เรื่อง องค์การระหว่างประเทศ
-
รายงานวิชา ภูมิศาสตร์
-
-
เรื่อง (องค์การระหว่างประเทศที่ไทยเป็นสมาชิก)
-
-
-
จัดทำโดย
-
-
1.นาย วรปรัชญ์ ตั้งไพศาลกิจ ม.5/1 เลขที่ 3
-
2.นาย ธีระพงษ์ คำมุงคุล ม.5/1 เลขที่ 11
-
3 นางสาว ปนิดา สอนลิลา ม.5/1 เลขที่ 18
-
4.นางสาว มลธิสา ชาญประเสริฐ ม5/1 เลขที่ 23
-
5.นางสาว ปภัสนันท์ อาชญาทา ม5/1 เลขที่ 22
-
6.นางสาว มัชฌิมา โพธาราม ม5/1 เลขที่ 24
-
-
เสนอ
-
อาจารย์ วัชรี กมลเสรีรัตน์
-
-
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ภูมิศาสตร์
-
รหัส ส.32101 ปีการศึกษา 2553
-
โรงเรียน ศีลาจารพิพัฒน์
-
คำนำ
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ส. 32101 ภูมิศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยมีจุดประสงค์ เพื่อการศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่ององกรค์ต่างๆระหว่างประเทศ ซึ่งรายงานนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้จากสิ่งต่างที่เกี่ยวกับองค์กรระหว่างประเทศที่มีบทบาทกับประเทศไทย ผู้จัดทำได้เลือก หัวข้อนี้ในการทำรายงาน เนื่องมาจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจ รวมถึงความเป็นมาขององค์กรต่างๆ ส่วนหนึ่งมาจากอาจารย์สั่งด้วย ผู้จัดทำจะต้องขอขอบคุณ อ.วัชรี กมลเสรีรัตน์ ผู้ให้ความรู้ และแนวทางการศึกษา เพื่อน ๆ ทุกคนที่ให้ ความช่วยเหลือมาโดยตลอด ผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้ และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน
จัดทำโดย
สมาชิกกลุ่มเวรวันพุธทุกๆท่าน ^^
สารบัญ
คำนำ หน้า
สารบัญ 2
ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับองค์การสหประชาชาติ
และองค์กรที่มีบทบาทในไทย 3-25
แหล่งอ้างอิงค์ 26
* องค์การสหประชาชาติ (UN)ความเป็นมา องค์การสหประชาชาติ (The United Nations Organization) ถือกำเนิดจากความคิดของรัฐบุรุษของชาติมหาอำนาจตะวันตก 2 ท่าน คือ แฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์ (Franklin D. Roosevelt) ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา และวินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill) นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกของสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939-1945) เพื่อรักษาสันติภาพของโลก ลำดับการประชุมจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ ผู้นำของชาติมหาอำนาจตะวันตกได้ประชุม เพื่อจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศรวมทั้งหมด 5 ครั้ง ดังนี้
*
* 1. การประชุมบนเรือออกุสตา (Augusta) ในมหาสมุทรแอตแลนติก เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1941
* 2. การประชุมที่กรุงมอสโก ในปี ค.ศ. 1943
* 3. การประชุมที่คฤหาสน์ดัมบาร์ตันโอคส์ (Dumbarton Oaks) กรุงวอชิงตัน ค.ศ. 1944
* 4. การประชุมที่เมืองยัลตา (Yalta) แหลมไครเมีย สหภาพโซเวียต เมื่อ ค.ศ. 1945
* 5. การประชุมที่ซานฟานซิลโก สหรัฐอเมริกา ค.ศ. 1945 ประเทศสมาชิกริเริ่มก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ 51 ประเทศ ได้ร่วมลงนามรับรองกฎบัตรเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 1945 จึงถือว่าเป็นวันกำเนินขององค์การสหประชาชาติ โครงสร้างขององค์การสหประชาชาติ สำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ตั้งอยู่ที่กรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา มีองค์กรบริหาร 6 องค์กร ดังนี้
* 1. สมัชชา (Genneral Assembly) คือ ที่ประชุมใหญ่ของผู้แทนประเทศสมาชิกทุกประเทศ มีสิทธิ์ออกเสียงได้ประเทศละ 1 เสียง
* 2. คณะมนตรีความมั่นคง (Security Council) ประกอบด้วยสมาชิก 15 ประเทศ มีสมาชิกถาวร 5 ชาติ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน และสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งอีก 10 ประเทศ และอยู่ในตำแหน่งคราวละ 2 ปี หน้าที่ของคณะมนตรีความมั่นคง คือ การระงับกรณีพิพาทระหว่างประเทศ และอาจใช้กำลังทหารเข้าระงับกรณีพิพาทได้
* 3. คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม (Economic and Social Council) มีจำนวนสมาชิก 54 ประเทศ อยู่ในตำแหน่งคราวละ 3 ปี มีหน้าที่ประสานงาน เพื่อให้เกิดความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และมนุษยธรรมระหว่างประเทศสมาชิก
* 4. คณะมนตรีภาวะทรัสตี (Trusteeship Council) ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและดูแลการบริหารงานดินแดนที่อยู่ในภาวะทรัสตี หมายถึง ดินแดนที่ยังปกครองตนเองไม่ได้
* 5. ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (The International Court of Justice) ตั้งอยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีพิพาททางกฎหมายระหว่างประเทศ และให้คำแนะนำทางกฎหมายแก่สมัชชาใหญ่ คณะมนตรีความมั่นคง และองค์กรอื่นๆ ของสหประชาชาติ ศาลโลก ประกอบด้วยผู้พิพากษา 15 ท่าน โดยได้รับเลือกจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่ร่วมกับคณะมนตรีความมั่นคง อยู่ในตำแหน่งวาระละ 9 ปี
* 6. สำนักงานเลขาธิการ (The Secretariat) มีเลขาธิการ เป็นผู้บริหารงานสำนักงาน โดยได้รับแต่งตั้งจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่ อยู่ในตำแหน่งวาระละ 5 ปี เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ มีหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการด้านบริหารและธุรการขององค์กรต่างๆ ใน UN และมีบทบาทโดยตรง ต่อการแก้ไขปัญหาการเมืองและปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสันติภาพของโลก เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ
*
* 1. ทริกเว ลี (Trygve Lie) ชาวนอร์เวย์ ค.ศ. 1946 - 1953
* 2. ดัก ฮัมมาโชลต์ (Dag Hammarsjold) ชาวสวีเดน ค.ศ. 1953 - 1961
* 3. อูถั่น (U-Tan) ชาวพม่า ค.ศ. 1961 - 1971
* 4. เคิร์ต วัลด์ไฮม์ (Kurt Waldheim) ชาวออสเตรีย ค.ศ. 1972 - 1981
* 5. ฮาเวียร์ เปเรซ เดอ เควยาร์ (Javier Perez de Cuellar) ชาวเปรู ค.ศ.1982 - 1991
* 6. บูทรอส บูทรอส กาลี (Butros Butros Gali) ชาวอียิปต์ ค.ศ.1992 - 1996
* 7. โคฟี อันนัน (Kofi Annan) ชาวกานา (Ghana) ค.ศ. 1997 - ปัจจุบัน จำนวนประเทศสมาชิกองค์การ UN ในปัจจุบัน ในปัจจุบัน ประเทศสมาชิก UN มีจำนวนทั้งสิ้น 189 ประเทศ นับถึงวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) ประเทศสมาชิกล่าสุด คือ สาธารณตูวาลู (Tuvalu) เป็นดินแดนหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกองค์การค้าโลก (WTO)ประวัติองค์การค้าโลกองค์การค้าโลก (World Trade Organization : WTO) เกิดขึ้นจากผู้แทนของประเทศสมาชิก แกตต์ หรือองค์การความตกลงทั่วไปว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีศุลกากรและการค้า (General Agreement on Tariff and Trade : GATT) 125 ประเทศ ได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาจัดตั้งองค์การค้าโลก ที่เมืองมาร์ราเกซ ประเทศโมร็อกโก เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2537 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเจรจารอบอุรุกวัยของแกตต์ ซึ่งดำเนินมาเป็นเวลาถึง 7 ปี (พ.ศ.2529 - 2536)
*
* ประเทศไทยถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางของหน่วยงานสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ โดย เฉพาะกรุงเทพมหานครได้เป็นที่ตั้งขององค์การในระดับภูมิภาคและสำนักงานที่ สำคัญ ๆ ของสหประชาชาติหลายองค์การ ซึ่งเป็นองค์การหลักในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เช่น คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) สำนักงานส่วนภูมิภาคของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ และองค์การอนามัยโลก เป็นต้น การ ที่ประเทศไทยได้เป็นที่ตั้งของหน่วยงานสหประชาชาติหลายหน่วยงานเช่นนี้ ได้เปิดโอกาสให้ความร่วมมือระหว่างไทยกับสหประชาชาติในด้านต่าง ๆ ดำเนินไปอย่างใกล้ชิด ซึ่งได้ให้ประโยชน์โดยตรงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทย โดยเฉพาะต่อประชาชนในภูมิภาคซึ่งยังมีฐานะยากจนและขาดแคลนในด้านสาธารณูปโภค และระบบสุขอนามัยที่ดี
*
บทบาทของไทยในสหประชาชาติ
* บทบาทของไทยในการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งต่างๆ ของสหประชาชาติ
*
* นับ ตั้งแต่ไทยได้เข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ ผู้แทนของประเทศไทยได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ในสหประชาชาติอย่างสม่ำเสมอ อาทิ
* 1. ประธานสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 11 ปี 2499 โดยพลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ทรงได้รับการเลือกจากประเทศสมาชิกสมัชชาฯ
* 2. สมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประจำปี 2529-2530
* 3. สมาชิกคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม ช่วงปี 2517-2519, 2523-2525, 2526-2528, 2532-2534, 2538-2540
* 4. รองประธานสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 35 ปี 2523, สมัยที่ 43 ปี 2531, สมัยที่ 50 ปี 2538 และ สมัยที่ 54 ปี 2542
* 5. ประธานคณะกรรมการพิเศษว่าด้วยการเมืองและปลดปล่อยอาณานิคม ปี 2534
* 6. ประธานคณะทำงานของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดว่าด้วยปฏิบัติการรักษาสันติภาพ ปี 2536-2541
* 7. รองประธานคณะทำงานเฉพาะกิจว่าด้วยการปรับปรุงและขยายคณะมนตรีความมั่นคงฯ ปี 2537-2541
* 8. ประธานคณะกรรมการบริหารของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติและกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ปี 2541-2542
* 9. ประธานร่วมคณะเจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการเตรียมการสำหรับการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการให้ความสนับสนุนด้านการเงินสำหรับการพัฒนา ปี 2543 นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้รับการเลือกตั้งจากสมาชิกสหประชาชาติให้ปฏิบัติหน้าที่ในคณะ กรรมาธิการ หรือ คณะกรรมการต่าง ๆ ในกรอบสหประชาชาติอีกมากมาย โดยในปี 2543 ไทยดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกของคณะกรรมาธิการ 8 คณะ ได้แก่ การพัฒนาสังคม กฎหมาย การค้าระหว่างประเทศ มาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการบัญชีและรายงาน การป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ยาเสพติด การพัฒนาที่ยั่งยืน โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ และโครงการประสานงานความช่วยเหลือแห่งสหประชาชาติ และในปี 2544 ไทยจะเข้าเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนเป็นครั้งแรก โดยมีวาระถึงปี 2546 เป็นเวลา 3 ปี รายชื่อคนไทยที่ได้รับยกย่องจากสหประชาชาติ นับตั้งแต่ไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติ คนไทยได้รับการยกย่องจากหน่วยงานด้านต่าง ๆ องสหประชาชาติมากมาย ซึ่ง นอกจากจะเสริมสร้างเกียรติคุณแก่บุคคลนั้น ๆ แล้วยังเป็นการยกฐานะของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกด้วย องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) จัดการ เฉลิมฉลองบุคคลสำคัญและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์เพื่อเชิดชู เกียรติคุณของบุคคลหรือเหตุการณ์ที่มีต่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ หรือสื่อสาร
* ซึ่งองค์การได้ประกาศยกย่องพระนามและชื่อบุคคลสำคัญของประเทศไทย ดังนี้
* 1. ฉลองวันประสูติครบ 100 ปี ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2505
* 2. ฉลองวันประสูติครบ 100 ปี ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2506
* 3. ฉลองวันพระราชสมภพครบ 200 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2511
* 4. ฉลองวันพระราชสมภพครบ 100 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2524
* 5. ฉลองวันเกิดครบรอบ 200 ปี ของกวีเอกสุนทรภู่ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2529
* 6. ฉลองวันเกิดครบรอบ 100 ปี ของพระยาอนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ) เมื่อวันที่14 ธันวาคม 2531
* 7. ฉลองวันประสูติครบ 200 ปี ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2533
* 8. ฉลองวันประสูติครบ 100 ปี ของพลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2534
* 9. ฉลองวันพระราชสมภพครบ 100 ปี ของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2535
* 10. ฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2539
* 11. ฉลองวันพระราชสมภพครบ 100 ปี ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2543
* 12. ฉลองวันชาตะกาล 100 ปี ของศาสตราจารย์ ดร. ปรีดี พนมยงค์ เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2543
* องค์การค้าโลก (WTO) เกิดจากสำนึกของประเทศสมาชิก แกตต์ (GATT) ที่ ตระหนักว่า โลก ในปัจจุบันกำลังก้าวเข้าสู่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศตะวันตก กับประเทศตะวันออก และระหว่างกลุ่มประเทศเหนือ (ประเทศร่ำรวย) กับกลุ่มประเทศใต้ (ประเทศยากจน) ดังนั้น การจัดตั้งองค์การค้าโลก (WTO) จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดช่องว่างทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศร่ำรวย กับประเทศยากจน ให้มีการค้าระหว่างกันมากขึ้น มุ่งส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกค้าขายกันอย่างเสรี มุ่งจำกัดอุปสรรค เงื่อนไขข้อกีดกันทางการค้าใดๆ ให้หมดสิ้นไป เช่น กำหนดให้เก็บอัตราภาษีศุลกากรในอัตราต่ำ มีอำนาจแก้ไขปัญหาข้อพิพาททางการค้าระหว่าประเทศสมาชิก ตลอดจนให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของสมาชิก เป็นต้น
* องค์การค้าโลก (WTO) จึงเป็นองค์การที่จัดตั้งใหม่ เพื่อทำหน้าที่แทน GATT (ซึ่งดำเนินงานมาถึง 47 ปี) เป็นองค์การในสังกัดองค์การสหประชาชาติ (UNO) และนับเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจที่ 3 ของโลกควบคู่กันไปกับ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (Internation Monetary Fund : IMF) และธนาคารโลก (International Bank for Reconstruction and Development : IBRD)
* ในปัจจุบัน ประเทศสมาชิกองค์การค้าโลก (WTO) มี 135 ประเทศ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
* รัฐบาลไทยได้แต่งตั้งให้นายเกริกไกร จิระแพทย์ ข้าราชการกระทรวงพานิชย์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การค้าโลก และคนไทยที่จะเข้าดำรงตำแหน่งผู้บริหารองค์การค้าโลก (WTO) คนที่ 2 ต่อจากนายไมค์ มัว คือ นายศุภชัย พานิชภักดิ์ ( 1 กันยายน 2545 - 31 สิงหาคม 2548)
บทบาทของไทยใน องค์การค้าโลก (WTO)
บทบาทของไทยใน WTO จากความสำคัญของ WTO ดังที่กล่าวข้างต้น ทำให้ไทยต้องแสดงบทบาทใน WTO เพื่อ ปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของไทย ทั้งในฐานะผู้ส่งออกและในฐานะที่จะต้องให้การคุ้มครองปกป้องสินค้าและบริการ ที่มีความอ่อนไหวของประเทศ ตลอดจนในฐานะประเทศกำลังพัฒนาขนาดกลางในเวทีการค้าโลก นอกจากไทยจะได้เข้าร่วมการประชุมต่างๆ และเจรจาในนามของประเทศไทยแล้ว ไทยยังได้เข้าร่วมประชุมกับกลุ่มประเทศสมาชิกที่มีท่าทีคล้ายกันเพื่อแลก เปลี่ยนความเห็นในเรื่องสถานการณ์การเจรจา ตลอดจนเพื่อให้การผลักดันประเด็นต่างๆ ของไทยมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้นด้วย เช่น ร่วมกับกลุ่มเคร์นส์และกลุ่ม G20 ในการเจรจาเกษตร กลุ่ม AD Friends ในการเจรจากฎระเบียบ กลุ่มอาเซียนในการเจรจาเพื่อจัดทำกลไกปกป้องฉุกเฉินสำหรับการค้าบริการ และกลุ่ม GI Friends เพื่อ ผลักดันเรื่องการขยายสินค้าที่จะได้รับความคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ และร่วมกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ เพื่อผลักดันเรื่องการแก้ไขปัญหายาจำเป็น เป็นต้น โดยที่การเจรจาใน WTO ครอบคลุมเรื่องต่างๆ ที่หลายหลาย ท่าทีไทย และสมาชิกต่างๆ จึงแตก ต่างกันไปตามผลประโยชน์ในแต่ละเรื่อง ไม่จำเป็นว่าประเทศกำลังพัฒนาเหมือนกัน จะต้องรวมกลุ่มกันเพื่อต่อสู้กับประเทศพัฒนาแล้วทุกครั้ง ในบางเรื่องไทยก็อาจเป็นพันธมิตรกับประเทศพัฒนาแล้วที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ก็ได้ เช่น - ในกลุ่มเคร์นส์ ไทยเป็นพันธมิตรกับออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และแคนาดา เพื่อผลักดันการเปิดตลาดสินค้าเกษตร - ในกลุ่ม AD Friends ไทยเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นแคนาดา นอร์เว และประเทศกำลังพัฒนาเช่น เกาหลี ชิลี ฮ่องกง สิงคโปร์ เป็นต้น เพื่อร่วมกันผลักดันการปรับปรุงแก้ไขความตกลง AD ให้ลดการใช้ดุลยพินิจของผู้ไต่สวน และมีความชัดเจน เป็นธรรมมากขึ้น - ในกลุ่ม GI Friends ไทย เป็นพันธมิตรกับสหภาพยุโรป อินเดีย เพื่อผลักดันให้มีการขยายความคุ้มครองสินค้าที่จะได้รับการคุ้มครองสิ่งบ่ง ชี้ทางภูมิศาสตร์- ในกลุ่ม G20 ไทยได้เข้าร่วมกับ ประเทศกำลังพัฒนา เช่น บราซิล จีน อินเดีย อินโดนีเซียเป็นต้น เพื่อสร้างพลังต่อรองกับประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ให้เปิดตลาด เลิกการอุดหนุนส่งออก และลดการอุดหนุนภายในสินค้าเกษตร ซึ่งหากไม่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรเหล่านี้คงจะเป็นเรื่องลำบากที่จะต่อ รองกับประเทศขนาดใหญ่ให้เปิดเสรีเกษตรไทยได้ประโยชน์อะไรจาก WTO การที่ไทยเป็นสมาชิก WTO ทำให้ไทยได้รับประโยชน์จากการที่สมาชิกซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 147 ประเทศ ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วโลก ทั้งประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา จะต้องปฏิบัติตามหลักการค้าเสรี และเป็นธรรมของ WTO นอกจากนี้ ยังได้รับประโยชน์จากหลักการทั่วไปของ WTO เช่น หลักการไม่เลือปฏิบัติ ( MFN และ National T reatment) หลัก การเรื่องความโปร่งใส หลักการคุ้มครองผู้ผลิตภายในด้วยภาษีศุลกากรเท่านั้น เป็นต้น รวมทั้ง ประโยชน์จากพันธกรณีที่สมาชิกผูกพันไว้ในความตกลงย่อยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลดภาษีศุลกากร การอุดหนุน และอุปสรรคทางการค้าต่างๆ การเปิดเสรีสินค้าเกษตร การเปิดเสรีสินค้าสิ่งทอ การใช้มาตรการสุขอนามัยต่างๆ ต้องเป็นไปด้วยความเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ เป็นต้นการมีกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศของ WTO ช่วย ส่งเสริมให้การแข่งขันทางการค้าเป็นธรรม และสร้างความมั่นใจให้แก่ทั้งผู้ค้าและผู้ลงทุนผู้ผลิตและผู้ส่งออกสามารถ คาดการณ์และวางแผนการค้าระหว่างประเทศล่วงหน้าได้ เนื่องจากผู้บริโภคมีทางเลือกจากการมีผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น ตลอดจนได้รับสินค้าและบริการที่มีคุณภาพมากขึ้นและราคาถูกลง ซึ่งเป็นผลจากการเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศในระยะที่ผ่านมีเวทีในการร้อง เรียนข้อพิพาททางการค้า และมีแนวร่วมในการต่อสู้กับประเทศใหญ่ในกรณีที่ประเทศเหล่านั้นมีการใช้ มาตรการที่บิดเบือนการค้า ซึ่งไทยได้รับประโยชน์ และชนะคดีที่ประเทศอื่นๆ กีดกันการค้าในหลายกรณี เช่น - กรณีกำหนดราคาอ้างอิงนำเข้าข้าวของสหภาพยุโรป ไทยขอหารือ และเจรจาตกลงได้โดยสหภาพยุโรปเพิ่มโควตาแป้งมันสำปะหลัง และลดภาษีนำเข้าข้าวให้เป็นการชดเชย- กรณีที่สหรัฐฯ นำเรื่องการอนุรักษ์เต่าทะเลมาเป็นข้ออ้างในการกีดกันการนำเข้ากุ้ง ซึ่งไทยยกเรื่องขึ้นฟ้องใน WTO และสามารถแก้ไขปัญหาได้- กรณีที่อียิปต์ที่ห้ามนำเข้าปลาทูนากระป๋องของไทย โดยอ้างว่าผลิตจากน้ำมันถั่วเหลือง GMOs ซึ่งไทยได้ขอหารือกับอียิปต์ภายใต้กระบวนการระงับข้อพิพาทของ WTO และ สามารถผลักดันให้อียิปต์ยกเลิกมาตรการได้- กรณีพิพาทเรื่องน้ำตาล ไทยได้ร่วมกับออสเตรเลีย และบราซิล ฟ้องสหภาพยุโรปที่ให้การอุดหนุนส่งออกน้ำตาล- กรณีพิพาทเรื่องไก่หมักเกลือ ไทยได้ขอให้ WTO จัดตั้งคณะผู้พิจารณาเพื่อตัดสินกรณีสหภาพยุโรปปรับพิกัดภาษีศุลกากรไก่หมักเกลือ - กรณีกฎหมาย Byrd Amendment ของสหรัฐฯ ไทยได้ร่วมกับสมาชิก WTO เช่น สหภาพ ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย และออสเตรเลีย เป็นต้น ฟ้องสหรัฐฯ เรื่องกฎหมาย Byrd Amendment ที่ ให้สหรัฐฯ นำเงินที่เก็บได้จากการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด มาตั้งเป็นกองทุนเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมภายในซึ่งองค์กรระงับข้อพิพาทของ WTO ตัดสินให้สหรัฐฯ แพ้คดี และต้องปรับแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับความตกลง การ มีตลาดที่เปิดกว้างขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการลดภาษีของประเทศสมาชิกต่างๆ โดยเฉพาะตลาดส่งออกสำคัญของไทย เช่น สหรัฐฯ ลดภาษีสินค้าอุตสาหกรรมและประมงโดยเฉลี่ยลงจากร้อยละ 5.5 เหลือร้อยละ 3.5 สหภาพยุโรปลดภาษีลงจากร้อยละ 5.7 เหลือร้อยละ 4.3 ญี่ปุ่นลดภาษีลงร้อยละ 3.7 เหลือร้อยละ 1.4 เป็นต้น ทำให้การส่งออกของไทยขยายตัวอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา เช่นข้าว ไทยส่งออกไปตลาดญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นจาก 56,630 ตัน ในปี 2538 เป็น 145,509 ตัน ในปี 2542 ส่งออกไปตลาดสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นจาก 156,582 ตัน ในปี 2538 เป็น 220,029 ตัน ในปี 2542 และส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 201,526 ตัน ในปี 2538 เป็น 251,662 ตัน ในปี 2542 เป็นต้น เนื้อไก่แช่เย็นแช่แข็ง ไทยส่งออกไปสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นจาก 15,628 ตัน ในปี 2538 เป็น 59,092 ตัน ในปี 2542 ส่งออกไปตลาดญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น จาก 119,434 ตัน ในปี 2538 เป็น 138,718 ตัน ในปี 2542 และส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 67 ตัน ในปี 2538 เป็น 101 ตัน ในปี 2542 เป็นต้น
* สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน (The Association of Southeast Asian Nations, ASEAN) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1967 โดยพัฒนามาจาก "สมาคมอาสา" (Association of Southeast Asia, ASA) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมในภูมิภาค ซึ่งมีสมาชิกก่อตั้งเพียง 3 ชาติ คือ ไทย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ประเทศสมาชิกของอาเซียน มี 10 ชาติ ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ บรูไน เวียดนาม พม่า(เมียนมาร์) ลาว และกัมพูชา วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในหมู่ประเทศสมาชิก ยกเว้นไม่ร่วมมือทางทหาร ที่ตั้งสำนักงานเลขาธิการองค์การอาเซียน ตั้งอยู่ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ตำแหน่งเลขาธิการฯ ได้มาจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่างประเทศ อยู่ในตำแหน่งคราวละ 2 ปี โดยหมุนเวียนจนครบทุกประเทศ
บทบาทของไทยใน อาเซียน (ASEAN)
“การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ จะเสริมสร้างศักยภาพของประเทศสมาชิกอาเซียน ให้มีความ
สามารถเพิ่มขึ้น ในการแข่งขันในเวทีการค้าโลก”
บทบาทของอาเซียนในเวทีการค้าโลกที่เด่นชัดก็คือ การส่งเสริมความร่วมมือในหมู่ประเทศสมาชิก ทั้ง 10 ประเทศในเอเชียอาคเนย์ เพื่อการสร้างประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ซึ่งประกอบด้วยความร่วมมือทางด้านการเมืองและความมั่นคง การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง และความร่วมมือทางด้านสังคมและวัฒนธรรม การสร้างประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ จะเสริมสร้างศักยภาพของประเทศสมาชิก ให้มีความสามารถเพิ่มขึ้นในการแข่งขันในเวทีการค้าโลก นอกจากนี้ประชาคมอาเซียนยังส่งเสริมให้มีความร่วมมือทางการค้าเสรีและเป็น หุ้นส่วนทางเศรษฐกิจอย่างแน่นแฟ้นกับประเทศคู่ค้าสำคัญๆ เช่น จีน อินเดีย เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และสหภาพยุโรป
* ความ ร่วมมือทางการค้าและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจเหล่านี้ มีส่วนสำคัญในการเปิดโอกาสทางการค้า การบริการและดึงดูดเงินลงทุนเข้าประเทศให้กับประเทศสมาชิกอาเซียน ในขณะเดียวกันก็เรียนรู้ ปรับตัวและพัฒนาเศรษฐกิจของตนให้ทันสมัยในยุคโลกาภิวัตน์
*
* การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ มีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ การสร้างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศสมาชิกทั้ง 10 พัฒนาเป็น ตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน (Single Market and Production Base) โดยมีส่วนประกอบสำคัญต่อไปนี้
* (1) การเคลื่อนย้ายสินค้าที่เสรี
* (2) การเคลื่อนย้ายบริการที่เสรี
* (3) การเคลื่อนย้ายการลงทุนที่เสรี
* (5) การเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือที่เสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ยังมีคุณลักษณะที่สำคัญอื่นๆอีก คือ การเป็นภูมิภาคที่มีขีดความ
สามารถ ในการแข่งขันสูง การเป็นภูมิภาคที่มีบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลกได้เป็นอย่างดี และการเป็นภูมิภาคที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกันเป้า หมายเบื้องต้น คือ การทำให้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน มีคุณลักษณะเหล่านี้ ภายในปี พ.ศ. 2558 ซึ่งผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน ได้ลงนามรับรองแผนงานนี้แล้ว เมื่อการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 13 ณ ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550ใน ขณะที่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ กำลังดำเนินงานกันอย่างจริงจังเป็นระบบ อาเซียนก็ต้องให้ความสำคัญ กับการลดช่องว่างของการพัฒนาในหมู่ประเทศสมาชิก โดยเฉพาะประเทศสมาชิกใหม่ อันได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่าและเวียดนามประชาคม อาเซียน จะเป็นปึกแผ่นความมั่นคง และเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องได้ก็ต่อเมื่อ ประเทศสมาชิกทั้งหมดได้รับผลประโยชน์ จากการร่วมมือสร้างประชาคมอาเซียน และการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียมกัน ประโยชน์จากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ
* เป็นที่ทราบกันดีว่า ธุรกิจในหมู่ประเทศสมาชิกส่วนใหญ่ (ราวๆ 90%) เป็นธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ความสามารถของธุรกิจอาเซียนในการแข่งขันระดับประเทศ ระดับภูมิภาคหรือระดับโลกนั้นมีน้อย นักธุรกิจในประเทศสมาชิกอาเซียนส่วนใหญ่ จึงไม่ให้ความสนับสนุนการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน
* คำ ถามสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ ถ้าเราหมู่ประเทศสมาชิกอาเซียน ไม่พยายามร่วมมือกันสร้างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประเทศสมาชิกแต่ละประเทศ จะมีศักยภาพทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นได้อย่างไร
* ประเทศ ไทยเราอาจจะมีดีพอตัว ที่จะแข่งขันในเวทีการค้าโลกได้ แต่ถ้าเทียบกับจีน อินเดียหรืออินโดนีเซียแล้ว ประเทศไทยเราอาจยังไม่แข็งแรงโดเด่นมากนัก ในขณะเดียวกัน ถ้าประเทศไทยเป็นส่วนสำคัญในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ซึ่งมีประชากรรวมแล้วเกือบ 600 ล้านคน ในขณะที่ประเทศไทยมีเพียง 60 กว่าล้านคน) ประเทศไทยก็จะมีความสำคัญและน่าสนใจมากพอ ที่จะดึงดูดนักลงทุนระดับโลกรายใหญ่ๆ ที่มีเงินลงทุนมหาศาลและมีเทคโนโลยีชั้นสูง
* การ ลงทุนรายใหญ่ๆ เหลานี้มักส่งผลดีตามมาในเรื่องความต้องการวัตถุดิบ ชิ้นส่วนประกอบ การบริการและการจ้างงานภายในประเทศ การถ่ายทอดวิทยาการเทคโนโลยีชั้นสูงก็จะเกิดขึ้น ส่งผลให้คนไทยมีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น
* แน่ นอนว่าพ่อค้าและนักธุรกิจที่แข่งขันไม่ไหว ก็จะประสบปัญหาขาดทุนหรือไม่ก็ต้องหาทางปรับปรุงตนเอง แต่โดยภาพรวมการแข่งขันทางธุรกิจ มักจะนำไปผลดีสำหรับผู้บริโภค ผู้ใช้บริการและประชาชนทั่วไป เศรษฐกิจก็จะพัฒนารัฐบาลก็สามารถจัดเก็บภาษีต่างๆได้มากขึ้น มีเงินงบประมาณไวใช้จ่าย ยกฐานความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น
* ข้อ สำคัญที่ทุกท่านควรรับทราบก็คือ ระบบทุนนิยมและการค้าเสรีในเวทีการค้าโลก เป็นสิ่งที่ไม่มีใครปฏิเสธไม่เข้าร่วมหรือไม่ยอมรับรู้ได้ การแข่งขันได้เกิดขึ้นในทุกระดับของการค้าขาย การให้บริการและการลงทุนระหว่างประเทศ
* ในสภาพความเป็นจริงเช่นนี้ เศรษฐกิจ ใหญ่ย่อมได้เปรียบ ประเทศที่มั่งคั่ง หรือมีวิทยาการเทคโนโลยีการผลิต การบริการและการจัดการบริหารที่เยี่ยมยอด จะได้เปรียบสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ผลกำไรงาม ประเทศเล็กที่ยากจน หรือแม้กระทั่งประเทศใหญ่ที่ล้าหลัง จะเสียเปรียบและประสบปัญหานานาประการ
* แน่ นอนที่สุด หนทางแก้ไขจะต้องเริ่มจากความพยายามของแต่ละประเทศ ที่จะพัฒนาตนเองและแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ ส่วนอีกทางหนึ่งซึ่งจะมีส่วนส่งเสริมช่วยแก้ปัญหาก็คือ “การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ”
* ในหมู่ประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองของกลุ่ม
* ตัวอย่าง ความสำเร็จของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป แสดงให้เห็นว่า การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจเป็นแนวทางที่ถูกต้อง ที่ประเทศสมาชิกอาเซียนควรพยายามร่วมมือกันทำให้เกิดผลดีขึ้นมา
* ผู้ ที่ไม่ยอมรับระบบทุนนิยมและการค้าเสรีในเวทีโลก มักตำหนิอาเซียนว่า มุ่งมั่นส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจและเปิดการเจรจาการค้าเสรีกับประเทศ คู่เจรจาต่างๆ โดยไม่ปรึกษาหารือกับนักธุรกิจ ในประเทศสมาชิกและไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไป มีส่วนให้ความคิดเห็นหรือตัดสินใจ
* ความ เป็นจริงก็คือ ความร่วมมือของอาเซียนเป็นงานในระดับความร่วมมือ ระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล การเปิดโอกาสหารือกับนักธุรกิจหรือการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ย่อมต้องกระทำในระดับชาติ โยมีรัฐบาลของแต่ละประเทศสมาชิก เป็นตัวหลักในการหารือและให้ข้อมูล
* หาก พิจารณาในรายละเอียด ความร่วมมือต่างๆของอาเซียน ล้วนมีเป้าหมายที่เป็นประโยชน์ต่อทุกประเทศสมาชิก นักธุรกิจและประชาชนแทบทุกวงการ ยกตัวอย่างเช่น ในแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน ทำให้สินค้าในอาเซียนมีราคาลดลงในระดับที่เหมาะสม มีชนิดสินค้าคุณภาพให้เลือกมากขึ้น
* การ ให้บริการในแต่ละประเทศจะมีคุณภาพสูงขึ้น เมื่อต้องแข่งขันกับผู้ให้บริการชนิดเดียวกันในประเทศสมาชิกทั้ง 10 ในอาเซียน การลงทุนจะเพิ่มขึ้นส่งผลทำให้เกิดการจ้างงาน มีค่าแรงและเงินเดือนดีขึ้น เพาะนักลงทุนต้องแข่งขันหาคนงานและพนักงานที่มีฝีมือ มีความรู้ การเปิดให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมืออย่างเสรี จะเป็นหลักประกันสำคัญให้คนมีงานทำ และมีรายได้ที่เหมาะสม
* นอก จากนี้ พนักงานและผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการค้า การบริการและการลงทุนก็จะได้รับความสะดวกในการเดินทาง เพื่อประกอบอาชีพการคมนาคมขนส่งทางบกทางน้ำและทางอากาศ การติดต่อสื่อสารและการท่องเที่ยวไปมาหาสู่กันในเขตอาเซียน ต่างก็กำลังพัฒนาเพื่ออำนวยความสะดวกซึ่งกันและกัน
* อีก ทั้งงานของการสร้างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ยังรวมไปถึงการส่งเสริมการคุ้มครองของผู้บริโภค การพัฒนาด้านมาตรฐานสินค้าและอาหาร การสร้างสรรค์และพิทักษ์สิทธิมรทรัพย์สินทางปัญญา การส่งเสริมการค้าและการให้บริการ โดยทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ใครๆก็อยากมีกลุ่มเศรษฐกิจ
* ประเทศ ที่มีเศรษฐกิจใหญ่เข้มแข็งอย่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ต่างก็สนใจ มาร่วมมือเจรจาทางการค้าและการร่วมมือทางเศรษฐกิจอื่นๆ กับอาเซียนทั้งในระดับทวิภาคีกับอาเซียนและในวงอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three)
* ใน วงการอาเซียนบวกสาม ก็กำลังศึกษาความเป็นไปได้ ในการสร้างเขตการค้าเสรีในภูมิภาคเอเชียตะวันออก นอกจากนี้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ก็ได้มาร่วมกับอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ในกรอบของการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit - EAS) เพราะประเทศเหล่านี้ ทราบดีว่าการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เป็นผลดีต่อประเทศของตนในระยะยาว ใครไม่ได้ร่วมวงก็มักจะรู้สึกเดือนร้อน ไม่อยากถูกโดเดี่ยวในโลกยุคโลกาภิวัตน์ ดังเช่น รัสเซียและปากีสถานซึ่งต่างก็พยายาม เรียกร้องความสนใจในอาเซียน ให้เริ่มเปิดการเจรจาการค้าเสรีกับตนโดยเร็ว
* ในระดับที่กว้างไกลออกไป อาเซียนก็มีความร่วมมือกับสหภาพยุโรป ในวงประชุมเอเชีย – ยุโรป (Asia – Europe Meeting - ASEM) อาเซียนก็กำลังปรึกษาหารือกับสหภาพยุโรป เพื่อเตรียมเปิดเจรจาสัญญาการค้าเสรีประเทศสมาชิกอาเซียน 7 ประเทศ (ยกเว้น กัมพูชา ลาว และพม่า) ก็ได้ร่วมอยู่ในวงความร่วมมือเศรษฐกิจเอเชีย – แปซิฟิก ( Asia – Pacific Economic Cooperation – APEC)
* ในวงองค์การค้าโลก (World Trade Organization - WTO) อาเซียนมีบทบาทจำกัด เพราะปัจจุบันประเทศลาวยังไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก ส่วนกัมพูชาและเวียดนามก็เพิ่งได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกเมื่อไม่นานนี้ อย่างไรก็ตาม อาเซียนก็เคยได้รับความสำเร็จในการสนับสนุนให้ “ดร. ศุภชัย พานิชภักดิ์ ” ได้รับตำแหน่งเป็นผู้นำ WTO ศักยภาพของอาเซียนใน WTO มี ขีดจำกัดอยู่ที่ ประเทศสมาชิกที่เป็นเศรษฐกิจเสรีเปิดกว้างอย่างสิงคโปร์และบรูไน มักมีความคิดเห็นและนโยบายแตกต่างไปจากประเทศสมาชิกอื่นๆ ในอาเซียนที่ยังต้องระมัดระวังเรื่องการเปิดเศรษฐกิจ เพื่อการค้าเสรีระดับโลก
*
* การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจคือ แก่นสารของการสร้างประชาคมอาเซียน แม้ว่าเวลาที่เรากล่าวถึงอาเซียน เรามักคิดว่าอาเซียนเป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจเป็นพลังขับเคลื่อนหลัก ในการสร้างประชาคมอาเซียนอย่างแท้จริง
* ประเทศ ไทยกำลังจะได้เป็นประธานอาเซียนต่อจากสิงคโปร์ (ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ไปจนกระทั่งสิ้นปี พ.ศ. 2552) นับเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทย ที่จะผลักดันให้การสร้างประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ให้มีความก้าวหน้าสร้างประโยชน์แก่ประเทศสมาชิกทั้งปวง ประเทศไทยถือได้ว่า เป็น 1 ใน 5 ประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียน ที่มีบทบาทสำคัญตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นบทบาทของอาเซียนในเวทีการค้าโลก จะพัฒนาไปในทิศทางใด ก็ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของประเทศไทยเป็นสำคัญ
* 1.เรา ต้องร่วมกันควบคุมผลกระทบของภาวะโลกร้อนในทุกๆ ทาง รวมทั้งการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทนให้มากขึ้น ตลอดจนการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน
* 2.เอเชีย และยุโรปต้องร่วมมือกันในการอำนวยความสะดวกทางการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความปลอดภัยของอาหารและการประเมินมาตรฐานและการรับรอง
* 3.เรา ต้องออกแรงมากขึ้นในการผลักดันให้การเจรจาการค้ารอบโดฮาให้เป็นผล สำเร็จ เพื่อลด/เลิกมาตรการอุดหนุนและมาตรการอื่นๆ ที่บิดเบือนตลาดและทำให้ประเทศกำลังพัฒนายิ่งยากจนลง ประการสุดท้าย เราควรส่งเสริมการวิจัยพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร นายก รัฐมนตรีของไทย กล่าวว่า ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ฝ่ายอียูมีความพร้อมที่จะทำให้เกิดเป็นผลได้ ทั้งสิ้น และทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในการร่วมมือระหว่างประเทศ เรายังจำเป็นต้องยอมรับความแตกต่างในเรื่องความต้องการและลำดับความสำคัญที่ แต่ละประเทศให้ และแสวงหารูปแบบที่เหมาะสมในการประสานความพยายามของแต่ละประเทศใน ส่วนของไทย ตนขอย้ำว่า เราพร้อมที่จะแบ่งปันความรู้และประสบการณ์กับหุ้นส่วนและองค์การระหว่าง ประเทศ เราต้องการเห็นวิสัยทัศน์ของการประชุมครั้งนี้เป็นความจริง คือทุกฝ่ายเป็นผู้ชนะและได้ประโยชน์ก่อน หน้านี้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป วันนี้ ซึ่งจะเป็นการประชุมเต็มรูปแบบ โดยในส่วนของไทยจะนำปัญหาเรื่องความมั่นคงทางอาหาร หรือ Food Security เสนอ ต่อที่ประชุม เนื่องจากไทย ถือเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าทางด้านอาหาร และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ดังนั้นอยากเข้าไปมีส่วนรับผิดชอบ ในเรื่องของการพัฒนากระบวนการผลิตอาหาร ที่จะนำออกไปสู่สังคมโลก โอกาสนี้จะแสดงบทบาทว่า ไทยมีความสามารถในการผลิตอาหาร มีภาคเกษตรกรรมที่ดี และมีปริมาณข้าวจำนวนมากที่จะส่งออกไปขาย ถึงปีละประมาณ 8 ล้านตัน แต่จะค่อยๆ ทยอยออก เพื่อไม่ให้ราคาข้าวตกต่ำ นอกจากนี้มีเรื่องข้าวโพดสำหรับเลี้ยงสัตว์ การทำประมง ปศุสัตว์ ก็จะขายความคิดเรื่องนี้ว่า แม้ไทยจะไม่ใช่ประเทศที่เป็นแหล่งพลังงาน แต่ก็มีความสำคัญต่อโลก นายก รัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อวานนี้ ได้มีโอกาสหารือกับผู้นำอินโดนีเซีย มาเลเซีย ก็เห็นว่า ควรจะร่วมมือกันในเรื่องนี้ เพื่อกำหนดทิศทางในการขายสินค้า หรือรักษาระดับราคา ก็คงจะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องนี้ในภายหลังนายก รัฐมนตรี กล่าวว่า การหารือในวันนี้ น่าจะได้คำตอบที่ดี และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะผู้นำทุกคนที่มาร่วมประชุม ต้องการใช้เวทีสร้างประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้ในส่วนของประเทศไทยจะมีการตั้งผู้แทนการค้า เพื่อช่วยกระทรวงพาณิชย์ เดินสายไปตามประเทศต่างๆ เพื่อหาตลาดรองรับสินค้าเกษตรของไทย โดยในสัปดาห์หน้า คงจะมีการแต่งตั้งบุคคลเข้ามาทำหน้าที่ ในลักษณะเซลล์แมน ทั้งนี้จะเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วม และสนับสนุนงานของภาคเอกชน
"ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเซีย-แปซิฟิค" หรือ "เอเปค" จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 เพื่อ ตอบสนองการพึ่งพาอาศัยกันทางเศรษฐกิจ ที่ขยายตัวมากขึ้นในหมู่ประเทศแถบเอเซีย-แปซิฟิค โดยเริ่มต้นจากกลุ่มประเทศที่อยู่ริมมหาสมุทรแปซิฟิค ไม่กี่ประเทศรวมตัวกัน อย่างไม่เป็นทางการ (Informal Dialogue Group) จน กลายเป็นเวทีหลัก ในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการค้าเสรีอย่างจริงจังในที่สุด ทั้งนี้ โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง จุดมุ่งหมายหลักของเอเปค คือ เสริมสร้างพลังทางเศรษฐกิจ ในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิคให้ก้าวไปข้างหน้า และสร้างจิตสำนึก ที่จะรวมกันเป็นรูปกลุ่มความร่วมมือขึ้น โดยจะไม่จัดตั้งเป็นรูปแบบองค์กรถาวร เหมือนกลุ่มประเทศอาเซียน หรือสหภาพยุโรป สมาชิกเอเปคทั้งหมด ขณะนี้มีผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ รวมกันทั้งสิ้นกว่า US$19,293 พันล้านเหรียญสหรัฐ (US$ billion) หรือ 47.5% ของการค้าโลกในปี พ.ศ. 2544
กลยุทธ์ ของไทยในเอเปค คือ มุ่งผลักดันเรื่องการลด / เลิกมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษีของสมาชิก และผลักดันความร่วมมือของเอเปคเรื่องการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการเสริม สร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ มากกว่าการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน โดยไทยมีบทบาทสำคัญในกรอบเอเปค เช่น
• ไทยมีบทบาทในการผลักดันให้สมาชิกที่พัฒนาแล้วให้ความช่วยเหลือสมาชิกที่กำลังพัฒนาในการปฏิบัติตาม WTO พันธกรณีของซึ่งญี่ปุ่นได้ให้ความช่วยเหลือแก่ไทยเป็นประเทศแรก ระหว่างปี 2544-2545 ในโครงการจัดทำฐานข้อมูลการปฏิบัติตามพันธกรณีของ WTO และโครงการจัดสัมมนา/ฝึกอบรมเรื่อง GATS, Antidumping, Negotiation Skills, IPR, Financial Services และ Telecommunication Services นอกจากนี้ แคนาดาได้ประกาศในที่ประชุม รัฐมนตรีเอเปคปี 2544 ว่าจะให้ความช่วยเหลือสมาชิกที่กำลังพัฒนาในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งไทย โดยเป็นโครงการ 5 ปี มีมูลค่า 9 ล้านเหรียญแคนาดา อย่างไรก็ดี ในปี 2547 กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอโครงการความช่วยเหลือในการจัดสัมมนาเรื่อง Anti-dumping and Safeguard ซึ่งที่ประชุมเอเปคได้ให้ความเห็นชอบ โดยจะจัดขึ้นในปี 2548 ณ กรุงเทพฯ
• ไทยได้แต่งตั้งผู้แทนระดับรองอธิบดี จากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ทำหน้าที่ประธานร่วม (Co-Chair) คู่กับผู้แทนจากสหรัฐฯ ในคณะทำงานด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce Steering Group: ECSG) เป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2542 ถึงกุมภาพันธ์ 2544 ซึ่ง ครอบคลุมกิจกรรม เช่น การวางรากฐานทางกฎหมายเพื่อรองรับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน การกำหนดเป้าหมายการดำเนินการไปสู่การค้าไร้กระดาษภายในปี ค.ศ. 2010 การ จัดทำสถิติการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การจัดทำดัชนีความพร้อมด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ แผนปฏิบัติการด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็ก-กลาง และการจัดทำแนวทางคุ้มครองผู้บริโภคออนไลน์ เป็นต้น
• ไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค เมื่อปี 2535 และจะเป็นเจ้าภาพอีกครั้งหนึ่งในปี 2546 โดยมีบทบาทสำคัญ คือ
• ไทยได้เสนอให้มีการจัดทำความตกลงการยอมรับร่วมสินค้าอาหารรายสาขา (Sectoral Food MRA) ภายใต้กรอบเอเปค ซึ่งที่ประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค เมื่อเดือนมิถุนายน 2546 ณ จังหวัดขอนแก่น ให้ความเห็นชอบ และได้เสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีเอเปค เมื่อเดือนตุลาคม 2546 ซึ่งที่ประชุมฯ ได้ให้ความเห็นชอบข้อเสนอของไทยให้เป็นโครงการนำร่องสำหรับสมาชิกที่มีความพร้อม (Pathfinder Initiative) เพื่อ ให้การค้าสินค้าอาหารระหว่างสมาชิกเอเปคขยายตัวมากขึ้น เป็นการสร้างความเชื่อมั่นว่าสินค้าส่งออกจะสอดคล้องกับข้อกำหนดของประเทศ ผู้นำเข้า และมาตรฐานสากล ขณะนี้มี 5 ประเทศ เข้าร่วมฯ คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม จีนไทเป และไทย
• ไทยได้ทำหน้าที่ประธานคณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานและการรับรอง (Sub-Committee on Standard and Conformance : SCSC) และคณะอนุกรรมการด้านพิธีการศุลกากร (Sub-Committee on Customs Procedure: SCCP) ในการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค เมื่อเดือนมิถุนายน 2547 ณ เมืองภูคอน ประเทศชิลี
ที่ ประชุมให้ความเห็นชอบต่อข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไทยที่จะจัด ตั้งกลไกเพื่อร่วมมือประสานงาน และแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างรัฐมนตรีการค้าและพลังงาน เพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันโลกที่ขยับตัวสูงขึ้น ซึ่งที่ประชุม รัฐมนตรีเอเปคได้มอบหมายให้ จ้าหน้าที่อาวุโสร่วมกับคณะทำงานด้านพลังงานประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ สูงขึ้นต่อการค้า และ เศรษฐกิจตามข้อเสนอของไทย และที่ประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปค เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2547 ได้สั่งการให้รัฐมนตรีพลังงานเอเปคดำเนินการตามข้อเสนอ Comprehensive Action Initiative recognizing the need for strengthening the APEC Energy Security Initiative – energy security, sustainable development and common prosperity (CAIRNS Initiative) ซึ่งรวมสาระข้อเสนอของจีนและไทย อย่างไรก็ดี ไทยได้เสนอโครงการร่วมกับออสเตรเลีย “The impact of oil prices on trade in the APEC region” เพื่อ ศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นต่อการค้าในภูมิภาคเอเชียแป ซิฟิคต่อเลขาธิการเอเปค ซึ่งจะเสนอให้คณะกรรมการด้านงบประมาณของเอเปคพิจารณาในเดือนเมษายน 2548
แหล่งอ้างอิงค์ http://www.sopon.ac.th/social/srri2/Index/P05.htm
http://www.sopon.ac.th/social/srri2/Index/P03N07.htm
http://www.sopon.ac.th/social/srri2/Index/P03N10.htm
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%...
http://thainews.prd.go.th/view.php?m_newsid=255110250041&tb=N255110
http://www.dtn.go.th/dtn/tradeinfo/print.php?lang=th&pagename=dtn_3_4_ap...
http://www.tlcthai.com/club/view_topic.php?type=content&club=Hi-School&c...
http://www.nakkhaothai.com/exclusive.php?newsid=112
http://bbznet.pukpik.com/scripts2/view.php?user=sixgms&board=6&id=5&c=1&...
ครูสอนวิชาภูมิศาสตร์ ไม่ได้สอนประวัติศาสตร์ไทย ส่งงานผิดคนหรือเปล่า
เพื่อนเธอบอกว่าเจ๋งมาก แต่ครูบอกว่าแย่มากเพราะครูเข้าไปดูไม่ได้เลยไม่ได้ให้คะแนน
ผิดพลาดประการใดแจ้งกลับมาที่บล๊อคของเราได้เสมอนะครับ^^
โอ้วนายเจ๋งมากเรยเจมเทพจีงๆ 55+