กลไกการถ่ายเทความร้อน
เราแบ่งกลไกการถ่ายเทความร้อนออกเป็น 3 ชนิดคือ การนำความร้อน การพาความร้อน และการแผ่รังสี แต่ทว่าในความเป็นจริง การถ่ายเทความร้อนทั้งสามชนิดอาจเกิดขึ้นพร้อมๆ กันอย่างแยกไม่ออก
การนำความร้อน (Conduction) เป็นการถ่ายเทความร้อนจากโมเลกุลไปสู่อีกโมเลกุลหนึ่งซึ่งอยู่ติดกันไปเรื่อยๆ จากอุณหภูมิสูงไปสู่อุณหภูมิต่ำ ยกตัวอย่างเช่น หากเราจับทัพพีในหม้อหุงข้าว ความร้อนจะเคลื่อนที่ผ่านทัพพีมายังมือของเรา ทำให้เรารู้สึกร้อน โลหะเป็นตัวนำความร้อนที่ดี อโลหะและอากาศเป็นตัวนำความร้อนที่เลว
การพาความร้อน (Convection) เป็นการถ่ายเทความร้อนด้วยการเคลื่อนที่ของอะตอมและโมเลกุลของสสารซึ่งมีสถานะเป็นของเหลวและก๊าซ ส่วนของแข็งนั้นจะมีการถ่ายเทความร้อนด้วยการนำความร้อน และการแผ่รังสีเท่านั้น การพาความร้อนจึงมากมักเกิดขึ้นในบรรยากาศ และมหาสมุทร รวมทั้งภายในโลก และดวงอาทิตย์
การแผ่รังสี (Radiation) เป็นการถ่ายเทความร้อนออกรอบตัวทุกทิศทุกทาง โดยมิต้องอาศัยตัวกลางในการส่งถ่ายพลังงาน ดังเช่น การนำความร้อน และการพาความร้อน การแผ่รังสีสามารถถ่ายเทความร้อนผ่านอวกาศได้ วัตถุทุกชนิดที่มีอุณหภูมิสูงกว่า -273?C หรือ 0 K (เคลวิน) ย่อมมีการแผ่รังสี วัตถุที่มีอุณหภูมิสูงแผ่รังสีคลื่นสั้น วัตถุที่มีอุณหภูมิต่ำแผ่รังสีคลื่นยาว
เครื่องยนต์เสตอร์ลิง เครื่องยนต์เสตอร์ลิง ประดิษฐ์โดย โรเบิร์ต เสตอร์ลิง (Robert Stirling)(1790-1878)ในปี 1816 และได้รับสิทธิบัตร ในปี 1817
เครื่องยนต์เสตอร์ลิงทำงานโดยอาศัยหลักการ อากาศร้อนขยายตัว อากาศเย็นหดตัว ดังนั้นถ้าเราทำให้อากาศภายในกระบอกสูบร้อนแล้วเย็น สลับกัน ลูกสูบก็จะเคลื่อนที่ไปมา สามารถแปลงเป็นพลังงานกลได้
เครื่องยนต์เสตอร์ลิงมี 2 แบบ คือ แบบมีสองลูกสูบ กับ แบบสูบเดียวและใช้ฉนวนกั้นอากาศ(displacer piston)แทนลูกสูบอันที่สอง แบบที่แสดงข้างบนเป็นแบบลูกสูบเดียว
ส่วนต่างๆของเครื่องยนต์เสตอร์ลิง