สังคม ศาสนา วัฒนธรรม
เอ็ดวาร์ด ซูส (Eduard Suess) นักธรณีวิทยาชาวออสเตรีย เป็นผู้พบหลักฐานที่ทำให้เขาเชื่อว่าแผ่นดินของทวีปอเมริกา อัฟริกา อินเดีย ออสเตรเลีย และแอนตาร์กติกา เคยเชื่อมต่อกัน เขาเป็นผู้ตั้งชื่อแผ่นดินนี้ว่ากอนวานาแลนด์ ตามชื่อเขตที่พบซากดึกดำบรรพ์ของพืชกลอสส็อปเทอริส ( Glossopteris ) เป็นครั้งแรก และต่อมาก็พบในทวีปอื่นๆด้วย นอกจากนั้นยังมีซากสัตว์เลื้อยคลานดึกดำบรรพ์มีโซซอรัส (Mesosaurus) ที่พบในอเมริกาใต้ และอัฟริกาใต้อีกด้วย
<!--[endif]-->
1. ชั้นเปลือกโลก เสมือนผิวด้านนอกที่ปกคลุมโลก แบ่งออกได้เป็น 2 บริเวณ
- ภาคพื้นทวีป หมายถึงส่วนที่เป็นแผ่นดินทั้งหมด ประกอบด้วยธาตุซิลิคอนและอลูมิเนียม
- ใต้มหาสมุทร หมายถึง เปลือกโลกส่วนที่ปกคลุมด้วยน้ำ ประกอบด้วยธาตุ ซิลิคอนและแมกนีเซียม
2. ชั้นเนื้อโลก มีความลึก
- ส่วนบน เป็นหินที่เย็นตัวมีรอยแยก หรือรอยแตกเนื่องจากความเปราะ
- ชั้นฐานธรณีภาค เป็นชั้นหินหลอมละลายหรือหินหนืด ที่เรียกว่า แมกมา
- ชั้นล่างสุด เป็นชั้นของแข็งร้อนที่แน่นและหนืดกว่าตอนบน ธาตุอื่นก็ประกอบด้วยแมกนีเซียมและเหล็ก
3. ชั้นแก่นโลก อยู่ในความลึก 2,900 กิโลเมตรลงไป แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
- แก่นโลกชั้นนอก เป็นของเหลวร้อนของโลหะเหล็กและนิกเกิล
- แก่นโลกชั้นใน มีส่วนประกอบเหมือนชั้นนอกแต่อยู่ในสภาพของแข็งเนื่องจากมีความดันและอุณหภูมิสูงมาก
ธรณีภาค
ปี พ.ศ. 2458 ดร.
"ผืนแผ่นดินทั้งหมดบนโลกแต่เดิมเป็นแผ่นดินเดียวกัน เรียกว่า “พันเจีย
เมื่อ 200 - 135 ล้านปีที่แล้ว แยกออกเป็น 2 ทวีปใหญ่ คือ ลอเรเชีย ทางตอนเหนือ และกอนด์วานาทางตอนใต้และเมื่อ 135 - 65 ล้านปีที่แล้ว ลอเรเชียเริ่มแยกเป็นอเมริกาเหนือ และแผ่นยูเรเชีย ส่วนกอนด์วานาจะแยกเป็น อเมริกาใต้ แอฟริกา ออสเตรเลีย
1. ขอบแผ่นธรณีภาคแยกออกจากกัน
เกิดจากการดันตัวของแมกมา ทำให้เกิดรอยแยก จนแมกมาถ่ายโอนความร้อนสู่เปลือกโลกได้ ทำให้อุณหภูมิและความดันลดลง ทำให้เปลือกโลกทรุดตัวกลายเป็นหุบเขาทรุดในระยะเวลาต่อมาเมื่อมีน้ำไหลมาสะสมเกิดเป็นทะเล และเกิดเป็นรอยแยกทำให้เกิดร่องลึก แมกมาจึงเคลื่อนตัวแทรกดันขึ้นมาอีก ทำให้แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรแยกจากไปทั้งสองด้านเกิด การขยายตัวของพื้นทะเล (Sea floor spreading) และทำให้เกิดเทือกเขากลางสมุทร เช่น บริเวณทะเลแดง อ่าวแคลิฟอร์เนีย แอฟริกาตะวันออก มีลักษณะหุบเขาทรุด มีร่องรอยแยก เกิดแผ่นดินไหวตื้นๆ มีภูเขาไฟและลาวาไหลอยู่ใต้มหาสมุทร
2. ขอบแผ่นธรณีภาคเคลื่อนเข้าหากัน มี 3 แบบ
- แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรชนกันกับแผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทร แผ่นธรณีภาคอีกแผ่นหนึ่งจะมุดลงใต้อีกแผ่นหนึ่ง ปลายของแผ่นที่มุดลงจะหลอมกลายเป็นแมกมา และปะทุขึ้นมา บนแผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทร เกิดเป็นแนวภูเขาไฟใต้มหาสมุทร และมีร่องใต้ทะเลลึก มีแนวการเกิดแผ่นดินไหวตามขอบแผ่นธรณีภาคลึกลงไปถึงชั้นเนื้อโลก จนมีภูเขาไฟที่ยังมีพลัง เช่น ที่หมู่เกาะมาริอานาส์ อาลูเทียน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์
- แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรชนกับแผ่นธรณีภาคภาคพื้นทวีป
แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรซึ่งหนักกว่ามุดตัวลงข้างล่างใต้แผ่นธรณีภาคภาคพื้นทวีป เกิดเป็นร่องใต้ทะเลและเกิดเทือกเขา ตามแนงขอบทวีปเป็นแนวภูเขาไฟชายฝั่ง และแผ่นดินไหวรุนแรง เช่น อเมริกาใต้แถบตะวันตก
- แผ่นธรณีภาคภาคพื้นทวีปชนกับแผ่นธรณีภาคภาคพื้นทวีป ซึ่งทั้งสองแผ่นมีความหนามาก ทำให้แผ่นหนึ่งมุดลงแต่อีกแผ่นหนึ่งเกยขึ้นเกิดเป็นเทือกเขาแนวยาวอยู่กลางทวีปหรือแผ่นธรณีภาคภาคพื้นทวีป เช่นเทือกเขาหิมาลัย ในทวีปเอเชีย เทือกเขาแอลป์ ในทวีปยุโรป
3. ขอบแผ่นธรณีภาคเคลื่อนที่ผ่านกัน
เกิดจากอัตราการเคลื่อนตัวของแมกมาในชั้นเนื้อโลกไม่เท่ากัน จึงทำให้แผ่นธรณีภาคเคลื่อนที่ไม่เท่ากันด้วยส่งผลให้เปลือกโลกและเทือกเขาใต้มหาสมุทรเลื่อนไถลผ่านและเฉือนกัน เกิดเป็นรอยเลื่อนเฉือนระนาบด้านข้างขนาดใหญ่ สันเขากลางมหาสมุทรเลื่อนเป็นแนวเหลื่อมกันอยู่ มีลักษณะเป็นแนวรอยแตกแคบยาวมีทิศทางตั้งฉากกับเทือกเขากลางมหาสมุทรและร่องใต้ทะเลลึก มักจะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในระดับตื้นๆ ระหว่างขอบของแผ่นธรณีภาคที่ซ้อนเกยกัน เช่น รอยเลื่อนซานแอนเดรียส ประเทศอเมริกา รอยเลื่อนอัลไพล์ ประเทศนิวซีแลนด์
<!--[endif]-->
ต่อจากนั้นเปลือกโลกต้องเผชิญหน้ากับแรงโน้มถ่วง สภาพอากาศ น้ำ ลม ซึ่งทำหน้าที่กัดกร่อน (erosion) ทำให้หินผุพัง (weathering) และพัดพา (transportation) ไปทับถมเพื่อสะสมตัว (deposition) กระบวนการนี้จึงเป็นการปรับระดับเปลือกโลกให้สมดุลย์
ทีนี้ลองมาดูความหมายของแต่ละคำที่ถามเลยก็แล้วกันนะ
การยกตัว (uplift) คือชั้นหินหรือเปลือกโลกยกตัวขึ้น หรือเลื่อนขึ้น ทำให้เปลือกโลกบริเวณนั้นสูงขึ้น เมื่อทราบดังนี้ก็มีหลายกระบวนการที่เกี่ยวข้อง อาจเป็น faulting, folding การแทรกดันของมวลหินอัคนี หรือ ชั้นเกลือหินก็ได้
การยุบตัว (subsidence) คือแผ่นดินบริเวณนั้นทรุดหรือยุบตัวลง ซึ่งก็อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุเช่นกัน อาทิ หินด้านล่างถูกละลายออกไป (โพรงในหินปูนหรือเกลือหิน) น้ำหนักของชั้นตะกอนที่ทับถมอยู่ด้านบน หรือการทำเหมืองใต้ดินที่ออกแบบไม่ถูกต้องเหมาะสม เป็นต้น
การคดโค้งโก่งงอ (Folding) เกิดจากชั้นหินในสภาพอ่อนนิ่มถูกทำให้เปลี่ยนลักษณะเป็นรูปคดโค้งโก่งงอ เนื่องจากมีแรงมากระทำ ส่วนมากจะทำให้เปลือกโลกหดสั้นลงและหนาขึ้น
การผุพังอยู่กับที่ (weathering) เป็นกระบวนการที่หินผุลงเนื่องจากสภาพอากาศ น้ำ และ ลม การแตก หักกร่อน รวมทั้งกิจกรรมทางชีวภาพด้วย
การกร่อน (erosion) คือกระบวนการที่ทำให้สารเปลือกโลกหลุดไป ละลายไป หรือกร่อนโดยตัวการทางธรรมชาติ ได้แก่ สภาพลมฟ้าอากาศ สานละลาย การถู ครูด การนำพา
การพัดพา (transportation) คือกระบวนการพัดพาเศษหิน เศษแร่ ตะกอน จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยมีตัวการเช่น น้ำ ลม ธารน้ำแข็ง นำพาไป
การทับถม (deposition) คือการที่เศษหิน แร่ ตะกอน อินทรียวัตถุ จากการนำพาของน้ำ ลม ธารน้ำแข็ง หรือตะกอนที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมี มาสะสมตัวทับถมกัน
การแปรสัณฐานเปลือกโลก(Diastrophism ; tectonism ) หมายถึง กระบวนการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกหรือส่วนของผิวโลก เช่น การเลื่อนตัวตามรอยแตก(faulting) การโก่งงอ(Folding) การแตกร้าว (fracture) การยกตัวขึ้นมาของชั้นหิน(Uplifting) การทรุดตัวลงของชั้นหิน(subsidence) ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะทำให้เกิดลักษณะต่าง ๆ เป็นต้นว่า ทวีปและแอ่งมหาสมุทร ที่ราบสูงและภูเขา ซั้นหินที่คดโค้งหรือเอียงเท
การยุบตัว(Subsidence) การยุบตัวของผืนดินอันเกิดจากดินหรือหินที่รองรับอยู่ถูกละลายไป หรือถูกนำออกไปตามธรรมชาติ หรือโดยมนุษย์เป็นผู้กระทำเหมืองแร่หรือเหมืองใต้ดิน
การประทุภูเขาไฟ
การประทุของภูเขาไฟ หรือการชนกันของแผ่นเปลือกโลก เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว(earthquake) ขณะที่เกิดแผ่นดินไหวพื้นผิวโลกจะมีการเคลื่อนที่ขึ้น-ลง คล้ายคลื่นทะเล หรือพื้นผิวโลกบางแห่งมีการเคลื่อนที่แยกจากกันภูเขาไฟบางแห่งที่สู่พื้นผิวจากแนวร่องมหาสมุทรใต้น้ำในเขตโซนร้อนของโลก หินโสโครกที่เป็นหินปะการังเกิดขึ้นรอบภูเขาไฟ ขณะที่ชั้นแผ่นดินเคลื่อนที่บรรทุกภูเขาไฟออกจากแนวร่องเข้าสู่น้ำที่ลึกกว่าด้วย ดังนั้นการระเบิดพุ่งจึงหยุดลงและภูเขาไฟก็จมลง แต่หินโสโครกยังคงถูกสร้างขึ้นต่อไป และแนวหินปะการังก็ถูกสร้างขึ้นรอบ ๆเกาะที่หดสั้นลง สิ่งที่เป็นไปได้คือภูเขาไฟค่อย ๆจมน้ำ ปล่อยให้หินโสโครกก่อตัวเป็นรูปวงแหวนซึ่งเรียกว่า แอทอล
1 ภูเขาไฟที่กำลังพ่นควันอยู่ (Active Vocanoes) ขณะนั้นเบื้องล่างของภูเขาไฟมีแมกมาที่พร้อมจะส่งลาวา และเถ้าถ่านออกมาเมื่อไรก็ได้
2. ภูเขาไฟที่ดับแล้วแต่ยังสามารถระเบิดได้(Dominate Volcanoes) ขณะนี้ดับแต่จะระเบิดขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ เช่น ภูเขาฟูจียามาในญี่ปุ่น พินาตู ภูเขาเหล่านี้มีประวัติการระเบิดมาแล้ว และมีอายุต่ำกว่าแสนปี
3. ภูเขาไฟที่ดับสนิท (Extinct Volcanoes) เป็นภูเขาที่ไม่มีโอกาสระเบิดขึ้นมาอีก ใต้พิภพนั้นไม่มีจุดที่ร้อนมาก เปลือกโลกบริเวณนั้นสงบ และอยู่ในสภาวะเสถียร เช่น ภูเขาพนมรุ้งที่ตัวประสาทหินพนมรุ้งตั้งอยู่ หรือคอกหินฟู อ.แม่เมาะ จังหวัดลำปาง การพุ่งขึ้นมาของลาวามีผลทำให้ได้ภูเขาที่มีรูปทรงลักษณะต่าง ๆ เช่น
Shield Volcanoes มีรูปทรงเป็นเนินเตี้ย ๆแบบกะทะคว่ำ เนื่องจากลาวาที่ถูกพ่นออกมาอาจจะเป็นหนึ่งหรือหลาย ๆปล่องในกลุ่มบริเวณเดียวกันที่เรียกว่า Fissure eruption การระเบิดไม่รุนแรง ลาวาไหลเอ่อออกมาแผ่กระจาย อาจซ้อนกันหลาย ๆชั้นก็ได้ ลาวาจะไม่ข้นหรือหนืดมากแต่เหลวจัด
Cone or dome มีลักษณะเป็นภูเขาพูนสูงขึ้นเป็นรูปโดมหรือกรวย อาจมีปล่องตรงกลางหรือไม่ก็ได้ ขณะที่ลาวาแข็งตัวกลายเป็นหินอุดปล่องเอาไว้จนเต็ม ภูเขาไฟลักษณะนี้เกิดจากการพอกพูนของลาวาเนื้อข้นหรือหนืดมาก ลาวาที่ไหลออกมาจึงไม่ไหลแผ่ออก
Cinder cone เป็นภูเขาไฟที่สองข้างลาดชันขึ้นเป็นรูปกรวยสมมาตร เกิดจากการพอกพูนตัวของวัสดุเถ้าถ่านหรือเศษหินที่ถูกพ่นออกมาแล้วตกลงรอบ ๆปล่อง พอกพูนทีละชั้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ
Composite volcanoes เป็นภูเขาไฟที่เกิดจากชั้นสลับกันของลาวา และเถ้าถ่าน มักมีลักษณะเป็นปล่องมากกว่าหนึ่งแตกแขนงออกไผ เช่น ภูเขาไฟปอมเปอิ ของอิตาลี เกิดจากรอยร้าวหลาย ๆรอยเชื่อมต่อกันถึงแล้วลาวาแทรกเข้าไป แนวภูเขาไฟในโลกจะปรากฏเป็นแนวยาว แนวที่สำคัญคือ บริเวณรอบมหาสมุทรแปซิฟิก หรือที่เรียกว่า วงแหวนแห่งไฟรอบมหาสมุทรแปซิฟิก (Pacific Ring of Fire) แนวภูเขาไฟของโลกจะเป็นแนวเดียวกันกับแนวที่เกิดแผ่นดินไหวบ่อย ๆ ทั้งสองแนวจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจน สำหรับประเทศไทยไม่ได้ตั้งอยู่ในแนวทั้งสองจึงไม่ค่อยมีปรากฏการณ์ ภูเขาไฟระเบิด หรือแผ่นดินไหว