อาเซม
การประชุมเอเชีย-ยุโรป หรืออาเซม
การประชุมเอเชีย-ยุโรป หรือที่เรียกว่า อาเซม (Asia-Europe Meeting : ASEM) ซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 1 -2 มีนาคม 2539 เป็นการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ซึ่งเป็นก้าวแรกที่จะเชื่อโยงภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และยุโรป
อาเซมเริ่มต้นจากข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี Goh Chok Tong ของสิงคโปร์ ที่ต้องการรักษาความสมดุลของภูมิภาค โดยให้มีการเชื่อมโยงระหว่าง แอตแลนติกกับแปซิฟิค เพราะในขณะนั้น มีความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคเพียง 2 กระแส คือ ความร่วมมือในกรอบเอเปค และความสัมพันธ์ ใกล้ชิดระหว่างอเมริกาและยุโรป ที่เรียกว่า ทรานส์แอตแลนติก ในขณะที่การเชื่อมโยงระหว่างเอเชียกับยุโรปกลับหายไป ในระหว่างการประชุมสุดยอดเอเปค ครั้งที่ 2 ที่เมืองโบกอร์ ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2537ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทย (นายชวน หลีกภัย) ได้พบปะหารือกับนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ และทั้งสองเห็นพ้องกันว่าควรมีการประชุมระหว่างผู้นำของเอเชียและยุโรป จากนั้นสิงคโปร์ ก็ได้ทาบทามสหภาพยุโรปโดยผ่านฝรั่งเศส ซึ่งต่อมาที่ประชุมคณะมนตรีก็ได้เห็นพ้องกับข้อเสนอนี้ เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2538 โดยสิงคโปร์ได้เสนอ ให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดขึ้น
องค์ประกอบของการประชุมเอเชีย-ยุโรป
การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน-สหภาพยุโรป เมื่อวันที่ 3 - 4 พฤษภาคม 2538 ได้หารือเกี่ยวกับการเตรียมการประชุมเอเชีย-ยุโรป และได้ตกลงกันว่า ให้อาเซียนเป็นผู้เสนอรายชื่อผู้เข้าร่วมประชุมจากเอเชีย และสหภาพยุโรปเสนอฝ่ายยุโรป ซึ่งต่อมาทั้งสองฝ่ายเห็นพ้อง ให้ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย
ฝ่ายเอเชีย 10 ประเทศ ได้แก่ 7 ประเทศในอาเซียน คือ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม กับจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
ฝ่ายยุโรป 15 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรีย เบลเยียม เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ไอร์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบอร์ก เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส สเปน สวีเดน และสหราชอาณาจักร รวมทั้งผู้แทนสหภาพยุโรป
การประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ( Asia-Europe Meeting : ASEM )
ประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป หรืออาเซม (ASEM) ครั้งที่ 1 ในวันที่ 1-2 มีนาคม 2539 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ นั้น เป็นการเริ่มต้นกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างเอเชียและสหภาพยุโรป ซึ่งนำไปสู่การดำเนินกิจกรรมร่วมกันต่อไปในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วยอาเชีย 10 ประเทศ สหภาพยุโรป 15 ประเทศ และคณะกรรมาธิการยุโรป
การประชุมผู้นำอาเซมจะมีขึ้นทุกๆ 2 ปี หลังจากที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งแรกไปแล้ว การประชุมอาเซม ครั้งที่ 2 (ASEM II) มีขึ้นเมื่อวันที่ 3-4 เมษายน 2541 ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร และการประชุมอาเซม ครั้งที่ 3 (ASEM III) มีขึ้นในวันที่ 20 - 21 ตุลาคม 2543 ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี
ความร่วมมืออาเซมทางเศรษฐกิจ
ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของขบวนการอาเซม มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยได้มีการหารือเรื่องการค้าและการลงทุน เรื่องที่เกี่ยวกับ องค์การการค้าโลก ในการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้ให้คำรับรองแผนปฏิบัติการส่งเสริมการลงทุน (Investment Promotion Action Plan : IPAP) ครอบคลุมด้านการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งด้านนโยบายและกฎระเบียบทางการลงทุน แผนปฏิบัติการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation Action Plan : TFAP) เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิกอาเซมและเพิ่มโอกาสทางการค้าด้วย ีการประชุมระดับ รัฐมนตรีจะมีขึ้นทุกๆ 2 ปี นอกจากนี้ ยังมีการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการค้าและการลงทุน (Senior Officials Meeting on Trade and Investment : SOMTI) เป็นประจำ
ประโยชน์ต่อประเทศไทยทางเศรษฐกิจ
ขบวนการอาเซมเป็นความร่วมมือระหว่างเอเซียและยุโรป ซึ่งครอบคลุมในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจและการเงิน ตลอดจนกิจกรรมด้านอื่นๆ แม้อาเซม จะเพิ่งเริ่มต้น แต่ก็มีกิจกรรมที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องจำนวนมาก ทั้งในภาครัฐบาลและเอกชน ในความร่วมมือด้านเศรษฐกิจสามารถใช้เวทีนี้ สำหรับการหารือในเรื่องต่างๆ เพื่อให้ประเทศสมาชิกมีความเข้าใจกันมากขึ้น และเกิดทัศนที่ดีต่อกัน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการขยายการค้า และการลงทุนระหว่างสองภูมิภาคในระยะยาว
การดำเนินการตามแผน TFAP เพื่อให้การค้าระหว่างประเทศสมาชิกเอเชีย-ยุโรปเป็นไปได้สะดวกขึ้น จะเป็นประโยชน์ต่อการค้าทั้งสองภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะวิกฤติการทางการเงินของเอเชีย ประเทศสมาชิกในเอเชียหลายประเทศมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งขยายการส่งออก การเร่งให้มีดำเนินการตามแผน TFAP จะเป็นหนทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาในเรื่องการลงทุนนั้น การดำเนินการตามแผน IPAP อย่างเป็นรูปธรรมจะเป็นประโยชน์ต่อการขยายการลงทุนของสองภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ภูมิภาคเอเชียต้องการให้มีการขยายการลงทุนจากยุโรปมากขึ้น จึงควรผลักดันให้มีการดำเนินการตามแผน IPAP โดยเร็ว