• user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:1579049fc74e93642cd98c54ebc21d02' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p align=\"center\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><strong><u><span style=\"background-color: #ffff00\"><span style=\"background-color: #ff9900; color: #000000\">การสังเคราะห์ด้วยแสง</span></span></u></strong> </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">           ก็ได้ทราบกันอยู่แล้วว่าว่าพืชมีหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ  สามารถนำพลังงานแสงมาตรึงคาร์บอนไดออกไซด์<br />\n์และสร้างเป็นอาหารเก็บไว้ในรูปสารอินทรีย์ โดยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง  นอกจานี้ยังทราบอีกว่าในใบพืช<br />\nมีคลอโรฟิลล์  ซึ่งจำเป็นต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง  และผลผลิตที่ได้คือ  คาร์โบไฮเดรต น้ำ และออกซิเจน<br />\nและยังได้ทราบว่าพืชมีโครงสร้างที่เหมาะสมต่อการทำงานได้อย่างไร </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><u><strong>กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง</strong></u> </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช แบ่งเป็น 2 ขั้นตอนใหญ่ คือ ปฏิกิริยาแสงและปฏิกิริยาตรึงคาร์บอนไดออกไซด์  </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<u><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><strong>โครงสร้างของคลอโรพลาสต์</strong> </span></span></span></span></u>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<br />\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">         จากการที่ศึกษาด้วยการใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตอนและเทคนิคต่างๆ  ทำให้เราทราบรายละเอียดเกี่ยวกับ<br />\nโครงสร้างและหน้าที่ของคลอโรพลาสต์มากขึ้น  คลอโรพลาสต์ส่วนใหญ่ของพืชจะมีรูปร่างกลมรี   มีความยาวประมาณ<br />\n5 ไมโครเมตร  กว้าง 2ไมโครเมตร หนา1-2 ไมโครเมตร  ในเซลล์ของแต่ละใบจะมีคลอโรพลาสต์มากน้อย<br />\nแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์และชนิดของพืช </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"></span></span></span></span>\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><img height=\"150\" width=\"218\" src=\"/files/u27232/tylakoid.jpg\" border=\"0\" /> </span></span></span></span>\n</div>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">         คลอโรพลาสต์ ประกอบด้วยเยื่อหุ้ม 2 ชั้น ภายในมีของเหลวเรียกว่า สโตรมา  มีเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับ<br />\nกระบวนการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ในการสังเคราะห์ด้วยแสงนอกจากนี้ด้านในของคลอโรพลาสต์ <br />\nยังมีเยื่อไทลาคอยด์   ส่วนที่พับทับซ้อนไปมาเรียกว่า กรานุม  และส่วนที่ไม่ทับซ้อนกันอยู่เรียกว่า<br />\nสโตรมาลาเมลลา สารสีทั้งหมดและคลอโรฟิลล์จะอยู่บนเยื่อไทลาคอยด์มีช่องเรียก ลูเมน ซึ่งมีของเหลวอยู่ภายใน </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">        นอกจากนี้ภายในคลอโรพลาสต์ยังมี DNA RNA และไรโบโซมอยู่ด้วย  ทำให้คลอโรพลาสต์สามารถ<br />\nจำลองตัวเองขึ้นมาใหม่และผลิตเอนไซม์ไว้ใช้ในคลอโรพลาสต์ในคลอโรพลาสต์เองได้คล้ายกับไมโทคอนเดรีย<br />\n</span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><u><strong><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"></span></span></span></strong></u></span></p>\n<!--pagebreak--><!--pagebreak-->\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><u><strong>สารสีในปฏิกิริยาแสง</strong></u> </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            เราสามารถพบได้ว่าสาหร่ายสไปโรไจราสังเคราะห์ด้วยแสงได้ดีที่แสงสีน้ำเงินและแสงสีแดง </span></span></span></span>\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><img height=\"73\" width=\"98\" src=\"/files/u27232/CAY7W92V.jpg\" border=\"0\" style=\"width: 122px; height: 91px\" /> </span></span></span></span>\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">สาหร่ายสไปโรไจรา </span></span></span></span>\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">ที่มา : </span></span></span><a href=\"http://server.thaigoodview.com/node/34147?page=0%2C0\" id=\"title\"><u><span style=\"color: #0000cc\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">http://server.thaigoodview.com/n...D0%252C0</span></span></span></span></u></a></span><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"> </span></span></span>\n</div>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            สารสีที่พบในสิ่งมีชีวิตที่สังเคราะห์แสงมีได้หลายชนิด   พืชและสาหร่ายซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทยูคาริโอต<br />\nสารสีต่างๆจะอยู่ในคลอโรพลาสต์  แต่ไซยาโนแบคทีเรียและกรีนแบคทีเรียจะพบสารสีต่างๆ  และศูนย์กลาง<br />\nปฏิกิริยาแสงแทรกอยู่ในเยื่อหุ้มเซลล์ หรือองค์ประกอบอื่นที่เปลี่ยนแปลงมาจากเยื่อหุ้มเซลล์  <br />\nโดยมีส่วนของเยื่อหุ้มเซลล์ที่ยื่นเข้าไปในไซไทพลาซึมทำหน้าที่แทนเยื่อชั้นในของคลอโรพลาสต์ </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดที่สังเคราะห์แสงได้  มีสารสีอยู่หลายประเภท ซึ่งเราได้พบว่า  พืชและสาหร่ายสีเขียว<br />\nมีคลอโรฟิลล์ 2 ชนิด คือ  คลอโรฟิลล์ เอ และคลอโรฟิลล์ บี  นอกจากคลอโรฟิลล์แล้วยังมีแคโรทีนอยด์ <br />\nและพบว่าสาหร่ายบางชนิดมี ไฟโคบิลิน </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            แคโรทีนอยด์เป็นสารประกอบประเภทไขมัน  ซึ่งประกอบไปด้วยสาร 2 ชนิด คือ  แคโรทีน   เป็นสารสีแดง<br />\nหรือสีส้ม และแซนโทฟิลล์  เป็นสารสีเหลืองหรือสีน้ำตาล  แคโรทีนอยด์มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด  ที่สังเคราะห์<br />\nด้วยแสงได้ในพืชชั้นสูงพบว่าสารสีเหล่าสนี้อยู่ในคลอโรพลาสต์ </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            ไฟโคบิลิน  มีในสาหร่ายสีแดงและไซยาโนแบคทีเรีย  ซึ่งไฟโคบิลินประกอบด้วยไฟโคอีรีทริน<br />\nซึ่งดูดแสงสีเหลืองและเขียว  และไฟโคไซยานินที่ดูดแสงสีเหลืองและสีส้ม </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            สารเหล่านี้ทำหน้าที่รับพลังงานแสงแล้วส่งต่อให้คลอโรฟิลลล์ เอ ที่เป็นศูนย์กลางปฏิกิริยาของระบบแสง<br />\nอีกต่อหนึ่ง   กลุ่มสารสีที่ทำหน้าที่รับพลังงานแล้วส่งต่ออีกทีให้คลอโรฟิลล์ เอ  ซึ่งเป็นศูนย์กลางของปฏิกิริยาเรียกว่า<br />\nแอนเทนนา </span></span></span></span></p>\n<!--pagebreak--><!--pagebreak-->\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            สิ่งที่น่าสงสัยคือ  มีการส่งต่อพลังงานแสงจากโมเลกลุของสารีต่างๆไปยังคลอโรฟิลล์ เอ ที่เป็นศูนย์กลาง<br />\nของปฏิกิริยาของได้ได้อย่างไร </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ไปรอบๆ นิวเคลียสของอะตอมของสารสีมีอยู่หลายระดับ   อิเล็กตรอนเหล่านี้สามารถ<br />\nเปลี่ยนแปลงระดับได้ ถ้าได้รับพลังงานที่เหมาะสม  เมื่อโมเลกุลของสารสีดูดพลังงานจากแสง ทำให้อิเล็กตรอน<br />\nเคลื่อนที่อยู่ในสภาพปกติ  ถูกกระตุ้นให้มีพลังงานมากขึ้น  อิเล็กตรอนจะเคลื่อนไปอยู่ที่ระดับนอก<br />\nู่ </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            อิเล็กตรอนที่ถูกกระตุ้นจะอยู่ในสภาพเร่งเร้า สภาพเช่นนี้ไม่คงตัว    อิเล็กตรอนจะถ่ายทอดพลังงานเร่งเร้า<br />\nจากโมเลกุลสารสีหนึ่งไปยังโมเลกุลของสารสีอื่นๆต่อไป </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            อิเล็กตรอนเมื่อถ่ายทอดพลังงานไปแล้วก็จะคืนสู่ระดับปกติ  โมเลกุลของคลอโรฟิลล์เอ  ก็จะได้รับพลังงาน<br />\nโมเลกุลที่ถ่ายทอดมาจากสารสีต่างๆ  รวมทั้งโมเลกลุของคลอโรฟิลล์ เอ  ก็ได้รับพลังงานแสงเองอีกด้วย  <br />\nเมื่อคลอโรฟิลล์ เอ ที่เป็นศูนย์กลางของปฏิกิริยาได้รับพลังงานที่เหมาะสม จะทำให้อิเล็กตรอนหลุดจากโมเลกุล  <br />\nอิเล็กตรอนที่หลุดออกมานี้จะมีสารรับอิเล็กตรอน  ที่ค้นพบว่า NADP เป็นสารที่มารับอิเล็กตรอนในภาวะที่มีคลอโรพลาสต์<br />\nและกลายเป็น NADPH  </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            ที่เยื่อไทลาคอยด์จะมีกกลุ่มของสารสี เรียกว่าแอนเทนนาแต่ละหน่วยประกอบด้วยสารสีต่างๆ ประมาณ 300 <br />\nโมเลกุล สารสีอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบของแอนเทนนาจะได้รับพลังงานแสงแล้วถ่ายทอดไปตาลำดับคลอโรฟิลล์ เอ <br />\nที่เป็นศูนย์กลางของปฏิกิริยา </span></span></span></span></p>\n<!--pagebreak--><!--pagebreak-->\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            ระบบแสง ประกอบด้วยโปรตีนตัวรับอิเล็กตรอน ตัวถ่ายทอดอิเล็กตรอน และแอนเทนนา ระบบแสงI หรือ<br />\nPSI เป็นระบบแสงที่มีคลอโรฟิลล์ เอ ซึ่งเป็นศูนย์กลางปฏิกิริยารับ พลังงานแสงได้ดีที่สุดที่ความยาวคลื่น 700 <br />\nนาโนเมตร  จึงเรียกว่า P700 และรับบแสงII หรือ PS II ซึ่งมีคลอโรฟิลล์ เอ ที่เป็นศูนย์กลางปฏิกิริยารับพลังงานแสง<br />\nได้ดีที่สุดที่ความยาวคลื่น 680 นาโนเมตร เรียกปฏิกิริยาแสงนี้ว่า P680 </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><u><strong>ปฏิกิริยาแสง</strong></u> </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">    พืชดูดกลืนแสงไว้ในคลอโรพลาสต์ ในขั้นตอนที่เรียกว่า  ปฏิกิริยาแสงให้เป็นพลังงานเคมีที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ในรูป <br />\nATP และ NADPH  </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            บนเยื่อไทลาคอยด์จะมีระบบแสง I ระบบแสง II และโปรตีนทำหน้าที่รับและถ่ายทอดอิเล็กตรอนอยู่ <br />\nซึ่งจำลองการจัดเรียงตัว </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            พลังงานแสงที่สารต่างๆ ดูดกลืนไว้จะทำให้อิเล็กตรอนของสารสีมีระดับพลังงานสูงขึ้น  และสามารถ่ายทอด<br />\nไปได้หลายรูปแบบ  สารสีในแอนเทนนาจะมีการท่ายทอดพลังงานที่ดูดกลืนไว้ จากสารสีโมเลกุลหนึ่งไปยังสารสีอีก<br />\nโมเลกุลหนึ่ง จนกระทั่งโมเลกุลของคลอดรฟิลล์ เอ  ที่เป็นศูนย์กลางของระบบปฏิกิริยาแสง พลังงานดังกล่าว<br />\nจะกระตุ้นให้อิเล็กตรอนของคลอโรฟิลล์ เอ มีพลังงานสูงขึ้น  และถ่ายทอดอิเล็กตรอนไปยังตัวรับอิเล็กตรอน<br />\nเป็นการเปลี่ยนปลังงานสงให้มาอยู่ในรูปของพลังงานเคมี  นอกจากนี้พลังที่ถูกดูดกลืนไว้อาจเปลี่ยนมาอยู่ในรูป<br />\nของพลังงานความร้อน  การถ่ายทอดอิเล็กตรอนเกิดได้ 2 ลักษณะ  คือการถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร<br />\nและการถ่ายทออิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักร </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><u><strong>ถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร</strong></u> </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"></span></span></span></span>\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><img height=\"180\" width=\"288\" src=\"/files/u27232/p1.jpg\" border=\"0\" /> </span></span></span></span>\n</div>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"></span></span></span></span></p>\n<!--pagebreak--><!--pagebreak-->\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">     พลังงานสงที่สสารสีรับไว้ถูกส่งผ่านไปยังปฏิกิริยาของระบบแสง และทำให้โมเลกุลของคลอโรฟิลล์ เอ <br />\nที่ระบบแสง I และระบบแสง II   ถูกระตุ้นจึงปล่อยอิเล็กตรอนให้กับโมเลกุลของสารที่เป็นตัวรับอิเล็กตรอนต่อไป<br />\nอิเล็กตรอนที่หลุดออกไปจากคลอโรฟิลล์ เอ ในระบบแสง I จะไม่ย้อนกลับสู้ระบบแสงI อีกครั้ง เพราะมีNADP<br />\nมารับอิเล็กตรอนกลายเป็น NADPH สำหรับคลอดรฟิลล์ เอ ในระบบแสง II สุญเสียอิเล็กตรอนไปมีผลให้สามารถ<br />\nดึงอิเล็กตรอนของน้ำออกมาแทนที่ ซึ่งทำให้โมเลกุลของนำแยกสลายเป็นออกซิเจนและโปรตอน </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            อิเล็กตรอนที่ถูกถ่ายทอดในลำดับต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นทำให้เกิดการสะสมโปรตอนในลูเมนจนเกิด<br />\nความแตกต่างของระดับโปรตอนระหว่างสโตรมากับลูเมน  โปรตอนในลูเมนจะถูกส่งผ่านไปยังสโตรมา<br />\nโดยการทำงานของATP ขึ้นในสโตรมา  และมีการปล่อยโปรตอนจากลูเมนสู่สโตรมา  </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"> การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักร </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">         เป็นการถ่ายทอดอิเล็กตรอนที่เกิดขึ้น เมื่อระบบแสงIได้รับพลังงานแสง สารสีในระบบแสง I <br />\nจะรับพลังงานแสงถ่ายทอดพลังงานไปยังคลอโรฟิลล์ เอ ที่เป็นศูนย์กลางของปฏิกิริยา ทำให้อิเล็กตรอนของ<br />\nคลโรฟิลล์ เอมีพลังงานสูงขึ้นจึงหลุดออกมาซึ่งจะมีตัวรับอิเล็กตรอนแล้วถ่ายทอดออกมายังระบบไซโทโครม<br />\nคอมเพล็กซ์  จากนั้นจะส่งผ่านตัวนำอิเล็กตรอนต่างๆ อิเล็กตรอนก็จะกลับมายังคลอโรฟิลล์ ที่เป็นศูนย์กลาง<br />\nของปฏิกิริยา ของระบบแสง I อีกครั้งหนึ่ง ในการเคลื่อนย้ายอิเล็กตรอนครั้งนี้จะทำให้โปรตอนเคลื่อนย้าย<br />\nจากสโตรมาเข้าสู่ลูเมนเป็นผลทำให้เกิดความแตกต่างความเข้มข้นของโปรตอนระหว่างลูเมนกับสโตรมา<br />\nและเมื่อสะสมมากขึ้น เป็นแรงผลักดันให้เกิดการสังเคราะห์ ATP โดยไม่มี NADPH และออกซิเจน เกิดขึ้น </span></span></span></span></p>\n<!--pagebreak--><!--pagebreak-->\n<p align=\"left\">\n<br />\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><u><strong>ปฏิกิริยาตรึงคาร์บอนไดออกไซด์</strong></u> </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"></span></span></span></span>\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><img height=\"250\" width=\"317\" src=\"/files/u27232/calvin.jpg\" border=\"0\" style=\"width: 346px; height: 268px\" /> </span></span></span></span>\n</div>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">การสังเคราะห์แสงของพืชมีกระบวนการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อสร้างสารประกอบคาร์โบไฮเดรต </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            จากการทดลองของคัลวินและคณะสันนิษฐานว่า  น่าจะมีสารประกอบคาร์บอน 2 อะตอม  ซึ่งเมื่อรวมตัว<br />\nกับคาร์บอนไดออกไซด์ จะได้ PGA แต่หลังจากการค้นหาไม่ค้นพบสารประกอบที่มีคาร์บอน 2 อะตอม<br />\nอยู่เลย  เขาจึงตรวจหาสารประกอบใหม่ที่จะมีมารวมกับ CO เป็น PGA จากการตรวจสอบพบสารประกอบ<br />\nจำพวกน้ำตาลที่มีคาร์บอน 5 อะตอม  คือ ไรบูโลสบิสฟิสเฟต  เรียกย่อๆว่า RuBP เมื่อรวมตัวกับ<br />\nคาร์บอนไดออกไซด์เกิดเป็นสารประกอบตัวใหม่ที่มีคาร์บอน 6 อะตอม  แต่สารนี้ไม่อยู่ตัว <br />\nจะสลายกลายเป็นสารประกอบที่มีคาร์บอน 3 อะตอม  คือ PGA จำนวน 2 โมเลกุล </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            <span style=\"color: #000000\">นอกจากนี้คัลวินและคณะ ได้พบปฏิกิริยาเหล่านี้ เกิดหลายขั้นตอนต่อเนืองไปเป็นวัฏจักร<br />\nในปัจจุบันเรียกวัฏจักรของปฏิกิริยานี้ว่า  วัฏจักรคัลวิน </span></span></span></span></span></p>\n<!--pagebreak--><!--pagebreak-->\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            การตรึงคาร์บอนไดออกไซด์นี้เป็นกระบวนการที่พืชนำพลังงานเคมีที่ได้จากปฏิกิริยาแสงในรูป<br />\nATP และADPH มาใช้ในการสร้างสารอินทรีย์  คาร์บอนไดออกไซด์จะถูกรีดิวส์เป็นน้ำตาลไตรโอสฟอสเฟต<br />\nในวัฏจักรคัลวิน  วัฏจักรคัลวินเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในสโตรมาของคลอโรพลาสต์ ประกอบ 3 ขั้นตอนใหญ่ <br />\nคือ คาร์บอกซิเลชัน  รีดักชันและ รีเจเนอเรชัน </span></span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">          <strong>  ปฏิกิริยาขั้นที่ 1 คาร์บอกซิเลชัน</strong>  เป็นปฏิกิริยาตรึงคาร์บอนไดออกไซด์  คาร์บอนไดออกไซด์จะเข้า<br />\nสู่วัฏจักรคัลวินโดยการทำปฏิกิริยากับ RuBP มีเอนไซม์ไรบูโลส บิสฟอสเฟต คร์บอกซิเลส ออกจีเจเนส  <br />\nเรียกย่อๆว่า รูบิสโก เป็นคะตะลิสต์  เมื่อ RuBP ซึ่งเป็นสารที่มีคาร์บอน 5 อะตอม  เข้ารวมกับคาร์ไดออกไซด์<br />\n์ได้สารประกอบใหม่ที่มีคาร์บอน 6 อะตอม  เป็นสารที่ไม่คงตัวและจะเปลี่ยนเป็นสารประกอบ ฟอสโฟกลีเซอเรต  <br />\nมีคาร์บอน 3 อะตอม จำนวน 2 โมเลกุล  ซึ่งถือได้ว่าเป็นสารประกอบที่มีคาร์บอนตัวแรกที่คงตัวในวัฏจักรคัลวิน </span></span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            <strong>ปฏิกิริยาขั้นที่ 2 รีดักชัน</strong> ในขั้นตอนนี้แต่ละโมเลกุลของ PGA จะรับหมู่ฟอสเฟตจาก ATP กลายเป็น 1,3</span></span></span></span></span><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">บิสฟอสโฟกลี<br />\nเซอเรต ซึ่งรับอิเล็กตรอนจาก NADPH และถูกเปลี่ยนเป็น กลีเซอรัลดีไฮด์ 3-ฟอสเฟต  เรียกย่อๆว่า<br />\nG3P หรือ PGAL เป็นน้ำตาลคาร์บอน 3 อะตอม </span></span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            <strong>ปฏิกิริยาขั้นที่ 3 รีเจเนอเรชัน</strong>  เป็นขั้นตอนที่จะสร้าง RuBP ขึ้นมาใหม่ เพื่อกลับไปรับคาร์บอนไดออกไซด์<br />\nอีกครั้งหนึ่ง  ในการสร้างRuBP ขึ้นมาใหม่  เพื่อกลับไปรับคาร์บอนไดออกไซด์อีกครั้งหนึ่ง ในการสร้าง RuBP <br />\nซึ่งมีคาร์บอน 5 อะตอมซึ่งต้องอาศัย G3P ซึ่งเป็นสารที่มีคาร์บอน 3 อะตอม จึงเปลี่ยนไปเป็น RuBP และขั้นตอนนี้ <br />\nต้องอาศัยพลังงานจาก ATP จากปฏิกิริยาแสง ส่วน G3P บางโมเลกุลถูกนำไปสร้างกลูโคส และสารประกอบอินทรีย์อื่นๆ </span></span></span></span></span></p>\n<!--pagebreak--><!--pagebreak-->\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #008000\">      <span style=\"color: #000000\">      พืชที่สังเคราะห์ด้วยแสงมีสารประกอบคงตัวชนิดแรกที่ได้จากปฏิกิริยาการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์เป็นสารที่ม</span></span><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\">ีคาร์บอน 3 อะตอม เรียกว่าพืช C3 </span></span></span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">         น้ำตาลที่ได้จากวัฏจักรคัลวินถูกนำไปสร้างเป็นน้ำตาลไดแซ็กคาไรด์ เช่น ซูโครส  เพื่อลำเลียงไปสู่ส่วนต่างๆ<br />\nที่พืชต้องการจะใช้ต่อไป  หรืออาจจะถูกเก็บสะสมไว้ในรูปของเม็ดแป้งในคลอโรพลาสต์หรือนำไปใช้ในกระบวนการ<br />\nอื่นๆภายในเซลล์ เช่น กระบวนการสลายอาหาร การสร้างสารอินทรีย์อื่นๆ  เช่น กรดไขมัน กรดอะมิโน </span></span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            ปฏิกิริยาตรึงคาร์บอนไดออกไซด์เป็นปฏิกิริยาที่ไม่จำเป็นต้องใช้แสงจริงหรือไม่  ในอดีตเรียกว่า<br />\nปฏิกิริยาที่ไม่ใช้แสง เราคิดว่าไม่ต้องใช้แสง  แต่ปัจจุบันพบว่าแสงมีบทบาทที่สำคัญ  ซึ่งการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์<br />\nจะเริ่มต้นหลังจากพืชได้รับแสงช่วงหนึ่ง   อัตราการสังเคราะห์แสงจะเร่อมตามระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น  เนืองจากแสง<br />\nกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์หลายชนิดที่ใช้ในวัฏจักรคัลวิน  เช่น  เอนไซม์รูบิสโก  นอกจากนี้แสงยังมีอิทธิพล<br />\nต่อการลำเลียงสารประกอบคาร์บอน 3 อะตอม ออกจากคลอโรพลาสต์  และมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนที่ของไอออนต่างๆ </span></span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\">            สรุปโดยย่อการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชประกอบด้วย 2 ส่วนใหญ่ ได้แก่ กระบวนการเปลี่ยนพลังงานแสง<br />\nให้เป็นพลังงานแคมีโดยการสร้าง ATPและNADPH ด้วยปฏิกิริยา จากนั้นจะนำ ATPและ NADPH มาใช้ใน<br />\nปฏิกิริยาการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อสร้างสารประกอบคาร์โบไฮเดรต</span></span> </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"></span></span></span><span style=\"color: #0000ff\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"></span></span></span></span></p>\n<hr id=\"null\" />\n\n\n<!--pagebreak--><!--pagebreak--><p align=\"center\">\n<strong><u>พืช C3 / พืช C4</u></strong>\n</p>\n<p>\n        พืช C3 เป็นพืชที่มีระบบการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย Calvin Cycle เพียงอย่างเดียว จะเห็นได้ว่าใน Calvin Cycle สารอินทรีย์ตัวแรกที่เกิดขึ้นจากการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์คือ PGA จึงเป็นสารที่มีคาร์บอน 3\n</p>\n<p>\n        อะตอม เราจึงเรียกพืชกลุ่มนี้ว่า พืช C3\n</p>\n<p>\n        พืช C3 นี้เป็นพืชกลุ่มใหญ่ที่สุด มีจำนวนชนิดมากว่าพืช C4 พืชที่เป็นพืช C3 ได้แก่ ข้าว ข้าวสาลี ถั่ว เป็นต้น โครงสร้างภายในของใบจะประกอบด้วย mesophyll cell 2 แบบ คือ palisade mesophyll และ spongy mesophyll และมีกลุ่มเนื้อเยื่อลำเลียงแทรกอยู่ อาจมีกลุ่มเซลล์ล้อมรอบกลุ่มท่อลำเลียง ซึ่งเรียกว่า bundle sheath cell หรือไม่ก็ได้ การเกิดการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย Calvin Cycle จะเกิดขึ้นที่ mesophyll cells เป็นหลัก\n</p>\n<p align=\"center\">\n<em>ข้าว</em>\n</p>\n<p style=\"text-align: center\">\n<img height=\"302\" width=\"400\" src=\"/files/u27232/ricee.jpg\" border=\"0\" style=\"width: 250px; height: 168px\" />\n</p>\n<p align=\"center\">\nที่มา : <a href=\"http://www.oknation.net/blog/ope...ng/page2\">http://www.oknation.net/blog/ope...ng/page2</a>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<em>ข้าวสาลี</em>\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img height=\"480\" width=\"347\" src=\"/files/u27232/311_1__Small_.jpg\" border=\"0\" style=\"width: 188px; height: 158px\" />\n</div>\n<p align=\"center\">\nที่มา : <a href=\"http://www.rakbankerd.com/agricu...Dtblrice\">http://www.rakbankerd.com/agricu...Dtblrice</a> \n</p>\n<p align=\"center\">\n<em>ถั่ว</em>\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img height=\"375\" width=\"500\" src=\"/files/u27232/1230984304__Custom_.jpg\" border=\"0\" style=\"width: 210px; height: 192px\" />\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\nที่มา : <a href=\"http://www.bloggang.com/viewdiar...log%3D23\">http://www.bloggang.com/viewdiar...log%3D23</a>\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n</div>\n<div align=\"left\" style=\"text-align: center\">\n</div>\n<div align=\"left\" style=\"text-align: center\">\n<!--pagebreak--><!--pagebreak--><p> \n</p></div>\n<div align=\"left\" style=\"text-align: center\">\nพืช C4 มักเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตศูนย์สูตร เช่น ข้าวโพด อ้อย และบานไม่รู้โรย พืชกลุ่มนี้มีโครงสร้างภายในของใบที่เด่นชัดคือ จะมี bundle sheath cells ที่มีคลอโรพลาสต์ล้อมรอบกลุ่มท่อลำเลียง พืชพวกนี้จะมีการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ 2 ครั้ง โดยครั้งแรกตรึงที่ mesophyll cell โดยมีตัวมารับ CO2 คือ phosphoenol pyruvate (PEP) ได้เป็นสารประกอบคาร์บอน 4 อะตอม (อันเป็นที่มาของชื่อว่า พืช C4) คือ กรดออกซาโลเอซิติก (oxaloacetic acid) (OAA) แล้วถูกเปลี่ยนเป็น malic acid ก่อนจะเคลื่อนที่เข้าสู่ bundle sheath cell เมื่อถึง bundle sheath cell สาร C4 จะถูกเปลี่ยนเป็นสาร C3 + CO2 ในคลอโรพลาสต์ที่ bundle sheath cell ซึ่ง CO2 ก็จะเข้าสู่ Calvin Cycle ต่อไป ส่วนสาร C3 ก็จะถูกนำกลับมายัง mesophyll cell เพื่อเปลี่ยนเป็น PEP สำหรับการตรึง CO2 ครั้งต่อไป ด้วยระบบเช่นนี้ จึงทำให้ความเข้มข้นของ CO2 บริเวณ bundle sheath cell มีความเข้มข้นสูงขึ้นกว่าบริเวณ mesophyll ของพืช C3\n</div>\n<blockquote><p align=\"left\" style=\"text-align: center\">\n &nbsp;\n </p>\n<p align=\"left\" style=\"text-align: center\">\n <em>ข้าวโพด</em>\n </p>\n<p align=\"left\" style=\"text-align: center\">\n  <img height=\"449\" width=\"500\" src=\"/files/u27232/corn5__Custom_.jpg\" border=\"0\" style=\"width: 247px; height: 219px\" />\n </p>\n<p align=\"left\" style=\"text-align: center\">\n ที่มา : <a href=\"http://www.partford.com/index.ph...38853036\">http://www.partford.com/index.ph...38853036</a>\n </p>\n<p align=\"left\" style=\"text-align: center\">\n <em>อ้อย</em>\n </p>\n<p align=\"left\" style=\"text-align: center\">\n  <img height=\"600\" width=\"450\" src=\"/files/u27232/8_AD_E0_B9_89_E0_B8_AD_E0_B8_A2_201__Custom_.jpg\" border=\"0\" style=\"width: 190px; height: 233px\" />\n </p>\n<p align=\"left\" style=\"text-align: center\">\n ที่มา : <a href=\"http://www.kasetcity.com/Worldag...id%3D350\">http://www.kasetcity.com/Worldag...id%3D350</a>\n </p>\n<p align=\"left\" style=\"text-align: center\">\n <em> บานไม่รู้โรย</em>\n </p>\n<p align=\"left\" style=\"text-align: center\">\n <em><img height=\"320\" width=\"320\" src=\"/files/u27232/E0_B8_B9_E0_B9_89_E0_B9_82_E0_B8_A3_E0_B8_A2.jpg\" border=\"0\" style=\"width: 185px; height: 192px\" /></em>\n </p>\n<p align=\"left\" style=\"text-align: center\">\n <a href=\"http://www.eohho.com/%25E0%25B8%...a7870469\">http://www.eohho.com/%25E0%25B8%...a7870469</a>\n </p>\n<p align=\"left\" style=\"text-align: center\">\n  Cadit : <a href=\"http://www.sc.chula.ac.th/courseware/2305103/add_topics/add3/2_photosynthesis.html\">http://www.sc.chula.ac.th/courseware/2305103/add_topics/add3/2_photosynthesis.html</a>\n </p>\n</blockquote>\n', created = 1729402344, expire = 1729488744, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:1579049fc74e93642cd98c54ebc21d02' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:be7dee517f89c28814ff78e13eb5150d' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter-->\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            ระบบแสง ประกอบด้วยโปรตีนตัวรับอิเล็กตรอน ตัวถ่ายทอดอิเล็กตรอน และแอนเทนนา ระบบแสงI หรือ<br />\nPSI เป็นระบบแสงที่มีคลอโรฟิลล์ เอ ซึ่งเป็นศูนย์กลางปฏิกิริยารับ พลังงานแสงได้ดีที่สุดที่ความยาวคลื่น 700 <br />\nนาโนเมตร  จึงเรียกว่า P700 และรับบแสงII หรือ PS II ซึ่งมีคลอโรฟิลล์ เอ ที่เป็นศูนย์กลางปฏิกิริยารับพลังงานแสง<br />\nได้ดีที่สุดที่ความยาวคลื่น 680 นาโนเมตร เรียกปฏิกิริยาแสงนี้ว่า P680 </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><u><strong>ปฏิกิริยาแสง</strong></u> </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">    พืชดูดกลืนแสงไว้ในคลอโรพลาสต์ ในขั้นตอนที่เรียกว่า  ปฏิกิริยาแสงให้เป็นพลังงานเคมีที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ในรูป <br />\nATP และ NADPH  </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            บนเยื่อไทลาคอยด์จะมีระบบแสง I ระบบแสง II และโปรตีนทำหน้าที่รับและถ่ายทอดอิเล็กตรอนอยู่ <br />\nซึ่งจำลองการจัดเรียงตัว </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\">            พลังงานแสงที่สารต่างๆ ดูดกลืนไว้จะทำให้อิเล็กตรอนของสารสีมีระดับพลังงานสูงขึ้น  และสามารถ่ายทอด<br />\nไปได้หลายรูปแบบ  สารสีในแอนเทนนาจะมีการท่ายทอดพลังงานที่ดูดกลืนไว้ จากสารสีโมเลกุลหนึ่งไปยังสารสีอีก<br />\nโมเลกุลหนึ่ง จนกระทั่งโมเลกุลของคลอดรฟิลล์ เอ  ที่เป็นศูนย์กลางของระบบปฏิกิริยาแสง พลังงานดังกล่าว<br />\nจะกระตุ้นให้อิเล็กตรอนของคลอโรฟิลล์ เอ มีพลังงานสูงขึ้น  และถ่ายทอดอิเล็กตรอนไปยังตัวรับอิเล็กตรอน<br />\nเป็นการเปลี่ยนปลังงานสงให้มาอยู่ในรูปของพลังงานเคมี  นอกจากนี้พลังที่ถูกดูดกลืนไว้อาจเปลี่ยนมาอยู่ในรูป<br />\nของพลังงานความร้อน  การถ่ายทอดอิเล็กตรอนเกิดได้ 2 ลักษณะ  คือการถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร<br />\nและการถ่ายทออิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักร </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><u><strong>ถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร</strong></u> </span></span></span></span>\n</p>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"></span></span></span></span>\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"><img height=\"180\" width=\"288\" src=\"/files/u27232/p1.jpg\" border=\"0\" /> </span></span></span></span>\n</div>\n<p align=\"left\">\n<span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #008000\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"color: #000000\"></span></span></span></span></p>\n', created = 1729402344, expire = 1729488744, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:be7dee517f89c28814ff78e13eb5150d' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง

รูปภาพของ uns30254

            ระบบแสง ประกอบด้วยโปรตีนตัวรับอิเล็กตรอน ตัวถ่ายทอดอิเล็กตรอน และแอนเทนนา ระบบแสงI หรือ
PSI เป็นระบบแสงที่มีคลอโรฟิลล์ เอ ซึ่งเป็นศูนย์กลางปฏิกิริยารับ พลังงานแสงได้ดีที่สุดที่ความยาวคลื่น 700
นาโนเมตร  จึงเรียกว่า P700 และรับบแสงII หรือ PS II ซึ่งมีคลอโรฟิลล์ เอ ที่เป็นศูนย์กลางปฏิกิริยารับพลังงานแสง
ได้ดีที่สุดที่ความยาวคลื่น 680 นาโนเมตร เรียกปฏิกิริยาแสงนี้ว่า P680

ปฏิกิริยาแสง

    พืชดูดกลืนแสงไว้ในคลอโรพลาสต์ ในขั้นตอนที่เรียกว่า  ปฏิกิริยาแสงให้เป็นพลังงานเคมีที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ในรูป
ATP และ NADPH 

            บนเยื่อไทลาคอยด์จะมีระบบแสง I ระบบแสง II และโปรตีนทำหน้าที่รับและถ่ายทอดอิเล็กตรอนอยู่
ซึ่งจำลองการจัดเรียงตัว

            พลังงานแสงที่สารต่างๆ ดูดกลืนไว้จะทำให้อิเล็กตรอนของสารสีมีระดับพลังงานสูงขึ้น  และสามารถ่ายทอด
ไปได้หลายรูปแบบ  สารสีในแอนเทนนาจะมีการท่ายทอดพลังงานที่ดูดกลืนไว้ จากสารสีโมเลกุลหนึ่งไปยังสารสีอีก
โมเลกุลหนึ่ง จนกระทั่งโมเลกุลของคลอดรฟิลล์ เอ  ที่เป็นศูนย์กลางของระบบปฏิกิริยาแสง พลังงานดังกล่าว
จะกระตุ้นให้อิเล็กตรอนของคลอโรฟิลล์ เอ มีพลังงานสูงขึ้น  และถ่ายทอดอิเล็กตรอนไปยังตัวรับอิเล็กตรอน
เป็นการเปลี่ยนปลังงานสงให้มาอยู่ในรูปของพลังงานเคมี  นอกจากนี้พลังที่ถูกดูดกลืนไว้อาจเปลี่ยนมาอยู่ในรูป
ของพลังงานความร้อน  การถ่ายทอดอิเล็กตรอนเกิดได้ 2 ลักษณะ  คือการถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร
และการถ่ายทออิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักร

ถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม่เป็นวัฏจักร

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 391 คน กำลังออนไลน์