ประวัติศาสตรไทย
รัชกาลที่ 5 “พระจุลมงกุฎ หรือพระเกี้ยว” เป็นตรางา ลักษณะกลมรี กว้าง 5.5 ซม. ยาว 6.8 ซม. มีรูปพระเกี้ยว ยอดมีรัศมีประดิษฐานบนพานทอง 2 ชั้น (หมายถึงพระเกี้ยวเจ้าฟ้าในคราวโสกัณฑ์) เคียงด้วยฉัตรปริวาร 2 ข้าง ที่ริมขอบทั้ง 2 ข้าง มีพานทอง 2 ชั้น วางพระแว่นสุริยกานต์ หรือเพชรข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่ง วางสมุดตำรา (เป็นการเจริญรอยจำลองพระราชสัญจกร ของรัชกาลที่ 4) รัชกาลที่ 6 “มหาวชิราวุธ” เป็นตรางา ลักษณะกลมรี กว้าง 5.5 ซม. ยาว 6.8 ซม. รูปวชิราวุธ มีรัศมีประดิษฐานบนพานทอง 2 ชั้น ตั้งอยู่เหนือตั้ง มีฉัตรปริวาร 2 ข้าง (รูปตรานี้ใช้ตามพระนามของพระองค์) รัชกาลที่ 7 “พระไตรศร” เป็นตรางา ลักษณะกลมรี กว้าง 5.4 ซม. ยาว 6.7 ซม. รูปราวพาดพระแสงศร 3 องค์ คือพระแสงศรพรหมศาสตร์, พระแสงศรอัคนีวาต และพระแสงศรประลัยวาต (เป็นศรของพระพรหม, พระนารายณ์และของพระอิศวร ซึ่งใช้ตามความหมายของพระนามเดิมคือ “ประชาธิปกศักดิเดชน์” คำว่า “เดชน์” แปลว่า “ลูกศร”) เบื้องบนมีรูปพระแสงจักรและพระแสงตีคูล อยู่ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ มีบังแทรกตั้งอยู่ 2 ข้าง มีลายกระหนกแทรกอยู่ระหว่างพื้น รัชกาลที่ 8 “รูปพระโพธิสัตว์” เป็นตรางา ลักษณะกลมศูนย์กลางกว้าง 7 ซม. รูปพระโพธิสัตว์ประทับบน บัลลังก์ดอกบัวห้อยพระบาทขวาเหยียบบัวบาน พระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัวตูม มีเรือนแก้วด้านหลังแท่นรัศมี มีแท่น รองรับตั้งฉัตร บริวาร 2 ข้าง (รูปพระโพธิสัตว์นี้เดิมเป็นตราประจำในพระราชวังดุสิต) รัชกาลที่ 9 “พระแท่นอัฏทิศ อุทุมพรราชอาสน์” เป็นตรางา ลักษณะรูปไข่ กว้าง 5 ซม. สูง 6.7 ซม. รูป พระที่นั่งอัฎทิศประกอบด้วยวงจักร กลางวงจักรมีอักขระ “อุ” รอบ ๆ มีรัศมี (วันบรมราชาภิเษกได้เสด็จได้เสด็จ ประทับที่นั่งอัฎทิศ)