• user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:cabf2f6600fe3bcf76063ab3a21a8383' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p align=\"center\">\n<strong>เอกสารประกอบการเรียนรู้เรื่องยุคสมัยของดนตรีตะวันตกดนตรีในยุคกลาง (Middle Ages ค.ศ. ๑๐๐ – ๑๔๐๐)</strong>\n</p>\n<p>\n                ในยุคกลางนี้เกิดการแบ่งแยกชนชั้นเป็น ๓ กลุ่ม คือกลุ่มขุนนาง กลุ่มชาวบ้าน และกลุ่มนักบวช กลุ่มขุนนางจะดำรงชีวิตอยู่ในปราสาทราชวัง เวลามีศึกสงครามก็ออกไปรบ  ทิ้งให้พวกผู้หญิงดูแลบ้านเมือง ในเวลาปกติพวกขุนนางก็จะใช้เวลาไปในการเข้าป่าล่าสัตว์ ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะเป็นพวกชาวบ้านที่ยากจน ทำงานเป็นกรรมกรแบกหาม อย่างไรก็ตาม ทุกชนชั้นต่างก็อยู่ใต้อำนาจและอิทธิพลของโบสถ์โรมันคาทอลิก ต่างมีความเชื่ออย่างแรงกล้าในเรื่องนรกสวรรค์ นักบวชถือเป็นชนชั้นซึ่งเป็นที่เคารพยำเกรงของคนทั่วไป เพราะโบสถ์จะเป็นศูนย์กลางของความรู้ทั้งหลาย ในขณะที่ผู้คนในสมัยนั้นไม่สามารถอ่านออกเขียนได้\n</p>\n<p>\n                นักดนตรีในสมัยนั้นจะเป็นนักบวชหรือคนที่ทำงานอยู่ในโบสถ์ เด็กผู้ชายจะได้รับการศึกษาด้านดนตรีจะเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนา ผู้หญิงจะไม่ได้รับอนุญาตให้ร้องเพลงในโบสถ์ แต่สามารถร้องในคอนแวนต์ได้\n</p>\n<p>\n                ดนตรีที่เกิดขึ้นในยุคนี้จะเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนาเป็นส่วนใหญ่ ศาสนามีความเกี่ยวพันกับการดำรงชีวิตอยู่มาก เพลงสวดที่แต่งขึ้นเพื่อใช้ในพิธีศาสนาเรียกโดยรวมว่า เกรกอเรียน ชานท์ (Gregorian Chant) ซึ่งตั้งชื่อตามสันตะปาปา เกรกอรี่ที่ ๑ เพลงสวดนี้จะเป็นเพลงแนวเดียว หรือโมโนโฟนี ร้องโดยไม่มีเครื่องดนตรีเล่นประกอบ มีจังหวะที่อิสระ ไม่มีแบบแผน ภาษาของคำสวดเป็นภาษาละตินและร้องโดยนักบวช\n</p>\n<p>\n                นอกเหนือจาดนตรีที่ใช้ในพิธีกรรมแล้ว ชาวบ้านทั่วไปก็มีเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงทั่ว ๆ ไป เพลงพวกนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก ธรรมชาติ หรือเรื่องเล่าในอดีต\n</p>\n<p>\n                ทั่วประเทศอังกฤษจะพบนักดนตรีที่แต่งและร้องเพลงประเภทนี้ ซึ่งจะเป็นพวกที่เดินทางเร่ร่อนไปยังสถานที่ต่าง ๆ เราเรียกนักดนตรีกลุ่มนี้ว่า มินสเตรล หรือกลีแมน นอกจากนี้ในประเทศฝรั่งเศสจะพบนักดนตรีที่เรียกว่า ทรูบาดอร์ และทรูแวร์ ซึ่งมีแนวทางการแต่งเพลงคล้าย ๆ กัน ส่วนใหญ่ในประเทศเยอรมัน เพลงที่แต่งเพื่อความบันเทิงนี้จะแต่งโดยพวกที่เรียกว่า มินเนสซิงเกอร์ หรือ ไมสเตอร์ซิงเกอร์\n</p>\n<p>\n                ประมาณศตวรรษที่ ๙ ได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางดนตรีเกิดขึ้น กล่าวคือ เริ่มมีการแต่งดนตรีที่มีมากกว่า ๑ แนวเสียง หรือ โพลีโฟนี ทำให้ดนตรีเริ่มมีสีสีนเพิ่มขึ้น ซึ่งการคิดค้นนี้ได้นำไปสู่วิวัฒนาการอันยิ่งใหญ่ของดนตรีในยุคสมัยต่อ ๆ มา\n</p>\n<p>\n                ดนตรีประเภทแรกที่นำวิธีการแต่งแบบโพลีโฟนีมาใช้ คือ ดนตรีที่ใช้ในพิธีศาสนาที่เรียกว่า ออกานุม โดยจะเป็นการเติมแนวเสียงที่ ๒ ให้อยู่เหนือหรือใต้แนวทำนองของเพลงชานท์ แนวที่ ๒ นี้จะเคลื่อนที่ขนานเป็นขั้นคู่ ๔ หรือ คู่ ๕ กับแนวเพลงชานท์\n</p>\n<p>\n                ต่อมาการแต่งแนวที่ ๒ จะมีอิสระมากขึ้น คือไม่จำเป็นต้องเคลื่อนที่ขนานกับแนวเพลงชานท์ แต่สามารถเคลื่อนที่ขึ้นลง เป็นขั้นคู่ต่าง ๆ ได้\n</p>\n<p>\n                ดนตรีที่แต่งขึ้นเพื่อการบรรเลงโดยเฉพาะ ก็สามารถพบเห็นได้ในยุคกลาง ส่วนมากจะเป็นการใช้เครื่องดนตรีเล่นขนานไปกับแนวร้องหรือเป็นการบรรเลงประกอบการเต้นรำ เครื่องดนตรีที่นิยมกันส่วนมากจะเป็นเครื่องสายและเครื่องเป่า\n</p>\n<p>\n                ในยุคกลางนี้ ระบบการบันทึกโน้ตดนตรีเป็นไปอย่างหยาบมาก ยังไม่มีความชัดเจน จนกระทั่งเกือบสิ้นยุคนี้ การเขียนตัวโน้ตและจังหวะมีความแน่นอนขึ้น และได้รับการพัฒนาจนเป็นระบบในยุคต่อ ๆ มา คีตกวีในยุคกลาง\n</p>\n<p>\n                Leonin (๑๑๕๐ - ๑๒๐๑) เลโอแนง หรือ เลโอนิอัส เป็นนักประพันธ์คนสำคัญคนแรกที่ประพันธ์เพลงแบบ Polyphonic Organum (ทำนองเพลงสวดในโบสถ์ที่มีเสียงร้องอย่างน้อยหนึ่งเสียงเพื่อเพิ่มทำนองประสานที่พัฒนาขึ้นในยุคกลาง Middle Ages) เชื่อกันว่าเขาอาจจะเป็นชาวฝรั่งเศส ซึ่งอาจจะพำนักและทำงานในปารีสที่มหาวิหารนอร์ทเทรอ-ดาม (Notre Dame Cathedral) และยังเป็นสมาชิกรุ่นแรกๆของโรงเรียนสอนการประสานเสียง Notre Dame school of polyphony ที่มีชื่อเสียง ชื่อ Leonin ของเขามาจากคำว่า &quot;Leoninus&quot; ในภาษาละตินที่แปลว่า Leo หรือ Leo ในภาษาฝรั่งเศส\n</p>\n<p>\n                ประวัติของเขาเท่าที่ทราบ มาจากการบันทึกของนักเรียนในรุ่นหลังๆ ของโบสถ์ที่ชื่อ Anonymous IV นักเขียนชาวอังกฤษที่ได้ฝากผลงานเขียนทฤษฎีทางดนตรีของเขาเอาไว้ โดยกล่าวถึงเลโอแนงว่าเป็นผู้ประพันธ์บทเพลงชุด Magnus Liber ผลงานเขียนเพลงสวดที่ยิ่งใหญ่ (The &quot;Great book&quot; of Organum) บทประพันธ์ส่วนใหญ่ใน Magnus Liber จะใช้เทคนิคการประพันธ์แบบ Clausulae - Melistic (การประพันธ์โดยใช้เสียงหลายเสียงโดยแปรเปลี่ยนท่วงทำนองเพลงสวดเดิม – การเปลี่ยนระดับเสียงโน้ตแต่ละพยางค์ในขณะร้อง) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเพลงสวดแบบ Gregorian Chant (เพลงศาสนาดั้งเดิมที่มีระดับเสียงเดียว มีเพียงทำนองแต่ไม่มีเสียงประสาน ใช้ในพิธีทางศาสนา) ที่ถูกนำมาแยกออกเป็นหลายเพลง โดยที่ท่วงทำนองของโน้ตเดิมจะค่อนข้างช้ามาก และผสานเข้ากับท่วงทำนองที่เคลื่อนไหวเร็วกว่า นอกจากนั้น เลโอแนงยังอาจเป็นนักประพันธ์คนแรกที่ใช้เทคนิคการประพันธ์แบบ Rhythmic mode (รูปแบบการประพันธ์ที่ใช้อัตราจังหวะสั้นหรือยาวเพื่อกำหนดการเขียนโน้ต) และอาจเป็นไปได้ว่าเขายังเป็นผู้คิดค้นระบบการเขียนโน้ตระบบนี้ขึ้น\n</p>\n<p>\n                Adam de la Halle (๑๒๓๗ – ๑๒๘๗) อดัม เดอ ลา ฮาล เป็นทรูแวร์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นทั้งนักประพันธ์และนักดนตรี มีผลงานเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงหลงเหลืออยู่ถึงปัจจุบัน\n</p>\n<p>\n                Guillaume de Machaut (๑๓๐๐ – ๑๓๗๗) กิลโยม เดอ มาเชาว์ เป็นคีตกวีชาวฝรั่งเศสที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ ๑๔ นอกเหนือไปจากการเป็นคีตกวีแล้วยังเป็นนักประพันธ์และนักทฤษฎีอีกด้วย ดนตรีของมาเชาว์มีทำนองที่ไพเราะ เสียงประสานที่กลมกล่อมจากการใช้ขั้นคู่ ๓ และ ๖ มาเชาว์แต่งทั้งเพลงที่ใช้ในพิธีกรรมและเพลงเพื่อความบันเทิง\n</p>\n<p>\n                Francesco Landini (๑๓๒๕ -๑๓๙๗) ฟรานเชสโก ลานดินี เป็นคีตกวีชาวอิตาเลียนในศตวรรษที่ ๑๔ ถึงแม้จะตาบอดแต่กำเนิด ลานดินีก็สามารถเล่นเครื่องดนตรีหลายชนิดได้อย่างเชี่ยวชาญ และแต่งเพลงเพื่อความบันเทิงทุกรูปแบบเป็นจำนวนมากกว่า ๑๕๐ เพลงดนตรีในยุคสมยัฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance ศ.ศ. ๑๔๐๐ – ๑๖๐๐)\n</p>\n<p>\n                ในช่วง ๒๐๐ ปีนี้ จัดเป็นยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงและการค้นพบอารยธรรมใหม่ ๆ ดนตรีในยุคนี้แพร่หลายขึ้นมาก วิวัฒนาการด้านการพิมพ์และสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ช่วยถ่ายทอดผลงานของคีตกวีต่าง ๆ ไปสู่ดินแดนอื่นได้อย่างรวดเร็ว จำนวนของนักดนตรีและคีตกวีเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ผู้ที่มีการศึกษาทุกคนจะได้รับการศึกษาด้านดนตรี โบสถ์ยังคงเป็นศูนย์กลางของดนตรีอยู่พร้อม ๆ กับการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมด้านดนตรีตามราชสำนักต่าง ๆ ผู้หญิงมีบทบาทมากขึ้นในการแสดงดนตรี ผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการมีนักดนตรีประจำราชสำนัก\n</p>\n<p>\n                เพลงร้องยังคงมีความสำคัญมากกว่าเพลงบรรเลง เนื่องจากในยุคนี้ผู้คนสนใจในด้านการใช้ภาษา คีตกวีจึงพยายามที่จะแต่งดนตรีที่ช่วยส่งเสริมความหมายของเนื้อร้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบในยุคสมัยก่อนหน้านี้ ความยิ่งใหญ่ของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกถูกลดทอนลงจากการจัดตั้งนิกายโปรเตสแตนท์ โดยนักบวชชาวเยอรมัน ชื่อ มาร์ติน ลูธอร์ ซึ่งมีความต้องการจะสร้างดนตรีที่ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาให้แตกต่างจากของนิกายคาทอลิก โดยจะไม่นำเพลงสวดที่เรียกว่าชานท์มาใช้ หากแต่จะแต่งเพลงประเภทใหม่ขึ้นมาเรียกว่า คอรัล ซึ่งเป็นเพลงที่มี ๔ แนวเสียง ร้องเป็นภาษาเยอรมัน และประชาชนที่มาร่วมพิธีจะเป็นผู้ร้องเอง\n</p>\n<p>\n                ส่วนดนตรีของนิกายคาทอลิกก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน คีตกวีถูกว่าจ้างให้แต่งเพลงที่มีความไพเราะ เพื่อจะนำมาใช้ในพิธีทางศาสนา ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ผู้คนยังคงมีศรัทธาในนิกายนี้อยู่ รูปแบบของเพลงที่ใช้ในพิธีกรรมยังคงเป็น แมส และ โมเต็ต ซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน เพียงแต่แมสมีความยาวมากกว่า ดนตรี ๒ ชนิดนี้ ยังคงมีที่มาจากเพลงชานท์ แต่มีการเพิ่มแนวเสียงเป็น ๔ – ๘ แนว คีตกวีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้คือ จีโอ วานนี กาเบรียลลี (๑๕๕๗ – ๑๖๑๒) จีโอวานนี ปิแอร์ลิวจิ ดา ปาเลสตรินา (๑๕๒๕ – ๑๕๙๔)\n</p>\n<p>\n                ดนตรีเพื่อความบันเทิงได้รับการสนับสนุนมากในยุคนี้โดยเฉพาะเพลงร้องที่แต่ละประเทศจะมีชื่อเรียกต่างกันไป เช่น ฟรอตโตล่า ในอิตาลี ชองซอง ในฝรั่งเศส แอร์ ในอังกฤษ และ ลีด์ ในเยอรมัน แต่รูปแบบที่สำคัญและโดดเด่นที่สุดคือ เพลงร้องแมดริกัล\n</p>\n<p>\n                แมดริกัล มีรากฐานมาจากอิตาลี เป็นเพลงที่มี ๔ – ๖ แนวเสียง เนื้อร้องมักกล่าวถึงความรัก ความตาย การชมธรรมชาติหรือความผูกพันธ์ฉันท์มิตร คีตกวีที่มีชื่อเสียงในการแต่งแมดริกัล คือ คลอดิโอ มอนติแวร์ดี (๑๕๖๗ – ๑๖๔๓) จอห์น ดาวแลนด์ (๑๕๖๒ – ๑๖๒๖) และธอมัส มอร์เลย์ (๑๕๕๗ – ๑๖๐๓)\n</p>\n<p>\n                ดนตรีที่แต่งขึ้นเพื่อการบรรเลงมีบทบาทมากขึ้น จากที่เคยเป็นเพียงการบรรเลงประกอบการร้องเพลง ได้มีการแต่งเพลงขึ้นเพื่อเป็นเพลงเต้นรำและให้ความสำคัญกับเครื่องดนตรีโดยเฉพาะ นักดนตรีมีโอกาสแสดงความสามารถทางการบรรเลง เครื่องดนตรีที่นิยมในยุคนี้เป็นเครื่องสายทั้งที่ใช้การสีและการดีด เครื่องเป่าลมไม้และคีย์บอร์ด มีการเล่นรวมวงโดยเครื่องดนตรีหลายประเภทคีตกวีในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา\n</p>\n<p>\n                คีตกวีหลายคนในยุคนี้เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงแนวนิยมในการแต่งเพลง ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา มีแนวการแต่งเพลงที่แตกต่างกัน ๒ แนว ซึ่งเป็นของชาวเบอร์กันเดียน (ชาวฝรั่งเศสทางตะวันออก) ซึ่งรุ่งเรืองในครึ่งแรกของศตวรรษที่ ๑๕ และชาวเฟลมมิชหรือเนเธอร์แลนด์ ซึ่งรุ่งเรืองในช่วงปี ค.ศ. ๑๔๕๐  - ๑๖๐๐ นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีคีตกวีจากหลาย ๆ ประเทศในยุโรป เช่น อังกฤษ สเปน เยอรมัน อิตาลี\n</p>\n<p>\n                Guillaume Dufay (๑๔๐๐ – ๑๔๗๔)  กิลโยม ดูเฟย์ จัดเป็นผู้นำของเบอร์กันเดียน สกูล ดนตรีของเขาให้ความสำคัญกับแนวทำนองบนมาก มีการใช้เครื่องดนตรีเล่นประกอบบ้าง ดูเฟย์แต่งทั้งเพลงในพิธีกรรมและเพลงเพื่อความบันเทิง\n</p>\n<p>\n                Josquin des Prez (๑๔๔๖ – ๑๕๒๑) จัสแกง เด เปร คีตกวีของเฟลมมิช สกูล ผลงานของเขาได้รับการตีพิมพ์ในยุคนั้น เขาจึงเป็นที่ยอมรับและมีอิทธิพลต่อนักดนตรีคนอื่น ๆ อีกด้วย\n</p>\n<p>\n                Johannes Ockeghem (๑๔๒๐ – ๑๔๙๖) โยฮาน ออกเขเคม เป็นลูกศิษย์ของดูเฟย์และเป็นผู้นำของเฟลมมิช สกูล ใช้เทคนิคการเลียนแบบ ในการแต่งเพลง เป็นคีตกวีคนแรก ๆ ที่แต่งเพลง ๔ แนว\n</p>\n<p>\n                Gioranni Pierluigl da  Palestrina (๑๕๒๕ – ๑๕๙๔) จีโอวานนี ปิแอร์ลิวจิ ดา ปาเลสตรินา เป็นชาวอิตาลี มีชื่อเสียงในการแต่งเพลงพิธีกรรมของนิกายโรมันคาทอลิก\n</p>\n<p>\n                Thomas Morley (๑๕๕๗ – ๑๖๐๒) ธอมัส มอร์ลีย์ คีตกวีชาวอังกฤษ มีชื่อเสียงในการแต่งเพลงร้อง แมดริกัล และบัลเลต์ เป็นผู้จัดพิมพ์ “Triumphs of  Oriana” ซึ่งเป็นการรวมเพลงแมดริกัล ๒๕ เพลง แต่งโดยคีตกวี ๒๓ คน เนื้อเพลงเป็นการสดุดีพระราชินีอลิซาเบธที่ ๑\n</p>\n<p>\n                   ใบงานชื่อ............................................ชั้น ม.๔/.......เลขที่........คำสั่ง  ให้นักเรียนศึกษาในเรื่องยุคสมัยของดนตรีตะวันตก แล้วตั้งคำถามพร้อมทั้งเขียนคำตอบจำนวน ๑๒ ข้อ\n</p>\n', created = 1729044351, expire = 1729130751, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:cabf2f6600fe3bcf76063ab3a21a8383' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

เอกสารประกอบการเรียนรู้ เรื่องยุคสมัยของดนตรีตะวันตก

รูปภาพของ trmploykan

เอกสารประกอบการเรียนรู้เรื่องยุคสมัยของดนตรีตะวันตกดนตรีในยุคกลาง (Middle Ages ค.ศ. ๑๐๐ – ๑๔๐๐)

                ในยุคกลางนี้เกิดการแบ่งแยกชนชั้นเป็น ๓ กลุ่ม คือกลุ่มขุนนาง กลุ่มชาวบ้าน และกลุ่มนักบวช กลุ่มขุนนางจะดำรงชีวิตอยู่ในปราสาทราชวัง เวลามีศึกสงครามก็ออกไปรบ  ทิ้งให้พวกผู้หญิงดูแลบ้านเมือง ในเวลาปกติพวกขุนนางก็จะใช้เวลาไปในการเข้าป่าล่าสัตว์ ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะเป็นพวกชาวบ้านที่ยากจน ทำงานเป็นกรรมกรแบกหาม อย่างไรก็ตาม ทุกชนชั้นต่างก็อยู่ใต้อำนาจและอิทธิพลของโบสถ์โรมันคาทอลิก ต่างมีความเชื่ออย่างแรงกล้าในเรื่องนรกสวรรค์ นักบวชถือเป็นชนชั้นซึ่งเป็นที่เคารพยำเกรงของคนทั่วไป เพราะโบสถ์จะเป็นศูนย์กลางของความรู้ทั้งหลาย ในขณะที่ผู้คนในสมัยนั้นไม่สามารถอ่านออกเขียนได้

                นักดนตรีในสมัยนั้นจะเป็นนักบวชหรือคนที่ทำงานอยู่ในโบสถ์ เด็กผู้ชายจะได้รับการศึกษาด้านดนตรีจะเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนา ผู้หญิงจะไม่ได้รับอนุญาตให้ร้องเพลงในโบสถ์ แต่สามารถร้องในคอนแวนต์ได้

                ดนตรีที่เกิดขึ้นในยุคนี้จะเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนาเป็นส่วนใหญ่ ศาสนามีความเกี่ยวพันกับการดำรงชีวิตอยู่มาก เพลงสวดที่แต่งขึ้นเพื่อใช้ในพิธีศาสนาเรียกโดยรวมว่า เกรกอเรียน ชานท์ (Gregorian Chant) ซึ่งตั้งชื่อตามสันตะปาปา เกรกอรี่ที่ ๑ เพลงสวดนี้จะเป็นเพลงแนวเดียว หรือโมโนโฟนี ร้องโดยไม่มีเครื่องดนตรีเล่นประกอบ มีจังหวะที่อิสระ ไม่มีแบบแผน ภาษาของคำสวดเป็นภาษาละตินและร้องโดยนักบวช

                นอกเหนือจาดนตรีที่ใช้ในพิธีกรรมแล้ว ชาวบ้านทั่วไปก็มีเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงทั่ว ๆ ไป เพลงพวกนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก ธรรมชาติ หรือเรื่องเล่าในอดีต

                ทั่วประเทศอังกฤษจะพบนักดนตรีที่แต่งและร้องเพลงประเภทนี้ ซึ่งจะเป็นพวกที่เดินทางเร่ร่อนไปยังสถานที่ต่าง ๆ เราเรียกนักดนตรีกลุ่มนี้ว่า มินสเตรล หรือกลีแมน นอกจากนี้ในประเทศฝรั่งเศสจะพบนักดนตรีที่เรียกว่า ทรูบาดอร์ และทรูแวร์ ซึ่งมีแนวทางการแต่งเพลงคล้าย ๆ กัน ส่วนใหญ่ในประเทศเยอรมัน เพลงที่แต่งเพื่อความบันเทิงนี้จะแต่งโดยพวกที่เรียกว่า มินเนสซิงเกอร์ หรือ ไมสเตอร์ซิงเกอร์

                ประมาณศตวรรษที่ ๙ ได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางดนตรีเกิดขึ้น กล่าวคือ เริ่มมีการแต่งดนตรีที่มีมากกว่า ๑ แนวเสียง หรือ โพลีโฟนี ทำให้ดนตรีเริ่มมีสีสีนเพิ่มขึ้น ซึ่งการคิดค้นนี้ได้นำไปสู่วิวัฒนาการอันยิ่งใหญ่ของดนตรีในยุคสมัยต่อ ๆ มา

                ดนตรีประเภทแรกที่นำวิธีการแต่งแบบโพลีโฟนีมาใช้ คือ ดนตรีที่ใช้ในพิธีศาสนาที่เรียกว่า ออกานุม โดยจะเป็นการเติมแนวเสียงที่ ๒ ให้อยู่เหนือหรือใต้แนวทำนองของเพลงชานท์ แนวที่ ๒ นี้จะเคลื่อนที่ขนานเป็นขั้นคู่ ๔ หรือ คู่ ๕ กับแนวเพลงชานท์

                ต่อมาการแต่งแนวที่ ๒ จะมีอิสระมากขึ้น คือไม่จำเป็นต้องเคลื่อนที่ขนานกับแนวเพลงชานท์ แต่สามารถเคลื่อนที่ขึ้นลง เป็นขั้นคู่ต่าง ๆ ได้

                ดนตรีที่แต่งขึ้นเพื่อการบรรเลงโดยเฉพาะ ก็สามารถพบเห็นได้ในยุคกลาง ส่วนมากจะเป็นการใช้เครื่องดนตรีเล่นขนานไปกับแนวร้องหรือเป็นการบรรเลงประกอบการเต้นรำ เครื่องดนตรีที่นิยมกันส่วนมากจะเป็นเครื่องสายและเครื่องเป่า

                ในยุคกลางนี้ ระบบการบันทึกโน้ตดนตรีเป็นไปอย่างหยาบมาก ยังไม่มีความชัดเจน จนกระทั่งเกือบสิ้นยุคนี้ การเขียนตัวโน้ตและจังหวะมีความแน่นอนขึ้น และได้รับการพัฒนาจนเป็นระบบในยุคต่อ ๆ มา คีตกวีในยุคกลาง

                Leonin (๑๑๕๐ - ๑๒๐๑) เลโอแนง หรือ เลโอนิอัส เป็นนักประพันธ์คนสำคัญคนแรกที่ประพันธ์เพลงแบบ Polyphonic Organum (ทำนองเพลงสวดในโบสถ์ที่มีเสียงร้องอย่างน้อยหนึ่งเสียงเพื่อเพิ่มทำนองประสานที่พัฒนาขึ้นในยุคกลาง Middle Ages) เชื่อกันว่าเขาอาจจะเป็นชาวฝรั่งเศส ซึ่งอาจจะพำนักและทำงานในปารีสที่มหาวิหารนอร์ทเทรอ-ดาม (Notre Dame Cathedral) และยังเป็นสมาชิกรุ่นแรกๆของโรงเรียนสอนการประสานเสียง Notre Dame school of polyphony ที่มีชื่อเสียง ชื่อ Leonin ของเขามาจากคำว่า "Leoninus" ในภาษาละตินที่แปลว่า Leo หรือ Leo ในภาษาฝรั่งเศส

                ประวัติของเขาเท่าที่ทราบ มาจากการบันทึกของนักเรียนในรุ่นหลังๆ ของโบสถ์ที่ชื่อ Anonymous IV นักเขียนชาวอังกฤษที่ได้ฝากผลงานเขียนทฤษฎีทางดนตรีของเขาเอาไว้ โดยกล่าวถึงเลโอแนงว่าเป็นผู้ประพันธ์บทเพลงชุด Magnus Liber ผลงานเขียนเพลงสวดที่ยิ่งใหญ่ (The "Great book" of Organum) บทประพันธ์ส่วนใหญ่ใน Magnus Liber จะใช้เทคนิคการประพันธ์แบบ Clausulae - Melistic (การประพันธ์โดยใช้เสียงหลายเสียงโดยแปรเปลี่ยนท่วงทำนองเพลงสวดเดิม – การเปลี่ยนระดับเสียงโน้ตแต่ละพยางค์ในขณะร้อง) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเพลงสวดแบบ Gregorian Chant (เพลงศาสนาดั้งเดิมที่มีระดับเสียงเดียว มีเพียงทำนองแต่ไม่มีเสียงประสาน ใช้ในพิธีทางศาสนา) ที่ถูกนำมาแยกออกเป็นหลายเพลง โดยที่ท่วงทำนองของโน้ตเดิมจะค่อนข้างช้ามาก และผสานเข้ากับท่วงทำนองที่เคลื่อนไหวเร็วกว่า นอกจากนั้น เลโอแนงยังอาจเป็นนักประพันธ์คนแรกที่ใช้เทคนิคการประพันธ์แบบ Rhythmic mode (รูปแบบการประพันธ์ที่ใช้อัตราจังหวะสั้นหรือยาวเพื่อกำหนดการเขียนโน้ต) และอาจเป็นไปได้ว่าเขายังเป็นผู้คิดค้นระบบการเขียนโน้ตระบบนี้ขึ้น

                Adam de la Halle (๑๒๓๗ – ๑๒๘๗) อดัม เดอ ลา ฮาล เป็นทรูแวร์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นทั้งนักประพันธ์และนักดนตรี มีผลงานเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงหลงเหลืออยู่ถึงปัจจุบัน

                Guillaume de Machaut (๑๓๐๐ – ๑๓๗๗) กิลโยม เดอ มาเชาว์ เป็นคีตกวีชาวฝรั่งเศสที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ ๑๔ นอกเหนือไปจากการเป็นคีตกวีแล้วยังเป็นนักประพันธ์และนักทฤษฎีอีกด้วย ดนตรีของมาเชาว์มีทำนองที่ไพเราะ เสียงประสานที่กลมกล่อมจากการใช้ขั้นคู่ ๓ และ ๖ มาเชาว์แต่งทั้งเพลงที่ใช้ในพิธีกรรมและเพลงเพื่อความบันเทิง

                Francesco Landini (๑๓๒๕ -๑๓๙๗) ฟรานเชสโก ลานดินี เป็นคีตกวีชาวอิตาเลียนในศตวรรษที่ ๑๔ ถึงแม้จะตาบอดแต่กำเนิด ลานดินีก็สามารถเล่นเครื่องดนตรีหลายชนิดได้อย่างเชี่ยวชาญ และแต่งเพลงเพื่อความบันเทิงทุกรูปแบบเป็นจำนวนมากกว่า ๑๕๐ เพลงดนตรีในยุคสมยัฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance ศ.ศ. ๑๔๐๐ – ๑๖๐๐)

                ในช่วง ๒๐๐ ปีนี้ จัดเป็นยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงและการค้นพบอารยธรรมใหม่ ๆ ดนตรีในยุคนี้แพร่หลายขึ้นมาก วิวัฒนาการด้านการพิมพ์และสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ช่วยถ่ายทอดผลงานของคีตกวีต่าง ๆ ไปสู่ดินแดนอื่นได้อย่างรวดเร็ว จำนวนของนักดนตรีและคีตกวีเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ผู้ที่มีการศึกษาทุกคนจะได้รับการศึกษาด้านดนตรี โบสถ์ยังคงเป็นศูนย์กลางของดนตรีอยู่พร้อม ๆ กับการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมด้านดนตรีตามราชสำนักต่าง ๆ ผู้หญิงมีบทบาทมากขึ้นในการแสดงดนตรี ผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการมีนักดนตรีประจำราชสำนัก

                เพลงร้องยังคงมีความสำคัญมากกว่าเพลงบรรเลง เนื่องจากในยุคนี้ผู้คนสนใจในด้านการใช้ภาษา คีตกวีจึงพยายามที่จะแต่งดนตรีที่ช่วยส่งเสริมความหมายของเนื้อร้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบในยุคสมัยก่อนหน้านี้ ความยิ่งใหญ่ของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกถูกลดทอนลงจากการจัดตั้งนิกายโปรเตสแตนท์ โดยนักบวชชาวเยอรมัน ชื่อ มาร์ติน ลูธอร์ ซึ่งมีความต้องการจะสร้างดนตรีที่ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาให้แตกต่างจากของนิกายคาทอลิก โดยจะไม่นำเพลงสวดที่เรียกว่าชานท์มาใช้ หากแต่จะแต่งเพลงประเภทใหม่ขึ้นมาเรียกว่า คอรัล ซึ่งเป็นเพลงที่มี ๔ แนวเสียง ร้องเป็นภาษาเยอรมัน และประชาชนที่มาร่วมพิธีจะเป็นผู้ร้องเอง

                ส่วนดนตรีของนิกายคาทอลิกก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน คีตกวีถูกว่าจ้างให้แต่งเพลงที่มีความไพเราะ เพื่อจะนำมาใช้ในพิธีทางศาสนา ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ผู้คนยังคงมีศรัทธาในนิกายนี้อยู่ รูปแบบของเพลงที่ใช้ในพิธีกรรมยังคงเป็น แมส และ โมเต็ต ซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน เพียงแต่แมสมีความยาวมากกว่า ดนตรี ๒ ชนิดนี้ ยังคงมีที่มาจากเพลงชานท์ แต่มีการเพิ่มแนวเสียงเป็น ๔ – ๘ แนว คีตกวีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้คือ จีโอ วานนี กาเบรียลลี (๑๕๕๗ – ๑๖๑๒) จีโอวานนี ปิแอร์ลิวจิ ดา ปาเลสตรินา (๑๕๒๕ – ๑๕๙๔)

                ดนตรีเพื่อความบันเทิงได้รับการสนับสนุนมากในยุคนี้โดยเฉพาะเพลงร้องที่แต่ละประเทศจะมีชื่อเรียกต่างกันไป เช่น ฟรอตโตล่า ในอิตาลี ชองซอง ในฝรั่งเศส แอร์ ในอังกฤษ และ ลีด์ ในเยอรมัน แต่รูปแบบที่สำคัญและโดดเด่นที่สุดคือ เพลงร้องแมดริกัล

                แมดริกัล มีรากฐานมาจากอิตาลี เป็นเพลงที่มี ๔ – ๖ แนวเสียง เนื้อร้องมักกล่าวถึงความรัก ความตาย การชมธรรมชาติหรือความผูกพันธ์ฉันท์มิตร คีตกวีที่มีชื่อเสียงในการแต่งแมดริกัล คือ คลอดิโอ มอนติแวร์ดี (๑๕๖๗ – ๑๖๔๓) จอห์น ดาวแลนด์ (๑๕๖๒ – ๑๖๒๖) และธอมัส มอร์เลย์ (๑๕๕๗ – ๑๖๐๓)

                ดนตรีที่แต่งขึ้นเพื่อการบรรเลงมีบทบาทมากขึ้น จากที่เคยเป็นเพียงการบรรเลงประกอบการร้องเพลง ได้มีการแต่งเพลงขึ้นเพื่อเป็นเพลงเต้นรำและให้ความสำคัญกับเครื่องดนตรีโดยเฉพาะ นักดนตรีมีโอกาสแสดงความสามารถทางการบรรเลง เครื่องดนตรีที่นิยมในยุคนี้เป็นเครื่องสายทั้งที่ใช้การสีและการดีด เครื่องเป่าลมไม้และคีย์บอร์ด มีการเล่นรวมวงโดยเครื่องดนตรีหลายประเภทคีตกวีในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

                คีตกวีหลายคนในยุคนี้เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงแนวนิยมในการแต่งเพลง ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา มีแนวการแต่งเพลงที่แตกต่างกัน ๒ แนว ซึ่งเป็นของชาวเบอร์กันเดียน (ชาวฝรั่งเศสทางตะวันออก) ซึ่งรุ่งเรืองในครึ่งแรกของศตวรรษที่ ๑๕ และชาวเฟลมมิชหรือเนเธอร์แลนด์ ซึ่งรุ่งเรืองในช่วงปี ค.ศ. ๑๔๕๐  - ๑๖๐๐ นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีคีตกวีจากหลาย ๆ ประเทศในยุโรป เช่น อังกฤษ สเปน เยอรมัน อิตาลี

                Guillaume Dufay (๑๔๐๐ – ๑๔๗๔)  กิลโยม ดูเฟย์ จัดเป็นผู้นำของเบอร์กันเดียน สกูล ดนตรีของเขาให้ความสำคัญกับแนวทำนองบนมาก มีการใช้เครื่องดนตรีเล่นประกอบบ้าง ดูเฟย์แต่งทั้งเพลงในพิธีกรรมและเพลงเพื่อความบันเทิง

                Josquin des Prez (๑๔๔๖ – ๑๕๒๑) จัสแกง เด เปร คีตกวีของเฟลมมิช สกูล ผลงานของเขาได้รับการตีพิมพ์ในยุคนั้น เขาจึงเป็นที่ยอมรับและมีอิทธิพลต่อนักดนตรีคนอื่น ๆ อีกด้วย

                Johannes Ockeghem (๑๔๒๐ – ๑๔๙๖) โยฮาน ออกเขเคม เป็นลูกศิษย์ของดูเฟย์และเป็นผู้นำของเฟลมมิช สกูล ใช้เทคนิคการเลียนแบบ ในการแต่งเพลง เป็นคีตกวีคนแรก ๆ ที่แต่งเพลง ๔ แนว

                Gioranni Pierluigl da  Palestrina (๑๕๒๕ – ๑๕๙๔) จีโอวานนี ปิแอร์ลิวจิ ดา ปาเลสตรินา เป็นชาวอิตาลี มีชื่อเสียงในการแต่งเพลงพิธีกรรมของนิกายโรมันคาทอลิก

                Thomas Morley (๑๕๕๗ – ๑๖๐๒) ธอมัส มอร์ลีย์ คีตกวีชาวอังกฤษ มีชื่อเสียงในการแต่งเพลงร้อง แมดริกัล และบัลเลต์ เป็นผู้จัดพิมพ์ “Triumphs of  Oriana” ซึ่งเป็นการรวมเพลงแมดริกัล ๒๕ เพลง แต่งโดยคีตกวี ๒๓ คน เนื้อเพลงเป็นการสดุดีพระราชินีอลิซาเบธที่ ๑

                   ใบงานชื่อ............................................ชั้น ม.๔/.......เลขที่........คำสั่ง  ให้นักเรียนศึกษาในเรื่องยุคสมัยของดนตรีตะวันตก แล้วตั้งคำถามพร้อมทั้งเขียนคำตอบจำนวน ๑๒ ข้อ

สร้างโดย: 
นางสาวพลอยกาญจน์ เพ็งเลา

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 633 คน กำลังออนไลน์