ประวัติผู้ประพันธ์เพลง
ประวัติผู้ประพันธ์เพลง
1. อาร์โนลด์ โชนเบิร์ก (Arnold Schoenberg,1874-1951)
เกิดที่กรุงเวียนนาประเทศออสเตรีย เมื่อวันที่ 13 กันยายน 1874
ซึ่งเป็นผู้ประพันธ์เพลงไว้หลายรูปแบบตามแนวความคิดในช่วง
ปลายสมัยโรแมนติก โดยเริ่มต้นในฐานะผู้ที่เดินตามรอยของ
วากเนอร์ (Wagner) สเตราส์ (R.Strauss) มาห์เลอร์ (Mahler)
และบราห์มส์ (Brahms) โชนเบิร์กได้ศึกษาดนตรีกับครูอย่างจริง
จังเพียงเครื่องไวโอลินเท่านั้น ส่วนเครื่องดนตรีชนิดอื่น ๆ เขาใช้
เวลาว่างในการฝึกหัดเล่นเอาเองทั้งนั้น ไม่ได้เรียนจากใครเลย
แต่เขาก็สามารถเล่นได้ดีทุกอย่างสไตล์การแต่งเพลงของโชนเบิร์กเป็น
เอกลักษณ์เฉพาะตัวโดยเขาได้ริเริ่มคิดการแต่งเพลงโดยใช้แนวคิดใหม่คือใช้ระบบทเว็ลฟ-โทน
(Twelve Tone System) คือการนำเสียงสูง – ต่ำทั้งหมด 12 เสียง
มาเรียงกันเป็นลำดับที่แน่นอนโดยหลีกเลี่ยงไม่ให้มีเสียงหลัก (Tonic) ซึ่งหลักสำคัญคือ
ทฤษฏีที่ว่าด้วยเสรีภาพของเสียงและความสำคัญเท่าเทียมกันของเสียงทุกเสียง
ในดนตรี (The Freedom of Musical Sound : The Atonality) อันเป็นจุดเริ่มต้นและ
เป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่งของดนตรี “เซียเรียล มิวสิก” (Serial Music) ซึ่งพัฒนาความคิดรวบยอด
ของมนุษย์ในปรัชญาดนตรีแห่งศตวรรษที่ 20 ให้ก้าวไกลควบคู่ไปกับวิทยาการสมัยใหม่
โชนเบิร์กใช้ “ระบบทเว็ลฟ - โทน” ในผลงาน หมายเลขสุดท้ายของ Five Pieces for Piano ในปี
1923 และในท่อนที่ 4 ของ Serenade ในปีเดียวกัน ผลงานการประพันธ์ชิ้นแรกของโชนเบิร์กที่สร้างขึ้นด้วย
“ระบบทเว็ลฟ - โทน” โดยตลอดคือ Suite for Piano ในปี 1924 ระบบ “ระบบทเว็ลฟโทน” กลายเป็นเครื่องมือ
การทำงานของโชนเบิร์กที่เขาใช้ด้วยความชำนาญอย่างน่าพิศวงและไม่ซ้ำซากจำเจ นอกจากประสบความ
สำเร็จในด้านการต้อนรับของผู้ฟัง แล้วยังก่อให้เกิดประโยชน์การนำไปสู่แนวคิดความเข้าใจเรื่องดนตรีซึ่งแตกต่างไปจากเดิมที่ยึดถือ
กันมากว่า 300 ปี นอกจากผลงานด้านดนตรีแล้วโชนเบิร์กยังมีผลงานเขียนด้วย ได้แก่ “ทฤษฎีแห่งเสียง
ประสาน” (Harmonielehre) ในปี 1911 ซึ่งได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ (Theory of Harmony)
ในปี 1947 และยังเป็นอาจารย์สอนการประพันธ์ดนตรีในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยหลาย ๆ แห่ง
ถือว่ามีคุณค่าต่อวงการดนตรีต่อ ๆ มา ในบั้นปลายชีวิตของโชนเบิร์กเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมริกันและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย
จนถึงแก่กรรมในปี 1951 ขณะอายุได้ 77 ปี (ไพบูลย์ กิจสวัสดิ์, 2535 : 260)
2. เบลา บาร์ตอค (Bela Bartok, 1881-1945)
เกิดวันที่ 25 มีนาคม 1881 ตำบล Nagyszentmiklos ประเทศฮังการี
บิดาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนกสิกรรมประจำตำบล
มารดา เป็นครู ทั้งพ่อและแม่มีความสามารถทางด้านดนตรีแต่
บาร์ตอคไม่ มีโอกาสที่จะได้เรียนจากพ่อเนื่องจากพ่อถึงแก่กรรม
เมื่อบาร์ตอคอายุได้ 8 ขวบเพลงที่บาร์ตอคประพันธ์ขึ้นมีแนวการประพันธ์เพลง
สมัยใหม่โดยใช้เพลงพื้นเมืองของฮังการีและรูมาเนียเป็นวัตถุดิบเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งท้ายที่สุดทำให้เขามีกิตติศัพท์เลื่องลือไปทั่วนานาชาติว่าเป็นผู้รอบรู้ใน
ดนตรีพื้นเมืองอย่างดียิ่งบาร์ตอคเป็นอีกผู้หนึ่งที่มีหลักการประพันธ์เพลงเป็น
เอกลักษณ์ของตนเองซึ่งทำให้มีชื่อเสียงในฐานะผู้ประพันธ์เพลง ชั้นแนวหน้าผู้หนึ่งในสมัยศตวรรษที่ 20
ผลงานของบาร์ตอคที่น่าสนใจมีมากมายได้แก่ โอเปร่า
Duke Bluebeard’s Castle, บัลเลท์ The Miraculous Mandarin
เปียโนคอนแชร์โต 3 บท ไวโอลินคอนแชร์โต 2 บท
สตริงควอเตท 6 บทและดนตรีสำหรับเปียโนอีกมากมาย โดยเฉพาะชุด
Mikrokosmos บทเพลงสำหรับฝึกเทคนิคการเล่นเปียโนกว่า150 บท
ชีวิตในบั้นปลายของบาร์ตอคมีลักษณะเช่นเดียวกับ
โมสาร์ท และ ชูเบิร์ท กล่าวคือ มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น ยาก
จน ในปี 1944 บาร์ตอคต้องเผชิญกับโรคร้ายคือมะเร็งโลหิตแพทย์
ยับยั้งได้ก็แต่เพียงให้ยาและถ่ายเลือด จนกระทั่งเดือนกันยายน ปี 1945
ขณะที่กำลังประพันธ์เพลงวิโอลาคอนแชร์โตให้ วิลเลียม พริมโรส
อาการของโรครุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงขั้นต้องส่ง
โรงพยาบาลจนในที่สุดก็สิ้นใจเมื่อเวลาเกือบเที่ยงวันของวันที่
26 กันยายน 1945 หลังจากการสิ้นชีวิตของบาร์ตอคไม่นานนักชื่อเสียง
แหล่งอ้างอิง:
http://www.lks.ac.th/band/page14_1.htm