></span></b>\n</p>\n<p style=\"margin: 0in 0in 10pt; text-indent: 0.5in\" class=\"MsoNormal\">\n<b><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; line-height: 115%; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"><span style=\"font-family: Times New Roman\"><span lang=\"TH\"></span></span></span></b><span style=\"font-family: Times New Roman\"><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; line-height: 115%; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">ตอบ</span><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; line-height: 115%; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"> <span lang=\"TH\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/ระบอบการปกครอง\" title=\"ระบอบการปกครอง\"><span style=\"color: #7f7f7f; text-decoration: none; text-underline: none\">ระบอบการปกครอง</span></a>ของ<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/รัฐชาติ\" title=\"รัฐชาติ\"><span style=\"color: #7f7f7f; text-decoration: none; text-underline: none\">รัฐ</span></a> ซึ่งบริหารอำนาจรัฐมาจากเสียงข้างมากของ<a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"พลเมือง (หน้านี้ไม่มี)\"><span style=\"color: #7f7f7f; text-decoration: none; text-underline: none\">พลเมือง</span></a> โดยพลเมืองอาจใช้อำนาจของตน<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/ประชาธิปไตยทางตรง\" title=\"ประชาธิปไตยทางตรง\"><span style=\"color: #7f7f7f; text-decoration: none; text-underline: none\">โดยตรง</span></a>หรือ<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน\" title=\"ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน\"><span style=\"color: #7f7f7f; text-decoration: none; text-underline: none\">ผ่านผู้แทน</span></a>ที่ตนเลือกไปใช้อำนาจแทนก็ได้ หรืออาจถือตามคำกล่าวของอดีต<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา\" title=\"ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา\"><span style=\"color: #7f7f7f; text-decoration: none; text-underline: none\">ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา</span></a> <a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/อับราฮัม_ลินคอล์น\" title=\"อับราฮัม ลินคอล์น\"><span style=\"color: #7f7f7f; text-decoration: none; text-underline: none\">อับราฮัม ลินคอล์น</span></a> ที่ว่า ประชาธิปไตยเป็น <i>การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน</i> นับเป็นรูปแบบการปกครองที่เกิดขึ้น ณ <a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%81&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"นครรัฐกรีก (หน้านี้ไม่มี)\"><span style=\"color: #7f7f7f; text-decoration: none; text-underline: none\">นครรัฐกรีกโบราณ</span></a>ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 <a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/ก่อนคริสตกาล\" title=\"ก่อนคริสตกาล\"><span style=\"color: #7f7f7f; text-decoration: none; text-underline: none\">ก่อนคริสตกาล</span></a> โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใน<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/เอเธนส์\" title=\"เอเธนส์\"><span style=\"color: #7f7f7f; text-decoration: none; text-underline: none\">กรุงเอเธนส์</span></a>ภายหลังการก่อจลาจลเมื่อ 508 ปีก่อนคริสตกาลการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมักจะได้รับการพิจารณาโดยคนส่วนใหญ่ว่าเป็นรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการมอบสิทธิและเสรีภาพให้กับประชาชนได้มากกว่าการปกครองในระบอบอื่น ทำให้ระบอบประชาธิปไตยได้ชื่อว่าเป็น &quot;การปกครองระบอบสุดท้าย&quot; และได้แผ่ขยายไปทั่วโลก พร้อม ๆ กับมโนทัศน์เรื่อง<a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"การออกเสียงเลือกตั้ง (หน้านี้ไม่มี)\"><span style=\"color: #7f7f7f; text-decoration: none; text-underline: none\">การออกเสียงเลือกตั้ง</span></a> (<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/ภาษาอังกฤษ\" title=\"ภาษาอังกฤษ\"><span style=\"color: #7f7f7f; text-decoration: none; text-underline: none\">อังกฤษ</span></a>: </span></span><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; line-height: 115%; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"EN\">suffrage</span><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; line-height: 115%; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">) อย่างไรก็ดี แม้การดำเนินการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยแม้จะได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน แต่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาหลายประการอันเกิดขึ้นในปัจจุบัน อย่างเช่น ข้อพิพาทเกี่ยวกับดินแดน <a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"การเข้าเมือง (หน้านี้ไม่มี)\"><span style=\"color: #7f7f7f; text-decoration: none; text-underline: none\">การอพยพเข้าเมือง</span></a> และการกีดกันกลุ่มประชากรบาง<a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"ชาติพันธุ์ (หน้านี้ไม่มี)\"><span style=\"color: #7f7f7f; text-decoration: none; text-underline: none\">ชาติพันธุ์</span></a> เป็นต้น</span></span>\n</p>\n<p style=\"margin: 0in 0in 10pt; text-indent: 0.5in\" class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"font-family: Times New Roman\"><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; line-height: 115%; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\"></span></span><b><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"><span style=\"font-family: Times New Roman\">1.1 <span lang=\"TH\">อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา</span></span></span></b>\n</p>\n<p style=\"margin: 0in 0in 10pt; text-indent: 0.5in; line-height: normal\" class=\"MsoNormal\">\n<b><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"><span style=\"font-family: Times New Roman\"><span lang=\"TH\"></span></span></span></b><span style=\"font-family: Times New Roman\"><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">ตอบ พระพุทธศาสนายังมีอิทธิพลต่อการใช้พระราชอำนาจของ เจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน ของไทยเป็นอย่างยิ่งคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ปรากฏใน พระบาลีสุตตันตปิฎกขุททกนิกายว่า - พระเจ้าแผ่นดินทรงรู้ว่าตนกำลังกริ้วจัดจะไม่พึงลงอาชญาแก่ใคร - พระเจ้าแผ่นดินพึงรู้ว่าจิตใจของตนผ่องใสจึงใคร่ครวญความผิดที่ผู้อื่นทำไว้ พิจารณาให้เห็นแจ่มแจ้งด้วยการมองว่า มีส่วนที่เป็นประโยชน์เป็นโทษ แล้วจึง ลงโทษบุคคลนั้น ๆ ตามสมควร - กษัตริย์เหล่าใดถูกอคติครอบงำ ไม่ทรงพิจารณาเสียก่อนแล้วทำไป ทรงลงอาชญาโดยผลุนผลัน กษัตริย์เหล่านั้นปกครองด้วยโทษน่าติเตียน เมื่อทิ้งชีวิตไปพ้นจากโลกนี้แล้วย่อมไปสู่ทุคติ พระราชาที่ทรงยึดถือในทศพิธราชธรรม เป็นผู้บำเพ็ญด้วย กาย วาจา ใจ และดำรงมั่นอยู่ในขันติ โสรัจจะ และ สมาธิ - พระราชาที่ครองราชย์ด้วยกุศลกรรมบก 10 ย่อมจะทำให้มหาชน ผู้กำเริบร้อนกายและจิตให้ดับหายไปได้เหมือนมหาเมฆยังแผ่นดินให้ชุ่มชื่นด้วยน้ำ</span></span>\n</p>\n<p style=\"margin: 0in 0in 10pt; text-indent: 0.5in; line-height: normal\" class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"font-family: Times New Roman\"><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\"></span></span><span style=\"font-family: Times New Roman\"><b><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล</span></b></span>\n</p>\n<p style=\"margin: 0in 0in 10pt; text-indent: 0.5in; line-height: normal\" class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"font-family: Times New Roman\"><b><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\"></span></b></span><span style=\"font-family: Times New Roman\"><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\" lang=\"TH\">ตอบ</span><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"> <span lang=\"TH\">การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์ </span> <span lang=\"TH\">ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญ </span> <span lang=\"TH\">ไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด </span> <span lang=\"TH\">เพราะฉะนั้น </span> <span lang=\"TH\">พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง </span> <span lang=\"TH\">หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์ </span> <span lang=\"TH\">ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลง เป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรี </span> <span lang=\"TH\">และให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรอง </span> <span lang=\"TH\">ดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็น พระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง</span></span></span>\n</p>\n<p style=\"margin: 0in 0in 10pt; text-indent: 0.5in; line-height: normal\" class=\"MsoNormal\">\n<span style=\"font-family: Times New Roman\"><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"><span lang=\"TH\"></span></span></span><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"><span style=\"font-family: Times New Roman\">อ้างอิง</span></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"></span><span style=\"font-size: 14pt; color: #7f7f7f; font-family: \'Angsana New\',\'serif\'\"><span style=\"font-family: Times New Roman\">ผม Coppy มาจากห้อง 5/2 ครับ ผมไม่รู้จักชื่อเขาครับ<b><span lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></b></span></span></p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:12b8614be9a21b0e9a8820f52b921305' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:46f9b46414227806061d36012a560143' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n<span lang=\"TH\" style=\"color: blue; font-size: 10pt\"><span> </span></span><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: blue; font-size: 20pt\">1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ </span></b>\n</p>\n<p>\n<b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: blue; font-size: 20pt\"></span></b>\n</p>\n<p><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: blue; font-size: 20pt\"></span></b><span style=\"color: blue; font-size: 10pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญ และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 16pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black\"><span style=\"font-size: small\"> <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">1. พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราบัญญัติ </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">2. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 16pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">3.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"> <o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n<b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: blue; font-size: 18pt\"></span></b>\n</p>\n<p>\n<b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: blue; font-size: 18pt\">1.1</span></b><b><span style=\"color: blue; font-size: 18pt\"><span style=\"font-family: Times New Roman\">   </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: blue; font-size: 18pt\"> </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: blue; font-size: 18pt\">อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา</span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"> </span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด</span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black\"><span style=\"font-size: small\"> </span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">๘๐๐ ปี ภายใต้การปกครองแบบ<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A\" title=\"สมบูรณาญาสิทธิราช\"><span style=\"color: black; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">สมบูรณาญาสิทธิราช</span></span></a></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black\"><span style=\"font-size: small\"> </span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็น<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A2\" title=\"อาณาจักรสุโขทัย\"><span style=\"color: black; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">อาณาจักรสุโขทัย</span></span></a></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black\"><span style=\"font-size: small\"> </span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">โดยมี<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C\" title=\"พ่อขุนศรีอินทราทิตย์\"><span style=\"color: black; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พ่อขุนศรีอินทราทิตย์</span></span></a>เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของ<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9\" title=\"ศาสนาฮินดู\"><span style=\"color: black; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ศาสนาฮินดู</span></span></a></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black\"><span style=\"font-size: small\"> (</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">ซึ่งรับเข้ามาจาก<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B9%8C\" title=\"จักรวรรดิขะแมร์\"><span style=\"color: black; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">จักรวรรดิขะแมร์</span></span></a>) และหลักความเชื่อแบบ<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97\" title=\"นิกายเถรวาท\"><span style=\"color: black; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท</span></span></a></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black\"><span style=\"font-size: small\"> </span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจาก<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B0\" title=\"วรรณะ\"><span style=\"color: black; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">วรรณะ</span></span></a></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black\"><span style=\"font-size: small\"> &quot;</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">กษัตริย์&quot; ของศาสนาฮินดู เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหาร ส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด &quot;ธรรมราชา&quot; ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท หลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบ</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: red; font-size: 16pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"พ่อปกครองลูก (หน้านี้ไม่มี)\"><span style=\"color: black; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พ่อปกครองลูก</span></span></a></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\">พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า &quot;พ่อขุน&quot; มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาล</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: red; font-size: 16pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A\" title=\"พ่อขุนรามคำแหงมหาราช\"><span style=\"color: black; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พ่อขุนรามคำแหงมหาราช</span></span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">แล้ว พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า &quot;พญา&quot; เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาล</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: red; font-size: 16pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%84%E0%B8%97\" title=\"พญาลิไท\"><span style=\"color: black; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พญาลิไท</span></span></a></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: red; font-size: 16pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2\" title=\"พระพุทธศาสนา\"><span style=\"color: black; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">พระพุทธศาสนา</span></span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\">ลัทธิ</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: red; font-size: 16pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"ลังกาวงศ์ (หน้านี้ไม่มี)\"><span style=\"color: black; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ลังกาวงศ์</span></span></a></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\">เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด</span> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: red; font-size: 16pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"ธรรมราชา (หน้านี้ไม่มี)\"><span style=\"color: black; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ธรรมราชา</span></span></a></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\">ตามคติพุทธขึ้นมา ทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า &quot;พระมหาธรรมราชา&quot; ในสมัย</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: red; font-size: 16pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2\" title=\"กรุงศรีอยุธยา\"><span style=\"color: black; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">กรุงศรีอยุธยา</span></span></a></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\">ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้นประชาชนมากขึ้น</span> <span lang=\"TH\">คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า &quot;สมเด็จ&quot; หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: red; font-size: 16pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2\" title=\"ระบอบประชาธิปไตย\"><span style=\"color: black; text-decoration: none; text-underline: none\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ระบอบประชาธิปไตย</span></span></a></span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\">พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหาร พระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราช</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"> <o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"margin: 0cm 0cm 0pt\">\n<b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: blue; font-size: 18pt\"></span></b>\n</p>\n<p>\n<b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: blue; font-size: 18pt\">1.2</span></b><b><span style=\"color: blue; font-size: 18pt\"><span style=\"font-family: Times New Roman\">   </span></span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: blue; font-size: 18pt\"> </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: blue; font-size: 18pt\">การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล</span></b><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: blue; font-size: 18pt\"> </span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"> </span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 16pt\">การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์ </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 16pt\"> <span lang=\"TH\">ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญ </span> <span lang=\"TH\">ไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด  เพราะฉะนั้น </span> <span lang=\"TH\">พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง </span> <span lang=\"TH\">หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์ </span> <span lang=\"TH\">ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลง เป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรี </span> <span lang=\"TH\">และให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรอง </span> <span lang=\"TH\">ดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็น พระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง</span>  </span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220; font-size: 16pt\"> </span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"> <span lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span></span><span style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"> <span lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span></span><span style=\"background-color: #ff0000\"><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 22pt\"> </span></b></span> </p>\n<p>\n<span style=\"background-color: #ff0000\"><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 22pt\"></span></b></span>\n</p>\n<p><span style=\"background-color: #ff0000\"><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 22pt\">อ้างอิงจาก </span></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 18pt\">:  </span></b><b><span style=\"font-family: \'Angsana New\'; color: black; font-size: 18pt\">www.mwit.ac.th/~keng/lesson<span lang=\"TH\">05/7.</span>doc      <span lang=\"TH\"> </span>                         <span lang=\"TH\"> </span>http://socialscience.igetweb.com/index.php?mo=<span lang=\"TH\">3</span>&amp;art=<span lang=\"TH\">140927</span></span></b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: Tahoma; color: #2b3220; font-size: 10pt\"> <o:p></o:p></span></span></p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:46f9b46414227806061d36012a560143' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:be24ea6c890c7d48606add9d8c376f0b' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: maroon\">1.<span lang=\"TH\">รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ</span></span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: maroon\"><o:p></o:p></span></p>\n<p><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">-</span></span><span class=\"apple-converted-space\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"> </span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมืองและกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่างแต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญและพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์มีดังนี้</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">1.</span></span><span class=\"apple-converted-space\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"> </span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><o:p></o:p></span></p>\n<p><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">2.</span></span><span class=\"apple-converted-space\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"> </span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><o:p></o:p></span></p>\n<p><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">3.<span lang=\"TH\">พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี</span></span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"><o:p></o:p></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\"> </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: blue\">1.1</span></span><span class=\"apple-converted-space\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"> </span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: blue\">อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\">- </span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">800</span></span><span class=\"apple-converted-space\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"> </span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">ปีภายใต้การปกครองแบบ</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A\" title=\"สมบูรณาญาสิทธิราช\"><span lang=\"TH\" style=\"color: black\">สมบูรณาญาสิทธิราช</span></a> </span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็น</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A2\" title=\"อาณาจักรสุโขทัย\"><span lang=\"TH\" style=\"color: black\">อาณาจักรสุโขทัย</span></a></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">โดยมี</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C\" title=\"พ่อขุนศรีอินทราทิตย์\"><span lang=\"TH\" style=\"color: black\">พ่อขุนศรีอินทราทิตย์</span></a></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">เป็นปฐมกษัตริย์แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของ</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9\" title=\"ศาสนาฮินดู\"><span lang=\"TH\" style=\"color: black\">ศาสนาฮินดู</span></a></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">(<span lang=\"TH\">ซึ่งรับเข้ามาจาก</span></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B9%8C\" title=\"จักรวรรดิขะแมร์\"><span lang=\"TH\" style=\"color: black\">จักรวรรดิขะแมร์</span></a></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">)<span lang=\"TH\">และหลักความเชื่อแบบ</span></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97\" title=\"นิกายเถรวาท\"><span lang=\"TH\" style=\"color: black\">พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท</span></a></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจาก</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B0\" title=\"วรรณะ\"><span lang=\"TH\" style=\"color: black\">วรรณะ</span></a> </span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">&quot;<span lang=\"TH\">กษัตริย์&quot;ของศาสนาฮินดูเนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหารส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด&quot;ธรรมราชา&quot;ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทหลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่</span></span></span><span class=\"apple-converted-space\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\"> </span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">6</span></span><span class=\"apple-converted-space\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"> </span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\">   </span></span><span class=\"apple-converted-space\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\"> </span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">สมัยกรุงสุโขทัยมีการปกครองแบบ</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"พ่อปกครองลูก (หน้านี้ไม่มี)\"><span lang=\"TH\" style=\"color: black\">พ่อปกครองลูก</span></a> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า&quot;พ่อขุน&quot;</span><span class=\"apple-converted-space\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\"> </span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมากหลังจากรัชกาล</span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A\" title=\"พ่อขุนรามคำแหงมหาราช\"><span style=\"color: black\">พ่อขุนรามคำแหงมหาราช</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">แล้วพระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า&quot;พญา&quot;</span><span class=\"apple-converted-space\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"> </span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้นในรัชกาล</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%84%E0%B8%97\" title=\"พญาลิไท\"><span lang=\"TH\" style=\"color: black\">พญาลิไท</span></a></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\"> </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2\" title=\"พระพุทธศาสนา\"><span lang=\"TH\" style=\"color: black\">พระพุทธศาสนา</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">ลัทธิ</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"ลังกาวงศ์ (หน้านี้ไม่มี)\"><span lang=\"TH\" style=\"color: black\">ลังกาวงศ์</span></a> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">เฟื่องฟูมากจึงมีแนวคิด</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"> <a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"ธรรมราชา (หน้านี้ไม่มี)\"><span lang=\"TH\" style=\"color: black\">ธรรมราชา</span></a> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">ตามคติพุทธขึ้นมาทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า&quot;พระมหาธรรมราชา&quot;ในสมัย</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2\" title=\"กรุงศรีอยุธยา\"><span lang=\"TH\" style=\"color: black\">กรุงศรีอยุธยา</span></a> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอมเรียกว่า เทวราชาหรือ สมมติเทพหมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้นประชาชนมากขึ้น</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า&quot;สมเด็จ&quot;หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2\" title=\"ระบอบประชาธิปไตย\"><span lang=\"TH\" style=\"color: black\">ระบอบประชาธิปไตย</span></a> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหารพระมหากษัตริย์</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\"> </span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: blue\">1.2</span></span><span class=\"apple-converted-space\"><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"> </span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: blue\">การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\">-<span class=\"apple-converted-space\"> </span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใดเพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริงหน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลงเป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรีและให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรองดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็นพระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p><span class=\"apple-style-span\"><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://www.mwit.ac.th/~keng/lesson05/7.doc\">www.mwit.ac.th/~keng/lesson05/7.doc</a></span></b></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:be24ea6c890c7d48606add9d8c376f0b' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:32ef3cfda9af65bdc1975b8c40970d21' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: blue\">1.<span lang=\"TH\">รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ</span></span></b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: blue\"><o:p></o:p></span></p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>- แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมืองและกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่างแต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญและพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้<span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'\">1.พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ</span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'\"> <o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'\">2.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน</span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'\">3.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี</span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'\"><o:p></o:p></span></p>\n<p class=\"MsoNormal\" style=\"text-align: left\"><span class=\"Apple-style-span\" style=\"font-size: 40px\"><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: blue\">1.1<span lang=\"TH\">อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสน</span></span></b></span></p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: blue\">-</span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\"> <span lang=\"TH\">๘๐๐ ปี ภายใต้การปกครองแบบ<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A\" title=\"สมบูรณาญาสิทธิราช\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">สมบูรณาญาสิทธิราช</span></a></span> <span lang=\"TH\">โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็น<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A2\" title=\"อาณาจักรสุโขทัย\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">อาณาจักรสุโขทัย</span></a></span> <span lang=\"TH\">โดยมี<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C\" title=\"พ่อขุนศรีอินทราทิตย์\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">พ่อขุนศรีอินทราทิตย์</span></a>เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของ<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9\" title=\"ศาสนาฮินดู\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">ศาสนาฮินดู</span></a></span> (<span lang=\"TH\">ซึ่งรับเข้ามาจาก<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B9%8C\" title=\"จักรวรรดิขะแมร์\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">จักรวรรดิขะแมร์</span></a>) และหลักความเชื่อแบบ<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97\" title=\"นิกายเถรวาท\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท</span></a></span> <span lang=\"TH\">ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจาก<a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B0\" title=\"วรรณะ\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">วรรณะ</span></a></span> &quot;<span lang=\"TH\">กษัตริย์&quot;ของศาสนาฮินดู เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหารส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด &quot;ธรรมราชา&quot; ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทหลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม</span></span></span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">                                </span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220\"><o:p></o:p></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">             <span class=\"apple-converted-space\"> </span><span lang=\"TH\">สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบ</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"พ่อปกครองลูก (หน้านี้ไม่มี)\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">พ่อปกครองลูก</span></a></span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\"> <span lang=\"TH\">พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า &quot;พ่อขุน&quot;มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาล</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A\" title=\"พ่อขุนรามคำแหงมหาราช\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">พ่อขุนรามคำแหงมหาราช</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">แล้วพระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า &quot;พญา&quot;เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาล</span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%84%E0%B8%97\" title=\"พญาลิไท\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">พญาลิไท</span></a></span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2\" title=\"พระพุทธศาสนา\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">พระพุทธศาสนา</span></a></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">ลัทธิ</span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"ลังกาวงศ์ (หน้านี้ไม่มี)\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">ลังกาวงศ์</span></a></span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\"> <span lang=\"TH\">เฟื่องฟูมากจึงมีแนวคิด</span> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2&amp;action=edit&amp;redlink=1\" title=\"ธรรมราชา (หน้านี้ไม่มี)\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">ธรรมราชา</span></a></span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\"> <span lang=\"TH\">ตามคติพุทธขึ้นมาทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า&quot;พระมหาธรรมราชา&quot; ในสมัย</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2\" title=\"กรุงศรีอยุธยา\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">กรุงศรีอยุธยา</span></a></span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\"> <span lang=\"TH\">ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอมเรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้นประชาชนมากขึ้น</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\">คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า&quot;สมเด็จ&quot; หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น</span><span lang=\"TH\" style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2\" title=\"ระบอบประชาธิปไตย\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"color: black\">ระบอบประชาธิปไตย</span></a></span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: black\"> <span lang=\"TH\">พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหารพระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราช</span><o:p></o:p></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: blue\"> </span><span style=\"font-size: 14pt; color: blue\"> </span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'Angsana New\'; color: blue\"><u1:p> </u1:p></span><span class=\"Apple-style-span\" style=\"font-size: 40px\"><span style=\"font-size: 14pt; color: blue\">  </span><i><span style=\"font-size: 16pt; font-style: normal; font-family: \'Angsana New\'; color: blue\">1.2<span> </span><span lang=\"TH\">การสันบสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล</span></span></i></span></p>\n<p><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220\">                     <span lang=\"TH\">การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์</span><span class=\"apple-converted-space\"> </span> <span lang=\"TH\">ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญ</span><span class=\"apple-converted-space\"> </span> <span lang=\"TH\">ไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใดเพราะฉะนั้น</span><span class=\"apple-converted-space\"> </span> <span lang=\"TH\">พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง</span><span class=\"apple-converted-space\"> </span> <span lang=\"TH\">หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์</span><span class=\"apple-converted-space\"> </span> <span lang=\"TH\">ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลงเป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรี</span><span class=\"apple-converted-space\"> </span> <span lang=\"TH\">และให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรอง</span><span class=\"apple-converted-space\"> </span> <span lang=\"TH\">ดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็นพระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง</span> <u1:p> </u1:p></span><span style=\"color: #2b3220\"> </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'; color: #2b3220\"><u1:p> </u1:p></span><span style=\"color: #2b3220\"> <o:p></o:p></span></p>\n<p><span class=\"apple-style-span\"><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\"><span>  </span>www.mwit.ac.th/~keng/lesson<span lang=\"TH\">05/7.</span>doc     <o:p></o:p></span></b></span></p>\n<p><span class=\"apple-style-span\"><b><span style=\"font-size: 18pt; font-family: \'Angsana New\'; color: red\">   http://socialscience.igetweb.com/index.php?mo=<span lang=\"TH\">3</span>&amp;art=<span lang=\"TH\">140927</span></span></b></span><span style=\"color: red\"><o:p></o:p></span></p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:32ef3cfda9af65bdc1975b8c40970d21' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:ca97a57c3325dc4b918c60bfd0f1f199' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p style=\"background-color: #ffff00\" align=\"center\">\n<img src=\"/files/u37308/4.jpeg\" width=\"223\" height=\"167\" />\n</p>\n<p style=\"background-color: #ffff00\">\n<b><span style=\"color: #999999\">1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญ คือ ?</span></b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ffff00\">\n<b><u>ตอบ</u> <br />\nแม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง<br />\nและกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ<br />\nในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง<br />\nแต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐ<br />\nธรรมนูญ และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย<br />\nพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้</b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ffff00\">\n<b>1.) พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ<br />\n</b><b>2.) พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน<br />\n</b><b>3.) พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี</b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ffff00\">\n<b><span style=\"color: #999999\">1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา</span></b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ffff00\">\n<b><u>ตอบ</u> <br />\nรูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด 800 ปี<br />\nภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช<br />\nโดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็น<br />\nอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์<br />\nแนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู<br />\n(ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์)<br />\nและหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ<br />\n&quot;กษัตริย์&quot; ของศาสนาฮินดู<br />\nเนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหาร<br />\nส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด &quot;ธรรมราชา&quot; ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท<br />\nหลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6<br />\nอันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม</b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ffff00\">\n<b>        สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก<br />\nพระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า &quot;พ่อขุน&quot;<br />\nมีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก<br />\nหลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว<br />\nพระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า &quot;พญา&quot;<br />\nเพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาลพญาลิไท<br />\nพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด ธรรมราชา<br />\nตามคติพุทธขึ้นมา<br />\nทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า<br />\n&quot;พระมหาธรรมราชา&quot; ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า<br />\nเทวราชา หรือ สมมติเทพ<br />\nหมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์<br />\nทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้น<br />\nประชาชนมากขึ้น คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า &quot;สมเด็จ&quot;<br />\nหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย<br />\nพระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหาร<br />\nพระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราช</b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ffff00\">\n<b><span style=\"color: #999999\">1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล</span></b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ffff00\">\n<b><u>ตอบ</u>  การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล<br />\nในส่วนตัวผมคิดว่า ไม่มีใคร ที่ไม่รักในหลวง หรือ รักพระมหากษัตริย์ของตน<br />\nทุกคนมีจิตใต้สำนึก และ มีความจงรักภักดีอยู่ในตัวเสมออยู่แล้ว </b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ffff00\">\n<b>        ยิ่งเป็น &quot; ในหลวง &quot; ของปวงชนทุกคนชาวไทยอยู่แล้ว<br />\nไม่มีใครไม่รักท่าน ชีวิตของท่าน ทำเพื่อพวกเราทุกคน<br />\nที่เป็นเหมือนกับลูกของพระองค์ พระองค์ทำทุกอย่างให้พวกเรา โดยไม่คิดว่า<br />\nพระองค์จะเหนื่อยพระวรกาย ซักเพียงใด พระองค์ทำได้ เพื่อความสุข<br />\nความสบายของพวกเราทุกคนในประเทศ และ เราจะเห็นได้ว่า ในงาน วันพ่อ คือ<br />\nในวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกๆปี หรือ งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60<br />\nปี เราจะเห็นได้ว่า ไม่มีใครไม่รักท่าน , มีแต่คน เปล่ง คำว่า<br />\n&quot; ทรงพระเจริญ &quot; ไปทั่วทุกที ทุกหนแห่ง นี่ หละ คือ ความจงรักภักดี ต่อ<br />\nพระมหากษัตริย์ หรือ ในหลวง ของเรานั่นเอง </b>\n</p>\n<p style=\"background-color: #ffff00\">\n<b></b><b></b>\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<hr style=\"background-color: #ffff00\" id=\"null\" />\n<b style=\"background-color: #ffff00\"> <b>ข้อมูลอ้างอิงจาก  </b><a href=\"http://www.bbc07politics.ob.tc/117.htm\"><b>http://www.bbc07politics.ob.tc/117.htm</b></a></b>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\nจัดทำโดย\n</p>\n<p>\nนายธันย์ศรุต พิชิตศักดิ์ประภา เลขที่ 17 ม.5/8\n</p>\n<p><b style=\"background-color: #ffff00\"><a href=\"http://www.bbc07politics.ob.tc/117.htm\"><b></b></a></b></p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:ca97a57c3325dc4b918c60bfd0f1f199' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:5c2dcb072bc2fddecdb279d24ca5dde1' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 14pt\"><span style=\"background-color: #ffffff; color: #ff0000\"><sup>1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ</sup></span> </span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">ตอบ แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญ และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้ <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">      <span lang=\"TH\">1. พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ <o:p></o:p></span></span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">      <span lang=\"TH\">2. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน <o:p></o:p></span></span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">      <span lang=\"TH\">3.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี </span></span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><span lang=\"TH\"><o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 14pt\"><span style=\"color: #ff0000\">1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา</span> <o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">ตอบ รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด 800 ปี ภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู (ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์) และหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ &quot;กษัตริย์&quot; ของศาสนาฮินดู เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหาร ส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด &quot;ธรรมราชา&quot; ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท หลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า &quot;พ่อขุน&quot; มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า &quot;พญา&quot; เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาลพญาลิไท พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด ธรรมราชา ตามคติพุทธขึ้นมา ทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า &quot;พระมหาธรรมราชา&quot; ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้นประชาชนมากขึ้น คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า &quot;สมเด็จ&quot; หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหาร </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 14pt\"><span style=\"color: #ff0000\">1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\">ตอบ การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลง เป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรีและให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรองดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็นพระมหากษัตริย์ของประชาชน <o:p></o:p></span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> <span lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span></span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"> <span lang=\"TH\"> <o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 14pt\">เอกสารอ้างอิง</span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: lime; font-size: 14pt\"> :</span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: black; font-size: 14pt\"> </span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: black; font-size: 14pt\">www.mwit.ac.th/~keng/lesson<span lang=\"TH\">05/7.</span>doc<span lang=\"TH\"> </span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 14pt\"><o:p></o:p></span><o:p><span style=\"font-family: Calibri; color: #000000; font-size: small\"> </span></o:p> </p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:5c2dcb072bc2fddecdb279d24ca5dde1' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:e449a0cd981ded032b0123c594374e50' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p><span style=\"color: #cc99ff\" class=\"Apple-style-span\">1.<b> รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ</b></span></p>\n<p><b><span style=\"color: #cc99ff\" class=\"Apple-style-span\">ให้นักเรียนหาเหตุผลมาเขียนสนับสนุนตามหัวข้อที่กำหนดทั้ง 2 ข้อให้ครบ</span></b></p>\n<p><b><span style=\"color: #993366\" class=\"Apple-style-span\">1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา</span></b></p>\n<p><b><u>ตอบ  </u>หลักพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาเป็นเสาหลักในการสร้างชาติ นับเป็นศูนย์รวมของจิตใจคนในชาติ ผูกพันเป็นสถาบันความมั่นคงของพระมหากษัตริย์มาแต่ยุคโบราณ ประดุจดั่งลมหายใจกับชีวิต นับว่าเป็นยุคที่พระพุทธศาสนา มีความสัมพันธ์กับสถาบันชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์มากที่สุดแทบจะตลอดทั้งยุคเลยก็ว่าได้  ขุนพลนักรบผู้กล้าเมื่อเสร็จศึกก็บวชเป็นพระภิกษุ ในพระพุทธศาสนาสร้างวัตถุมงคลให้กับนักรบของชาติ ซึ่งเป็นต้นแบบอย่างให้กับพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา ทำเครื่องรางรวมทั้งพระเครื่อง ตระกรุด พิศมร ออกแจกจ่ายนักรบไทยเพื่อเป็นขวัญกำลังใจการกู้ชาติรักษาแผ่นดินไทย       ให้เป็นเอกราช ความผูกพันในพุทธานุภาพ ธรรมมานุภาพและ สังฆานุภาพ จึงฝังแน่นในจิตใจ วิญญาณของบรรพบุรุษไทยนับแต่นั้น พร้อมกันนั้นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาก็จะเป็นสถาบันที่ให้ความรู้ทั้งทางด้านการรบ การเรียนและศีลธรรม พร้อมกันไปในเวลาเดียวกัน เนื่องจากผู้ที่ได้เข้ามาบวช เป็นพระภิกษุในพุทธศาสนายุคนั้นล้วนแล้วแต่เป็นขุนพล นักรบ ที่ร่วมก่อร่างสร้างชาติ จึงได้ปลูกฝังความรักชาติ และวิชาการในการป้องกันชาติ ให้แก่เยาวชนที่เป็นศิษย์ ซึ่งเป็นอุดมการณ์ปลูกฝัง ดังจะเห็นได้ว่าขุนศึกผู้กล้าแม้กระทั่งวีรกษัตริย์มหาราชทั้งปวงที่กอบกู้ชาติกู้แผ่นดินให้ลูกหลานไทยล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์วัดในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น นี่คือความผูกพันใกล้ชิดและความสำคัญของสถาบันชาติ สถาบันพระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นหนึ่งเดียวกัน   ซึ่งมีความหมายรวมถึงความมั่นคงแห่งเอกราช และอธิปไตยของชาติไทยตลอดมาที่ศาสนาอื่นมิอาจเอ่ยอ้าง</b></p>\n<p><b>“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม   เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม” และดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “ราชา มุขํ มนุสฺสานํ” พระราชาเป็นประมุขของประชาชน อีกทั้งพระนิพนธ์ใน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาเจ้าฟ้าสิรินธร สยามบรม-ราชกุมารี ที่ว่า</b></p>\n<p><b>ทะเลเป็นเจ้าแห่ง</b><b> นทีมหันต์<br />ทิวะสุริยฉัน                                        แจ่มหล้า<br />รัตติรัศมีจันทร์                                    เรืองจรัส<br />สังฆ์ประมุขแห่งชาวหล้า                       เหล่าผู้พึ่งบุญ</b></p>\n<p><b>ผู้ใหญ่ในแว่นแคว้น คือรา             ชาแล<br />ผู้บำบัดทุกข์ประชา                             ช่วยเกื้อ<br />เป็นประมุขนาครา                               ในรัฐ<br />ทรงทศพิธธรรมเอื้อ ราษฎร์ให้สวัสดี</b></p>\n<p><b> </b></p>\n<p>&nbsp;</p>\n<p><b><span style=\"color: #993366\" class=\"Apple-style-span\">1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล</span></b></p>\n<p><u><b>ตอบ</b></u></p>\n<p><b>1. พระมหากษัตริย์ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน พระมหากษัตริย์ทรงทำให้เกิดความสำนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  แม้ว่าสถาบันการเมืองการปกครองจะแยกสถาบันนิติบัญญัติ  บริหาร  ตุลาการ แต่ต้องให้อำนาจของตนภายใต้พระปรมาภิไธยทำให้ทุกสถาบันมีจุดรวมกัน นอกจากนี้พระมหากษัตริย์ยังทำให้เกิดความสำนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ระหว่างหมู่ชนภายในชาติ โดยที่ต่างเคารพสักการะและจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ร่วมกัน แม้จะมีความแตกต่างกันในด้านเชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา  ก็มีความสมานสามัคคีกลมเกลียวกันในปวงชนทั้งหลายทำให้เกิดความเป็นปึกแผ่นและเป็นพลังที่สำคัญยิ่งของชาติ</b></p>\n<p><b>2. พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นพุทธมามกะและอัครศาสนูปถัมภก ทำให้เกิดความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างคนในชาติแม้จะมีศาสนาต่างกัน เพราะพระมหากษัตริย์ทรงอุปถัมภ์ทุกศาสนาแม้ว่าพระองค์จะทรงเป็นพุทธมามกะ จึงก่อให้เกิดพลังความสามัคคีในชาติไม่บาดหมางกันด้วยการมีศาสนาต่างกัน</b></p>\n<p><b>3.พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพลังในการสร้างขวัญและกำลังใจของประชาชน พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่มาแห่งเกียรติยศทั้งปวง ก่อให้เกิดความภาคภูมิ ปีติยินดี และเกิดกำลังใจในหมู่ประชาชนทั่วไปที่จะรักษาคุณงามความดี มานะพยายามกระทำความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระองค์ทรงไว้ซึ่งความดีงานตลอดเวลา ทำให้ประชาชนผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีกำลังใจที่จะทำงานเสียสละต่อไป จึงเสมือนแรงดลใจผลักดันให้ผู้มีเจตนาดีประกอบคุณงามความดีมุ่งมั่นในการปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง ทั้งในส่วนประชาชน ส่วนราชการหรือรัฐบาล</b></p>\n<p><b>4. พระมหากษัตริย์ทรงแก้ไขวิกฤตการณ์ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นกลไกสำคัญในการยับยั้งแก้ไขวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงในประเทศได้ ไม่ทำให้เกิดความแตกแยกภายในชาติอย่างรุนแรงจนถึงต้องต่อสู้กันเป็นสงครามกลางเมืองหรือแบ่งแยกกันเป็นประเทศเล็กประเทศน้อย  ขจัดปัดเป่ามิให้เหตุการณ์ลุกลามและทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะปกติได้  เพราะพระมหากษัตริย์เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นด้านประชาชน รัฐบาล หน่วยราชการ กองทัพ นิสิต-นักศึกษา ปัญญาชนทั้งหลายหรือกลุ่มต่างๆ แม้กระทั่งชนกลุ่มน้อยในประเทศอันได้แก่ ชาวไทยภูเขา ชาวไทยมุสลิม เป็นต้น</b></p>\n<p><b>5. พระมหากษัตริย์ทรงส่งเสริมความมั่นคงของประเทศ โดยการยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนและกองทัพ พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยจึงทรงใส่พระทัยในการพัฒนากองทัพทั้งทางวัตถุและจิตใจ ทรงเยี่ยมเยียนปลอบขวัญทหาร พระราชทายของใช้ที่จำเป็น ทรงช่วยเหลืออนุเคราะห์ ผู้เสียสละเพื่อชาติ ทำให้เกิดขวัญและกำลังใจแก่ทหาร ข้าราชการอย่างดียิ่งพร้อมที่จะรักษาความมั่นคงและเอกราชของชาติอย่างแน่นแฟ้น</b></p>\n<p><b>6. พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำในการพัฒนาและปฏิรูปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ การพัฒนาและการปฏิรูปที่สำคัญๆ ของชาติส่วนใหญ่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า-เจ้าอยู่หัวทรงปูพื้นฐานประชาธิปไตย โดยการจัดตั้งกระทรวงต่างๆ ทรงส่งเสริมการศึกษาและเลิกทาส ปัจจุบันพระมหากษัตริย์ทรงเกื้อหนุนวิทยาการสาขาต่างๆ ทรงสนับสนุนการศึกษาและศิลปวัฒนธรรม ทรงริเริ่มกิจการอันเป็นการแก้ปัญหาหลักทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยจะเห็นว่าโครงการตามพระราชดำริส่วนใหญ่มุ่งแก้ปัญหาหลักทางเกษตรกรรมเพื่อชาวนา  ชาวไร่ และประชาชนผู้ยากไร้และด้อยโอกาสอันเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ  เช่น  โครงการฝนหลวง  ชลประทาน พัฒนาที่ดิน  พัฒนาชาวเขา  เป็นต้น</b></p>\n<p><b>7. พระมหากษัตริย์ทรงมีส่วนเกื้อหนุนระบอบประชาธิปไตย บทบาทของพระมหากษัตริย์มีส่วนช่วยเป็นอย่างมากที่ทำให้ประชาชนบังเกิดความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย เพราะการที่ประชาชนเกิดความจงรักภักดีและเชื่อมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงมีผลส่งให้ประชาชนเกิดความศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วย เนื่องจากเห็นว่าเป็นระบอบที่เชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนนั่นเอง</b></p>\n<p><u><b><span style=\"color: #cc99ff\" class=\"Apple-style-span\">อ้างอิง</span></b></u></p>\n<p><a href=\"http://www.jariyatam.com/articles/featuring-articles/427-2009-09-10-06-55-40\" style=\"font-family: Tahoma, Arial, Helvetica, sans-serif; text-decoration: none\"><span style=\"color: #993366\" class=\"Apple-style-span\">http://www.jariyatam.com/articles/featuring-articles/427-2009-09-10-06-55-40</span></a></p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:e449a0cd981ded032b0123c594374e50' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:1d143e9e8c5f575ae05cbf3ad496a121' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n<span style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"><span><span style=\"font-family: Angsana New\">1.</span><span style=\"font-family: \'Times New Roman\'\"> </span></span></span><span style=\"font-family: Angsana New\"><span lang=\"TH\" style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\">รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ </span></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-family: Angsana New\"><span lang=\"TH\" style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: Angsana New\"><span lang=\"TH\" style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"></span><span style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"><o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ตอบ<span>  </span></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\">แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมืองและกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่างแต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญและพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้</span></span> </p>\n<p>\n<span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\"></span></span>\n</p>\n<p><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\"></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\"></span></span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 7.5pt\"><o:p></o:p></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 18pt\">1. </span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\">พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ</span></span> </p>\n<p>\n<span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\"></span></span>\n</p>\n<p><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\"></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\"></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\"></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 7.5pt\"><o:p></o:p></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 18pt\">2. </span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\">พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน</span></span> </p>\n<p>\n<span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\"></span></span>\n</p>\n<p><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\"></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\"></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\"></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 7.5pt\"><o:p></o:p></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 18pt\">3.</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\">พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี</span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: #2b3220; font-size: 7.5pt\"><o:p></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"><o:p><span style=\"font-family: Angsana New\"> </span></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"><o:p><span style=\"font-family: Angsana New\"></span></o:p></span>  </p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"><o:p><span style=\"font-family: Angsana New\"></span></o:p></span><span lang=\"TH\" style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ให้นักเรียนหาเหตุผลมาเขียนสนับสนุนตามหัวข้อที่กำหนดทั้ง 2 ข้อให้ครบ </span></span></p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"><span style=\"font-family: Angsana New\"></span></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"><span style=\"font-family: Angsana New\"><o:p></o:p></span></span><span style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"><span><span style=\"font-family: Angsana New\">1.1</span><span style=\"font-family: \'Times New Roman\'\">    </span></span></span><span style=\"font-family: Angsana New\"><span lang=\"TH\" style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\">อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา </span></span></p>\n<p>\n<span style=\"font-family: Angsana New\"><span lang=\"TH\" style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"></span></span>\n</p>\n<p><span style=\"font-family: Angsana New\"><span lang=\"TH\" style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"></span><span style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"><o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ตอบ<span>  </span></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\">รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"color: red; font-size: 18pt\"><span style=\"font-family: Angsana New\">800 </span></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\">ปีภายใต้การปกครองแบบ</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Arial\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 18pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A\" title=\"สมบูรณาญาสิทธิราช\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red\">สมบูรณาญาสิทธิราช</span></a></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-family: \'Arial\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 18pt\"> </span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\">โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็น</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Arial\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 18pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A2\" title=\"อาณาจักรสุโขทัย\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red\">อาณาจักรสุโขทัย</span></a></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-family: \'Arial\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 18pt\"> </span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\">โดยมี</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Arial\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 18pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C\" title=\"พ่อขุนศรีอินทราทิตย์\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red\">พ่อขุนศรีอินทราทิตย์</span></a></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\">เป็นปฐมกษัตริย์แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของ</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Arial\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 18pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B9\" title=\"ศาสนาฮินดู\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red\">ศาสนาฮินดู</span></a></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-family: \'Arial\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 18pt\"> (</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\">ซึ่งรับเข้ามาจาก</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Arial\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 18pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B9%8C\" title=\"จักรวรรดิขะแมร์\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red\">จักรวรรดิขะแมร์</span></a></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"color: red; font-size: 18pt\"><span style=\"font-family: Angsana New\">)</span></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\">และหลักความเชื่อแบบ</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Arial\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 18pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97\" title=\"นิกายเถรวาท\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red\">พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท</span></a></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-family: \'Arial\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 18pt\"> </span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\">ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจาก</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'Arial\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 18pt\"><a href=\"http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B0\" title=\"วรรณะ\" style=\"background-origin: initial; background-clip: initial\"><span style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red\">วรรณะ</span></a></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span style=\"font-family: \'Arial\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 18pt\"> &quot;</span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\">กษัตริย์&quot;ของศาสนาฮินดู เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหารส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด &quot;ธรรมราชา&quot; ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทหลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ </span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"color: red; font-size: 18pt\"><span style=\"font-family: Angsana New\">6 </span></span></span><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\">อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม</span></span> </p>\n<p>\n<span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\"></span></span>\n</p>\n<p><span class=\"apple-style-span\"><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\"></span></span><span lang=\"TH\" style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"><o:p></o:p></span><span style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"><span><span style=\"font-family: Angsana New\">1.2 </span></span></span><span style=\"font-family: Angsana New\"><span lang=\"TH\" style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\">การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล </span><span style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"><o:p></o:p></span></span><span lang=\"TH\" style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"><span style=\"font-family: Angsana New\"> </span></span> </p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"><span style=\"font-family: Angsana New\">ตอบ<span>  </span></span></span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\">การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด </span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 18pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\">เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง </span><span style=\"font-family: \'Tahoma\',\'sans-serif\'; color: red; font-size: 18pt\"> </span><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\">หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลง เป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรีและให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรองดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็นพระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง</span>\n</p>\n<p>\n<span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\"></span>\n</p>\n<p><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\"></span><span style=\"color: #0b00f0; font-size: 24pt\"><o:p></o:p></span><b><u><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\">อ้างอิง</span></u></b><b><span lang=\"TH\" style=\"font-family: \'AngsanaUPC\',\'serif\'; color: red; font-size: 18pt\"> </span></b><b><span style=\"font-family: \'Arial\',\'sans-serif\'; color: red\"><span style=\"font-size: small\"><a href=\"http://www.mwit.ac.th/~keng\">www.mwit.ac.th/~keng</a></span></span></b> </p>\n', created = 1716220007, expire = 1716306407, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:1d143e9e8c5f575ae05cbf3ad496a121' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

รากฐานแห่งพระราชอำนาจ สาระประวัติศาสตร์ ส32104 ภาคเรียนที่ 2 / 2553

รูปภาพของ nsspramote

คำถามท้าทายให้ตอบ

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

ให้นักเรียนหาเหตุผลมาเขียนสนับสนุนตามหัวข้อที่กำหนดทั้ง 2 ข้อให้ครบ

1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

รูปภาพของ nss40087

1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา ตอบ อดีตอำนาจสูงสุดในแผ่นดินเป็นของพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นเจ้าชีวิตที่ทรงมีพระราชอำนาจเหนือชีวิตของคนทุกคน จะให้ประหารชีวิต ลงโทษราษฎรใดๆ ได้ตามพระราชอัธยาศัยและทรงเป็นเจ้าแผ่นดิน หรือ เป็นเจ้าของแผ่นดินทั่วพระราชอาณาจักร ราษฎรทั้งหลายเป็นข้าของแผ่นดิน จะมีสิทธิครอบครองที่ดินได้ต้องขอพระบรมราชานุญาตก่อน นั่นคือ ความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพระเจ้าแผ่นดิน การดำรงฐานะของเจ้าชีวิตเจ้าแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีตมี รูปแบบการใช้อำนาจแตกต่างกันไปบ้างตามกาลสมัย แต่ก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งพระราชอำนาจสูงสุดเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของผู้คนตลอดทั่วพระราชอาณาจักร และทรงเป็นผู้นำทางจิตใจของคนไทยโดยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลากว่า 1,000 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน สมัยกรุงสุโขทัยมีพระมหากษัตริย์ที่เรียกว่า "พ่อขุน" เป็นเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน ทรงเป็นผู้ครองนครที่ดูแลทุกข์สุข ปกครองบ้านเมืองให้อยู่อย่างปลอดภัย คอยปกป้องดูแลราษฎรให้มีความสุขได้รับความยุติธรรมเสมอหน้ากัน ราษฎรมีสิทธิในการร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์ และมีเสรีภาพในการทำมาค้าขาย เป็นการปกครองเยี่ยงบิดากับบุตร หรือ "พ่อปกครองลูก" ในสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ในฐานะเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน ทรงเป็นสมมติเทพของคนไทยตามอิทธิพลลัทธิมหายานปนลัทธิพราหมณ์ที่มีความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นพระจักรพรรดิและได้มีการยกฐานะพระมหากษัตริย์เท่ากับพระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่ในเทวภูมิ (ราชบัลลังก์ของพระมหากษัตริย์เหมือนแท่นบัลลังก์ของพระอินทร์ประดับด้วยรูปสิงห์และครุฑตามความเชื่อในเทพต่าง ๆ เช่น พระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์ พระนามของพระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์จึงทรงพระนามตามชื่อเทพพรหมเหล่านั้น เช่น พระนารายณ์มหาราช พระรามาธิบดี) ขณะเดียวกัน "พระมหากษัตริย์" ในสมัยอยุธยาก็ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกในพระพุทธศาสนา คนไทยเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ของตนคือพระ "ธรรมราชา" เป็นผู้มีพระบรมเดชานุภาพทรงความเข้มแข็งเด็ดขาดควบคู่ไปกับทรงต้องบำรุงพระพุทธศาสนา หลังจากพระนเรศวรมหาราชทรงขับไล่พม่าข้าศึกไปจากกรุงศรีอยุธยาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็หันไปบำรุงด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม มิได้บำรุงด้านทหารให้เข้มแข็งเหมือนเดิม มินานก็เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 แก่พม่าอีกครั้งหนึ่ง จนอยุธยาต้องล่มสลายลงเมื่อ พ.ศ. 2310 สมัยพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ต้องใช้พระราชอำนาจเด็ดขาดกอบกู้บ้านเมือง ขับไล่ศัตรูจนสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี กอบกู้เอกราชได้สำเร็จ ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงรักษาความเป็นธรรมราชาด้วยแต่พระองค์ก็ทรงครองราชย์อยู่ในช่วงเวลาอันสั้น สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ความเป็นเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน เปลี่ยนแปลงรูปแบบอีกครั้ง จากเทพสมมติ มาเป็น "อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ" คือ เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ประชาชนทั้งปวงยอมรับ ด้วยการที่ข้าราชการและราษฎรทั้งปวงพร้อมกันกราบทูลวิงวอนเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นครองราชสมบัติ นอกจากประชาชนจะยอมรับในองค์พระมหากษัตริย์แล้ว ประชาชนยังมีความเชื่ออีกว่า พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์จะต้องทรงตั้งมั่นในหลักธรรมะ คือ ทศพิธราชธรรม สังคหวัตถุ และ จักรวรรดิวัตร ที่จะทรงใช้ในการทรงคุ้มครองและทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดินและราษฎร 1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล ตอบ พระมหากษัตริย์ทรงทำให้เกิดความสำนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้ว่าสถาบันการเมืองการปกครองจะแยกสถาบันนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ แต่ต้องให้อำนาจของตนภายใต้พระปรมาภิไธย ทำให้ทุกสถาบันมีจุดรวมกัน อำนาจที่ได้มาจากแหล่งเดียวกัน คือ พระมหากษัตริย์ นอกจากนี้พระมหากษัตริย์ยังทำให้เกิดความสำนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ระหว่างหมู่ชนภายในชาติ โดยที่ต่างเคารพสักการะและจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ร่วมกัน แม้จะมีความแตกต่างกันในด้านเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา ก็มีความสมานสามัคคีกลมเกลียวกันในปวงชนทั้งหลาย ทำให้เกิดความเป็นปึกแผ่นและเป็นพลังที่สำคัญยิ่งของชาติ กล่าวได้ว่า พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมของชาติเป็นศูนย์รวมจิตใจ ก่อให้เกิดความสมานสามัคคี และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ เกิดเอกภาพทั้งในทางการเมืองการปกครองในหมู่ประชาชนอย่างดียิ่ง พระมหากษัตริย์ทรงรักใคร่ห่วงใยประชาชนอย่างยิ่ง ทรงโปรดประชาชนและทรงให้เข้าเฝ้าฯอย่างใกล้ชิด ทำให้เกิดความจงรักภักดีแน่นแฟ้นมากขึ้นไม่เสื่อมคลายพระองค์เสด้จพระราชดำเนินไปทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นถิ่นทุรกันดารหรือมีอันตรายเพียงไร เพื่อทรงทราบถึงทุกข์สุขของประชาชน และพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์อย่างกว้างขวางโดยไม่จำกัด ฐานะ เพศ วัย ประชาชนก็มีความผูกพันกับพระมหากษัตริย์อย่างลึกซึ้งกว้างขวางแน่นแฟ้นมั่นคง จนยากที่จะมีอำนาจใดมาทำให้สั่นคลอนได้ ที่มา http://www.oknation.net/blog/print.php?id=413500

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

ตอบ การปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการดำเนินการทางการเมืองการปกครอง รัฐธรรมนูญได้กำหนดพระราชอำนาจของ
พระมหากษัตริย์ ในยุคสมัยโบราณกษัตริย์คือผู้นำทางสังคมสูงสุด เป็นแกนกลางของอำนาจทั้งหลายทั้งปวงในขอบเขตแห่งดินแดนที่อำนาจของอาณาจักรแผ่ไปถึง กำหนดและดำเนินนโยบายแห่งรัฐอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด อันเป็นความจำเป็นในสถานการณ์เช่นนั้น เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป สถาบันกษัตริย์ก็จำต้องปรับตัวไปตามสภาพความเป็นจริงของสังคม ดังในปัจจุบันนี้ สถาบันกษัตริย์ในประเทศต่างๆที่มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย คงอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ปราศจากอำนาจในทางการเมืองโดยตรง
ถึงแม้สถาบันกษัตริย์ในปัจจุบันจะดำรงอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ปราศจากอำนาจทางการเมือง แต่ได้รับความคุ้มครองให้อยู่ในสถานะอันพิเศษ แม้พระองค์จะไม่ทรงมีอำนาจทางการเมืองโดยตรง แต่อำนาจแห่งราชธรรมนั้น ทำให้พระองค์ทรงดำเนินงานด้านต่างๆ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง

1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

ตอบ อดีตอำนาจสูงสุดในแผ่นดินเป็นของพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นเจ้าชีวิตที่ทรงมีพระราชอำนาจเหนือชีวิตของคนทุกคน จะให้ประหารชีวิต ลงโทษราษฎรใดๆ ได้ตามพระราชอัธยาศัยและทรงเป็นเจ้าแผ่นดิน หรือ เป็นเจ้าของแผ่นดินทั่วพระราชอาณาจักร ราษฎรทั้งหลายเป็นข้าของแผ่นดิน จะมีสิทธิครอบครองที่ดินได้ต้องขอพระบรมราชานุญาตก่อน นั่นคือ ความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพระเจ้าแผ่นดิน

การดำรงฐานะของเจ้าชีวิตเจ้าแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีตมี รูปแบบการใช้อำนาจแตกต่างกันไปบ้างตามกาลสมัย แต่ก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งพระราชอำนาจสูงสุดเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของผู้คนตลอดทั่วพระราชอาณาจักร และทรงเป็นผู้นำทางจิตใจของคนไทยโดยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลากว่า 1,000 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน

สมัยกรุงสุโขทัยมีพระมหากษัตริย์ที่เรียกว่า "พ่อขุน" เป็นเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน ทรงเป็นผู้ครองนครที่ดูแลทุกข์สุข ปกครองบ้านเมืองให้อยู่อย่างปลอดภัย คอยปกป้องดูแลราษฎรให้มีความสุขได้รับความยุติธรรมเสมอหน้ากัน ราษฎรมีสิทธิในการร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์ และมีเสรีภาพในการทำมาค้าขาย เป็นการปกครองเยี่ยงบิดากับบุตร หรือ "พ่อปกครองลูก"

ในสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ในฐานะเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน ทรงเป็นสมมติเทพของคนไทยตามอิทธิพลลัทธิมหายานปนลัทธิพราหมณ์ที่มีความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นพระจักรพรรดิและได้มีการยกฐานะพระมหากษัตริย์เท่ากับพระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่ในเทวภูมิ (ราชบัลลังก์ของพระมหากษัตริย์เหมือนแท่นบัลลังก์ของพระอินทร์ประดับด้วยรูปสิงห์และครุฑตามความเชื่อในเทพต่าง ๆ เช่น พระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์ พระนามของพระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์จึงทรงพระนามตามชื่อเทพพรหมเหล่านั้น เช่น พระนารายณ์มหาราช พระรามาธิบดี) ขณะเดียวกัน "พระมหากษัตริย์" ในสมัยอยุธยาก็ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกในพระพุทธศาสนา คนไทยเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ของตนคือพระ "ธรรมราชา" เป็นผู้มีพระบรมเดชานุภาพทรงความเข้มแข็งเด็ดขาดควบคู่ไปกับทรงต้องบำรุงพระพุทธศาสนา

หลังจากพระนเรศวรมหาราชทรงขับไล่พม่าข้าศึกไปจากกรุงศรีอยุธยาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็หันไปบำรุงด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม มิได้บำรุงด้านทหารให้เข้มแข็งเหมือนเดิม มินานก็เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 แก่พม่าอีกครั้งหนึ่ง จนอยุธยาต้องล่มสลายลงเมื่อ พ.ศ. 2310

สมัยพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ต้องใช้พระราชอำนาจเด็ดขาดกอบกู้บ้านเมือง ขับไล่ศัตรูจนสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี กอบกู้เอกราชได้สำเร็จ ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงรักษาความเป็นธรรมราชาด้วยแต่พระองค์ก็ทรงครองราชย์อยู่ในช่วงเวลาอันสั้น

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ความเป็นเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน เปลี่ยนแปลงรูปแบบอีกครั้ง จากเทพสมมติ มาเป็น "อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ" คือ เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ประชาชนทั้งปวงยอมรับ ด้วยการที่ข้าราชการและราษฎรทั้งปวงพร้อมกันกราบทูลวิงวอนเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นครองราชสมบัติ นอกจากประชาชนจะยอมรับในองค์พระมหากษัตริย์แล้ว ประชาชนยังมีความเชื่ออีกว่า พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์จะต้องทรงตั้งมั่นในหลักธรรมะ คือ ทศพิธราชธรรม สังคหวัตถุ และ จักรวรรดิวัตร ที่จะทรงใช้ในการทรงคุ้มครองและทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดินและราษฎร

1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

ตอบ พระมหากษัตริย์ทรงทำให้เกิดความสำนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้ว่าสถาบันการเมืองการปกครองจะแยกสถาบันนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ แต่ต้องให้อำนาจของตนภายใต้พระปรมาภิไธย ทำให้ทุกสถาบันมีจุดรวมกัน อำนาจที่ได้มาจากแหล่งเดียวกัน คือ พระมหากษัตริย์ นอกจากนี้พระมหากษัตริย์ยังทำให้เกิดความสำนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ระหว่างหมู่ชนภายในชาติ โดยที่ต่างเคารพสักการะและจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ร่วมกัน แม้จะมีความแตกต่างกันในด้านเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา ก็มีความสมานสามัคคีกลมเกลียวกันในปวงชนทั้งหลาย ทำให้เกิดความเป็นปึกแผ่นและเป็นพลังที่สำคัญยิ่งของชาติ กล่าวได้ว่า พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมของชาติเป็นศูนย์รวมจิตใจ ก่อให้เกิดความสมานสามัคคี และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ เกิดเอกภาพทั้งในทางการเมืองการปกครองในหมู่ประชาชนอย่างดียิ่ง พระมหากษัตริย์ทรงรักใคร่ห่วงใยประชาชนอย่างยิ่ง ทรงโปรดประชาชนและทรงให้เข้าเฝ้าฯอย่างใกล้ชิด ทำให้เกิดความจงรักภักดีแน่นแฟ้นมากขึ้นไม่เสื่อมคลายพระองค์เสด้จพระราชดำเนินไปทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นถิ่นทุรกันดารหรือมีอันตรายเพียงไร เพื่อทรงทราบถึงทุกข์สุขของประชาชน และพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์อย่างกว้างขวางโดยไม่จำกัด ฐานะ เพศ วัย ประชาชนก็มีความผูกพันกับพระมหากษัตริย์อย่างลึกซึ้งกว้างขวางแน่นแฟ้นมั่นคง จนยากที่จะมีอำนาจใดมาทำให้สั่นคลอนได้

ที่มา

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=413500

รูปภาพของ nss40153

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

ตอบ     - แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญ และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้1. พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ2. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน3.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี

1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

ตอบ  - รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด 800 ปี ภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู (ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์) และหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ "กษัตริย์" ของศาสนาฮินดู เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหาร ส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด "ธรรมราชา" ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท หลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรมสมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า "พ่อขุน" มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า "พญา" เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาลพญาลิไท พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด ธรรมราชา ตามคติพุทธขึ้นมา ทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า "พระมหาธรรมราชา" ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้นประชาชนมากขึ้น คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า "สมเด็จ" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหาร พระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราช

1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

ตอบ  -  การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์  ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญ  ไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด  เพราะฉะนั้น  พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง  หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์  ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลง เป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรี  และให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรอง  ดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็น พระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง

รูปภาพของ nss40086

Innocent1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

ตอบ การปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการดำเนินการทางการเมืองการปกครอง รัฐธรรมนูญได้กำหนดพระราชอำนาจของ
พระมหากษัตริย์ ในยุคสมัยโบราณกษัตริย์คือผู้นำทางสังคมสูงสุด เป็นแกนกลางของอำนาจทั้งหลายทั้งปวงในขอบเขตแห่งดินแดนที่อำนาจของอาณาจักรแผ่ไปถึง กำหนดและดำเนินนโยบายแห่งรัฐอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด อันเป็นความจำเป็นในสถานการณ์เช่นนั้น เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป สถาบันกษัตริย์ก็จำต้องปรับตัวไปตามสภาพความเป็นจริงของสังคม ดังในปัจจุบันนี้ สถาบันกษัตริย์ในประเทศต่างๆที่มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย คงอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ปราศจากอำนาจในทางการเมืองโดยตรง
ถึงแม้สถาบันกษัตริย์ในปัจจุบันจะดำรงอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ปราศจากอำนาจทางการเมือง แต่ได้รับความคุ้มครองให้อยู่ในสถานะอันพิเศษ แม้พระองค์จะไม่ทรงมีอำนาจทางการเมืองโดยตรง แต่อำนาจแห่งราชธรรมนั้น ทำให้พระองค์ทรงดำเนินงานด้านต่างๆ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง

1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

ตอบ อดีตอำนาจสูงสุดในแผ่นดินเป็นของพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นเจ้าชีวิตที่ทรงมีพระราชอำนาจเหนือชีวิตของคนทุกคน จะให้ประหารชีวิต ลงโทษราษฎรใดๆ ได้ตามพระราชอัธยาศัยและทรงเป็นเจ้าแผ่นดิน หรือ เป็นเจ้าของแผ่นดินทั่วพระราชอาณาจักร ราษฎรทั้งหลายเป็นข้าของแผ่นดิน จะมีสิทธิครอบครองที่ดินได้ต้องขอพระบรมราชานุญาตก่อน นั่นคือ ความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพระเจ้าแผ่นดิน

การดำรงฐานะของเจ้าชีวิตเจ้าแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีตมี รูปแบบการใช้อำนาจแตกต่างกันไปบ้างตามกาลสมัย แต่ก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งพระราชอำนาจสูงสุดเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของผู้คนตลอดทั่วพระราชอาณาจักร และทรงเป็นผู้นำทางจิตใจของคนไทยโดยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลากว่า 1,000 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน

สมัยกรุงสุโขทัยมีพระมหากษัตริย์ที่เรียกว่า "พ่อขุน" เป็นเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน ทรงเป็นผู้ครองนครที่ดูแลทุกข์สุข ปกครองบ้านเมืองให้อยู่อย่างปลอดภัย คอยปกป้องดูแลราษฎรให้มีความสุขได้รับความยุติธรรมเสมอหน้ากัน ราษฎรมีสิทธิในการร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์ และมีเสรีภาพในการทำมาค้าขาย เป็นการปกครองเยี่ยงบิดากับบุตร หรือ "พ่อปกครองลูก"

ในสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ในฐานะเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน ทรงเป็นสมมติเทพของคนไทยตามอิทธิพลลัทธิมหายานปนลัทธิพราหมณ์ที่มีความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์เป็นพระจักรพรรดิและได้มีการยกฐานะพระมหากษัตริย์เท่ากับพระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่ในเทวภูมิ (ราชบัลลังก์ของพระมหากษัตริย์เหมือนแท่นบัลลังก์ของพระอินทร์ประดับด้วยรูปสิงห์และครุฑตามความเชื่อในเทพต่าง ๆ เช่น พระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์ พระนามของพระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์จึงทรงพระนามตามชื่อเทพพรหมเหล่านั้น เช่น พระนารายณ์มหาราช พระรามาธิบดี) ขณะเดียวกัน "พระมหากษัตริย์" ในสมัยอยุธยาก็ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกในพระพุทธศาสนา คนไทยเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ของตนคือพระ "ธรรมราชา" เป็นผู้มีพระบรมเดชานุภาพทรงความเข้มแข็งเด็ดขาดควบคู่ไปกับทรงต้องบำรุงพระพุทธศาสนา

หลังจากพระนเรศวรมหาราชทรงขับไล่พม่าข้าศึกไปจากกรุงศรีอยุธยาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็หันไปบำรุงด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรม มิได้บำรุงด้านทหารให้เข้มแข็งเหมือนเดิม มินานก็เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 แก่พม่าอีกครั้งหนึ่ง จนอยุธยาต้องล่มสลายลงเมื่อ พ.ศ. 2310

สมัยพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ต้องใช้พระราชอำนาจเด็ดขาดกอบกู้บ้านเมือง ขับไล่ศัตรูจนสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี กอบกู้เอกราชได้สำเร็จ ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงรักษาความเป็นธรรมราชาด้วยแต่พระองค์ก็ทรงครองราชย์อยู่ในช่วงเวลาอันสั้น

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ความเป็นเจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน เปลี่ยนแปลงรูปแบบอีกครั้ง จากเทพสมมติ มาเป็น "อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ" คือ เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ประชาชนทั้งปวงยอมรับ ด้วยการที่ข้าราชการและราษฎรทั้งปวงพร้อมกันกราบทูลวิงวอนเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นครองราชสมบัติ นอกจากประชาชนจะยอมรับในองค์พระมหากษัตริย์แล้ว ประชาชนยังมีความเชื่ออีกว่า พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์จะต้องทรงตั้งมั่นในหลักธรรมะ คือ ทศพิธราชธรรม สังคหวัตถุ และ จักรวรรดิวัตร ที่จะทรงใช้ในการทรงคุ้มครองและทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดินและราษฎร

1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

ตอบ พระมหากษัตริย์ทรงทำให้เกิดความสำนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้ว่าสถาบันการเมืองการปกครองจะแยกสถาบันนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ แต่ต้องให้อำนาจของตนภายใต้พระปรมาภิไธย ทำให้ทุกสถาบันมีจุดรวมกัน อำนาจที่ได้มาจากแหล่งเดียวกัน คือ พระมหากษัตริย์ นอกจากนี้พระมหากษัตริย์ยังทำให้เกิดความสำนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ระหว่างหมู่ชนภายในชาติ โดยที่ต่างเคารพสักการะและจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ร่วมกัน แม้จะมีความแตกต่างกันในด้านเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา ก็มีความสมานสามัคคีกลมเกลียวกันในปวงชนทั้งหลาย ทำให้เกิดความเป็นปึกแผ่นและเป็นพลังที่สำคัญยิ่งของชาติ กล่าวได้ว่า พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมของชาติเป็นศูนย์รวมจิตใจ ก่อให้เกิดความสมานสามัคคี และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ เกิดเอกภาพทั้งในทางการเมืองการปกครองในหมู่ประชาชนอย่างดียิ่ง พระมหากษัตริย์ทรงรักใคร่ห่วงใยประชาชนอย่างยิ่ง ทรงโปรดประชาชนและทรงให้เข้าเฝ้าฯอย่างใกล้ชิด ทำให้เกิดความจงรักภักดีแน่นแฟ้นมากขึ้นไม่เสื่อมคลายพระองค์เสด้จพระราชดำเนินไปทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นถิ่นทุรกันดารหรือมีอันตรายเพียงไร เพื่อทรงทราบถึงทุกข์สุขของประชาชน และพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์อย่างกว้างขวางโดยไม่จำกัด ฐานะ เพศ วัย ประชาชนก็มีความผูกพันกับพระมหากษัตริย์อย่างลึกซึ้งกว้างขวางแน่นแฟ้นมั่นคง จนยากที่จะมีอำนาจใดมาทำให้สั่นคลอนได้

ที่มา

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=413500

รูปภาพของ nss40160

 

รากฐานแห่งพระราชอำนาจ

1.รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

ตอบ แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการปฏิบัติการทางการเมืองการ ปกครองทุกอย่างแต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้ รับรองโดยรัฐธรรมนูญและพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของ ไทยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้

1.พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ

2.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน

3.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี

  1.  
    1. อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

      ตอบ

รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด 800 ปี ภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู   (ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์) และหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ "กษัตริย์"
ของศาสนาฮินดู เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหาร
ส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด "ธรรมราชา" ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
หลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6
อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม
สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า "พ่อขุน" มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า "พญา" เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาลพญาลิไท พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด ธรรมราชา ตามคติพุทธขึ้นมา ทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า "พระมหาธรรมราชา" ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้
รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ
หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์
ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้น
ประชาชนมากขึ้น คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า "สมเด็จ" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหาร พระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราช     

 

  1.  
    1. การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

      ตอบ

    2. การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์  ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญ  ไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด  เพราะฉะนั้น  พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง  หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์  ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลง เป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรี  และให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรอง  ดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็น พระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง  

 

 www.mwit.ac.th/~keng/lesson05/7.doc 

 

http://power.manager.co.th/57-67.html

 

รูปภาพของ nss37587

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมืองและกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่างแต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญและพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้                       

                         1.พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราบัญญัติ   
                         
2.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
                         3.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี

1.1 อิทธิพลและการสนับ สนุนจากลัทธิศาสนา

ตอบ รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด 800 ปี ภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู (ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์) และหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ "กษัตริย์" ของศาสนาฮินดู เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหาร ส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด "ธรรมราชา" ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท หลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม                                                                     

    สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า "พ่อขุน" มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า "พญา" เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาลพญาลิไท พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด ธรรมราชา ตามคติพุทธขึ้นมา ทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า "พระมหาธรรมราชา" ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้นประชาชนมากขึ้น คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า "สมเด็จ" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหาร พระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราช

1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

ตอบ  การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์ ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญ  ไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด  เพราะฉะนั้น พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์  ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลงเป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรี และให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรอง ดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็นพระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง  

อ้างอิง 

www.mwit.ac.th/~keng/lesson05/7.doc

รูปภาพของ nssss40832

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

           ตอบ   แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง  และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง  แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญ  และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย  พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์  มีดังนี้

             1.      พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ

             2.      พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน

             3.      พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี 

1.1    อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

             รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด 800 ปี ภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู (ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์) และหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ "กษัตริย์" ของศาสนาฮินดู เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหาร ส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด "ธรรมราชา" ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท หลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม

             สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า "พ่อขุน" มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า "พญา" เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาลพญาลิไท พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด ธรรมราชา ตามคติพุทธขึ้นมา ทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า "พระมหาธรรมราชา" ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้นประชาชนมากขึ้น คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า "สมเด็จ" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหาร พระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราช

1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล 

             พระมหากษัตริย์ได้รับการยอมรับเทิดทูนจากประชาชน  ในลักษณะเป็นเสมือนสถาบันศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ความคุ้มครองแก่ตน  การยอมอยู่ใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์เป็นไปด้วยความสมัครใจ บังเกิดจากความจงรักภักดีเพราะตระหนักว่า  ประเทศชาติมีความสงบและมั่นคงเพราะพระบารมีของพระมหากษัตริย์

             ปัจจุบันแม้ประเทศไทยจะเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  แต่ประชาชนในประเทศไทยมีความจงรักภักดีและยึดมั่นพระมหากษัตริย์เสมือนเจ้าเหนือหัว  ดังที่ใช้ศัพท์แทนองค์พระมหากษัตริย์ว่า พระเจ้าอยู่หัว  คนไทยมีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์เพราะพระมหากษัตริย์ทรงมีความใกล้ชิดกับประชาชน  ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุข  เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับประชาชนไม่ว่าจะเสด็จไปที่แห่งใดประชาขนสามารถเข้าเฝ้าฯ ได้อย่างใกล้ชิด  นอกจากนี้พระมหากษัตริย์ทรงมีบทบาทในการช่วยเหลือประชาชนมาตลอด  การเสด็จเยี่ยมประชาชนในท้องถิ่นทุรกันดาร  ทรงรับทราบทุกข์สุขและพยายามหาทางแก้ไขช่วยเหลือ จัดทำและสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ชาติ  ประชาชน ความรู้สึกผูกพันและยึดถือ

 www.mwit.ac.th/~keng/lesson05/7.doc

รูปภาพของ nss40161

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับยืนยันความเป็นประมุขสูงสุดของพระมหากษัตริย์ โดยบัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้ หมายความว่า ผู้ใดจะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ไม่ได้ ผู้ละเมิดต่อพระมหากษัตริย์ถือว่าเป็นการกระทำความผิดอย่างร้ายแรง รัฐธรรมนูญบางฉบับถึงกับไม่ยอมให้มีการนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์   การปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการดำเนินการทางการเมืองการปกครอง รัฐธรรมนูญได้กำหนดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์

 1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา พระพุทธศาสนาได้เข้ามาในประเทศจีนดังได้ปรากฏในหลักฐาน เมื่อประมาณพุทธศักราช 608 ในสมัยของพระจักรพรรดิเม่งเต้แห่งราชวงศ์ฮั่น พระได้จัดส่งคณะทูต 18 คน ไปสืบพระพุทธศาสนาในอินเดีย คณะทูตชุดนี้ได้เดินทางกลับประเทศจีนพร้อมด้วยพระภิกษุ 2 รูป คือ พระกาศยปมาตังคะ และพระธรรมรักษ์ รวมทั้งคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาอีกส่วนหนึ่งด้วย เมื่อพระเถระ 2 รูป พร้อมด้วยคณะทูตมาถึงนครโลยาง พระเจ้าฮั่นเม่งเต้ ได้ทรงสั่งให้สร้างวัดเพื่อเป็นที่อยู่ของพระทั้ง 2 รูป นั้นซึ่งมีชื่อว่า วัดแป๊ะเบ๊ยี่ แปลเป็นไทยว่า วัดม้าขาว เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ม้าตัวที่บรรทุกพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากับพระเถระทั้งสอง หลังจากนั้นพระปาศยมาตังตะ กับพระธรรมรักษ์ได้แปลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็นภาษาจีนเล่มแรก  

 

 

1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล        การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์  ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญ  ไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใดเพราะฉะนั้น  พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง  หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์  ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลงเป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรี  และให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรอง  ดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็นพระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง       

รูปภาพของ nss37850

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือแม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง  และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง
  แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญ  และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย  พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์  มีดังนี้     
1. พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ2. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
3.
 พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี 
            ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  นอกเหนือจากพระราชอำนาจที่มีการกำหนดแน่ชัดโดยรัฐธรรมนูญแล้วก็ยังมีสิทธิบางประการที่ยึดถือว่าเป็นสิทธิของพระมหากษัตริย์ที่ทรงกระทำได้แม้รัฐธรรมนูญจะมิได้กำหนดไว้ก็ตาม สิทธิของพระมหากษัตริย์  ในระบอบประชาธิปไตย  ได้แก่1.สิทธิที่จะพระราชทานคำแนะนำตักเตือน2. สิทธิที่จะทรงได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ 3. สิทธิที่จะพระราชทานคำปรึกษาหารือ4. สิทธิที่จะพระราชทานการสนับสนุน1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนารูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด
800
 ปีภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู (ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์) และหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ "กษัตริย์" ของศาสนาฮินดูเนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหารส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด"ธรรมราชา" ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทหลังจากที่พระพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรมสมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า"พ่อขุน" มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้วพระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า "พญา"เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น
ในรัชกาลพญาลิไท
 พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด ธรรมราชา ตามคติพุทธขึ้นมาทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า
"พระมหาธรรมราชา" ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
 ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพหมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์
ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้น ประชาชนมากขึ้นคำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า"สมเด็จ" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย
 พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหารพระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราชอำนาจผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ
1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคลการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อนที่เรียกว่า  ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
นั้น
  แม้จะมีลักษณะเป็นการปกครองที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดผู้ปกครอง  อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของพระมหากษัตริย์ แต่มีลักษณะที่ผิดไปจากระบอบเผด็จการ เพราะพระมหากษัตริย์ได้รับการยอมรับเทิดทูนจากประชาชน  ในลักษณะเป็นเสมือนสถาบันศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ความคุ้มครองแก่ตน  การยอมอยู่ใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์เป็นไปด้วยความสมัครใจ  บังเกิดจากความจงรักภักดีเพราะตระหนักว่า  ประเทศชาติมีความสงบและมั่นคงเพราะพระบารมีของพระมหากษัตริย์
  

 

รูปภาพของ gritsana

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือแม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง  และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง
  แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญ  และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย  พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์  มีดังนี้     
1. พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ2. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
3.
 พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี 
            ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  นอกเหนือจากพระราชอำนาจที่มีการกำหนดแน่ชัดโดยรัฐธรรมนูญแล้วก็ยังมีสิทธิบางประการที่ยึดถือว่าเป็นสิทธิของพระมหากษัตริย์ที่ทรงกระทำได้แม้รัฐธรรมนูญจะมิได้กำหนดไว้ก็ตาม สิทธิของพระมหากษัตริย์  ในระบอบประชาธิปไตย  ได้แก่1.สิทธิที่จะพระราชทานคำแนะนำตักเตือน2. สิทธิที่จะทรงได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ 3. สิทธิที่จะพระราชทานคำปรึกษาหารือ4. สิทธิที่จะพระราชทานการสนับสนุน1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนารูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด
800
 ปีภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู (ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์) และหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ "กษัตริย์" ของศาสนาฮินดูเนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหารส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด"ธรรมราชา" ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทหลังจากที่พระพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรมสมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า"พ่อขุน" มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้วพระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า "พญา"เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น
ในรัชกาลพญาลิไท
 พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด ธรรมราชา ตามคติพุทธขึ้นมาทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า
"พระมหาธรรมราชา" ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
 ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพหมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์
ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้น ประชาชนมากขึ้นคำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า"สมเด็จ" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย
 พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหารพระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราชอำนาจผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ
1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคลการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อนที่เรียกว่า  ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
นั้น
  แม้จะมีลักษณะเป็นการปกครองที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดผู้ปกครอง  อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของพระมหากษัตริย์ แต่มีลักษณะที่ผิดไปจากระบอบเผด็จการ เพราะพระมหากษัตริย์ได้รับการยอมรับเทิดทูนจากประชาชน  ในลักษณะเป็นเสมือนสถาบันศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ความคุ้มครองแก่ตน  การยอมอยู่ใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์เป็นไปด้วยความสมัครใจ  บังเกิดจากความจงรักภักดีเพราะตระหนักว่า  ประเทศชาติมีความสงบและมั่นคงเพราะพระบารมีของพระมหากษัตริย์


 

รูปภาพของ nss40088

1.รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

ตอบ ระบอบการปกครองของรัฐ ซึ่งบริหารอำนาจรัฐมาจากเสียงข้างมากของพลเมือง โดยพลเมืองอาจใช้อำนาจของตนโดยตรงหรือผ่านผู้แทนที่ตนเลือกไปใช้อำนาจแทนก็ได้ หรืออาจถือตามคำกล่าวของอดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา อับราฮัม ลินคอล์น ที่ว่า ประชาธิปไตยเป็น การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน นับเป็นรูปแบบการปกครองที่เกิดขึ้น ณ นครรัฐกรีกโบราณในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรุงเอเธนส์ภายหลังการก่อจลาจลเมื่อ 508 ปีก่อนคริสตกาลการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมักจะได้รับการพิจารณาโดยคนส่วนใหญ่ว่าเป็นรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการมอบสิทธิและเสรีภาพให้กับประชาชนได้มากกว่าการปกครองในระบอบอื่น ทำให้ระบอบประชาธิปไตยได้ชื่อว่าเป็น "การปกครองระบอบสุดท้าย" และได้แผ่ขยายไปทั่วโลก พร้อม ๆ กับมโนทัศน์เรื่องการออกเสียงเลือกตั้ง (อังกฤษ: suffrage) อย่างไรก็ดี แม้การดำเนินการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยแม้จะได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน แต่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาหลายประการอันเกิดขึ้นในปัจจุบัน อย่างเช่น ข้อพิพาทเกี่ยวกับดินแดน การอพยพเข้าเมือง และการกีดกันกลุ่มประชากรบางชาติพันธุ์ เป็นต้น

1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

ตอบ พระพุทธศาสนายังมีอิทธิพลต่อการใช้พระราชอำนาจของ เจ้าชีวิต - เจ้าแผ่นดิน ของไทยเป็นอย่างยิ่งคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ปรากฏใน พระบาลีสุตตันตปิฎกขุททกนิกายว่า - พระเจ้าแผ่นดินทรงรู้ว่าตนกำลังกริ้วจัดจะไม่พึงลงอาชญาแก่ใคร - พระเจ้าแผ่นดินพึงรู้ว่าจิตใจของตนผ่องใสจึงใคร่ครวญความผิดที่ผู้อื่นทำไว้ พิจารณาให้เห็นแจ่มแจ้งด้วยการมองว่า มีส่วนที่เป็นประโยชน์เป็นโทษ แล้วจึง ลงโทษบุคคลนั้น ๆ ตามสมควร - กษัตริย์เหล่าใดถูกอคติครอบงำ ไม่ทรงพิจารณาเสียก่อนแล้วทำไป ทรงลงอาชญาโดยผลุนผลัน กษัตริย์เหล่านั้นปกครองด้วยโทษน่าติเตียน เมื่อทิ้งชีวิตไปพ้นจากโลกนี้แล้วย่อมไปสู่ทุคติ พระราชาที่ทรงยึดถือในทศพิธราชธรรม เป็นผู้บำเพ็ญด้วย กาย วาจา ใจ และดำรงมั่นอยู่ในขันติ โสรัจจะ และ สมาธิ - พระราชาที่ครองราชย์ด้วยกุศลกรรมบก 10 ย่อมจะทำให้มหาชน ผู้กำเริบร้อนกายและจิตให้ดับหายไปได้เหมือนมหาเมฆยังแผ่นดินให้ชุ่มชื่นด้วยน้ำ

1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

ตอบ การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์  ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญ  ไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด  เพราะฉะนั้น  พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง  หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์  ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลง เป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรี  และให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรอง  ดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็น พระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง

อ้างอิง

ผม Coppy มาจากห้อง 5/2 ครับ ผมไม่รู้จักชื่อเขาครับ

รูปภาพของ nss40089

 1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญ และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้  1. พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราบัญญัติ 2. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน 3.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี

1.1    อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด ๘๐๐ ปี ภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู (ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์) และหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ "กษัตริย์" ของศาสนาฮินดู เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหาร ส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด "ธรรมราชา" ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท หลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า "พ่อขุน" มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า "พญา" เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาลพญาลิไท พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด ธรรมราชา ตามคติพุทธขึ้นมา ทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า "พระมหาธรรมราชา" ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้นประชาชนมากขึ้น คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า "สมเด็จ" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหาร พระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราช

1.2    การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล 

การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์  ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญ  ไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด  เพราะฉะนั้น  พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง  หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์  ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลง เป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรี  และให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรอง  ดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็น พระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง         

อ้างอิงจาก :  www.mwit.ac.th/~keng/lesson05/7.doc                                 http://socialscience.igetweb.com/index.php?mo=3&art=140927

รูปภาพของ nss40094

1.รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

- แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมืองและกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่างแต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญและพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์มีดังนี้

1. พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ

2. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน

3.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี

 

1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด800 ปีภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัยโดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู(ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์)และหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ "กษัตริย์"ของศาสนาฮินดูเนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหารส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด"ธรรมราชา"ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทหลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม    สมัยกรุงสุโขทัยมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า"พ่อขุน" มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมากหลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้วพระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า"พญา" เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้นในรัชกาลพญาลิไท พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เฟื่องฟูมากจึงมีแนวคิด ธรรมราชา ตามคติพุทธขึ้นมาทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า"พระมหาธรรมราชา"ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอมเรียกว่า เทวราชาหรือ สมมติเทพหมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้นประชาชนมากขึ้น คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า"สมเด็จ"หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหารพระมหากษัตริย์

 1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

- การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใดเพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริงหน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลงเป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรีและให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรองดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็นพระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง

www.mwit.ac.th/~keng/lesson05/7.doc

รูปภาพของ nss40159

1.รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

- แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมืองและกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่างแต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญและพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้

1.พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ 

2.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน

3.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี

1.1อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสน

-รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด ๘๐๐ ปี ภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู (ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์) และหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ "กษัตริย์"ของศาสนาฮินดู เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหารส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด "ธรรมราชา" ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทหลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม                                

              สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า "พ่อขุน"มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้วพระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า "พญา"เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาลพญาลิไท พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เฟื่องฟูมากจึงมีแนวคิด ธรรมราชา ตามคติพุทธขึ้นมาทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า"พระมหาธรรมราชา" ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอมเรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้นประชาชนมากขึ้น คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า"สมเด็จ" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหารพระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราช

     1.2 การสันบสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

                     การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์  ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญ  ไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใดเพราะฉะนั้น  พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง  หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์  ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลงเป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรี  และให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรอง  ดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็นพระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง     

  www.mwit.ac.th/~keng/lesson05/7.doc     

   http://socialscience.igetweb.com/index.php?mo=3&art=140927

รูปภาพของ nss40091

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญ คือ ?

ตอบ 
แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง
และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง
แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐ
ธรรมนูญ และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย
พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้

1.) พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ
2.) พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
3.) พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี

1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

ตอบ 
รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด 800 ปี
ภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช
โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็น
อาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์
แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู
(ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์)
และหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ
"กษัตริย์" ของศาสนาฮินดู
เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหาร
ส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด "ธรรมราชา" ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
หลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6
อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม

        สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก
พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า "พ่อขุน"
มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก
หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว
พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า "พญา"
เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาลพญาลิไท
พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด ธรรมราชา
ตามคติพุทธขึ้นมา
ทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า
"พระมหาธรรมราชา" ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า
เทวราชา หรือ สมมติเทพ
หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์
ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้น
ประชาชนมากขึ้น คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า "สมเด็จ"
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย
พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหาร
พระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราช

1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

ตอบ  การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล
ในส่วนตัวผมคิดว่า ไม่มีใคร ที่ไม่รักในหลวง หรือ รักพระมหากษัตริย์ของตน
ทุกคนมีจิตใต้สำนึก และ มีความจงรักภักดีอยู่ในตัวเสมออยู่แล้ว 

        ยิ่งเป็น " ในหลวง " ของปวงชนทุกคนชาวไทยอยู่แล้ว
ไม่มีใครไม่รักท่าน ชีวิตของท่าน ทำเพื่อพวกเราทุกคน
ที่เป็นเหมือนกับลูกของพระองค์ พระองค์ทำทุกอย่างให้พวกเรา โดยไม่คิดว่า
พระองค์จะเหนื่อยพระวรกาย ซักเพียงใด พระองค์ทำได้ เพื่อความสุข
ความสบายของพวกเราทุกคนในประเทศ และ เราจะเห็นได้ว่า ในงาน วันพ่อ คือ
ในวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกๆปี หรือ งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60
ปี เราจะเห็นได้ว่า ไม่มีใครไม่รักท่าน , มีแต่คน เปล่ง คำว่า
" ทรงพระเจริญ " ไปทั่วทุกที ทุกหนแห่ง นี่ หละ คือ ความจงรักภักดี ต่อ
พระมหากษัตริย์ หรือ ในหลวง ของเรานั่นเอง 

 


ข้อมูลอ้างอิงจาก  http://www.bbc07politics.ob.tc/117.htm

 

จัดทำโดย

นายธันย์ศรุต พิชิตศักดิ์ประภา เลขที่ 17 ม.5/8

รูปภาพของ nss40093

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ ตอบ แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญ และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้       1. พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ       2. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน       3.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี 1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา ตอบ รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด 800 ปี ภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู (ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์) และหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ "กษัตริย์" ของศาสนาฮินดู เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหาร ส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด "ธรรมราชา" ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท หลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า "พ่อขุน" มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า "พญา" เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาลพญาลิไท พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด ธรรมราชา ตามคติพุทธขึ้นมา ทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า "พระมหาธรรมราชา" ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้นประชาชนมากขึ้น คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า "สมเด็จ" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหาร 1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล ตอบ การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลง เป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรีและให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรองดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็นพระมหากษัตริย์ของประชาชน     เอกสารอ้างอิง : www.mwit.ac.th/~keng/lesson05/7.doc  

รูปภาพของ nss 37669

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ ให้นักเรียนหาเหตุผลมาเขียนสนับสนุนตามหัวข้อที่กำหนดทั้ง 2 ข้อให้ครบ 1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาธีรราชเจ้าได้ทรงพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับชาติและศาสนา มีข้อความดังนี้ " ชาติกับศาสนาเป็นสิ่งต่อเนื่องกัน ถ้าชาติพินาศแล้วศาสนาก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ ถ้าศาสนาเสื่อมทรามจนสูญสิ้นไปแล้ว ประชาชนก็จะมีคุณธรรมย่อหย่อนลงไป จนท้ายไม่มีอะไรเลย ชาติใดไร้คุณธรรม ชาตินั้นก็ต้องถึงแก่ความพินาศล่มจม คงต้องเป็นข้าชาติอื่นที่มีคุณธรรมบริบูรณ์อยู่ "  ในเทศนาเสือป่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับสั่งถึงพระพุทธศาสนา มีข้อความดังนี้ " พุทธศาสนาเป็นของไทย เรามาชวนกันนับถือพระพุทธศาสนาเถิด ผู้ที่แปลงศาสนา คนเขาดูถูกยิ่งกว่าคนที่แปลงชาติ เพราะเหตุฉะนั้น เป็นความจำเป็นที่เราทั้งหลายผู้เป็นไทยจะต้องมั่นอยู่ในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาสำหรับชาติเรา " พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราช ได้ทรงมีพระราชดำรัสแด่พระสันตปาปา จอห์นพอลที่ ๒ ประมุขแห่งศาสนจักร คาทอลิก ในคราวที่เข้าเฝ้า ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๒๗ มีข้อความตอนหนึ่งว่า " คนไทยเป็นศาสนิกชนที่ดีทั่วกัน ส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติ " " ชาวไทยซึ่งเป็นพุทธมามกะชน มีจิตสำนึกมั่นคงอยู่ในกุศลสุจริตและในความเมตตากรุณา เห็นว่าศาสนาทั้งปวงย่อมสั่งสอนความดี ให้บุคคลประพฤติปฏิบัติแต่ในทางที่ถูก ที่ชอบ ที่เป็นประโยชน์ ให้ใฝ่หาความสงบสุขความผ่องใสให้แก่ชีวิต ทั้งเรายังมีเนติแบบธรรมเนียมให้ต้อนรับนับถือชาวต่างชาติต่างศาสนาด้วยความเป็นมิตร แผ่ไมตรีแก่กันด้วยเมตตาจิตและด้วยความจริงใจ บริสุทธิ์ใจ มิให้ดูแคลนเบียดเบียนผู้ถือสัญชาติและศาสนาอื่น ด้วยจะเป็นการนำความแตกร้าวและความรุนแรงเดือดร้อนมาให้ ดังนี้ คริสต์ศาสนาจึงเจริญงอกงามขึ้นในประเทศนี้ " พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะ ได้ทรงประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะทศพิธราชธรรม ทศพิธราชธรรมเป็นธรรมของพระราชาและนักปกครอง มี ๑๐ ประการ คือ  ๑. ทาน การให้ ทั้งวัตถุทาน ธรรมทาน และอภัยทาน ๒. ศีล ความประพฤติดีงาม งดเว้นจากการทำชั่ว เสียหาย ไม่ทำอะไรที่เป็นการไม่เหมาะไม่ควร  ๓. ปริจจาคะ การเสียสละ ยอมเสียสละประโยชน์ส่วนตน เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ๔. อาชชวะ ความตรง คือประพฤติซื่อตรง ไม่คิดทรยศต่อประชาชนและประเทศชาติ  ๕. มัททวะ ความอ่อนโยน มีกายวาจาสุภาพ อ่อนโยน ต่อคนทั้งปวง ๖. ตปะ ความเพียร เพียรปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสม่ำเสมอ ไม่ลดละเบื่อหน่าย มีความกล้าหาญไม่อ่อนแอย่อท้อ   ๗. อักโกธะ ความไม่โกรธ ไม่ลุอำนาจของความโกรธ และกระทำไปด้วยอำนาจของความโกรธ ๘. อวิหิงสา การไม่เบียดเบียน ไม่ทำอะไรให้เป็นการเบียดเบียนผู้อื่น ทั้งทางตรงและทางอ้อม มีจิตประกอบด้วยกรุณาคิดช่วยเหลือผู้อื่น  ๙. ขันติ ความอดทน มีความอดทนต่อความลำบาก ตรากตรำทั้งปวง อดทนต่อถ้อยคำที่จาบจ้วงล่วงเกิน ๑๐. อวิโรธนะ ความไม่ผิด จะทำอะไรก็ศึกษาพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดเมื่อรู้ว่าอะไรผิดก็ไม่ทำ  พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ยังทรงเป็นองค์เอกอัครพุทธศาสนูปถัมภ์ ทรงให้ความอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ ทรงทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองมาจนทุกวันนี้ 2. การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล การส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์           ๑. ทุกคนที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต้องถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ ช่วยสอดส่องป้องกันภัย และความเสียหายที่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของสถาบันพระมหากษํตริย์ เช่น ขจัดข่าวร้าย สลายข่าวลือ ที่ทำลายความศรัทธาและความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์           ๒. แสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษํตริย์ และแสดงความเคารพต่อพระบรมวงศ์วานุวงศ์ทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม           ๓. ศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ให้มีความซาบซึ้งในพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ และพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์           ๔. เผยแพร่ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ และพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะในวันสำคัญ ควรมีการจัดกิจกรรมต่างๆ และเผยแพร่ทางสื่อมวลชน อย่างกว้างขวาง           ๕. ร่วมกันปฏิบัติความดีตามรอยพระยุคลบาท และพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   อ้างอิง : http://board.palungjit.com  http://www.chaoprayanews.com/2009/03/18/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0/

รูปภาพของ nss37398

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

-
แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง
และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง
แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐ
ธรรมนูญ และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย
พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้

1. พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ

2. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน

3.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี

1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด 800 ปี ภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู (ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์) และหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ "กษัตริย์"
ของศาสนาฮินดู เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหาร
ส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด "ธรรมราชา" ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
หลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6
อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม

สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า "พ่อขุน" มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า "พญา" เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาลพญาลิไท พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด ธรรมราชา ตามคติพุทธขึ้นมา ทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า "พระมหาธรรมราชา" ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้
รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ
หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์
ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้น
ประชาชนมากขึ้น คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า "สมเด็จ"
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหาร พระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราช

1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

 

-  การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์
ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญ
ไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด  เพราะฉะนั้น
พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง
หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้
รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์  ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลง
เป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรี  และให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรอง
ดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจต
จำนงของประชาชนเท่ากับเป็น พระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง

อ้างอิง www.mwit.ac.th/~keng/lesson05/7.doc

รูปภาพของ nss40151

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ          

   แม้
พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง
และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง
แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐ
ธรรมนูญ และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย
พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้
            

 1.พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราบัญญัติ 2.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน   3.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี  

2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล          การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์  ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญ  ไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด  เพราะฉะนั้น  พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง  หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์  ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลง เป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรี  และให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรอง  ดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็น พระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง  

อ้างอิงค์ ; www.mwit.ac.th/~keng/lesson05/7.doc

 

รูปภาพของ nss40090

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

ให้นักเรียนหาเหตุผลมาเขียนสนับสนุนตามหัวข้อที่กำหนดทั้ง 2 ข้อให้ครบ

 

พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามนิติราชประเพณีที่มีมาแต่โบราณนี้
แม้จะไม่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ก็ด้วยพระบรมเดชานุภาพ
ความศรัทธา ความเลื่อมใสในองค์พระมหากษัตริย์ที่มีพระราชจริยาวัตร
ให้ความคุ้มครองปกป้องดูแลประเทศชาติและประชาชนมาโดยตลอด
เมื่อทรงใช้พระราชอำนาจในการแก้ไขวิกฤติการณ์ของประเทศ
จึงเกิดสัมฤทธิผลอย่างน่ามหัศจรรย์ยิ่ง

ด้วยพระราชประสบการณ์ของพระมหากษัตริย์ที่มีต่อการบริหารราชการแผ่นดินของพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน
ทำให้พระราชอำนาจที่จะทรงให้คำปรึกษาแนะนำก็ดี จะทรงตักเตือนรัฐบาล
รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ และประชาชนก็ดี รวมทั้งพระราชอำนาจที่จะทรงพัฒนาและสนับสนุน
พระราชอำนาจที่จะทรงปลดเปลื้องความทุกข์ให้แก่ราษฎร
เป็นไปด้วยคุณธรรม ด้วยความเมตตา และด้วยสัมพันธภาพที่ดียิ่งระหว่าง
พระมหากษัตริย์ - รัฐบาล - ประชาชน มิได้เป็นไปในทางใช้
อำนาจ - สิทธิ ความเป็นปัจเจกชนนิยมแบบตะวันตกเสียทั้งหมด

มรดกทางการปกครองบ้านเมืองและวัฒนธรรมที่ดีงามเช่นนี้
ควรที่คนไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่า รัฐบาล รัฐสภา ศาล
องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ จะต้องปรับปรุงท่าที
วิธีการบริหารจัดการในการรับสนองพระบรมราชโองการต่าง
ๆ พระราชดำริ และพระบรมราโชวาทเพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชนต่อไป

 

  สถาบันกษัตริย์นั้นคือแกนกลางของสังคมไทย  คือความมั่นคงของรัฐ และเป็นศูนย์รวมของจิตวิญญาณแห่งความเป็นชาติ  ที่มีพลังในการหล่อหลอมผู้คนในดินแดนรัฐไทย ไม่ว่าจะเชื้อชาติใดให้มีความรู้สึกร่วมในความเป็นไทย  (หรือสยาม ในกาลก่อน)  ถึง
แม้พระมหากษัตริย์และสถาบันกษัตริย์ของไทย
ไม่มีอำนาจทางการเมืองและหารบริหารราชการโดยตรง
เช่นเดียวกับสถาบันกษัตริย์ในประเทศประชาธิปไตยส่วนมากในโลกปัจจุบัน  แต่พระมหากษัตริย์ไทยนั้นทรงมีอำนาจพิเศษที่ผมขอเรียกว่า
อำนาจแห่งราชธรรม ที่เกิดจากการที่ทรงดำเนินพระราชกรณียกิจตามหลักแห่ง ธรรมราชา  ซึ่งจะได้อภิปรายโดยพิสดารต่อไป

 

 

 1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

 ปัจจุบันได้มีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานขึ้นมาใหม่
ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
นอกจากนี้รัฐบาลจีนยังให้การสนับสนุนจัดตั้งพุทธสมาคมแห่งประเทศจีน
และสภาการศึกษาพระพุทธศาสนาแห่งประเทศจีนขึ้นในกรุงปักกิ่งด้วย
เพื่อเป็นศูนย์กลางการติดต่อเผยแผ่พระพุทธศาสนากับประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ปัจจุบันนี้ชาวจีนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาควบคู่ไปกับการนับถือลัทธิ
ขงจื้อ และลัทธิเต๋า

 

 

 1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

 

ความจงรักภักดีต่อสถาบันอันสูงสุด ถือว่าเป็นหน้าที่หนึ่งของคนไทยทุกคน

 บทความเทิดทูนพระมหากษัตริย์

1. กษัตริย์ ผู้ทรงธรรม พระมหากรุณาธิคุณปกเกล้าฯ ชาวไทย 
2. ทรงเป็นทุกลมหายใจ ของปวงประชาราษฎร ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน 
3. ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท จะขอเป็นข้าพระบาททุกชาติไป 
4.
ทรงยึดหลักศาสนา ทรงศึกษาสรรพวิทยา ทรงนำมาปฏิบัติ
ทรงขจัดปัญหาด้วยการพัฒนาโครงการพระราชดำริ
ทรงเตือนสติด้วยการปฏิบัติพระองค์เป็นตัวอย่าง ทรงสร้างค่านิยม
ทรงห่วงใยประชาราษฎร์ทุกเมื่อ ทรงสละหยาดพระเสโท
เพื่อประชาชนและประเทศไทยอย่างแท้จริง ทรงเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่งในโลก (
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ) 
5. พระมหากษัตริย์ ที่พรั่งพร้อมด้วย ทศพิธราชธรรม 
6. จากความแห้งแล้งกลับกลายมาชุ่มชื้น จากผืนทรายกลับกลายเป็นดิน ด้วยพระบารมีของทั้ง สองพระองค์ 
7. ในหลวงพระองค์ทรงงาน หนักและเหนื่อย เพื่อราษฎรของพระองค์ให้เป็นสุข 
8. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทุ่มเทพระวรกายตรากตรำ และมุ่งมั่นเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพสกนิกรชาวไทย 
9. ความเสียหายของชาติจะบานปลาย ถ้าคนไทยขาดความจงรักภักดี ต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 
10. ไทยเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขปกครองประเทศมาช้านาน ทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจของคนทั้งชาติ

รูปภาพของ nss40096

1.รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญ และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้

1. พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ 

2. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน

3.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี

1.1อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

พระ พุทธศาสนาได้เข้ามาในประเทศจีนดังได้ปรากฎในหลักฐาน เมื่อประมาณพุทธศักราช ๖๐๘ ในสมัยของพระจักรพรรดิเม่งเต้แห่งราชวงค์ฮั่น พระได้จัดส่งคณะทูต ๑๘ คน ไปสืบพระพุทธศาสนาในอินเดีย คณะทูตชุดนี้ได้เดินทางกลับประเทศจีนพร้อมด้วยพระภิกษุ ๒ รูป คือ พระกาศยปมาตังคะ และพระธรรมรักษ์รวมทั้งคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาอีกส่วนหนึ่งด้วย เมื่อพระเถระ ๒ รูป พร้อมด้วยคณะทูตมาถึงนครโลยางททพระเจ้าฮั่นเม่งเต้ได้ทรงสั่งให้สร้างวัด เพื่อเป็นที่อยู่ของพระทั้ง ๒ รูป นั้นซึ่งมีชื่อว่า วัดแป๊ะเบ๊ยี่ แปลเป็นไทยว่า วัดม้าขาว เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ม้าตัวที่บรรทุกพระคำภีร์ทางพระพุทธศาสนากับพระเถระทั้ง สอง หลังจากนั้นพระปาศยมาตังตะ กับพระธรรมรักษ์ได้แปลคำภีร์พระพุทธศาสนาเป็นภาษาจีนเล่นแรก

ใน สมัยราชวงศ์ฮั่น แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะเป็นที่เลื่อมใสแต่ก็ยังจำกัดอยู่ในวงแคบคือ ในหมู่ข้าราชการและชนชั้นสูงแห่งราชสำนักเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่แพร่หลายในหมู่ประชาชนชาวเมือง เพราะชาวจีนส่วนใหญ่ยังคงนับถือลัทธิขงจื้อและลัทธิเต๋า จนกระทั่งโม่งจื๊อ นักปราชญ์ผู้มีความสามารถยิ่งได้แสดงหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ให้ชาวเมืองได้เห็นถึงความจริงแท้อันลึกซึ้งของพระพุทธศาสนาเหนือกว่าลัทธิ เดิม กับอาศัยความประพฤติอันบริสุทธิ์ของพระสงฆ์เป็นเครื่องจูงใจให้ชาวจีนเกิด ศรัทธาเลื่อมใส จนทำให้ชาวเมืองหันมานับถือพระพุทธศาสนามากกว่าลัทธิศาสนาอื่นๆ พระพุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองมาเป็นลำดับ จนกระทั่งราชวงศ์ถัง (พ.ศ. ๑๑๖๑ - ๑๔๕๐) พระพุทธศาสนาก็เจริญสูงสุดเพราะได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้าจักรพรรดิตลอดจน นักปราชญ์ราชบัณฑิตต่างๆโดยมีการสร้างวัดขึ้นหลายแห่ง และมีการแปลพระสูตรจากภาษาบาลีเป็นภาษาจีนมากมาย

1.2การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด  เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง  หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลง เป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรีและให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรองดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็นพระมหากษัตริย์ของประชาชน  อ้างอิง 

http://www.watnachuak.org/index.php/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99.html

www.mwit.ac.th/~keng/lesson05/7.doc

 

รูปภาพของ nss40164

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง  และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง
  แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญ  และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย  พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์  มีดังนี้     

1. พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ

2. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
3. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี 

            ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  นอกเหนือจากพระราชอำนาจที่มีการกำหนดแน่ชัดโดยรัฐธรรมนูญแล้วก็ยังมีสิทธิบางประการที่ยึดถือว่าเป็นสิทธิของพระมหากษัตริย์ที่ทรงกระทำได้แม้รัฐธรรมนูญจะมิได้กำหนดไว้ก็ตาม สิทธิของพระมหากษัตริย์  ในระบอบประชาธิปไตย  ได้แก่

1.สิทธิที่จะพระราชทานคำแนะนำตักเตือน

2. สิทธิที่จะทรงได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ 

3. สิทธิที่จะพระราชทานคำปรึกษาหารือ

4. สิทธิที่จะพระราชทานการสนับสนุน

1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด
800 ปีภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู (ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์และหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ "กษัตริย์" ของศาสนาฮินดูเนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหารส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด"ธรรมราชา" ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทหลังจากที่พระพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม

สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า"พ่อขุน" มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้วพระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า "พญา"เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น
ในรัชกาลพญาลิไท
 พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด ธรรมราชา ตามคติพุทธขึ้นมาทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า
"พระมหาธรรมราชา" ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพหมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์
ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้น ประชาชนมากขึ้นคำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า"สมเด็จ" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย
 พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหารพระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราชอำนาจผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ

1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

การปกครองโดยพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อนที่เรียกว่า  ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
นั้น
  แม้จะมีลักษณะเป็นการปกครองที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดผู้ปกครอง  อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของพระมหากษัตริย์ แต่มีลักษณะที่ผิดไปจากระบอบเผด็จการ เพราะพระมหากษัตริย์ได้รับการยอมรับเทิดทูนจากประชาชน  ในลักษณะเป็นเสมือนสถาบันศักดิ์สิทธิ์ที่ให้ความคุ้มครองแก่ตน  การยอมอยู่ใต้การปกครองของพระมหากษัตริย์เป็นไปด้วยความสมัครใจ  บังเกิดจากความจงรักภักดีเพราะตระหนักว่า  ประเทศชาติมีความสงบและมั่นคงเพราะพระบารมีของพระมหากษัตริย์

 

ที่มา :http://th.wikipedia.org/wiki/รากฐานของพระราชอำนาจ 

 www.mwit.ac.th/~keng/lesson05/7.doc

 

รูปภาพของ nss40155

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

 ให้นักเรียนหาเหตุผลมาเขียนสนับสนุนตามหัวข้อที่กำหนดทั้ง 2 ข้อให้ครบ


รากฐานแห่งพระราชอำนาจ

-วิกฤติการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศ ไม่อยู่ในความรับผิดชอบที่รัฐบาลจะเข้าไปแก้ไขเยียวยาได้ด้วยตนเอง เพราะเป็นเรื่องที่เกิดความขัดแย้งระหว่างมหาชนกับรัฐบาลในขณะต่าง ๆ ดังกรณี เหตุการณ์เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 และเหตุการณ์พฤษภาคม 2535

ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มหาชนได้รวมตัวกันเดินขบวนขับไล่จอมพลถนอม กิตติขจร พลเอกประภาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร เกิดการเข่นฆ่าระหว่างคนไทยด้วยกัน กฎหมายไม่อาจใช้บังคับได้ พระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงใช้พระบารมี พระเมตตา พระปรีชาญาณ ตลอดจนอาศัยความจงรักภักดีของประชาชน เข้าแก้ไขสถานการณ์ให้สงบเรียบร้อยลงได้

     พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามนิติราชประเพณีที่มีมาแต่โบราณนี้ แม้จะไม่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ก็ด้วยพระบรมเดชานุภาพ ความศรัทธา ความเลื่อมใสในองค์พระมหากษัตริย์ที่มีพระราชจริยาวัตร ให้ความคุ้มครองปกป้องดูแลประเทศชาติและประชาชนมาโดยตลอด เมื่อทรงใช้พระราชอำนาจในการแก้ไขวิกฤติการณ์ของประเทศ จึงเกิดสัมฤทธิผลอย่างน่ามหัศจรรย์ยิ่ง

ด้วยพระราชประสบการณ์ของพระมหากษัตริย์ที่มีต่อการบริหารราชการแผ่นดินของพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน ทำให้พระราชอำนาจที่จะทรงให้คำปรึกษาแนะนำก็ดี จะทรงตักเตือนรัฐบาล รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ และประชาชนก็ดี รวมทั้งพระราชอำนาจที่จะทรงพัฒนาและสนับสนุน พระราชอำนาจที่จะทรงปลดเปลื้องความทุกข์ให้แก่ราษฎร เป็นไปด้วยคุณธรรม ด้วยความเมตตา และด้วยสัมพันธภาพที่ดียิ่งระหว่าง พระมหากษัตริย์ - รัฐบาล - ประชาชน มิได้เป็นไปในทางใช้ อำนาจ - สิทธิ ความเป็นปัจเจกชนนิยมแบบตะวันตกเสียทั้งหมด

การคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญ

-สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหลักที่สืบทอดศิลปวัฒนธรรม รวมถึงขนบธรรมเนียมประเพณีที่สำคัญของไทย หากพระราชวงศ์ไม่ได้ทำหน้าที่นี้ การดำรงไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรมของไทย คงกลายเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลเห็นคุณค่าก็สนับสนุนดำรงรักษาไว้ แต่หากไม่วัฒนธรรมไทยคงทิ้งไว้ให้ดำเนินไปตามยถากรรม พระราชวงศ์ไทยถือเป็นผู้รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไทยให้คงอยู่ (เสมือนเป็นหน้าที่) ซึ่งหากไม่ได้พวกท่านแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีใครรักษาไว้ได้ดีเท่านี้

ปัจจัยการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์

-ปัจจัยทางด้านการศึกษาเป็นเรื่องระยะยาว ขณะที่ปัจจัยทางด้านรายได้จะดูเหมือนว่าเป็นเรื่องระยะสั้นและง่ายต่อการประสบความสำเร็จ แต่แท้จริงแล้ว เส้นแบ่งดังกล่าวก็เป็นเพียงเส้นแบ่งกว้างๆ โดยหากประเทศที่มีรายได้ต่ำกว่านี้น่าจะประสบความล้มเหลวในระบบประชาธิปไตยค่อนข้างแน่นอน แต่ประเทศที่มีรายได้สูงกว่านี้ก็ไม่เสมอไปที่จะประสบความสำเร็จ

แต่ปัจจัยทางด้านรายได้กลับมักไม่ถูกกล่าวถึง ทั้งที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะการที่คนเราจะนึกถึงระยะยาว ส่วนรวมหรือสังคมได้ จำเป็นต้องมีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพในระดับหนึ่งก่อน กล่าวง่ายๆ ก็คือ ถ้าเราเองยังไม่สามารถอิ่มท้องได้ เราคงนึกถึงระยะยาว ส่วนรวมหรือสังคมไม่ได้ งานทางด้านเศรษฐมิติชี้ให้เห็นว่า เส้นแบ่งที่จะทำให้ประชาธิปไตยเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศอยู่ที่รายได้เฉลี่ยของประชากรต้องมากกว่า 7 เหรียญ สรอ.ต่อคนต่อวัน ซึ่งแน่นอนว่าประเทศในแอฟริกาทั้งหมด (ยกเว้นประเทศแอฟริกาใต้) ต่ำกว่านี้ และประเทศไทยก็สูงกว่านี้

พูดให้ง่ายที่สุดก็คือ ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ “มีการศึกษาน้อย” และ “ยากจน” อุดมการณ์ร่วมกันของสังคมเท่านั้นที่จะทำให้คนจน แม้กินไม่อิ่มท้อง แต่ก็ยังรู้สึกว่าอยากแบ่งปัน และคนมีการศึกษาน้อย แม้จะไม่ค่อยรู้อะไรมาก แต่ก็อยากจะทำสิ่งดีดี ซึ่งอุดมการณ์เดียวที่พอจะมีพลังในกรณีนี้คือ สถาบันกษัตริย์ ซึ่งแม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าอุดม การณ์ประชาธิปไตยที่ให้สิทธิความเท่าเทียมกันของคนก็เป็นเรื่องดี จริงๆ แต่ประเทศไทยก็คงยังไม่พร้อมกับระบบที่ให้อำนาจกับนักการเมืองอ ย่างเต็มที่ ดังเช่นระบบประธานธิบดี และที่น่ากลัวกว่าคือเราอาจจะถอยหลังจนติดกับดักของคำว่า “การพัฒนาประชาธิปไตย” ที่มีได้แค่ “การเลือกตั้ง” แต่ก็พัฒนาไปไหนไม่ได้เหมือนหลาย ประเทศในแอฟริกา

      

ปัจจัย รากฐานพระราชอำนาจ

1. ความจงรักภักดีของราษฎร

ถ้าพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยพระองค์ใด ทรงอยู่ในฐานะซึ่งเป็นที่ภักดีของพสกนิกร การที่จะทรงใช้พระราชอำนาจอย่างหนึ่งอย่างใดตามกฎหมายรัฐธรรมนูญย่อมมีผลอยู่มาก ตรงกันข้ามพระมหากษัตริย์พระองค์ใด ไม่เป็นที่เคารพภักดีของราษฎร แม้รัฐธรรมนูญจะบัญญัติถวายพระราชอำนาจให้มากเพียงใดก็ตาม ทุกคราวที่จะทรงใช้พระราชอำนาจเหล่านั้น ก็คงจะต้องทรงยั้งคิดเหมือนกันว่า เรื่องนี้ถ้าใช้พระราชอำนาจแล้ว ประชาชนจะมีความเห็นเป็นอย่างไร

2. พระบารมีของพระมหากษัตริย์

ปัจจัยสำคัญที่สุดข้อหนึ่ง ที่จะทำให้ขอบเขตการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ กว้างขวางมากหรือน้อยแตกต่างกันในแต่ละยุคสมัย ก็คือ พระบารมี ของพระมหากษัตริย์ แต่ละพระองค์ไป พระบารมีนี้ หมายถึง อำนาจที่จะคุ้มครองให้ผู้อื่นปลอดภัยได้”

อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

-ดินแดนเอเชียกลางได้รับอิทธิพลพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยพุทธกาล มีกล่าวในเอกสารของฝ่ายเถรวาทว่าพ่อค้าสองคนจากแบกเทรีย คือ ตปุสสะและภัลลิกะ ได้พบพระพุทธเจ้าและปฏิญาณตนเป็นอุบาสก เมื่อกลับไปบ้านเมืองของตนได้สร้างวัดในพุทธศาสนาขึ้น

-พุทธศาสนามหายานในอินเดียได้รับการสนับสนุนโดยราชวงศ์กุษาณ เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์กุษาณ พุทธศาสนาได้รับการอุปถัมภ์โดยราชวงศ์คุปตะ มีการสร้างศูนย์กลางการศึกษาพุทธศาสนา คือ มหาวิทยาลัยนาลันทาและมหาวิทยาลัยวิกรมศิลา ในอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ มีอาจารย์ที่มีชื่อเสียง เช่น พระนาคารชุน พุทธศาสนาในสมัยนี้ได้แพร่หลายไปยังจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนกระทั่ง การสิ้นสุดอำนาจของราชวงศ์คุปตะจากการรุกรานของชาวฮั่นในพุทธศตวรรษที่ 11

 

ปัจจัย 1.คือผลย่อมเกิดจากเหตุ  แล้วเหตุดำเนินต่อไปจนผลจากเหตุนั้นเกิดขึ้น  กรรมปัจจัยเป็นเรื่องย่อยของเหตุปัจจัยอย่างหนึ่ง  แล้วถึงแม้เรื่องของกรรมจะเป็นเรื่องที่อจินไตยหรือจินตนาการไม่ได้  เพราะกรรมเกิดจากการกระทำโดยเจตนา  กรรมของผู้ใดย่อมมาจากความตั้งใจของผู้นั้น  แล้วสาเหตุที่กรรมไม่อาจจินตนาการได้นั้น  เพราะมีการสร้างเหตุซ้อนเหตุเสมอ 

           2.สัจธรรมคือมีเจตนาอย่างไรย่อมได้รับผลเช่นนั้นอย่างแน่นอน  ต่างกันที่เวลาที่จะส่งผลนั้นอาจไม่เป็นไปตามลำดับ  ทำให้วิเคราะห์เรื่องของกรรมให้ตรงไปตามเหตุปัจจัยนั้นกระทำได้ยาก  พระพุทธองค์ท่านจึงตรัสสอนว่าอย่าไปสนใจหรือไปจินตนาการว่ามันจะเกิดอย่างไร  เพราะเมื่อมีความวัวความควายความม้าแล้ว  เราก็ไปสร้างความแกะความแพะความลาเรื่อยไป  ยิ่งสร้งกรรมมากยิ่งวิเคราะห์ถึงเหตุปัจจัยที่มาจากกรรมได้ยากยิ่ง  ถึงแม้กรรมปัจจัยจะมีลักษณะของผลเกิดจากเหตุก็ตาม

 

การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

 

-1)    การแสดงความคิดอย่างมีเหตุผล

(2)    การรับฟังข้อคิดเห็นของผู้อื่น

(3)    การยอมรับเมื่อผู้อื่นมีเหตุผลที่ดีกว่า

(4)    การตัดสินใจโดยใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์

(5)    การเคารพระเบียบของสังคม

(6)    การมีจิตสาธารณะ  คือ  เห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวมและรักษาสาธารณสมบัติ

ที่มา  http://power.manager.co.th/

        http://www.thaipoliticsgovernment.org/wik

รูปภาพของ nss40156

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

ให้นักเรียนหาเหตุผลมาเขียนสนับสนุนตามหัวข้อที่กำหนดทั้ง 2 ข้อให้ครบ

1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

ตอบ  หลักพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาเป็นเสาหลักในการสร้างชาติ นับเป็นศูนย์รวมของจิตใจคนในชาติ ผูกพันเป็นสถาบันความมั่นคงของพระมหากษัตริย์มาแต่ยุคโบราณ ประดุจดั่งลมหายใจกับชีวิต นับว่าเป็นยุคที่พระพุทธศาสนา มีความสัมพันธ์กับสถาบันชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์มากที่สุดแทบจะตลอดทั้งยุคเลยก็ว่าได้  ขุนพลนักรบผู้กล้าเมื่อเสร็จศึกก็บวชเป็นพระภิกษุ ในพระพุทธศาสนาสร้างวัตถุมงคลให้กับนักรบของชาติ ซึ่งเป็นต้นแบบอย่างให้กับพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา ทำเครื่องรางรวมทั้งพระเครื่อง ตระกรุด พิศมร ออกแจกจ่ายนักรบไทยเพื่อเป็นขวัญกำลังใจการกู้ชาติรักษาแผ่นดินไทย       ให้เป็นเอกราช ความผูกพันในพุทธานุภาพ ธรรมมานุภาพและ สังฆานุภาพ จึงฝังแน่นในจิตใจ วิญญาณของบรรพบุรุษไทยนับแต่นั้น พร้อมกันนั้นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาก็จะเป็นสถาบันที่ให้ความรู้ทั้งทางด้านการรบ การเรียนและศีลธรรม พร้อมกันไปในเวลาเดียวกัน เนื่องจากผู้ที่ได้เข้ามาบวช เป็นพระภิกษุในพุทธศาสนายุคนั้นล้วนแล้วแต่เป็นขุนพล นักรบ ที่ร่วมก่อร่างสร้างชาติ จึงได้ปลูกฝังความรักชาติ และวิชาการในการป้องกันชาติ ให้แก่เยาวชนที่เป็นศิษย์ ซึ่งเป็นอุดมการณ์ปลูกฝัง ดังจะเห็นได้ว่าขุนศึกผู้กล้าแม้กระทั่งวีรกษัตริย์มหาราชทั้งปวงที่กอบกู้ชาติกู้แผ่นดินให้ลูกหลานไทยล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์วัดในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น นี่คือความผูกพันใกล้ชิดและความสำคัญของสถาบันชาติ สถาบันพระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นหนึ่งเดียวกัน   ซึ่งมีความหมายรวมถึงความมั่นคงแห่งเอกราช และอธิปไตยของชาติไทยตลอดมาที่ศาสนาอื่นมิอาจเอ่ยอ้าง

“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม   เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม” และดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “ราชา มุขํ มนุสฺสานํ” พระราชาเป็นประมุขของประชาชน อีกทั้งพระนิพนธ์ใน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาเจ้าฟ้าสิรินธร สยามบรม-ราชกุมารี ที่ว่า

ทะเลเป็นเจ้าแห่ง นทีมหันต์
ทิวะสุริยฉัน                                        แจ่มหล้า
รัตติรัศมีจันทร์                                    เรืองจรัส
สังฆ์ประมุขแห่งชาวหล้า                       เหล่าผู้พึ่งบุญ

ผู้ใหญ่ในแว่นแคว้น คือรา             ชาแล
ผู้บำบัดทุกข์ประชา                             ช่วยเกื้อ
เป็นประมุขนาครา                               ในรัฐ
ทรงทศพิธธรรมเอื้อ ราษฎร์ให้สวัสดี

 

 

1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

ตอบ

1. พระมหากษัตริย์ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน พระมหากษัตริย์ทรงทำให้เกิดความสำนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน  แม้ว่าสถาบันการเมืองการปกครองจะแยกสถาบันนิติบัญญัติ  บริหาร  ตุลาการ แต่ต้องให้อำนาจของตนภายใต้พระปรมาภิไธยทำให้ทุกสถาบันมีจุดรวมกัน นอกจากนี้พระมหากษัตริย์ยังทำให้เกิดความสำนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ระหว่างหมู่ชนภายในชาติ โดยที่ต่างเคารพสักการะและจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ร่วมกัน แม้จะมีความแตกต่างกันในด้านเชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา  ก็มีความสมานสามัคคีกลมเกลียวกันในปวงชนทั้งหลายทำให้เกิดความเป็นปึกแผ่นและเป็นพลังที่สำคัญยิ่งของชาติ

2. พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นพุทธมามกะและอัครศาสนูปถัมภก ทำให้เกิดความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างคนในชาติแม้จะมีศาสนาต่างกัน เพราะพระมหากษัตริย์ทรงอุปถัมภ์ทุกศาสนาแม้ว่าพระองค์จะทรงเป็นพุทธมามกะ จึงก่อให้เกิดพลังความสามัคคีในชาติไม่บาดหมางกันด้วยการมีศาสนาต่างกัน

3.พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพลังในการสร้างขวัญและกำลังใจของประชาชน พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่มาแห่งเกียรติยศทั้งปวง ก่อให้เกิดความภาคภูมิ ปีติยินดี และเกิดกำลังใจในหมู่ประชาชนทั่วไปที่จะรักษาคุณงามความดี มานะพยายามกระทำความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระองค์ทรงไว้ซึ่งความดีงานตลอดเวลา ทำให้ประชาชนผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีกำลังใจที่จะทำงานเสียสละต่อไป จึงเสมือนแรงดลใจผลักดันให้ผู้มีเจตนาดีประกอบคุณงามความดีมุ่งมั่นในการปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง ทั้งในส่วนประชาชน ส่วนราชการหรือรัฐบาล

4. พระมหากษัตริย์ทรงแก้ไขวิกฤตการณ์ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นกลไกสำคัญในการยับยั้งแก้ไขวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรงในประเทศได้ ไม่ทำให้เกิดความแตกแยกภายในชาติอย่างรุนแรงจนถึงต้องต่อสู้กันเป็นสงครามกลางเมืองหรือแบ่งแยกกันเป็นประเทศเล็กประเทศน้อย  ขจัดปัดเป่ามิให้เหตุการณ์ลุกลามและทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะปกติได้  เพราะพระมหากษัตริย์เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นด้านประชาชน รัฐบาล หน่วยราชการ กองทัพ นิสิต-นักศึกษา ปัญญาชนทั้งหลายหรือกลุ่มต่างๆ แม้กระทั่งชนกลุ่มน้อยในประเทศอันได้แก่ ชาวไทยภูเขา ชาวไทยมุสลิม เป็นต้น

5. พระมหากษัตริย์ทรงส่งเสริมความมั่นคงของประเทศ โดยการยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนและกองทัพ พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยจึงทรงใส่พระทัยในการพัฒนากองทัพทั้งทางวัตถุและจิตใจ ทรงเยี่ยมเยียนปลอบขวัญทหาร พระราชทายของใช้ที่จำเป็น ทรงช่วยเหลืออนุเคราะห์ ผู้เสียสละเพื่อชาติ ทำให้เกิดขวัญและกำลังใจแก่ทหาร ข้าราชการอย่างดียิ่งพร้อมที่จะรักษาความมั่นคงและเอกราชของชาติอย่างแน่นแฟ้น

6. พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำในการพัฒนาและปฏิรูปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ การพัฒนาและการปฏิรูปที่สำคัญๆ ของชาติส่วนใหญ่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า-เจ้าอยู่หัวทรงปูพื้นฐานประชาธิปไตย โดยการจัดตั้งกระทรวงต่างๆ ทรงส่งเสริมการศึกษาและเลิกทาส ปัจจุบันพระมหากษัตริย์ทรงเกื้อหนุนวิทยาการสาขาต่างๆ ทรงสนับสนุนการศึกษาและศิลปวัฒนธรรม ทรงริเริ่มกิจการอันเป็นการแก้ปัญหาหลักทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยจะเห็นว่าโครงการตามพระราชดำริส่วนใหญ่มุ่งแก้ปัญหาหลักทางเกษตรกรรมเพื่อชาวนา  ชาวไร่ และประชาชนผู้ยากไร้และด้อยโอกาสอันเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ  เช่น  โครงการฝนหลวง  ชลประทาน พัฒนาที่ดิน  พัฒนาชาวเขา  เป็นต้น

7. พระมหากษัตริย์ทรงมีส่วนเกื้อหนุนระบอบประชาธิปไตย บทบาทของพระมหากษัตริย์มีส่วนช่วยเป็นอย่างมากที่ทำให้ประชาชนบังเกิดความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย เพราะการที่ประชาชนเกิดความจงรักภักดีและเชื่อมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงมีผลส่งให้ประชาชนเกิดความศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วย เนื่องจากเห็นว่าเป็นระบอบที่เชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนนั่นเอง

อ้างอิง

http://www.jariyatam.com/articles/featuring-articles/427-2009-09-10-06-55-40

รูปภาพของ nss37413

ธนพนธ์ จันทร์สุข 5/8 เลขที่ 2

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

ตอบ         

 แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญ และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้

1. พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ

2. พระราชอำนาจในการ         

1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

 ตอบ 

1.  ศาสนาพุทธในประเทศจีน พระพุทธศาสนาได้เข้ามาในประเทศจีนดังได้ปรากฏในหลักฐาน เมื่อประมาณพุทธศักราช 608 ในสมัยของพระจักรพรรดิเม่งเต้แห่งราชวงศ์ฮั่น พระได้จัดส่งคณะทูต 18 คน ไปสืบพระพุทธศาสนาในอินเดีย คณะทูตชุดนี้ได้เดินทางกลับประเทศจีนพร้อมด้วยพระภิกษุ 2 รูป คือ พระกาศยปมาตังคะ และพระธรรมรักษ์ รวมทั้งคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาอีกส่วนหนึ่งด้วย เมื่อพระเถระ 2 รูป พร้อมด้วยคณะทูตมาถึงนครโลยาง พระเจ้าฮั่นเม่งเต้ ได้ทรงสั่งให้สร้างวัดเพื่อเป็นที่อยู่ของพระทั้ง 2 รูป นั้นซึ่งมีชื่อว่า วัดแป๊ะเบ๊ยี่ แปลเป็นไทยว่า วัดม้าขาว เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ม้าตัวที่บรรทุกพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากับพระเถระทั้งสอง หลังจากนั้นพระปาศยมาตังตะ กับพระธรรมรักษ์ได้แปลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็นภาษาจีนเล่มแรก

 2.  ศาสนาในญี่ปุ่น ศาสนาในประเทศญี่ปุ่น
ศาสนาชินโต เป็นศาสนาดั้งเดิมของประเทศ
ญี่ปุ่น
ซึ่งเป็นศาสนาที่มีมากกว่า2000 ปี ปัจจุบันศาสนานี้ได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 นิกายหลัก มีผู้นับถือศาสนานี้ประมาณ 108 ล้านคน ทั่วประเทศญี่ปุ่น
      คำว่า ชินโต แปลว่า วิถีของพระเจ้า ซึ่งจะหมายความว่า บุคคลต้องปฏิบัติตนตามทางของสวรรค์ ภักดีต่อพระเจ้า พระเจ้าในที่นี้หมายถึง ธรรมชาติ ซึ่งอยู่โดยบริเวณรอบตัวขของมนุษย์ ศาสนาชินโตยึดถือคำสอนสืบเนื่องมาจากศาสนาเต๋าและขงจื๊อหลายประการ ญี่ปุ่นมีเทพนิยายมาแต่โบราณและเทพนิยาย นี้มีชื่อว่า "พระอาทิตย์" ซึ่งเป็นผู้สร้างเกาะญี่ปุ่น และชาวญี่ปุ่นทั้งหลายที่เกิดบนเกาะนี้ เป็นลูกหลานของพระอาทิตย์คนญี่ปุ่นจึงมีความเชื่อว่า จักรพรรดิของตนทุกพระองค์ทรงมีเชื้อสายมาจากพระอาทิตย์ด้วย ปัจจุบันความนับถือนี้ได้คลี่คลายลงไปมาก แต่ก็ยังมีผู้นับถือเคร่งครัดอยู่ไม่น้อย และด้วยเหตุดังกล่าวนี้ เป็นผลทำให้คนญี่ปุ่นมีจิตสำนึกในการเป็นคนรักชาติ รักบรรพบุรุษของตนยิ่งกว่าชาติใด และตามคติดังกล่าวนี้เป็นผลให้เกิดจริยธรรมขึ้นอย่างหนึ่ง เรียกว่า บูชิโด ซึ่งเป็น วินัยของนักรบ และเป็นลัทธิชาตินิยมอย่างสูงสุดในกลุ่มชาวญี่ปุ่นอีกด้วย การปฏิบัติตามศาสนาชินโต คือ การจงรักภักดีต่อพระเจ้า ต่อจักรพรรดิและปฏิบัติตามหลักจริยธรรมต่างๆที่ปรากฏเป็นข้อปฏิบัติ ซึ่งมีหลักแห่งการปฏิบัติเพื่อความดีสูงสุด 4 ประการ คือ
1. การให้มีความคิดเบิกบาน
2.
การให้มีความคิดบริสุทธิ์สะอาด
3. การให้มีความคิดถูกต้อง 
4. การให้มีความคิดเที่ยงตรง

1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

ตอบ

 สถาบันชาติ กับ สถาบันกษัตริย์ ??
คิดอย่างไรกับ...คำว่า
"เทิดทูนสถาบันกษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด"
ในโลกนั้น ประชากรของโลกส่วนใหญ่จะถูกสอนให้เกิด
สำนึกในความเป็นชาติ มีความรักและหวงแหนแผ่นดินเกิด
เพราะชาติไม่ได้เป็นแค่ "ผืนธง" แต่เป็นที่ๆ เราอาศัยเกิด แก่ เจ็บ และตายต่อๆ กันมาตั้งแต่ปู่ย่าตาทวด
เป็นเบ้าหลอมคนให้เป็นหนึ่ง ภายใต้ขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม ภาษาพูด เขียน อ่านเดียวกัน
ชาติคือ ประเทศในความหมายทางภูมิศาสตร์
คือรากเหง้าของพวกเราในความหมายทางประวัติศาสตร์
คืออารยธรรมในความหมายทางสังคมศาสตร์
ทุกประเทศจะสอนให้พลเมืองของเขารักและเทิดทูนสถาบันชาติเหนือสิ่งอื่นใด
เป้นหน้าที่ๆ จะต้องปกป้องแม้เอาชีวิตเข้าแลก
แต่ในเมืองไทย เราถูกสอนให้คิดว่า สถาบันกษัตริย์อยู่เหนือสิ่งอื่นใด คนไทยต้องมีความจงรักภักดีต่อกษัตริย์จนแม้ชีวิตก็ยอมถวาย
อันนี้ทำให้ผมสงสัยว่า สถาบันใดที่มีความสำคัญกว่ากัน
ธงไตรรงค์ให้แถบสีแดงโอบล้อมอยู่นอกสุดของผืนธง 2 แถบ หมายถึงชาติ
สีขาวโอบล้อมถัดมา 2 แถบคือศาสนา
ในขณะที่สีน้ำเงินหมายถึงสถาบันกษัตริย์มีเพียงแถบเดียวอยู่กึ่งกลาง
บรรพบุรุษได้จัดอันดับความสำคัญเอาไว้เป็นนามธรรมที่แยบยลยิ่ง
เราจะไม่มีกษัตริย์และศาสนา ถ้าปราศจาก "ชาติ"
คือเมื่อใดที่ประเทศถูกรุกรานและยึดครอง ศาสนาและสถาบันกษัตริย์ก็จะธำรงอยู่ไม่ได้
แต่ประเทศชาติจะสามารถดำรงอยู่ได้แม้จะไม่มีสถาบันทั้งสอง
ความสำคัญของชาติจึงน่าจะมาก่อนเป็นอันดับแรก
แต่ทำไมคนไทยจึงถูกสอนให้คิดว่า
สถาบันกษัตริย์ก็คือ สถาบันชาติ เป็นเนื้อเดียวกัน
หรือบางคนถูกสอนให้เห็นว่าสถาบันกษัตริย์มีความสำคัญกว่าสถาบันอื่น
พันธมิตรฯ อ้างตนว่าจงรักภักดีต่อกษัตริย์ จนกล้ากระทำสิ่งที่ "ทำลายชื่อเสียง เกียรติภูมิของชาติ" คือเท่ากับบ่อนทำลายชาติ
กองทัพซึ่งมีหน้าที่ควรปกปักษ์รักษาอธิปไตยของชาติ ก็กลับอ้างแต่ความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์
จนกล้าทำสิ่งที่เลวร้ายอันส่งผลกระทบต่อชาติมานับครั้งไม่ถ้วน
เพียงเพื่อปกป้องสถาบันหนึ่งถึงกลับกล้าทำการสุ่มเสี่ยง
ต่อความล่มสลายของอีกสถาบันหนึ่ง
ดังเช่นที่ คมช ได้กระทำมานั่นคือสร้างความอ่อนแอให้กับ
การปกครองในระบอบปชต ซึ่งเป็นเงื่อนไขให้ชาติอาจต้องพังพินาศ
เพียงเพื่อรักษาสถาบันหนึ่ง จึงไม่ยี่หระต่อสิ่งที่อาจส่งผลกระทบกับสถาบันอื่นๆ
คนเสื้อแดงอาจพูดได้ว่า มีความรักและเทิดทูนในสถาบันชาติ มีความรักชาติ และมองว่าสถาบันชาิติเป็นทางอยู่รอด
เพราะเหตุนี้ คนเสื้อแดงจึงไม่เคยกระทำการใดที่เป็นผลเลวร้าย
ต่อชาติบ้านเมือง
ดังเช่นพฤติกรรมของกลุ่มอันธพาลการเมืองอื่นๆ
ลองคิดดูสิครับ ถ้าเราไม่มีชาติ เราจะมีสถาบันศาสนา และสถาบันกษัตริย์ได้อย่างไร

อ้างอิง

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99

รูปภาพของ nss37670

 1.รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

หลักพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาเป็นเสาหลักในการสร้างชาตินับเป็นศูนย์รวมของจิตใจคนในชาติผูกพันเป็นสถาบันความมั่นคงของพระมหากษัตริย์มาแต่ยุคโบราณประดุจดั่งลมหายใจกับชีวิต นับว่าเป็นยุคที่พระพุทธศาสนามีความสัมพันธ์กับสถาบันชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์มากที่สุดแทบจะตลอดทั้งยุคเลยก็ว่าได้  ขุนพลนักรบผู้กล้าเมื่อเสร็จศึกก็บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาสร้างวัตถุมงคลให้กับนักรบของชาติซึ่งเป็นต้นแบบอย่างให้กับพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา ทำเครื่องรางรวมทั้งพระเครื่องตระกรุด พิศมร ออกแจกจ่ายนักรบไทยเพื่อเป็นขวัญกำลังใจการกู้ชาติรักษาแผ่นดินไทย       ให้เป็นเอกราช ความผูกพันในพุทธานุภาพ ธรรมมานุภาพและ สังฆานุภาพจึงฝังแน่นในจิตใจ วิญญาณของบรรพบุรุษไทยนับแต่นั้นพร้อมกันนั้นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาก็จะเป็นสถาบันที่ให้ความรู้ทั้งทางด้านการรบการเรียนและศีลธรรม พร้อมกันไปในเวลาเดียวกัน เนื่องจากผู้ที่ได้เข้ามาบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนายุคนั้นล้วนแล้วแต่เป็นขุนพล นักรบที่ร่วมก่อร่างสร้างชาติ จึงได้ปลูกฝังความรักชาติ และวิชาการในการป้องกันชาติให้แก่เยาวชนที่เป็นศิษย์ ซึ่งเป็นอุดมการณ์ปลูกฝัง ดังจะเห็นได้ว่าขุนศึกผู้กล้าแม้กระทั่งวีรกษัตริย์มหาราชทั้งปวงที่กอบกู้ชาติกู้แผ่นดินให้ลูกหลานไทยล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์วัดในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้นนี่คือความผูกพันใกล้ชิดและความสำคัญของสถาบันชาติ สถาบันพระพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นหนึ่งเดียวกัน   ซึ่งมีความหมายรวมถึงความมั่นคงแห่งเอกราชและอธิปไตยของชาติไทยตลอดมาที่ศาสนาอื่นมิอาจเอ่ยอ้าง

เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม   เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยามและดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “ราชา มุขํ มนุสฺสานํพระราชาเป็นประมุขของประชาชน อีกทั้งพระนิพนธ์ใน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาเจ้าฟ้าสิรินธรสยามบรม-ราชกุมารี ที่ว่า

ทะเลเป็นเจ้าแห่ง นทีมหันต์ทิวะสุริยฉันแจ่มหล้า
รัตติรัศมีจันทร์เรืองจรัสสังฆ์ประมุขแห่งชาวหล้าเหล่าผู้พึ่งบุญผู้ใหญ่ในแว่นแคว้น คือราชาแลผู้บำบัดทุกข์ประชา                            ช่วยเกื้อเป็นประมุขนาคราในรัฐทรงทศพิธธรรมเอื้อ ราษฎร์ให้สวัสดี

 

 

และในระบบการเมืองการปกครองของไทยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้

1. พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ

2. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน

3.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี

 

 1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

 

รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด800 ปีภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู (ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์และหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ "กษัตริย์"ของศาสนาฮินดูเนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหารส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด"ธรรมราชา"ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทหลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม

สมัยกรุงสุโขทัยมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า"พ่อขุน"มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้วพระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า "พญา"เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้นในรัชกาลพญาลิไท พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เฟื่องฟูมากจึงมีแนวคิด ธรรมราชา ตามคติพุทธขึ้นมาทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า"พระมหาธรรมราชา"ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอมเรียกว่า เทวราชา หรือสมมติเทพหมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้นประชาชนมากขึ้น คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า"สมเด็จ"หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหารพระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราช

1.2การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด  เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริงหน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลง เป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรีและให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรองดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็นพระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง

พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจพระราชทานคำแนะนำในเรื่องต่างๆ รวมทั้งพระบรมราโชวาทให้แก่บุคคล คณะบุคคล ในวโรกาสต่าง ๆ อยู่เสมอ เช่นในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ทรงพระราชทานพระราชดำรัสถึงเรื่องสำคัญ ๆที่เป็นปัญหาของประเทศชาติ ทรงได้ให้ข้อพิจารณาแนวทางปฏิบัติที่เป็นคุณอเนกอนันต์เช่น เรื่อง รู้รักสามัคคี ขาดทุนกำไร เศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน ในวาระต่าง ๆซึ่งองค์กรและบุคลากรเหล่านั้นต่างมีความปลื้มปีติยินดีที่ได้รับพระราชทานพระราชดำรัสพระบรมราโชวาท

ข้อที่พึงสังเกตก็คือ องค์กร บุคคล กลุ่มบุคคล ข้าราชการต่าง ๆ จะนำกระแสพระราชดำรัสพระบรมราโชวาท คำแนะนำ ไปปฏิบัติมากน้อยเพียงใด ยังไม่มีการประเมินตรวจสอบแต่ก็เชื่อว่ามีผู้นำไปปฏิบัติอยู่บ้างตามอัธยาศัย มิได้มีการบังคับเป็นไปตามความสมัครใจ 

 
พระราชอำนาจที่จะทรงตักเตือน 
 
ในฐานะที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี อำนาจตุลาการทางศาลหน่วยงานเหล่านี้พร้อมสถาบันต่าง ๆ ที่มีตามรัฐธรรมนูญ จะต้องปฏิบัติงานแทนพระองค์พระมหากษัตริย์จึงทรงมีพระราชอำนาจที่จะให้คำตักเตือนในวโรกาสต่าง ๆ เช่นพระราชดำรัสในพิธีเปิดประชุมรัฐสภา ในสมัยประชุมแรกหลังการเลือกตั้งจะทรงพระราชทานโอวาทตักเตือนในการปฏิบัติหน้าที่ หรือพระราชดำรัสต่อคณะรัฐมนตรีในวันถวายสัตย์ปฏิญาณรวมทั้งเมื่อผู้พิพากษาและตุลาการศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลทหารได้ถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์จะปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ปราศจากอคติทั้งปวง ฯลฯพระองค์ก็จะพระราชทานพระบรมราโชวาทเป็นการตักเตือนให้ปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงความซื่อสัตย์สุจริตและการปฏิบัติตามคำกล่าวปฏิญาณอย่างเคร่งครัด  

 
พระราชอำนาจที่จะทรงพัฒนาและสนับสนุน 
 
ตามนิติราชประเพณีที่ถือว่าพระมหากษัตริย์จะทรงปฏิบัติต่อราษฎรประหนึ่งบิดาต่อบุตรที่จะทรงบำรุงประเทศชาติและประชาชนจึงมีพระราชดำริในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ด้วยการจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาตามพระราชดำริต่างๆ บ้าง พระราชทานพระราชดำริให้รัฐบาลก่อสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่บ้างโครงการทฤษฎีใหม่และเศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯ ซึ่งจะนำกล่าวในรายละเอียดในตอนที่ว่าด้วยพระบรมเดชานุภาพแห่งรัชกาลที่  

 
พระราชอำนาจที่จะทรงปลดเปลื้องทุกข์ให้ราษฎร 
 
การถวายฎีการ้องทุกข์โดยตรงต่อพระมหากษัตริย์เป็นวัฒนธรรมและความเชื่อของคนไทยที่มีมาแต่สมัยสุโขทัยผู้มีความทุกข์เดือดร้อนสามารถสั่นกระดิ่งร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์ได้ต่อมาในรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ใช้วิธีแขวนกลองไว้ที่หน้าประตูพระบรมมหาราชวังและทรงออกประกาศระเบียบในการร้องทุกข์โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถทูลเกล้าฯถวายฎีกาได้โดยตรงต่อพระองค์ด้วยความเชื่อและธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้ได้เป็นมรดกตกทอดมาถึงปัจจุบัน

 

http://kb.psu.ac.th/psukb/bitstream/2553/5400/14/ch4.pdf

http://power.manager.co.th/57-67.html

www.mwit.ac.th/~keng

รูปภาพของ nss37776

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

ตอบ  แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมือง และกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่าง แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญ และพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทย พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้

1. พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ 2. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน 3.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี  

1.1 อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

 ตอบ  รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด 800 ปี ภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์ แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู (ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์) และหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ "กษัตริย์" ของศาสนาฮินดู เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหาร ส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด "ธรรมราชา" ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท หลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม สมัยกรุงสุโขทัย มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์จะมีพระนามขึ้นต้นว่า "พ่อขุน" มีความใกล้ชิดระหว่างกษัตริย์กับประชาชนมาก หลังจากรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว พระมหากษัตริย์สุโขทัยมีพระนามขึ้นต้นว่า "พญา" เพื่อยกฐานะกษัตริย์ให้สูงขึ้น ในรัชกาลพญาลิไท พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ เฟื่องฟูมาก จึงมีแนวคิด ธรรมราชา ตามคติพุทธขึ้นมา ทำให้พระนามขึ้นต้นของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลพญาลิไทเรียกว่า "พระมหาธรรมราชา" ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับคติพราหมณ์มาจากขอม เรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทพมาอวตารเพื่อปกครองมวลมนุษย์ ทำให้ชนชั้นกษัตริย์มีสิทธิอำนาจมากที่สุดในอาณาจักรและห่างเหินจากชนชั้นประชาชนมากขึ้น คำขึ้นต้นพระนามเรียกว่า "สมเด็จ" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พระราชอำนาจด้านการปกครองถูกโอนมาเป็นของรัฐบาลพลเรือนและทหาร

1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล

ตอบ  การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด  เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง  หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลง เป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรีและให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรองดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็นพระมหากษัตริย์ของประชาชน    

 

 เอกสารอ้างอิง  www.mwit.ac.th/~keng/lesson05/7.doc   

รูปภาพของ nss40149

1. รากฐานแห่งพระราชอำนาจและการคงอยู่ของสถาบันกษัตริย์มีที่มาจากการสนับสนุนของปัจจัยสำคัญคือ

ตอบ  แม้พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญจะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการเมืองและกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการปฏิบัติการทางการเมืองการปกครองทุกอย่างแต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบางประการที่ได้รับรองโดยรัฐธรรมนูญและพระราชอำนาจนั้นส่งผลกระทบต่อการเมืองการปกครองของไทยพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ มีดังนี้

1. พระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติ

2. พระราชอำนาจในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน

3.พระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะองคมนตรี  

 

ให้นักเรียนหาเหตุผลมาเขียนสนับสนุนตามหัวข้อที่กำหนดทั้ง 2 ข้อให้ครบ

1.1    อิทธิพลและการสนับสนุนจากลัทธิศาสนา

ตอบ  รูปแบบการปกครองแบบราชาธิปไตยของประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นมาตลอด800 ปีภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่สามารถรวบรวมดินแดนจนเป็นปึกแผ่นเป็นอาณาจักรสุโขทัย โดยมีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นปฐมกษัตริย์แนวคิดการปกครองแบบราชาธิปไตยสมัยแรกเริ่มตั้งอยู่บนพื้นฐานของศาสนาฮินดู (ซึ่งรับเข้ามาจากจักรวรรดิขะแมร์)และหลักความเชื่อแบบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งแนวคิดแรกนั้นมาจากวรรณะ "กษัตริย์"ของศาสนาฮินดู เนื่องจากพระมหากษัตริย์จะได้รับอำนาจมาจากอำนาจทางทหารส่วนแนวคิดที่สองมาจากแนวคิด "ธรรมราชา" ของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทหลังจากที่พระพทุธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 อันเป็นแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ควรจะปกครองประชาชนโดยธรรม

1.2 การสนับสนุนและความจงรักภักดีของกลุ่มบุคคล  

ตอบ  การที่พระมหากษัตริย์ทรงขึ้นดำรงตำแหน่งโดยหลักการสืบราชสันตติวงศ์ซึ่งได้มีกำหนดไว้อย่างแน่ชัดโดยกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องแสวงหาการสนับสนุนของกลุ่มพรรคการเมืองใด  เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง  หน้าที่ในการคัดเลือกว่าพระราชวงศ์องค์ใดสมควรตามกฎมรเทียรบาลที่จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์ในกรณีราชบัลลังก์ว่างลง เป็นหน้าที่ของคณะองคมนตรีและให้นำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้การรับรองดังนั้นการสถาปนาพระมหากษัตริย์จึงได้รับความเห็นชอบจากองค์กรที่แสดงเจตจำนงของประชาชนเท่ากับเป็นพระมหากษัตริย์ของประชาชนนั่นเอง

อ้างอิง www.mwit.ac.th/~keng

รูปภาพของ nss37729


 นิติราชประเพณีทางการเมืองการปกครองของไทย มีมากมายและมีมานานช้า เป็นนิติราชประเพณีที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนที่ยังมิได้มีนักรัฐศาสตร์ผู้ใด มหาวิทยาลัยใดหยิบยกขึ้นมาพิจารณาว่า มีนิติราชประเพณีใดบ้างที่สามารถนำมาใช้อย่างเหมาะสมพอดีกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 7 ก็กล่าวไว้ว่า "ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" นั่นก็หมายความว่า ประเพณีการปกครองเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงและต้องศึกษากำหนดให้ชัดเจน

ในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของไทย เคยเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นและมีกรณีต่าง ๆ ที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ก็ทรงใช้นิติราชประเพณีในอดีตที่มี มาปรับใช้อย่างแนบเนียนกลายเป็นวัฒนธรรมอำนาจอย่างหนึ่ง

วัฒนธรรมการคิดเรื่องอำนาจของยุโรป - สหรัฐอเมริกา จะเน้นที่หลักความเป็นปัจเจกนิยม (Individualism) แบบตัวใครตัวมัน ตั้งอยู่บนความเสมอภาค (Equality) ตามนิติธรรม (The Rule of Law) และมีการแบ่งแยกปริมณฑลแห่งอำนาจ (Separation of Spheres) ซึ่งแตกต่างกับวัฒนธรรมอำนาจของไทยที่มีมาแต่โบราณกาลซึ่งยึดหลักการใช้อำนาจด้วยธรรมะ ด้วยเมตตา และด้วยความสัมพันธ์ที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน

วัฒนธรรมอำนาจแบบไทย ๆ เช่นนี้สามารถทำความเข้าใจร่วมกันได้จากนิติราชประเพณีที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์และคนไทย กล่าวคือ

ประการแรก คนไทยทั้งประเทศมีความสำนึกร่วมกันว่า พระมหากษัตริย์ของไทยเกือบทุกพระองค์เป็นประดุจบิดาที่คอยปกป้องคุ้มครองชีวิตของตนเอง ความรู้สึกเช่นนี้ยังฝังแน่นอยู่ในสายเลือดของคนไทย จนเกิดความผูกพันอันแน่นแฟ้นที่คนไทยจะขาดเสียซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์มิได้ และคนไทยที่แท้จริงต่างปลงใจศรัทธามีความเชื่อมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์

พระวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยลาภพฤติยากร ได้แสดงปาฐกถาไว้ตอนหนึ่งว่า 
 
 
  "…ในวัฒนธรรมเดิมของคนไทยเรานั้น พระมหากษัตริย์มีหน้าที่ดุจพ่อเมือง เป็นผู้นำออกรบพุ่งในเวลามีศึกสงคราม ทั้งเป็นพ่อผู้ปกครอง เป็นทั้งตุลาการของราษฎรในเวลาปกติ ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนเป็นไปอย่างสนิทสน  
 
 คำกล่าวนี้ยังคงใช้กับคนไทยได้ในสมัยปัจจุบัน

ประการที่สอง นิติราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจอย่างจำกัดต่อคนไทยในชาติ ดังเช่นในสมัยกรุงศรีอยุธยา พระมหากษัตริย์จะทรงตรากฎหมายมาใช้บังคับราษฎรต้องขอโทษกันแล้วขอโทษกันอีก ต้องชี้แจงแสดงเหตุผลอย่างละเอียดพิสดาร อ้างถึงความจำเป็นเพื่อประโยชน์สุขของราษฎร อ้างบาลีจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ที่มโนสาราจารย์ไปได้มาจากขอบจักรวาล มิได้ออกกฎหมายมาบังคับใช้ตามอำเภอใจ นอกจากนี้ยังทรงออกกฎมณเฑียรบาลมายับยั้งการใช้พระราชอำนาจของ พระองค์เอง ผิดกับวัฒนธรรมของตะวันตกที่ออกกฎหมายมาตามใจของผู้เป็นรัฐาธิปัตย์ ดังกรณีเมียซีซ่าสมัยกรุงโรมที่กล่าวไว้ว่า "Sic volo ; Sic jubeo , ut leges" เพราะฉันต้องการอย่างนี้ เพราะฉันชอบอย่างนี้ จงไปออกเป็นกฎหมาย หรือพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กล่าวว่า "L'?tat, c'est moi" เรานี่แหละรัฐ

นิติราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์ทรงถือเอาราษฎรเป็นสำคัญเช่นนี้ ได้เป็นมรดกตกทอดกลายเป็นวัฒนธรรมประจำชาติ พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ได้ถือเป็นหลักการปกครองราษฎรโดยไม่ได้ทรงยึดมั่นและผูกขาดอยู่ในพระราชอำนาจเด็ดขาดที่พระมหากษัตริย์ทรงมีอยู่ กลับพยายามเตรียมการต่าง ๆ ให้ราษฎรได้มีส่วนในการใช้อำนาจอธิปไตยของตนเองมาตั้งแต่รัชกาลที่ 4 - 5 - 6 และ 7 แห่งราชวงศ์จักรี ต้องยอมรับว่า นิติราชประเพณีที่ถือเอาราษฎรเป็นสำคัญนี้ เป็นสิ่งที่มีอยู่เฉพาะในสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย

ประการที่สาม นิติราชประเพณีที่ถือเอาธรรมะเป็นเครื่องมือในการ ปกครองราษฎร ดังจะเห็นได้จาก ความมีใจกว้างขวางให้ราษฎรมีเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนา ความมีเมตตาแก่สรรพสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ และการให้อภัย การเอาชนะโดยธรรม การควบคุมตนเอง การเป็นที่พึ่งพิง การละอบายมุข การทำหน้าที่ทางสังคมด้วยความถูกต้องดีงามของแต่ละฝ่าย การตรวจสอบดูแลทุกข์สุขของราษฎร

ด้วยวัฒนธรรมนี้ พระมหากษัตริย์ของไทยทุกพระองค์จึงต้องทรงมีความรู้ ( ราชศาสตร์ - ธรรมศาสตร์ ศิลปวิทยาการต่าง ๆ ) ทรงเป็นคนดี ทรงอุทิศตนเพื่อผู้ใต้ ปกครองทุกหมู่เหล่าได้มีความสุข ทรงส่งเสริมธรรมะ คนดี สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ทรงสร้างความร่มเย็นเป็นสุขและทรงห่วงใยใกล้ชิดประชาชน

ประการที่สี่ นิติราชประเพณีในการรักษาไว้ซึ่งเอกราชความเป็นไท - และคนไทยที่มั่นคงในพระพุทธศาสนา ปรากฏมาแล้วจากการสูญเสียเอกราชอธิปไตยในสมัยกรุงศรีอยุธยา 2 ครั้ง ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชต้องพยายามกอบกู้เอกราชคืนมา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงทำศึกป้องกันประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ต้องยอมเสียดินแดนบางส่วนเพื่อรักษาไว้ซึ่งอธิปไตย ความเป็น เอกราชของชาติจากการคุกคามของจักรวรรดินิยม

สมเด็จพระนารายณ์มหาราชผู้ทรงถูกบีบบังคับให้เข้ารีตนับถือคริสตศาสนาจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ทรงใช้ปรีชาญาณเอาตัวรอดด้วยพระราชดำรัสว่า 
 
 
  "ขอบพระทัยพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสเป็นนักหนาที่มีความสนิทเสน่หาในข้าพเจ้า แต่การที่เปลี่ยนศาสนาที่เคยนับถือมา 2,229 ปีแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนอื่นขอให้บาทหลวงทำให้ราษฎรของข้าพเจ้าเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ให้หมดเสียก่อน แล้วข้าพเจ้าจะเข้าตามภายหลัง อีกประการหนึ่งเล่าทรงประหลาดพระทัยเป็นหนักหนาว่า เหตุใดพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสจึงก้าวก่ายอำนาจของพระเจ้า เพราะการที่มีศาสนาต่าง ๆ ในโลกนั้น มิใช่ความประสงค์ของพระเจ้าดอกหรือ จึงมิได้บันดาลให้มี เพียงศาสนาเดียวในเวลานี้ พระเจ้าคงปรารถนาให้ข้าพเจ้านับถือพระพุทธศาสนาไปก่อน เพราะฉะนั้น จะรอคอยความกรุณาของพระองค์บันดาลให้นับถือ คริสตศาสนาในวันใด ก็จะเปลี่ยนไปนับถือคริสตศาสนาเมื่อนั้น จึงขอฝากชะตากรรมของข้าพเจ้าและกรุงศรีอยุธยาไว้ให้อยู่ในความบันดาลของพระเจ้าด้วย ขอพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสสหายของข้าพเจ้า อย่าได้น้อยพระทัยเลย"   
 
 ประการที่ห้า นิติราชประเพณีที่ปรากฏมาก็คือ พระมหากษัตริย์ทรงทำนุบำรุงประเทศชาติและประชาชน ยิ่งกว่าพระองค์เองและพระราชวงศ์ต้องเสด็จพระราชกรณียกิจการสงครามบ้าง ประพาสเยี่ยมเยียนราษฎรบ้าง เพื่อนำเอาความทุกข์ยากเดือดร้อนเข้ามาแก้ไข โดยเฉพาะพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันที่ทรงถือเอาราษฎรคือบุคคลที่สามารถเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดกับพระองค์มากกว่าข้าราชการหรือบุคคลใด ๆ

ประการที่หก นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ได้เกิดมีนิติราชประเพณีใหม่ขึ้นมาในสถาบันพระมหากษัตริย์ที่จะต้องเป็นกลางทางการเมือง ปลอดจากการเมือง ปราศจากฝักฝ่าย พรรคการเมืองใดขึ้นมาบริหารราชการแผ่นดินก็ต้องเป็นรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทั้งสิ้น แม้รัฐบาลจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ผลัดเปลี่ยนกันบริหารประเทศ ก็มิได้เกิดปัญหากับสถาบันพระมหากษัตริย์

นิติราชประเพณี ทั้ง 6 ประการที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่าไม่มีนิติราชประเพณีใดขัดหรือแย้งกับแนวความคิดอุดมการณ์ในการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่กลับสนับสนุน ส่งเสริมวัฒนธรรมการปกครองแบบไทย ๆ เราที่จะต้องปรับการใช้ อำนาจ สิทธิ และปัจเจกนิยม ให้สอดคล้องกับ ธรรมะ ความเมตตา และความสัมพันธ์ที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน

วัฒนธรรมความคิดทางการปกครองของไทยปัจจุบันเริ่มมีอิทธิพลต่อการนำความคิดแบบตะวันตกในทฤษฎีเกี่ยวกับอำนาจเข้ามาใช้ จึงทำให้การปกครองของไทยมีปัญหา แม้จะแก้ระบบให้ดีอย่างใดต่อไปอีกก็จะเกิดปัญหาในทางปฏิบัติเสมอ ดังเช่น รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่กำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ดูแล้วดี แต่วันนี้สร้างปัญหาทำให้เกิด การเมืองรัฐสภาที่ผูกขาด ไม่สามารถตรวจสอบได้ สร้างความวิตกห่วงใยขึ้นในหมู่คนไทยว่าจะเกิดวิกฤติการณ์รัฐธรรมนูญขึ้นอีก ในที่สุดคนไทยก็คงต้องพึ่งพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้าอยู่หัวฯ ให้ทรงแก้ไขเยียวยาให้ เหมือนวิกฤติการณ์ทุกครั้งที่ผ่านมา

ลองนำนิติราชประเพณีทั้ง 6 ประการอันเป็นพระราชจริยาวัตรอันงดงามของพระมหากษัตริย์ไทยมาพิจารณาอย่างละเอียดถ่องแท้และลึกซึ้งแล้วก็ต้องยอมรับว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยเป็นศูนย์รวมของความคิด จิตใจ และการบริหาร ปกครองบ้านเมืองอย่างแท้จริง หาใช่รัฐธรรมนูญหรือสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา คณะ รัฐมนตรีหรือองค์กรอิสระต่าง ๆ แต่อย่างใด ความเป็นศูนย์รวมของความคิด จิตใจ การบริหารปกครองบ้านเมืองนี้เองทำให้เกิดมีพระราชอำนาจ และได้ทรงใช้พระราชอำนาจตามนิติราชประเพณีที่มิได้มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ขึ้น และที่ยังไม่มีผู้ใดรวบรวมไว้ให้เป็นหมวดหมู่เพื่อการศึกษาอย่างเป็นระบบ ผู้เขียนจึงพยายามประมวลรวบรวมไว้เป็นปฐมบท เพื่อจะมีผู้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมในโอกาสต่อ ๆ ไป
 
 
พระราชอำนาจที่จะทรงแก้ไขวิกฤติการณ์ของประเทศ 
 
วิกฤติการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศ ไม่อยู่ในความรับผิดชอบที่รัฐบาลจะเข้าไปแก้ไขเยียวยาได้ด้วยตนเอง เพราะเป็นเรื่องที่เกิดความขัดแย้งระหว่างมหาชนกับรัฐบาลในขณะต่าง ๆ ดังกรณี เหตุการณ์เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 และเหตุการณ์พฤษภาคม 2535

ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มหาชนได้รวมตัวกันเดินขบวนขับไล่จอมพลถนอม กิตติขจร พลเอกประภาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร เกิดการเข่นฆ่าระหว่างคนไทยด้วยกัน กฎหมายไม่อาจใช้บังคับได้ พระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงใช้พระบารมี พระเมตตา พระปรีชาญาณ ตลอดจนอาศัยความจงรักภักดีของประชาชน เข้าแก้ไขสถานการณ์ให้สงบเรียบร้อยลงได้ 
 
  พระองค์พระราชทานพระราชดำรัสกับทุกฝ่าย ว่า

"…ขอให้ทุกฝ่ายทุกคนจงระงับเหตุแห่งความรุนแรงด้วยการตั้งสติยับยั้ง เพื่อให้ชาติบ้านเมืองคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว"

ทรงตรัสกับฝ่ายรัฐบาล ว่า

"…ขอให้ทางฝ่ายรัฐบาลอย่าได้ทำร้ายแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชนเป็นอันขาด ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐจะถูกยั่วโทสะอย่างไร และถึงแม้จะมีการทำร้ายตำรวจ ทหาร ก่อนด้วยมีด ไม้ หรือแม้แต่ระเบิดขวด ก็ขออย่าได้ทำร้ายตอบ…"   
 
 เมื่อการปะทะกันรุนแรงขึ้น ประชาชนต่างกรูเข้าไปในพระตำหนักจิตรลดารโหฐานเพื่อพึ่งพระบารมี พระองค์ทรงมีพระบรมราชโองการให้ทหารมหาดเล็กรักษา พระองค์ทุกคนถอดกระสุนปืนทั้งหมด ได้ทรงแนะนำให้นายกรัฐมนตรีขณะนั้นกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง จนเหตุร้ายผ่านไป ได้ทรงแต่งตั้ง นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีและทรงแต่งตั้งสมัชชาแห่งชาติขึ้นเพื่อเลือกบุคคลมาทำหน้าที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติไปก่อน ด้วยเหตุผล
 
 
  "…โดยที่สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่เป็นที่ไว้วางใจและรากฐานการปกครองราชอาณาจักรก่อนที่จะประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ยังไม่มั่นคงพอที่จะวางพระราชหฤทัยได้ นอกจากนั้น ยังมีพระราชประสงค์ที่จะให้ประชาราษฎร์ได้เข้ามามีส่วนในการวางรากฐานการปกครอง เสียแต่การนั้น…"   
 
 ในช่วงเวลาเกิดวิกฤติการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 ก็มีลักษณะคล้ายกับเหตุการณ์ตุลาคม 2516 มีการเดินขบวนขับไล่รัฐบาลของพลเอก สุจินดา คราประยูร จนเกิดการปะทะกันถึงขั้นสูญเสียชีวิต พระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเรียกทั้งพลเอก สุจินดา คราประยูร และพลตรี จำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าเพื่อทรงตักเตือนให้แก้ไขปัญหา ดังกระแสพระราช ดำรัส ว่า
 
 
  "…ปัญหาของวันนี้ไม่ใช่ปัญหาของการบัญญัติหรือแก้ไข รัฐธรรมนูญ แต่ปัญหาทุกวันนี้ คือความปลอดภัย และขวัญของประชาชน ซึ่งเดี๋ยวนี้ประชาชนทั่วไปทุกแห่ง ทุกหน มีความหวาดระแวงว่าจะเกิดอันตราย มีความหวาดระแวงว่าประเทศชาติจะล่มจม โดยที่จะแก้ไขลำบาก… ถ้าหากว่าเราไม่ทำให้สถานการณ์อย่าง 3 วันที่ผ่านมานี้สิ้นสุดไปได้ ฉะนั้นก็ขอให้โดยเฉพาะสองท่าน คือพลเอกสุจินดา และพลตรีจำลอง ช่วยกันคิด คือหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคน สองคน เป็นประเทศของทุกคน ต้องเข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากัน…เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือด ปฏิบัติการรุนแรงต่อกัน มันลืมตัว ลงท้ายก็ไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่า จะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทางชนะ อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วก็ที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมติว่า กรุงเทพมหานครเสียหาย ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์อะไร ที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง

ฉะนั้นจึงขอให้ทั้งสองท่านเข้ามา คือไม่เผชิญหน้า แต่ต้องหันหน้าเข้าหากัน และสองท่านนี้เท่ากับเป็นผู้แทนของฝ่ายต่างๆ คือ ไม่ใช่สองฝ่าย คือฝ่ายต่างๆ ที่เผชิญหน้ากันให้ช่วยกันแก้ปัญหาปัจจุบันนี้ คือความรุนแรงที่เกิดขึ้น แล้วก็เมื่อเยียวยาปัญหานี้ได้แล้ว จะมาพูดกัน ปรึกษากัน ว่าจะทำอย่างไรสำหรับให้ประเทศไทยได้มีการสร้างพัฒนาขึ้นมาได้ กลับมาคืนได้โดยดี อันนี้เป็นเหตุผลที่เรียกท่านทั้งสองมา และก็เชื่อว่าทั้งสองท่านก็เข้าใจว่าจะเป็นผู้ที่ได้สร้างประเทศจากสิ่งปรักหักพัง แล้วก็จะได้ผลใน   
 
 เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่คนไทยปะทะกันเองถึงขั้นต้องสูญเสียเลือดเนื้อทั้ง 2 ครั้งสงบลงได้เพราะพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์ที่ได้สั่งสมความเชื่อมั่น ความเป็นประมุขที่แท้จริง ตามนิติราชประเพณี เมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้ กำลังจะเกิดหรือมีเค้าลางว่าจะเกิด ก็ทำให้คนไทยทุกคนยังคงคาดหวังว่าพระมหากษัตริย์จะทรงปกป้องคุ้มกันมิให้เกิดกับประชาชนและประเทศชาติได้
 
 
พระราชอำนาจที่จะทรงให้คำปรึกษาแนะนำ
 
 พระราชอำนาจนี้แยกได้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับรัฐบาล กับ ระดับองค์กรและประชาชนทั่ว ๆ ไป ซึ่งไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับใด ๆ กำหนดไว้ แต่โดยนิติราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติมาโดยตลอดทำให้เกิดพระราชอำนาจนี้ขึ้น และทรงใช้อำนาจนี้โดยชอบธรรม

ก. ระดับรัฐบาล

ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลทุกรัฐบาลกับพระมหากษัตริย์เป็นไปด้วยความราบรื่นตลอดมา ทุกรัฐบาลต่างสำนึกว่าเป็น "รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ" ใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี จึงมีเรื่องต้องถวายบังคมทูลถวายรายงานและขอรับพระราชทานคำปรึกษาแนะนำต่าง ๆ โดยการขอเข้าเฝ้าถวายรายงานและขอพระราชทานคำปรึกษาแนะนำ ซึ่งสามารถกระทำได้ตลอดเวลา บางครั้งก็อาจจะทรงมีพระราชดำริให้เข้าเฝ้าหรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราชเลขาธิการเชิญพระราชกระแสไปแจ้งนายกรัฐมนตรีทราบ บางครั้งก็ทรงมีกระแสรับสั่งผ่านสื่อสารมวลชนในพระราชวโรกาสต่าง ๆ เช่น การแก้ไขปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดภาคใต้ที่ทรงให้รัฐบาลพยายามใช้หลัก เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา หรือแม้แต่การเข้าเฝ้าอย่างไม่เป็นทางการในงาน ราชพิธี การตามเสด็จพระราชดำเนินไปต่างจังหวัดก็เป็นโอกาสที่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีต่าง ๆ เข้าเฝ้าถวายรายงานและพระราชทานคำปรึกษาแนะนำ

ตัวอย่างเช่น ในวาระทรงครองราชย์ครบ 25 ปี ใน พ.ศ. 2514 รัฐบาลจะขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์แด่พระองค์ท่าน ก็ทรงพระราชทานคำแนะนำให้สร้างถนนดีกว่า รัฐบาลก็ได้สร้างถนนรัชดาภิเษกเป็นถนนวงแหวนขึ้น เมื่อมีเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายต่างชาติยึดสถานทูตอิสราเอล เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2514 พระองค์ได้พระราชทานคำแนะนำต่าง ๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้รับใส่เกล้าฯ มาปฏิบัติ สามารถเจรจากับผู้ก่อการร้ายได้จนยอมปล่อยตัวประกัน ฯลฯ

ข. ระดับองค์กรและประชาชนทั่ว ๆ ไป

พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจพระราชทานคำแนะนำในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งพระบรมราโชวาทให้แก่บุคคล คณะบุคคล ในวโรกาสต่าง ๆ อยู่เสมอ เช่น ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ทรงพระราชทานพระราชดำรัสถึงเรื่องสำคัญ ๆ ที่เป็นปัญหาของประเทศชาติ ทรงได้ให้ข้อพิจารณาแนวทางปฏิบัติที่เป็นคุณอเนกอนันต์ เช่น เรื่อง รู้รักสามัคคี ขาดทุนกำไร เศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯ พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน ในวาระต่าง ๆ ซึ่งองค์กรและบุคลากรเหล่านั้นต่างมีความปลื้มปีติยินดีที่ได้รับพระราชทานพระราชดำรัส พระบรมราโชวาท

ข้อที่พึงสังเกตก็คือ องค์กร บุคคล กลุ่มบุคคล ข้าราชการต่าง ๆ จะนำกระแสพระราชดำรัส พระบรมราโชวาท คำแนะนำ ไปปฏิบัติมากน้อยเพียงใด ยังไม่มีการประเมินตรวจสอบ แต่ก็เชื่อว่ามีผู้นำไปปฏิบัติอยู่บ้างตามอัธยาศัย มิได้มีการบังคับ เป็นไปตามความสมัครใจ
 
 
พระราชอำนาจที่จะทรงตักเตือน
 
 ในฐานะที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี อำนาจตุลาการทางศาล หน่วยงานเหล่านี้พร้อมสถาบันต่าง ๆ ที่มีตามรัฐธรรมนูญ จะต้องปฏิบัติงานแทนพระองค์ พระมหากษัตริย์จึงทรงมีพระราชอำนาจที่จะให้คำตักเตือนในวโรกาสต่าง ๆ เช่น พระราชดำรัสในพิธีเปิดประชุมรัฐสภา ในสมัยประชุมแรกหลังการเลือกตั้ง จะทรงพระราชทานโอวาทตักเตือนในการปฏิบัติหน้าที่ หรือ พระราชดำรัสต่อคณะรัฐมนตรีในวันถวายสัตย์ปฏิญาณ รวมทั้งเมื่อผู้พิพากษาและตุลาการศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลทหาร ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ จะปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ปราศจากอคติทั้งปวง ฯลฯ พระองค์ก็จะพระราชทานพระบรมราโชวาทเป็นการตักเตือนให้ปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงความซื่อสัตย์สุจริตและการปฏิบัติตามคำกล่าวปฏิญาณอย่างเคร่งครัด 
 
 
พระราชอำนาจที่จะทรงพัฒนาและสนับสนุน
 
 ตามนิติราชประเพณีที่ถือว่าพระมหากษัตริย์จะทรงปฏิบัติต่อราษฎรประหนึ่งบิดาต่อบุตร ที่จะทรงบำรุงประเทศชาติและประชาชน จึงมีพระราชดำริในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ด้วยการจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาตามพระราชดำริต่าง ๆ บ้าง พระราชทานพระราชดำริให้รัฐบาลก่อสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่บ้าง โครงการทฤษฎีใหม่และเศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯ ซึ่งจะนำกล่าวในรายละเอียดในตอนที่ว่าด้วย พระบรมเดชานุภาพแห่งรัชกาลที่ 9 
 
 
พระราชอำนาจที่จะทรงปลดเปลื้องทุกข์ให้ราษฎร
 
 การถวายฎีการ้องทุกข์โดยตรงต่อพระมหากษัตริย์เป็นวัฒนธรรมและความเชื่อของคนไทยที่มีมาแต่สมัยสุโขทัย ผู้มีความทุกข์เดือดร้อนสามารถสั่นกระดิ่งร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์ได้ ต่อมาในรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ใช้วิธีแขวนกลองไว้ที่หน้าประตูพระบรมมหาราชวัง และทรงออกประกาศระเบียบในการร้องทุกข์โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาได้โดยตรงต่อพระองค์ ด้วยความเชื่อและธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้ได้เป็นมรดกตกทอดมาถึงปัจจุบัน

พระราชอำนาจที่จะทรงปลดเปลื้องทุกข์ให้แก่ราษฎร เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษได้นำเสนอไว้แล้ว จึงจะไม่นำมากล่าวซ้ำอีก แต่จะนำเสนอพระราชอำนาจที่จะทรงปลดเปลื้องทุกข์ทั่ว ๆ ไป ดังนี้

1. ทุกข์อันเกิดจากการกระทำผิดอื่นที่มิใช่ในคดีอาญา เช่น ผิดวินัย ผิดระเบียบปฏิบัติ ก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยงานเจ้าของอำนาจที่ได้ลงโทษ ผู้ถวายฎีกาพิจารณาทบทวนให้ความเป็นธรรม

2. ทุกข์อันเกิดจากการกระทำของส่วนราชการ ก็จะทรงส่งเรื่องราวดังกล่าวไปยังส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบและแก้ไขปัญหา

3. ทุกข์ที่ขอพระราชทานความเป็นธรรม จะจัดส่งให้องค์กรที่มีอำนาจดำเนินการ หากเป็นการขอพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์จากพระองค์โดยตรง ก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตามความเหมาะสม หากเป็นปัญหาส่วนรวมก็จะทรงใช้วิธีการอื่น ๆ เช่น ขอพระราชทานน้ำ ก็จะทรงพระมหากรุณาธิคุณจัดสรรน้ำให้ด้วยการพัฒนาตามโครงการต่าง ๆ หรือทรงมีโครงการพระราชดำริขึ้น

สิ่งที่จะพระราชทานความช่วยเหลือบางเรื่องก็ไม่เกี่ยวกับพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เอง แต่ก็เป็นไปโดยพระบรมเดชานุเคราะห์ที่ต้องผ่านหน่วยงานต่าง ๆ ของราชการ ส่วนราชการนั้น ๆ ต้องน้อมรับพระราชอำนาจดำเนินการแก้ไขความทุกข์ความเดือดร้อนเหล่านั้น
 
 อ้างอิง--http://power.manager.co.th/57-67.html

 

ปล. ยาวแมพๆ

รูปภาพของ nss37496

1.ตอบ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม และเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากศาสนาหนึ่งของโลก รองจาก ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม และ ศาสนาฮินดู ประวัติความเป็นมาของศาสนาพุทธเริ่มตั้งแต่สมัยพุทธกาล ผู้ประกาศศาสนาและเป็นศาสดาของศาสนาพุทธคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้เมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนวิสาขะหรือเดือน 6 ณ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ประเทศอินเดีย 45 ปี ก่อนพุทธศักราช ปัจจุบันสถานที่นี้ เรียกว่า พุทธคยา อยู่ห่างจากเมืองคยาประมาณ 11 กิโลเมตร ประวัติความเป็นมาของพุทธศาสนาหลังจากการประกาศศาสนา เริ่มจากการแพร่หลายไปทั่วอินเดีย หลังพุทธปรินิพพาน 100 ปี จึงแตกเป็นนิกายย่อย โดยนิกายที่สำคัญคือ เถรวาทและมหายาน นิกายมหายานได้แพร่หลายไปทั่วเอเชียกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออก เมื่อศาสนาพุทธในอินเดียเสื่อมลง พุทธศาสนามหายานในเอเชียกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เสื่อมตามไปด้วย ยังคงเหลือในจีน ทิเบต ญี่ปุ่น เวียดนาม ส่วนนิกายเถรวาทได้เฟื่องฟูขึ้นอีกครั้งในศรีลังกา และแพร่หลายไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พุทธศาสนาได้แพร่หลายไปยังโลกตะวันตกตั้งแต่ครั้งโบราณ แต่ชาวตะวันตกหันมาสนใจพุทธศาสนามากขึ้นในยุคจักรวรรดินิยมและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื้อหา    1 ชาติกำเนิดของพระพุทธเจ้า    2 พุทธศาสนาสมัยพุทธกาล    3 พุทธศาสนาหลังพุทธปรินิพาน              3.1 การสังคายนาครั้งที่ 1            3.2 การสังคายนาครั้งที่ 2 : การแตกนิกาย           3.2.1 หลักฐานฝ่ายบาลี                      3.2.2 หลักฐานฝ่ายสันสกฤต              3.3 การสังคายนาครั้งที่ 3   4 กำเนิดมหายาน   5 การแผ่ขยายของมหายาน              5.1 อินเดียและความเสื่อมของพุทธศาสนา       

      5.2 พุทธศาสนาในเอเชียกลาง 

         5.2.1 พุทธศาสนาในพาร์เทีย            5.2.2 พุทธศาสนาในที่ราบตาริม        5.3 พุทธศาสนาในจีน                 5.4 พุทธศาสนาในเกาหลี                5.5 พุทธศาสนาในญี่ปุ่น                 5.6 พุทธศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้                  5.6.1 อาณาจักรศรีวิชัย                  5.6.2 อาณาจักรขอม    6 กำเนิดวัชรยาน     7 การฟื้นฟูนิกายเถรวาท     8 พุทธศาสนาในโลกตะวันตก                   8.1 ประเทศอังกฤษ                   8.2 ประเทศเยอรมนี                   8.3 สหรัฐอเมริกา     9 อ้างอิง               9.1 หนังสืออ่านเพิ่มเติม ชาติกำเนิดของพระพุทธเจ้า พระโคตมพุทธเจ้า หรือ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน มีพระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงเป็นพระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ และ พระนางสิริมหามายา ประสูติในราชตระกูลศากยวงศ์ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ พระองค์ทรงออกผนวชเมื่อพระชนมายุ 29 พรรษา บำเพ็ญเพียรอยู่ 6 ปี จึงตรัสรู้เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา และทรงประกาศพระศาสนาอยู่ 45 ปี จึงเสด็จปรินิพพานเมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษาซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการนับปีพุทธศักราช หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ได้เสด็จไปโปรดพระปัญจวัคคีย์ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี พระองค์ตรัสธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นปฐมเทศนาแก่พระปัญจวัคคีย์ เมื่อจบพระธรรมเทศนา ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลีมลทิน จึงเกิดขึ้นแก่พระโกณฑัญญะ จนทำให้บรรลุเป็นพระโสดาบัน พระโกณฑัญญะจึงกราบทูลขออุปสมบทในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ซึ่งนับเป็นพระสงฆ์องค์แรกในโลก และพระรัตนตรัยจึงเกิดขึ้นในโลกเช่นกันในวันนั้น ต่อมา พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมอื่น ๆ เพื่อโปรดพระปัญจวัคคีย์ที่เหลืออีก 4 องค์ จนบรรลุเป็นพระโสดาบันทั้งหมด หลังจากพระปัญจวัคคีย์บรรลุเป็นพระโสดาบันหมดแล้ว พระองค์ทรงแสดงธรรมอนัตตลักขณสูตร ซึ่งทำให้พระปัญจวัคคีย์บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น ต่อจากนั้น พระองค์ได้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดพระยสะและพวกอีก 54 ท่าน จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ในครั้งนั้นจึงมีพระอรหันต์รวมทั้งพระองค์ด้วยทั้งสิ้น 61 พระองค์ พระพุทธเจ้าจึงพระดำริให้พระสาวกออกประกาศศาสนา โดยมีพระปฐมวาจาในการส่งพระสาวกออกประกาศศาสนาว่า

ดูกรพระภิกษุทั้งหลาย เราหลุดพ้นจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ และของมนุษย์ แม้พวกเธอได้หลุดพ้นจากบ่วงทั้งปวงทั้งของทิพย์และของมนุษย์เช่นกัน พวกเธอจงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์ และความสุขแก่มหาชน เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ พวกเธออย่าไปทางเดียวกัน 2 รูป จงแสดงธรรมให้งามในเบื้องต้น ในท่ามกลางและในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะให้ครบถ้วนบริบูรณ์ สัตว์ทั้งหลายผู้มีธุลี คือ กิเลส ในจักษุเพียงเล็กน้อยมีอยู่ แต่เพราะโทษที่ยังไม่ได้สดับธรรม จึงต้องเสื่อมจากคุณที่พึงจะได้รับ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้รู้ทั่วถึงธรรมมีอยู่ แม้เราก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม

จึงทำให้พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรือง และแผ่ขยายไปในชมพูทวีปอย่างรวดเร็ว ชาวชมพูทวีปพากันละทิ้งลัทธิเดิม แล้วหันมานับถือเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้นโดยลำดับและเผยแผ่ต่อมาจนถึงปัจจุบัน

พุทธศาสนาหลังพุทธปรินิพาน     เมื่อพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว พระพุทธศาสนายังเจริญในอินเดียสืบมา ความเจริญของพุทธศาสนาขึ้นกับว่าได้รับการส่งเสริมจากผู้มีอำนาจในสมัยนั้นหรือไม่ ถ้ามีก็มีความรุ่งเรืองมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลากาลล่วงไป ความขัดแย้งอันเกิดจากการตีความพระธรรมคำสอนและพระวินัยไม่ตรงกันได้เกิดขึ้นในหมู่พระสงฆ์ จึงมีการแก้ไขโดยมีการจัดทำสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยที่ถูกต้องไว้เป็นหลักฐานสำหรับยึดถือเป็นแบบแผนต่อไป การสังคายนาครั้งที่ 1การสังคายนาครั้งที่ 1 กระทำขึ้น หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ 3 เดือน ณ ถ้ำสัตบรรณคูหา กรุงราชคฤห์ โดยพระมหากัสสปะเป็นประธาน พระเจ้าอชาตศัตรูเป็นองค์อุปถัมภ์ พระอานนท์เป็นผู้ให้คำตอบเกี่ยวกับพระธรรม และพระอุบาลีเป็นผู้ให้คำตอบเกี่ยวกับพระวินัย มีพระอรหันต์เข้าร่วมในการสังคายนา 500 รูป กระทำ 7 เดือนจึงแล้วเสร็จ การสังคายนาครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะพระสุภัททะกล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัยหลังพุทธปรินิพพานเพียง 7 วัน ทำให้พระมหากัสสปะ ดำริจัดสังคายนาขึ้น ในการสังคายนาครั้งนี้ พระอานนท์ได้กล่าวถึงพุทธานุญาตให้สงฆ์ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ แต่ที่ประชุมตกลงกันไม่ได้ว่าสิกขาบทเล็กน้อยคืออะไร พระมหากัสสปะจึงให้คงไว้อย่างเดิม เมื่อสังคายนาเสร็จแล้ว พระปุราณะพร้อมบริวาร 500 รูป จาริกมายังแคว้นราชคฤห์ ภิกษุที่เข้าร่วมสังคายนาได้แจ้งเรื่องสังคายนาให้พระปุราณะทราบ พระปุราณะแสดงความเห็นคัดค้านเกี่ยวกับสิกขาบทบางข้อและยืนยันปฏิบัติตามเดิม ซึ่งแสดงให้เห็นเค้าความแตกแยกในคณะสงฆ์ แต่ไม่ถือว่าเป็นสังฆเภท เนื่องจากพระปุราณะยึดถือตามพุทธานุญาตที่ทรงให้สงฆ์ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้  การสังคายนาครั้งที่ 2 : การแตกนิกายเมื่อพุทธปรินิพพานล่วงไป 100 ปี ภิกษุชาววัชชี เมืองเวสาลี ได้ตั้งวัตถุ 10 ประการ ซึ่งผิดไปจากพระวินัย ทำให้มีทั้งภิกษุที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จนเกิดการแตกแยกในหมู่สงฆ์ พระยสกากัณฑบุตร ได้จาริกมาเมืองเวสาลี และทราบเรื่องนี้ ได้พยายามคัดค้าน แต่ภิกษุชาววัชชีไม่เชื่อฟัง ภิกษุที่สนับสนุนพระยสกากัณฑบุตรจึงนำเรื่องไปปรึกษาพระเถระผู้ใหญ่ในขณะนั้นได้แก่ พระเรวตะ พระสัพกามีเถระ เป็นต้น จึงตกลงให้ทำการสังคายนาขึ้นอีกครั้ง ภิกษุชาววัชชีไม่ยอมรับและไม่เข้าร่วมการสังคายนานี้ แต่ไปรวบรวมภิกษุฝ่ายตนประชุมทำสังคายนาต่างหาก เรียกว่า มหาสังคีติ และเรียกพวกของตนว่า มหาสังฆิกะทำให้พุทธศาสนาในขณะนั้นแตกเป็น 2 นิกาย คือ ฝ่ายที่นับถือมติของพระเถระครั้งปฐมสังคายนาเรียก เถรวาท ฝ่ายที่ถือตามมติของอาจารย์ของตนเรียก อาจาริยวาท อีกราว 100 ปีต่อมา สงฆ์ทั้ง 2 ฝ่ายมีการแตกนิกายออกไปอีก หลักฐานฝ่ายภาษาบาลีว่าแตกไป 18 นิกาย หลักฐานฝ่ายภาษาสันสกฤตว่า แตกไป 20 นิกาย ได้แก่ หลักฐานฝ่ายบาลี

เถรวาท แยกเป็น

 นิกายมหิสาสกวาท แยกเป็น

นิกายสัพพัตถิกวาท แยกเป็น

นิกายกัสสปิกวาท

นิกายสังกันติกวาท 

 นิกายสุตตวาท 

 นิกายธรรมคุตตวาท 

 นิกายวัชชีปุตวาท แยกเป็น

นิกายธัมมตตริกวาท 

    นิกายภัทรยานิกวาท 

  นิกายฉันนาคาริกวาท 

 นิกายสมิติยวาท 

 นิกายมหาสังฆิกะ แยกเป็น

  นิกายเอกัพโยหาริกวาท แยกเป็น

นิกายพหุสสุติกวาท 

  นิกายปัญญัติกวาท 

 นิกายโคกุลิกวาท

นิกายเจติยวาท หลักฐานฝ่ายสันสกฤต

เถรวาท แยกเป็น 

 นิกายเหมวันตวาท

นิกายสรวาสติวาท แยกเป็น                                                                                  นิกายมหิศาสกวาท แยกเป็น

นิกายธรรมคุปตวาท 

   นิกายกาศยปิกวาท 

 นิกายเสาตรันติกวาท 

 นิกายวาตสีปุตริยวาท แยกเป็น 

 นิกายศันนาคาริกวาท

นิกายสามมมีติยวาท 

 นิกายภัทรยานิยวาท

นิกายธรรโมตตริยวาท

นิกายมหาสังฆิกะ แยกเป็น

นิกายเอกวยหาริกวาท 

  นิกายโลโกตรวาท 

 นิกายโคกุลิกวาท 

นิกายพหุศรติยวาท 

 นิกายปัญญัตวาท 

 นิกายไจติกวาท 

  นิกายอปรเสลิยวาท

นิกายอุตรเสลิยวาทการสังคายนาครั้งที่ 3 การแพร่กระจายของพุทธศาสนาในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เพื่อกำจัดพวกเดียรถีย์ปลอมบวชในพระพุทธศาสนา มีพระโมคคัลลีบุรติสสะเป็นประธาน ใช้เวลา 9 เดือนจึงสำเร็จในการสังคายนาครั้งนี้ พระโมคคัลลีบุรติสสะ ได้แต่งกถาวัตถุขึ้น เพื่ออธิบายธรรมให้แจ่มแจ้ง หลังจากการสังคายนาสิ้นสุดลง พระเจ้าอโศกฯได้ส่งสมณทูต 9 สายออกเผยแผ่พุทธศาสนา คือ 1.   คณะพระมัชฌันติกเถระ ไปแคว้นแคชเมียร์และแคว้นคันธาระ 2.   คณะพระมหาเทวะ ไป มหิสกมณฑล ซึ่งคือ แคว้นไมซอร์และดินแดนลุ่มแม่น้ำโคธาวารี ในอินเดียใต้ปัจจุบัน 3.   คณะพระรักขิตะ ไปวนวาสีประเทศ ได้แก่ แคว้นบอมเบย์ในปัจจุบัน 4.   คณะพระธรรมรักขิต ไป อปรันตกชนบท แถบทะเลอาหรับทางเหนือของบอมเบย์ 5.   คณะพระมหาธรรมรักขิต ไปแคว้นมหาราษฎร์ 6.   คณะพระมหารักขิต ไปโยนกประเทศ ได้แก่แคว้นกรีกในเอเชียกลาง อิหร่าน และเตอร์กิสถาน 7.   คณะพระมัชฌิมเถระ ไปแถบเทือกเขาหิมาลัย คือ เนปาลปัจจุบัน 8.   คณะพระโสณะ และพระอุตตระ ไปสุวรรณภูมิ ได้แก่ ไทย พม่า มอญ 9.   คณะพระมหินทระ ไปลังกา  กำเนิดมหายานดูบทความหลักที่ มหายาน พระพุทธศาสนามหายานเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 6-7 โดยเป็นคณะสงฆ์ที่มีความเห็นต่างจากนิกายเดิมที่มีอยู่ 18 - 20 นิกายในขณะนั้น แนวคิดของมหายานพัฒนามาจากแนวคิดของนิกายมหาสังฆิกะและนิกายที่แยกไปจากนิกายนี้ จุดต่างจากนิกายดั้งเดิมคือคณะสงฆ์กลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับการเป็นพระโพธิสัตว์และเน้นบทบาทของคฤหัสถ์มากกว่าเดิมจึงแยกออกมาตั้งนิกายใหม่ เหตุที่มีการพัฒนาลัทธิมหายานขึ้นนั้นเนื่องจาก 1.   แรงผลักดันจากการปรับปรุงศาสนาพราหมณ์ มีการแต่งมหากาพย์รามายณะและมหาภารตะเพื่อดึงดูดใจผู้อ่านให้ภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า กำหนดให้มีพระเจ้าสูงสุด 3 องค์ คือพระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร ประกอบกับได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์ ศาสนาพราหมณ์จึงฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ฝ่ายพุทธศาสนาจึงจำเป็นต้องปรับตัว 2.   แรงบันดาลใจจากบุคลิกภาพของพระพุทธองค์ ฝ่ายมหายานเห็นว่าพระพุทธองค์เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ไม่ควรสิ้นสุดหลังจากปรินิพพาน ทำให้เหมือนกับว่าชาวพุทธขาดที่พึ่ง จึงเน้นคุณความดีของพระองค์ ในฐานะที่เป็นพระโพธิสัตว์ เน้นให้ชาวพุทธปรารถนาพุทธภูมิ บำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ช่วยเหลือผู้อื่น ภายหลังจึงเกิดแนวคิดตรีกายของพระพุทธเจ้า 3.   เกิดจากบทบาทของพุทธบริษัทที่เป็นคฤหัสถ์ เพราะลัทธิมหายานเน้นที่การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ ซึ่งพระโพธิสัตว์เป็นคฤหัสถ์ได้ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้คฤหัสถ์เข้ามามีบทบาทมากขึ้น คณาจารย์ที่สำคัญของนิกายมหายานคือ พระอัศวโฆษ พระนาคารชุน พระอสังคะ พระวสุพันธุ เป็นต้น หลังจากการก่อตัว พุทธศาสนามหายานซึ่งมีจุดเด่นคือสามารถปรับตัวให้เข้ากับความเชื่อดั้งเดิมที่แตกต่างไปในแต่ละท้องถิ่นได้ง่ายกว่าพุทธศาสนาเถรวาทซึ่งเป็นแบบดั้งเดิมได้แพร่กระจายออกจากอินเดียไปในทวีปเอเชียหลายประเทศ การแผ่ขยายของมหายานอินเดียและความเสื่อมของพุทธศาสนาพุทธศาสนามหายานในอินเดียได้รับการสนับสนุนโดยราชวงศ์กุษาณ เมื่อสิ้นสุดราชวงศ์กุษาณ พุทธศาสนาได้รับการอุปถัมภ์โดยราชวงศ์คุปตะ มีการสร้างศูนย์กลางการศึกษาพุทธศาสนา คือ มหาวิทยาลัยนาลันทาและมหาวิทยาลัยวิกรมศิลา ในอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ มีอาจารย์ที่มีชื่อเสียง เช่น พระนาคารชุน พุทธศาสนาในสมัยนี้ได้แพร่หลายไปยังจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนกระทั่ง การสิ้นสุดอำนาจของราชวงศ์คุปตะจากการรุกรานของชาวฮั่นในพุทธศตวรรษที่ 11 บันทึกของหลวงจีนอี้จิงที่มาถึงอินเดียในพุทธศตวรรษที่ 12 กล่าวว่า พุทธศาสนารุ่งเรืองในอันธระ ธันยกตกะ และ ฑราวิฑ ปัจจุบัน คือรัฐอันธรประเทศและทมิฬนาดู ยังมีชาวพุทธในเนปาล และสสันภะ ในอาณาจักรคังทา (รัฐเบงกอลตะวันตกในปัจจุบัน) และ หรรษวรรธนะ เมื่อสิ้นสุดยุคอาณาจักรหรรษวรรธนะ เกิดอาณาจักรเล็กๆขึ้นมากมาย โดยมีแคว้นราชปุตให้การอุปถัมภ์พุทธศาสนา จนกระทั่ง ยุคจักรวรรดิปาละในเบงกอล พุทธศาสนามหายานรุ่งเรืองอีกครั้ง และได้แพร่หลายไปยังสิกขิมและภูฏาน ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 13-17 เมื่อจักรวรรดิปาละปกรองด้วยกษัตริย์ราชวงศ์เสนะที่นับถือศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธจึงเสื่อมลง ศาสนาพุทธในอินเดียเริ่มเสื่อมลงอย่างช้า ๆ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา ความเสื่อมในอินเดียตะวันออกเริ่มตั้งแต่จักรวรรดิปาละหันไปส่งเสริมศาสนาฮินดูไวษณพนิกาย ส่วนในอินเดียเหนือเริ่มเสื่อมตั้งแต่ พ.ศ. 1736 เมื่อชาวเติร์กที่นับถือศาสนาอิสลาม นำโดยมูฮัมหมัด คิลญี บุกอินเดียและเผามหาวิทยาลัยนาลันทา ตั้งแต่ พ.ศ. 1742 เป็นต้นไป ศาสนาอิสลามแพร่เข้าสู่พิหาร ทำให้ชาวพุทธโยกย้ายไปทางเหนือเข้าสู่เทือกเขาหิมาลัยหรือลงใต้ไปที่ศรีลังกา นอกจากนั้น ความเสื่อมของศาสนาพุทธยังเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของศาสนาฮินดู ภายใต้การนำของขบวนการต่าง ๆ เช่น อัธไวตะ ภักติ และการเผยแผ่ศาสนาของนักบวชลัทธิซูฟี พุทธศาสนาในเอเชียกลางดูบทความหลักที่ พุทธศาสนาในซินเจียงอุยกูร์ และเอเชียกลาง ดินแดนเอเชียกลางได้รับอิทธิพลพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยพุทธกาล มีกล่าวในเอกสารของฝ่ายเถรวาทว่าพ่อค้าสองคนจากแบกเทรีย คือ ตปุสสะและภัลลิกะ ได้พบพระพุทธเจ้าและปฏิญาณตนเป็นอุบาสก เมื่อกลับไปบ้านเมืองของตนได้สร้างวัดในพุทธศาสนาขึ้น เอเชียกลางเป็นดินแดนสำคัญในการติดต่อระหว่างจีน อินเดีย และเปอร์เซีย การุกรานของชาวฮั่นโบราณใน พ.ศ. 343 ไปทางตะวันตกเข้าสู่ดินแดนที่ได้รับอารยธรรมจากกรีกโดยเฉพาะอาณาจักรแบกเทรียทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมขึ้น การขยายตัวของพุทธศาสนาขึ้นสู่ทางเหนือทำให้เกิดอาณาจักรพุทธในเอเชียกลาง เมืองบนเส้นทางสายไหมหลายเมืองเป็นเมืองพุทธที่ต้อนรับนักเดินทางทั้งจากตะวันตกและตะวันออก พุทธศาสนาเถรวาทแพร่หลายเข้าสู่ดินแดนของชาวเติร์กก่อนที่จะผสมผสานกับนิกายมหายานที่แพร่หลายเข้ามาภายหลัง ดินแดนดังกล่าว คือ บริเวณที่เป็นประเทศปากีสถาน รัฐแคชเมียร์ อัฟกานิสถาน อิหร่านตะวันออกและแนวชายฝั่ง อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน และทาจิกิสถาน อาณาจักรโบราณในสมัยนั้น คือ แคว้นคันธาระ แบกเทรีย พาร์เทีย และซอกเดีย ศาสนาพุทธในบริเวณนี้ได้แพร่ต่อไปยังจีน อิทธิพลของความเชื่อท้องถิ่นทำให้ศาสนาพุทธในบริเวณนี้แตกเป็นหลายนิกาย นิกายที่โดดเด่น คือ นิกายธรรมคุปตวาทและนิกายสรวาสติวาทิน ศาสนาพุทธในเอเชียกลางเสื่อมลงเมื่อศาสนาอิสลามแพร่หลายเข้ามาในบริเวณนี้ มีการทำลายสถูปจำนวนมากในสงครามในพุทธศตวรรษที่ 12 ศาสนาพุทธมีท่าทีว่าจะฟื้นตัวขึ้นอีกเมื่อเจงกีสข่านรุกรานเข้ามาในบริเวณนี้ มีการจัดตั้งดินแดนของอิลข่านและชะกะไตข่าน เมื่อพุทธศตวรรษที่ 18 แต่อีก 100 ปีต่อมา ชาวมองโกลส่วนใหญ่หันไปนับถือศาสนาอิสลาม ทำให้ศาสนาอิสลามแพร่หลายไปทั่วเอเชียกลาง  

พุทธศาสนาในพาร์เทีย

ศาสนาพุทธแพร่ไปทางตะวันตกถึงพาร์เทียอย่างน้อยถึงบริเวณเมิร์บในมาร์เกียนาโบราณ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเติร์กเมนิสถาน ชาวพาร์เทียจำนวนมากมีบทบาทในการแพร่กระจายของพุทธศาสนาโดยนักแปลคัมภีร์ชาวพาร์เทียจำนวนมากแปลคัมภีร์พุทธศาสนาเป็นภาษาจีน  

พุทธศาสนาในที่ราบตาริม

บริเวณตะวันออกของเอเชียกลาง (เตอร์เกสถานของจีน ที่ราบตาริม และเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์) พบศิลปะทางพุทธศาสนาจำนวนมาก ซึ่งแสดงอิทธิพลของอินเดียและกรีก ศิลปะเป็นแบบคันธาระ และจารึกเขียนด้วยอักษรขโรษฐี ดินแดนเอเชียกลาง เป็นตัวเชื่อมสำคัญในการเผยแผ่ศาสนาพุทธไปทางตะวันออก ผู้แปลคัมภีร์เป็นภาษาจีนรุ่นแรกๆ เป็นชาวพาร์เทีย ชาวกุษาณ หรือชาวซอกเดีย การติดต่อแลกเปลี่ยนพุทธศาสนาระหว่างเอเชียกลางกับเอเชียตะวันออกพบมากในพุทธศตวรรษที่ 15 ทำให้ศาสนาพุทธเข้าไปตั้งมั่นในจีนจนปัจจุบัน  

พุทธศาสนาในจีน

ดูบทความหลักที่ พุทธศาสนาในประเทศจีน คาดว่าพุทธศาสนาเข้าสู่จีนเมื่อพุทธศตวรรษที่ 6 โดยผ่านเอเชียกลาง (แม้จะมีเรื่องเล่าว่ามีพระภิกษุเข้าไปถึงประเทศจีนตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช) จนในพุทธศตวรรษที่ 13 จีนจึงกลายเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของพุทธศาสนา ใน พ.ศ. 610 มีการก่อตั้งศูนย์กลางการเผยแผ่พุทธศาสนาในจีนโดยพระภิกษุสององค์ คือพระกาศยปะมาตังคะ และ และพระธรรมรักษ์ใน พ.ศ. 611 พระเจ้าหมิงตี้แห่งราชวงศ์ตงฮั่นได้สร้างวัดม้าขาวซึ่งยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน อยู่ใกล้กับเมืองหลวง คือ เมืองลั่วหยาง คัมภีร์ทางพุทธศาสนามหายานแปลเป็นภาษาจีนครั้งแรกโดยพระภิกษุจากกุษาณ โลก๊กเสมา ในเมืองลั่วหยาง ระหว่าง พ.ศ. 721- 732ศิลปะทางพุทธศาสนายุคแรก ๆ ได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบคันธาระ พุทธศาสนาในจีนรุ่งเรืองมากในยุคราชวงศ์ถัง ราชวงศ์นี้ได้เปิดกว้างต่อการรับอิทธิพลจากต่างชาติ และมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับอินเดีย มีพระภิกษุจีนเดินทางไปอินเดียมากในช่วงพุทธศตวรรษที่ 9-16 เมืองหลวงในสมัยราชวงศ์ถัง คือ ฉางอาน กลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของพุทธศาสนาและเป็นแหล่งเผยแผ่ศาสนาต่อไปยังเกาหลีและญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม อิทธิพลจากต่างชาติกลายเป็นผลลบในตอนปลายของราชวงศ์ถัง ใน พ.ศ. 1388 จักรพรรดิหวู่ซุง ประกาศให้ศาสนาจากต่างชาติ ได้แก่ ศาสนาคริสต์ ศาสนาโซโรอัสเตอร์ และศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ผิดกฎหมาย หันไปสับสนุนลัทธิเต๋าแทน ในสมัยของพระองค์มีการทำลายวัด คัมภีร์และบังคับให้พระภิกษุสึก ความรุ่งโรจน์ของพุทธศาสนาจึงสิ้นสุดลง พุทธศาสนานิกายสุขาวดีและนิกายฌานยังคงรุ่งเรืองต่อมา และกลายเป็นนิกายเซนในญี่ปุ่น นิกายฌานในจีนมีอิทธิพลในสมัยราชวงศ์ซ้อง  พุทธศาสนาในเกาหลีพุทธศาสนาเข้าสู่เกาหลีเมื่อราว พ.ศ. 915 เมื่อราชทูตจากจีนนำคัมภีร์และภาพวาดไปยังอาณาจักรโคกูรยอ ศาสนาพุทธรุ่งเรืองในเกาหลีโดยเฉพาะนิกายเซนในพุทธศตวรรษที่ 12 จนกระทั่ง ถึงยุคของการฟื้นฟูลัทธิขงจื๊อในสมัยราชวงศ์โชซอนตั้งแต่ พ.ศ. 1935 ศาสนาพุทธจึงเสื่อมลง  

พุทธศาสนาในญี่ปุ่น

ดูบทความหลักที่ พุทธศาสนาในประเทศญี่ปุ่น ดูบทความหลักที่ เซน ญี่ปุ่นได้รับพุทธศาสนาเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 11 โดยพระภิกษุชาวเกาหลีนำคัมภีร์และศิลปะทางพุทธศาสนาเข้าสู่ญี่ปุ่น เมื่อสิ้นสุดยุคของเส้นทางสายไหม พร้อมๆกับการเสื่อมของพุทธศาสนาในอินเดีย เอเชียกลางและจีน ญี่ปุ่นยังคงรักษาความรุ่งเรืองทางพุทธศาสนาไว้ได้ ตั้งแต่ พ.ศ. 1253 เป็นต้นมา มีการสร้างวัดและรูปเคารพจำนวนมากในเมืองหลวงคือเมืองนารา พุทธศิลป์แบบญี่ปุ่นรุ่งเรืองในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 18 ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 18 พุทธศาสนานิกายเซนรุ่งเรือง รวมทั้งศิลปะที่สืบเนื่องจากนิกายเซนด้วย พุทธศาสนายังคงรุ่งเรืองในญี่ปุ่นจนถึงปัจจุบัน พุทธศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 6 การค้าทางบกผ่านเส้นทางสายไหมถูกจำกัดเนื่องจากการขยายตัวในตะวันออกกลางของจักรวรรดิเปอร์เซีย และการเป็นศัตรูกับโรม ชาวโรมันที่ต้องการสินค้าจากตะวันออกไกลจึงทำการค้าทางทะเล ติดต่อระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับจีน ผ่านอินเดีย ในช่วงเวลานี้เองอินเดียมีอิทธิพลเหนือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก ตั้งแต่ภาคใต้ของพม่า ภาคกลางและภาคใต้ของไทย กัมพูชาตอนล่างและภาคใต้ของเวียดนาม การค้าชายฝั่งเจริญขึ้นมาก ผลจาการเผยแผ่อารยธรรมอินเดียเข้าสู่บริเวณนี้ ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตแพร่เข้ามาพร้อมกับศาสนาพุทธทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายาน ศาสนาพราหมณ์ได้เผยแผ่เข้ามาในบริเวณนี้เช่นกัน พร้อมกับวรรณคดีสำคัญ คือ รามายณะและมหาภารตะ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 10 18 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจักรวรรดิที่รุ่งเรืองทางด้านพุทธศาสนาและศิลปะอยู่สองแห่ง ความเชื่อสำคัญในยุคนี้เป็นแบบมหายาน จักรวรรดิที่มีอิทธิพลทางใต้บริเวณหมู่เกาะ คือ อาณาจักรศรีวิชัย ส่วนทางเหนือ คือ อาณาจักรขอมหรือเขมรโบราณ ที่มีการสร้างรูปพระโพธิสัตว์มาก  

อาณาจักรศรีวิชัย

นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าอาณาจักรศรีวิชัยมีศูนย์กลางอยู่มี่ปาเล็มบัง บนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย นับถือพุทธมหายานหรือวัชรยานภายใต้การอุปถัมภ์ของกษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทร์ หลวงจีนอี้จิงบันทึกไว้ว่าที่ปาเล็มบังมีภิกษุมากกว่า 10,000 รูป ท่านอตีศะเคยมาศึกษาที่นี่ ก่อนเข้าไปเผยแผ่พุทธศาสนาในทิเบต ศิลปะทางพุทธศาสนาของศรีวิชัยแพร่หลายไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรียกว่า ศิลปะศรีวิชัย ส่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ คือ บุโรพุทโธ (สร้างเมื่อราว พ.ศ. 1323) ในเกาะชวา อาณาจักรศรีวิชัยเสื่อมลงเนื่องจากความขัดแย้งกับราชวงศ์โจฬะในอินเดีย ก่อนจะรับอิทธิพลอารยธรรมอิสลามในพุทธศตวรรษที่ 18 อาณาจักรขอมในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14 - 18 พุทธศาสนามหายานและศาสนาฮินดูรุ่งเรืองในอาณาจักรขอม มีการสร้างศาสนสถานมากมายทั้งในไทยและกัมพูชา รวมทั้งนครวัด มหายานรุ่งเรืองที่สุดในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้สร้างนครธม มหายานเสื่อมลงในพุทธศตวรรษที่ 16 ไล่เลี่ยกับความเสื่อมของมหายานในอินเดีย จากนั้น พุทธศาสนาเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์เข้ามามีอิทธิพลแทนที่  กำเนิดวัชรยานดูบทความหลักที่ วัชรยาน ดูบทความหลักที่ พุทธศาสนาในทิเบต พุทธศาสนานิกายวัชรยาน หรือ พุทธศาสนาลัทธิตันตระ กำเนิดขึ้นครั้งแรกทางตะวันออกของอินเดีย เมื่อราว พ.ศ. 700 - 1200 บางครั้งจัดเป็นส่วนหนึ่งของมหายานแต่บางครั้งก็แยกตัวเองออกมาต่างหาก หลักปรัชญาของวัชรยานเป็นแบบเดียวกับมหายาน แต่มีวิธีการหรือ "อุปาย" ต่างไป โดยมีการใช้ญาณทัศน์และโยคะอื่น ๆ เข้ามา การฝึกเหล่านี้ได้อิทธิพลจากลัทธิตันตระของศาสนาฮินดู วัชรยานในทิเบต ก่อตั้งโดยท่านปัทมสัมภวะ วัชรยานยุคแรก ผู้ฝึก เรียกว่า มหาสิทธา มักอยู่ตามป่า จนกระทั่งราว พ.ศ. 1400 วัชรยานจึงแพร่เข้าสู่มหาวิทยาลัยทางพุทธศาสนาในยุคนั้น คือ มหาวิทยาลัยนาลันทาและมหาวิทยาลัยวิกรมศิลา[26] วัชรยานเสื่อมจากอินเดียเมื่อราว พ.ศ. 1700 ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการรุกรานอินเดียของชาวมุสลิม ทำให้ขาดผู้อุปถัมภ์พุทธศาสนา วัชยานได้แพร่หลายไปสู่ทิเบตและกลายเป็นพุทธศาสนานิกายหลักที่นั่น บางส่วนได้แพร่หลายต่อไปยังจีนและญี่ปุ่นเกิดเป็นนิกายเชนเหยน หรือมี่จุงในจีน และนิกายชินกอนในญี่ปุ่น ศาสนาพุทธในอินเดียเริ่มเสื่อมลงตั้งแต่ราว พ.ศ. 1600 - 1700 เนื่องมาจากการทำสงครามกับชาวมุสลิมที่เข้ามารุกรานอินเดีย ซึ่งทำให้การนับถือพุทธศาสนามหายานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เสื่อมลงด้วย ในช่วงเวลานั้น การค้าขายทางทะเลระหว่างตะวันออกกลางไปยังจีนผ่านทางศรีลังกาเริ่มเฟื่องฟูขึ้น และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีการฟื้นฟูนิกายเถรวาทที่ใช้ภาษาบาลีที่ศรีลังกาอีกครั้ง นิกายนี้จึงแพร่หลายไปสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พระเจ้าอโนรธามังช่อ กษัตริย์ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิพม่าครั้งแรกเป็นผู้รับพุทธศาสนาเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์นี้เข้าสู่พม่า มีการสร้างเจดีย์ในเมืองหลวงมากมาย แม้ในกาลต่อมา อำนาจของพม่าเสื่อมถอยลงเพราะถูกมองโกลรุกราน และไทยมีอำนาจขึ้นแทน พุทธศาสนานิกายเถรวาทก็ยังคงเป็นนิกายหลักในพม่า พุทธศาสนานิกายเถรวาทจากลังกาแพร่หลายเข้าสู่ประเทศไทยที่นครศรีธรรมราชและสุโขทัยเมื่อราว พ.ศ. 1800 และยังคงนับถือสืบเนื่องมาจนปัจจุบัน พุทธศาสนานิกายเถรวาทได้แพร่หลายจากไทยไปยังลาวและกัมพูชา ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของไทยมาก่อน ส่วนดินแดนในเขตหมู่เกาะของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เคยนับถือนิกายมหายานเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามเกือบทั้งหมด  พุทธศาสนาในโลกตะวันตก นักบุญโยซาฟัตในเอกสารกรีก ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากพุทธประวัติที่แปลเป็นภาษากรีก มีหลักฐานว่าพุทธศาสนาแพร่หลายไปถึงตะวันตกมานาน ชาดก ซึ่งเป็นคัมภีร์หนึ่งในพระไตรปิฎกของพุทธศาสนา มีผู้แปลเป็นภาษาซีเรียค และภาษาอาหรับ เช่น Kalilag and Dammag พุทธประวัติแปลเป็นภาษากรีกโดย จอห์นแห่งดามัสกัส ได้เป็นที่แพร่หลายในหมู่ชาวคริสต์ในนามของบาร์ลาอัมและโยซาฟัต เรื่องนี้เป็นที่นิยมของชาวคริสต์ จนกระทั่ง เมื่อประมาณ พ.ศ. 1800 ชาวคริสต์ยกย่องโยซาฟัตให้เป็นนักบุญแห่งนิกายคาทอลิก ความสนใจในพุทธศาสนาเริ่มขึ้นอีกครั้งในยุคอาณานิคม เมื่อมหาอำนาจตะวันตกได้มีโอกาสศึกษาศาสนาในรายละเอียดมากขึ้น ปรัชญาในยุโรปสมัยนั้นได้รับอิทธิพลจากศาสนาในตะวันออกมาก การเปิดประเทศของญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ. 2396 ทำให้มีการยอมรับศิลปวัฒนธรรมญี่ปุ่น รวมทั้งวัฒนธรรมเกี่ยวกับศาสนาพุทธด้วย งานแปลคัมภีร์ทางพุทธศาสนาเป็นภาษาตะวันตกเริ่มขึ้นโดย Max Muller ผู้จัดพิมพ์ Scared Books of the East "คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งตะวันออก" มีการจัดตั้งสมาคมบาลีปกรณ์เพื่อจัดพิมพ์พระไตรปิฎกและคัมภีร์ทางพุทธศาสนาอื่นๆ แต่ความสนใจยังจำกัดในหมู่ปัญญาชน ศาสนาพุทธเริ่มเป็นที่สนใจของชาวยุโรปอย่างกว้างขวาง ในพุทธศตวรรษที่ 25 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2เป็นต้นมา ความเชื่อทางศาสนาของชาวตะวันตกเปลี่ยนไปเน้นที่ความเชื่อของปัจเจกบุคคลมากขึ้น ทำให้ศาสนาพุทธเป็นที่ดึงดูดใจ จากการที่มีข้อพิสูจน์ให้พิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติด้วยตนเอง มีการตั้งองค์กรทางพุทธศาสนาระดับโลกโดยชาวพุทธจากเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือรวม 27 ประเทศที่ศรีลังกาเมื่อ พ.ศ. 2493 ในชื่อองค์กรพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก 

ประเทศอังกฤษ

ดูบทความหลักที่ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในอังกฤษ พุทธศาสนาเข้าสู่อังกฤษครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2448 โดย J.R. Jackson เป็นผู้ก่อตั้งพุทธสมาคมในอังกฤษ และ Charls Henry Allen Bernett ผู้ซึ่งต่อมาบวชเป็นพระภิกษุในพม่า มีฉายาว่า "อานันทเมตเตยยะ" เป็นพระภิกษุชาวอังกฤษคนแรก  คณะสงฆ์ไทยส่งคณะทูตไปเผยแผ่ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2507 และได้สร้างวัดไทยชื่อวัดพุทธประทีปในลอนดอน  

ประเทศเยอรมนี

มีการตั้งสมาคมเผยแผ่พระพุทธศาสนาครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2446 ต่อมามีชาวเยอรมันไปบวชเป็นพระภิกษุที่ศรีลังกา การเผยแผ่พุทธศาสนาในเยอรมันชะงักไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และถูกห้ามในสมัยของฮิตเลอร์ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีการฟื้นฟูพุทธศาสนาโดยพระภิกษุจากพม่า และมีการติดต่อกับพุทธสมาคมในศรีลังกา มีวัดไทยในเบอร์ลินเช่นกัน  

สหรัฐอเมริกา

ดูบทความหลักที่ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสหรัฐอเมริกา พุทธศาสนาเข้าสู่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่ พ.ศ. 2448 โดยเป็นพุทธศาสนาจากจีนและญี่ปุ่น ในยุคต่อมาจึงเป็นพุทธศาสนาแบบทิเบต ใน พ.ศ. 2504 มหาวิทยาลัยวิสคอนซินเปิดสอนปริญญาเอกสาขาพุทธศาสตร์เป็นแห่งแรกในสหรัฐ คณะสงฆ์ไทยสร้างวัดไทยแห่งแรกในสหรัฐเมื่อ พ.ศ. 25152. ตอบนิติราชประเพณีนิติราชประเพณีทางการเมืองการปกครองของไทย มีมากมายและมีมานานช้า เป็นนิติราชประเพณีที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนที่ยังมิได้มีนักรัฐศาสตร์ผู้ใด มหาวิทยาลัยใดหยิบยกขึ้นมาพิจารณาว่า มีนิติราชประเพณีใดบ้างที่สามารถนำมาใช้อย่างเหมาะสมพอดีกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 7 ก็กล่าวไว้ว่า

 "ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"

นั่นก็หมายความว่า ประเพณีการปกครองเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงและต้องศึกษากำหนดให้ชัดเจน ในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของไทย เคยเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นและมีกรณีต่าง ๆ ที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ก็ทรงใช้นิติราชประเพณีในอดีตที่มี มาปรับใช้อย่างแนบเนียนกลายเป็นวัฒนธรรมอำนาจอย่างหนึ่งวัฒนธรรมการคิดเรื่องอำนาจของยุโรป - สหรัฐอเมริกา จะเน้นที่หลักความเป็นปัจเจกนิยม (Individualism) แบบตัวใครตัวมัน ตั้งอยู่บนความเสมอภาค (Equality) ตามนิติธรรม (The Rule of Law) และมีการแบ่งแยกปริมณฑลแห่งอำนาจ (Separation of Spheres) ซึ่งแตกต่างกับวัฒนธรรมอำนาจของไทยที่มีมาแต่โบราณกาลซึ่งยึดหลักการใช้อำนาจด้วยธรรมะ ด้วยเมตตา และด้วยความสัมพันธ์ที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันวัฒนธรรมอำนาจแบบไทย ๆ เช่นนี้สามารถทำความเข้าใจร่วมกันได้จากนิติราชประเพณีที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์และคนไทย กล่าวคือประการแรก คนไทยทั้งประเทศมีความสำนึกร่วมกันว่า พระมหากษัตริย์ของไทยเกือบทุกพระองค์เป็นประดุจบิดาที่คอยปกป้องคุ้มครองชีวิตของตนเอง ความรู้สึกเช่นนี้ยังฝังแน่นอยู่ในสายเลือดของคนไทย จนเกิดความผูกพันอันแน่นแฟ้นที่คนไทยจะขาดเสียซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์มิได้ และคนไทยที่แท้จริงต่างปลงใจศรัทธามีความเชื่อมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์พระวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยลาภพฤติยากร ได้แสดงปาฐกถาไว้ตอนหนึ่งว่า"…ในวัฒนธรรมเดิมของคนไทยเรานั้น พระมหากษัตริย์มีหน้าที่ดุจพ่อเมือง เป็นผู้นำออกรบพุ่งในเวลามีศึกสงคราม ทั้งเป็นพ่อผู้ปกครอง เป็นทั้งตุลาการของราษฎรในเวลาปกติ ความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนเป็นไปอย่างสนิทสนคำกล่าวนี้ยังคงใช้กับคนไทยได้ในสมัยปัจจุบัน ประการที่สอง นิติราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจอย่างจำกัดต่อคนไทยในชาติ ดังเช่นในสมัยกรุงศรีอยุธยา พระมหากษัตริย์จะทรงตรากฎหมายมาใช้บังคับราษฎรต้องขอโทษกันแล้วขอโทษกันอีก ต้องชี้แจงแสดงเหตุผลอย่างละเอียดพิสดาร อ้างถึงความจำเป็นเพื่อประโยชน์สุขของราษฎร อ้างบาลีจากคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ที่มโนสาราจารย์ไปได้มาจากขอบจักรวาล มิได้ออกกฎหมายมาบังคับใช้ตามอำเภอใจ นอกจากนี้ยังทรงออกกฎมณเฑียรบาลมายับยั้งการใช้พระราชอำนาจของ พระองค์เอง ผิดกับวัฒนธรรมของตะวันตกที่ออกกฎหมายมาตามใจของผู้เป็นรัฐาธิปัตย์ ดังกรณีเมียซีซ่าสมัยกรุงโรมที่กล่าวไว้ว่า "Sic volo ; Sic jubeo , ut leges" เพราะฉันต้องการอย่างนี้ เพราะฉันชอบอย่างนี้ จงไปออกเป็นกฎหมาย หรือพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กล่าวว่า "L'?tat, c'est moi" เรานี่แหละรัฐนิติราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์ทรงถือเอาราษฎรเป็นสำคัญเช่นนี้ ได้เป็นมรดกตกทอดกลายเป็นวัฒนธรรมประจำชาติ พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ได้ถือเป็นหลักการปกครองราษฎรโดยไม่ได้ทรงยึดมั่นและผูกขาดอยู่ในพระราชอำนาจเด็ดขาดที่พระมหากษัตริย์ทรงมีอยู่ กลับพยายามเตรียมการต่าง ๆ ให้ราษฎรได้มีส่วนในการใช้อำนาจอธิปไตยของตนเองมาตั้งแต่รัชกาลที่ 4 - 5 - 6 และ 7 แห่งราชวงศ์จักรี ต้องยอมรับว่า นิติราชประเพณีที่ถือเอาราษฎรเป็นสำคัญนี้ เป็นสิ่งที่มีอยู่เฉพาะในสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยประการที่สาม นิติราชประเพณีที่ถือเอาธรรมะเป็นเครื่องมือในการ ปกครองราษฎร ดังจะเห็นได้จากความมีใจกว้างขวางให้ราษฎรมีเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนา ความมีเมตตาแก่สรรพสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ และการให้อภัย การเอาชนะโดยธรรม การควบคุมตนเอง การเป็นที่พึ่งพิง การละอบายมุข การทำหน้าที่ทางสังคมด้วยความถูกต้องดีงามของแต่ละฝ่าย การตรวจสอบดูแลทุกข์สุขของราษฎรด้วยวัฒนธรรมนี้ พระมหากษัตริย์ของไทยทุกพระองค์จึงต้องทรงมีความรู้ ( ราชศาสตร์ - ธรรมศาสตร์ ศิลปวิทยาการต่าง ๆ ) ทรงเป็นคนดี ทรงอุทิศตนเพื่อผู้ใต้ ปกครองทุกหมู่เหล่าได้มีความสุข ทรงส่งเสริมธรรมะ คนดี สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ทรงสร้างความร่มเย็นเป็นสุขและทรงห่วงใยใกล้ชิดประชาชนประการที่สี่ นิติราชประเพณีในการรักษาไว้ซึ่งเอกราชความเป็นไท - และคนไทยที่มั่นคงในพระพุทธศาสนา ปรากฏมาแล้วจากการสูญเสียเอกราชอธิปไตยในสมัยกรุงศรีอยุธยา 2 ครั้ง ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชต้องพยายามกอบกู้เอกราชคืนมา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงทำศึกป้องกันประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ต้องยอมเสียดินแดนบางส่วนเพื่อรักษาไว้ซึ่งอธิปไตย ความเป็น เอกราชของชาติจากการคุกคามของจักรวรรดินิยม สมเด็จพระนารายณ์มหาราชผู้ทรงถูกบีบบังคับให้เข้ารีตนับถือคริสตศาสนาจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ทรงใช้ปรีชาญาณเอาตัวรอดด้วยพระราชดำรัสว่า"ขอบพระทัยพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสเป็นนักหนาที่มีความสนิทเสน่หาในข้าพเจ้า แต่การที่เปลี่ยนศาสนาที่เคยนับถือมา 2,229 ปีแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนอื่นขอให้บาทหลวงทำให้ราษฎรของข้าพเจ้าเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ให้หมดเสียก่อน แล้วข้าพเจ้าจะเข้าตามภายหลัง อีกประการหนึ่งเล่าทรงประหลาดพระทัยเป็นหนักหนาว่า เหตุใดพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสจึงก้าวก่ายอำนาจของพระเจ้า เพราะการที่มีศาสนาต่าง ๆ ในโลกนั้น มิใช่ความประสงค์ของพระเจ้าดอกหรือ จึงมิได้บันดาลให้มี เพียงศาสนาเดียวในเวลานี้ พระเจ้าคงปรารถนาให้ข้าพเจ้านับถือพระพุทธศาสนาไปก่อน เพราะฉะนั้น จะรอคอยความกรุณาของพระองค์บันดาลให้นับถือ คริสตศาสนาในวันใด ก็จะเปลี่ยนไปนับถือคริสตศาสนาเมื่อนั้น จึงขอฝากชะตากรรมของข้าพเจ้าและกรุงศรีอยุธยาไว้ให้อยู่ในความบันดาลของพระเจ้าด้วย ขอพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสสหายของข้าพเจ้า อย่าได้น้อยพระทัยเลย"ประการที่ห้า นิติราชประเพณีที่ปรากฏมาก็คือ พระมหากษัตริย์ทรงทำนุบำรุงประเทศชาติและประชาชน ยิ่งกว่าพระองค์เองและพระราชวงศ์ต้องเสด็จพระราชกรณียกิจการสงครามบ้าง ประพาสเยี่ยมเยียนราษฎรบ้าง เพื่อนำเอาความทุกข์ยากเดือดร้อนเข้ามาแก้ไข โดยเฉพาะพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันที่ทรงถือเอาราษฎรคือบุคคลที่สามารถเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิดกับพระองค์มากกว่าข้าราชการหรือบุคคลใด ๆ ประการที่หก นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ได้เกิดมีนิติราชประเพณีใหม่ขึ้นมาในสถาบันพระมหากษัตริย์ที่จะต้องเป็นกลางทางการเมือง ปลอดจากการเมือง ปราศจากฝักฝ่าย พรรคการเมืองใดขึ้นมาบริหารราชการแผ่นดินก็ต้องเป็นรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทั้งสิ้น แม้รัฐบาลจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ผลัดเปลี่ยนกันบริหารประเทศ ก็มิได้เกิดปัญหากับสถาบันพระมหากษัตริย์นิติราชประเพณี ทั้ง 6 ประการที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่าไม่มีนิติราชประเพณีใดขัดหรือแย้งกับแนวความคิดอุดมการณ์ในการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่กลับสนับสนุน ส่งเสริมวัฒนธรรมการปกครองแบบไทย ๆ เราที่จะต้องปรับการใช้ อำนาจ สิทธิ และปัจเจกนิยม ให้สอดคล้องกับ ธรรมะ ความเมตตา และความสัมพันธ์ที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน

วัฒนธรรมความคิดทางการปกครองของไทยปัจจุบันเริ่มมีอิทธิพลต่อการนำความคิดแบบตะวันตกในทฤษฎีเกี่ยวกับอำนาจเข้ามาใช้ จึงทำให้การปกครองของไทยมีปัญหา แม้จะแก้ระบบให้ดีอย่างใดต่อไปอีกก็จะเกิดปัญหาในทางปฏิบัติเสมอ ดังเช่น รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่กำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ดูแล้วดี แต่วันนี้สร้างปัญหาทำให้เกิด การเมืองรัฐสภาที่ผูกขาด ไม่สามารถตรวจสอบได้ สร้างความวิตกห่วงใยขึ้นในหมู่คนไทยว่าจะเกิดวิกฤติการณ์รัฐธรรมนูญขึ้นอีก ในที่สุดคนไทยก็คงต้องพึ่งพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้าอยู่หัวฯ ให้ทรงแก้ไขเยียวยาให้ เหมือนวิกฤติการณ์ทุกครั้งที่ผ่านมาลองนำนิติราชประเพณีทั้ง 6 ประการอันเป็นพระราชจริยาวัตรอันงดงามของพระมหากษัตริย์ไทยมาพิจารณาอย่างละเอียดถ่องแท้และลึกซึ้งแล้วก็ต้องยอมรับว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยเป็นศูนย์รวมของความคิด จิตใจ และการบริหาร ปกครองบ้านเมืองอย่างแท้จริง หาใช่รัฐธรรมนูญหรือสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา คณะ รัฐมนตรีหรือองค์กรอิสระต่าง ๆ แต่อย่างใด ความเป็นศูนย์รวมของความคิด จิตใจ การบริหารปกครองบ้านเมืองนี้เองทำให้เกิดมีพระราชอำนาจ และได้ทรงใช้พระราชอำนาจตามนิติราชประเพณีที่มิได้มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ขึ้น และที่ยังไม่มีผู้ใดรวบรวมไว้ให้เป็นหมวดหมู่เพื่อการศึกษาอย่างเป็นระบบ ผู้เขียนจึงพยายามประมวลรวบรวมไว้เป็นปฐมบท เพื่อจะมีผู้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมในโอกาสต่อ ๆ ไปพระราชอำนาจที่จะทรงแก้ไขวิกฤติการณ์ของประเทศวิกฤติการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศ ไม่อยู่ในความรับผิดชอบที่รัฐบาลจะเข้าไปแก้ไขเยียวยาได้ด้วยตนเอง เพราะเป็นเรื่องที่เกิดความขัดแย้งระหว่างมหาชนกับรัฐบาลในขณะต่าง ๆ ดังกรณี เหตุการณ์เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 และเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 มหาชนได้รวมตัวกันเดินขบวนขับไล่จอมพลถนอม กิตติขจร พลเอกประภาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร เกิดการเข่นฆ่าระหว่างคนไทยด้วยกัน กฎหมายไม่อาจใช้บังคับได้ พระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงใช้พระบารมี พระเมตตา พระปรีชาญาณ ตลอดจนอาศัยความจงรักภักดีของประชาชน เข้าแก้ไขสถานการณ์ให้สงบเรียบร้อยลงได้พระองค์พระราชทานพระราชดำรัสกับทุกฝ่าย ว่า

"…ขอให้ทุกฝ่ายทุกคนจงระงับเหตุแห่งความรุนแรงด้วยการตั้งสติยับยั้ง เพื่อให้ชาติบ้านเมืองคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว" ทรงตรัสกับฝ่ายรัฐบาล ว่า"…ขอให้ทางฝ่ายรัฐบาลอย่าได้ทำร้ายแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชนเป็นอันขาด ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐจะถูกยั่วโทสะอย่างไร และถึงแม้จะมีการทำร้ายตำรวจ ทหาร ก่อนด้วยมีด ไม้ หรือแม้แต่ระเบิดขวด ก็ขออย่าได้ทำร้ายตอบ…"เมื่อการปะทะกันรุนแรงขึ้น ประชาชนต่างกรูเข้าไปในพระตำหนักจิตรลดารโหฐานเพื่อพึ่งพระบารมี พระองค์ทรงมีพระบรมราชโองการให้ทหารมหาดเล็กรักษา พระองค์ทุกคนถอดกระสุนปืนทั้งหมด ได้ทรงแนะนำให้นายกรัฐมนตรีขณะนั้นกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่ง จนเหตุร้ายผ่านไป ได้ทรงแต่งตั้ง นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีและทรงแต่งตั้งสมัชชาแห่งชาติขึ้นเพื่อเลือกบุคคลมาทำหน้าที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติไปก่อน ด้วยเหตุผล"…โดยที่สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่เป็นที่ไว้วางใจและรากฐานการปกครองราชอาณาจักรก่อนที่จะประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ยังไม่มั่นคงพอที่จะวางพระราชหฤทัยได้ นอกจากนั้น ยังมีพระราชประสงค์ที่จะให้ประชาราษฎร์ได้เข้ามามีส่วนในการวางรากฐานการปกครอง เสียแต่การนั้น…"ในช่วงเวลาเกิดวิกฤติการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 ก็มีลักษณะคล้ายกับเหตุการณ์ตุลาคม 2516 มีการเดินขบวนขับไล่รัฐบาลของพลเอก สุจินดา คราประยูร จนเกิดการปะทะกันถึงขั้นสูญเสียชีวิต พระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเรียกทั้งพลเอก สุจินดา คราประยูร และพลตรี จำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าเพื่อทรงตักเตือนให้แก้ไขปัญหา ดังกระแสพระราช ดำรัส ว่า"…ปัญหาของวันนี้ไม่ใช่ปัญหาของการบัญญัติหรือแก้ไข รัฐธรรมนูญ แต่ปัญหาทุกวันนี้ คือความปลอดภัย และขวัญของประชาชน ซึ่งเดี๋ยวนี้ประชาชนทั่วไปทุกแห่ง ทุกหน มีความหวาดระแวงว่าจะเกิดอันตราย มีความหวาดระแวงว่าประเทศชาติจะล่มจม โดยที่จะแก้ไขลำบากถ้าหากว่าเราไม่ทำให้สถานการณ์อย่าง 3 วันที่ผ่านมานี้สิ้นสุดไปได้ ฉะนั้นก็ขอให้โดยเฉพาะสองท่าน คือพลเอกสุจินดา และพลตรีจำลอง ช่วยกันคิด คือหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากันเพราะว่าเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคน สองคน เป็นประเทศของทุกคน ต้องเข้าหากัน ไม่เผชิญหน้ากันเวลาคนเราเกิดความบ้าเลือด ปฏิบัติการรุนแรงต่อกัน มันลืมตัว ลงท้ายก็ไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่า จะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทางชนะ อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วก็ที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมติว่า กรุงเทพมหานครเสียหาย ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์อะไร ที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง ฉะนั้นจึงขอให้ทั้งสองท่านเข้ามา คือไม่เผชิญหน้า แต่ต้องหันหน้าเข้าหากัน และสองท่านนี้เท่ากับเป็นผู้แทนของฝ่ายต่างๆ คือ ไม่ใช่สองฝ่าย คือฝ่ายต่างๆ ที่เผชิญหน้ากันให้ช่วยกันแก้ปัญหาปัจจุบันนี้ คือความรุนแรงที่เกิดขึ้น แล้วก็เมื่อเยียวยาปัญหานี้ได้แล้ว จะมาพูดกัน ปรึกษากัน ว่าจะทำอย่างไรสำหรับให้ประเทศไทยได้มีการสร้างพัฒนาขึ้นมาได้ กลับมาคืนได้โดยดี อันนี้เป็นเหตุผลที่เรียกท่านทั้งสองมา และก็เชื่อว่าทั้งสองท่านก็เข้าใจว่าจะเป็นผู้ที่ได้สร้างประเทศจากสิ่งปรักหักพัง แล้วก็จะได้ผลในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่คนไทยปะทะกันเองถึงขั้นต้องสูญเสียเลือดเนื้อทั้ง 2 ครั้งสงบลงได้เพราะพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์ที่ได้สั่งสมความเชื่อมั่น ความเป็นประมุขที่แท้จริง ตามนิติราชประเพณี เมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้ กำลังจะเกิดหรือมีเค้าลางว่าจะเกิด ก็ทำให้คนไทยทุกคนยังคงคาดหวังว่าพระมหากษัตริย์จะทรงปกป้องคุ้มกันมิให้เกิดกับประชาชนและประเทศชาติได้พระราชอำนาจที่จะทรงให้คำปรึกษาแนะนำพระราชอำนาจนี้แยกได้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับรัฐบาล กับ ระดับองค์กรและประชาชนทั่ว ๆ ไป ซึ่งไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับใด ๆ กำหนดไว้ แต่โดยนิติราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติมาโดยตลอดทำให้เกิดพระราชอำนาจนี้ขึ้น และทรงใช้อำนาจนี้โดยชอบธรรม ก. ระดับรัฐบาลความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลทุกรัฐบาลกับพระมหากษัตริย์เป็นไปด้วยความราบรื่นตลอดมา ทุกรัฐบาลต่างสำนึกว่าเป็น "รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ" ใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี จึงมีเรื่องต้องถวายบังคมทูลถวายรายงานและขอรับพระราชทานคำปรึกษาแนะนำต่าง ๆ โดยการขอเข้าเฝ้าถวายรายงานและขอพระราชทานคำปรึกษาแนะนำ ซึ่งสามารถกระทำได้ตลอดเวลา บางครั้งก็อาจจะทรงมีพระราชดำริให้เข้าเฝ้าหรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราชเลขาธิการเชิญพระราชกระแสไปแจ้งนายกรัฐมนตรีทราบ บางครั้งก็ทรงมีกระแสรับสั่งผ่านสื่อสารมวลชนในพระราชวโรกาสต่าง ๆ เช่น การแก้ไขปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดภาคใต้ที่ทรงให้รัฐบาลพยายามใช้หลัก เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา หรือแม้แต่การเข้าเฝ้าอย่างไม่เป็นทางการในงาน ราชพิธี การตามเสด็จพระราชดำเนินไปต่างจังหวัดก็เป็นโอกาสที่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีต่าง ๆ เข้าเฝ้าถวายรายงานและพระราชทานคำปรึกษาแนะนำตัวอย่างเช่น ในวาระทรงครองราชย์ครบ 25 ปี ใน พ.ศ. 2514 รัฐบาลจะขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์แด่พระองค์ท่าน ก็ทรงพระราชทานคำแนะนำให้สร้างถนนดีกว่า รัฐบาลก็ได้สร้างถนนรัชดาภิเษกเป็นถนนวงแหวนขึ้น เมื่อมีเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายต่างชาติยึดสถานทูตอิสราเอล เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2514 พระองค์ได้พระราชทานคำแนะนำต่าง ๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้รับใส่เกล้าฯ มาปฏิบัติ สามารถเจรจากับผู้ก่อการร้ายได้จนยอมปล่อยตัวประกัน ฯลฯข. ระดับองค์กรและประชาชนทั่ว ๆ ไปพระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจพระราชทานคำแนะนำในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งพระบรมราโชวาทให้แก่บุคคล คณะบุคคล ในวโรกาสต่าง ๆ อยู่เสมอ เช่น ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ทรงพระราชทานพระราชดำรัสถึงเรื่องสำคัญ ๆ ที่เป็นปัญหาของประเทศชาติ ทรงได้ให้ข้อพิจารณาแนวทางปฏิบัติที่เป็นคุณอเนกอนันต์ เช่น เรื่อง รู้รักสามัคคี ขาดทุนกำไร เศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯ พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน ในวาระต่าง ๆ ซึ่งองค์กรและบุคลากรเหล่านั้นต่างมีความปลื้มปีติยินดีที่ได้รับพระราชทานพระราชดำรัส พระบรมราโชวาทข้อที่พึงสังเกตก็คือ องค์กร บุคคล กลุ่มบุคคล ข้าราชการต่าง ๆ จะนำกระแสพระราชดำรัส พระบรมราโชวาท คำแนะนำ ไปปฏิบัติมากน้อยเพียงใด ยังไม่มีการประเมินตรวจสอบ แต่ก็เชื่อว่ามีผู้นำไปปฏิบัติอยู่บ้างตามอัธยาศัย มิได้มีการบังคับ เป็นไปตามความสมัครใจพระราชอำนาจที่จะทรงตักเตือนในฐานะที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติทางรัฐสภา อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี อำนาจตุลาการทางศาล หน่วยงานเหล่านี้พร้อมสถาบันต่าง ๆ ที่มีตามรัฐธรรมนูญ จะต้องปฏิบัติงานแทนพระองค์ พระมหากษัตริย์จึงทรงมีพระราชอำนาจที่จะให้คำตักเตือนในวโรกาสต่าง ๆ เช่น พระราชดำรัสในพิธีเปิดประชุมรัฐสภา ในสมัยประชุมแรกหลังการเลือกตั้ง จะทรงพระราชทานโอวาทตักเตือนในการปฏิบัติหน้าที่ หรือ พระราชดำรัสต่อคณะรัฐมนตรีในวันถวายสัตย์ปฏิญาณ รวมทั้งเมื่อผู้พิพากษาและตุลาการศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลทหาร ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ จะปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ปราศจากอคติทั้งปวง ฯลฯ พระองค์ก็จะพระราชทานพระบรมราโชวาทเป็นการตักเตือนให้ปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงความซื่อสัตย์สุจริตและการปฏิบัติตามคำกล่าวปฏิญาณอย่างเคร่งครัดพระราชอำนาจที่จะทรงพัฒนาและสนับสนุนตามนิติราชประเพณีที่ถือว่าพระมหากษัตริย์จะทรงปฏิบัติต่อราษฎรประหนึ่งบิดาต่อบุตร ที่จะทรงบำรุงประเทศชาติและประชาชน จึงมีพระราชดำริในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ด้วยการจัดตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาตามพระราชดำริต่าง ๆ บ้าง พระราชทานพระราชดำริให้รัฐบาลก่อสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่บ้าง โครงการทฤษฎีใหม่และเศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯ ซึ่งจะนำกล่าวในรายละเอียดในตอนที่ว่าด้วย พระบรมเดชานุภาพแห่งรัชกาลที่ 9พระราชอำนาจที่จะทรงปลดเปลื้องทุกข์ให้ราษฎรการถวายฎีการ้องทุกข์โดยตรงต่อพระมหากษัตริย์เป็นวัฒนธรรมและความเชื่อของคนไทยที่มีมาแต่สมัยสุโขทัย ผู้มีความทุกข์เดือดร้อนสามารถสั่นกระดิ่งร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์ได้ ต่อมาในรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ใช้วิธีแขวนกลองไว้ที่หน้าประตูพระบรมมหาราชวัง และทรงออกประกาศระเบียบในการร้องทุกข์โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาได้โดยตรงต่อพระองค์ ด้วยความเชื่อและธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้ได้เป็นมรดกตกทอดมาถึงปัจจุบัน พระราชอำนาจที่จะทรงปลดเปลื้องทุกข์ให้แก่ราษฎร เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษได้นำเสนอไว้แล้ว จึงจะไม่นำมากล่าวซ้ำอีก แต่จะนำเสนอพระราชอำนาจที่จะทรงปลดเปลื้องทุกข์ทั่ว ๆ ไป ดังนี้ 1. ทุกข์อันเกิดจากการกระทำผิดอื่นที่มิใช่ในคดีอาญา เช่น ผิดวินัย ผิดระเบียบปฏิบัติ ก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยงานเจ้าของอำนาจที่ได้ลงโทษ ผู้ถวายฎีกาพิจารณาทบทวนให้ความเป็นธรรม2. ทุกข์อันเกิดจากการกระทำของส่วนราชการ ก็จะทรงส่งเรื่องราวดังกล่าวไปยังส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบและแก้ไขปัญหา3. ทุกข์ที่ขอพระราชทานความเป็นธรรม จะจัดส่งให้องค์กรที่มีอำนาจดำเนินการ หากเป็นการขอพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์จากพระองค์โดยตรง ก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตามความเหมาะสม หากเป็นปัญหาส่วนรวมก็จะทรงใช้วิธีการอื่น ๆ เช่น ขอพระราชทานน้ำ ก็จะทรงพระมหากรุณาธิคุณจัดสรรน้ำให้ด้วยการพัฒนาตามโครงการต่าง ๆ หรือทรงมีโครงการพระราชดำริขึ้นสิ่งที่จะพระราชทานความช่วยเหลือบางเรื่องก็ไม่เกี่ยวกับพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เอง แต่ก็เป็นไปโดยพระบรมเดชานุเคราะห์ที่ต้องผ่านหน่วยงานต่าง ๆ ของราชการ ส่วนราชการนั้น ๆ ต้องน้อมรับพระราชอำนาจดำเนินการแก้ไขความทุกข์ความเดือดร้อนเหล่านั้นสรุปพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามนิติราชประเพณีที่มีมาแต่โบราณนี้ แม้จะไม่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ก็ด้วยพระบรมเดชานุภาพ ความศรัทธา ความเลื่อมใสในองค์พระมหากษัตริย์ที่มีพระราชจริยาวัตร ให้ความคุ้มครองปกป้องดูแลประเทศชาติและประชาชนมาโดยตลอด เมื่อทรงใช้พระราชอำนาจในการแก้ไขวิกฤติการณ์ของประเทศ จึงเกิดสัมฤทธิผลอย่างน่ามหัศจรรย์ยิ่ง ด้วยพระราชประสบการณ์ของพระมหากษัตริย์ที่มีต่อการบริหารราชการแผ่นดินของพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน ทำให้พระราชอำนาจที่จะทรงให้คำปรึกษาแนะนำก็ดี จะทรงตักเตือนรัฐบาล รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ และประชาชนก็ดี รวมทั้งพระราชอำนาจที่จะทรงพัฒนาและสนับสนุน พระราชอำนาจที่จะทรงปลดเปลื้องความทุกข์ให้แก่ราษฎร เป็นไปด้วยคุณธรรม ด้วยความเมตตา และด้วยสัมพันธภาพที่ดียิ่งระหว่าง พระมหากษัตริย์ - รัฐบาล - ประชาชน มิได้เป็นไปในทางใช้ อำนาจ - สิทธิ ความเป็นปัจเจกชนนิยมแบบตะวันตกเสียทั้งหมดมรดกทางการปกครองบ้านเมืองและวัฒนธรรมที่ดีงามเช่นนี้ ควรที่คนไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่า รัฐบาล รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ จะต้องปรับปรุงท่าที วิธีการบริหารจัดการในการรับสนองพระบรมราชโองการต่าง ๆ พระราชดำริ และพระบรมราโชวาทเพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชนต่อไปอ้างอิงจาก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98  

 

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 304 คน กำลังออนไลน์