• user warning: Duplicate entry '536306482' for key 'PRIMARY' query: INSERT INTO accesslog (title, path, url, hostname, uid, sid, timer, timestamp) values('บัญชีผู้ใช้', 'user/login', '', '3.147.51.191', 0, '8ded54a72f223ad9ca496dc75585dd65', 131, 1716226980) in /home/tgv/htdocs/modules/statistics/statistics.module on line 63.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:4a394b5b6011585548b02949ee376a15' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><table width=\"500\" cellPadding=\"0\" cellSpacing=\"0\">\n<tbody>\n<tr>\n<td><center>\n<p>\n <b><span style=\"font-family: AngsanaUPC\"><span style=\"color: #f5918f\"><span style=\"font-size: small\">ประวัติ</span></span></span></b>\n </p>\n<p> </p></center>\n<ul>\n<p>\n <span style=\"font-family: AngsanaUPC\"><span style=\"color: #f5918f\"><span style=\"font-size: x-small\"><br />\n<dd><b>ประวัติ</b> <span style=\"color: #808080\"><span style=\"font-size: xx-small\">พะเยา เป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งในแถบลานน าไทย เดิมมีชื่อว่า ภูกามยาว หรือ พยาวก่อตั้งขึ้นในพุทธศตวรษที่ 16 ปกครองโดยพ่อขุนงำเมือง ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงการปกครองตาม อิทธิพลของอาณาจักรต่าง ๆ ที่ผลัดกันมีอำนาจในแถบนี้ จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พยาวก็เปลี่ยนชื่อ เป็นพะเยา และ รวมอยู่กับจังหวัดเชียงราย จนในปี พ.ศ. 2520 จึงได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็นจังหวัดพะเยา </span></span></dd></span></span></span></p>\n<p> <span style=\"color: #f5918f\"><b>อาณาเขต</b></span></p>\n<dd>พะเยามีเนื้อที่ประมาณ 6,335 ตารางกิโลเมตร \n<li>ทิศเหนือ จดจังหวัดเชียงราย\n </li>\n<li>ทิศตะวันออก จดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนล าว และน่าน\n </li>\n<li>ทิศใต้ จดจังหวัดลำปาง และแพร่\n </li>\n<li>ทิศตะวันตก จดจังหวัดลำปาง\n<p> <span style=\"color: #f5918f\"><b>การปกครอง</b> </span>\n </p></li>\n</dd>\n<dd>แบ่งการปกครองออกเป็น 7 อำเภอ ได้แก่อำเภอเมืองพะเยา อำเภอจุน อำเภอเชียงคำ อำเภอเชียงม่วน อำเภอดอกคำใต้ อำเภอปง อำเภอแม่ใจ พะเยาอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 735 กิโลเมตร (สายเก่า) หรือ 691 กิโลเมตร (สายใหม่) โดยเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 1 ใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมง </dd>\n<p>\n</p><p>\n </p>\n</ul>\n</td>\n</tr>\n</tbody>\n</table>\n<p></p>\n<!-- References --><!-- References --><p><center></center></p>\n<table border=\"0\" width=\"550\" cellPadding=\"0\" cellSpacing=\"0\">\n<tbody>\n<tr>\n<td vAlign=\"top\"><span style=\"font-size: xx-small; color: #004080; font-family: AngsanaUPC\"><b>แหล่งที่มา</b> :<i>ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกทางการท่องเที่ยว</i>.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. </span></td>\n</tr>\n</tbody>\n</table>\n<p></p>\n<!-- end Reference --><!-- end Reference --><table align=\"center\" width=\"90%\" cellPadding=\"10\" cellSpacing=\"10\">\n<tbody>\n<tr>\n<td align=\"left\" class=\"text2\">พะเยาเป็นเมืองประวัติศาสตร์ เดิมมีชื่อว่า เมืองภูกามยาว หรือ พยาว เคยมีเอกราชสมบูรณ์ มีกษัตริย์ปกครองสืบราชสันติวงศ์มา ปรากฎตามตำนานเมืองพะเยา ดังนี้ </td>\n</tr>\n<tr>\n<td align=\"left\" class=\"text2\"><b>ขุนจอมธรรม</b> เป็นพระราชโอรสของขุนเงินหรือลาวเงิน กษัตริย์ผู้ครองนครเงินยางเชียงแสน พุทธศักราช 1602 (จุลศักราช 421) พ่อขุนเงินหรือลาวเงิน ดำริใหพระราชโอรส 2 องค์ คือ ขุนชินให้อยู่ในราชสำนักครองนครเงินยางเชียงแสน และ ขุนจอมธรรมโอรสองค์ที่ 2ให้ปกครองเมืองภูกามยาว ซึ่งเป็นหัวเมืองฝ่ายใต้<br />\n                 ขุนจอมธรรมพร้อมข้าราชการบริวารขนเอาพระราชทรัพย์บรรทุกม้า พร้อมพลช้าง พลม้า ตามเสด็จถึงเมืองภูกามยาว และตั้งรากฐานเมืองใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณเมืองหนึ่ง นามว่า “สีหราช” อยู่เชิงเขาชมภูหางดอยด้วน ลงไปจรดฝั่งแม่น้ำสายตา มีสัณฐานคล้ายลูกน้ำเต้า มีหนองน้ำใหญ่อยู่ทางตะวันตก อันหมายถึงก๊วานพะเยา และทางทิศอีสานคือ หนองหวีและหนองแว่น ต่อมารวมไพร่พลหัวเมืองต่างๆ ได้ 80,000 คน จัดแบ่งได้ 36 พันนา นาละ 500 คน มีเขตแคว้นแดนเมืองในครั้งกระโน้น ดังนี้<br />\n                 <b>ทิศบูรพา</b>   จรดขุนผากาดจำบอน ตาดม้าน บางสีถ้ำ ไทรสามต้น สบห้วยปู น้ำพุง สบปั๋ง ห้วยบ่อทอง ตาดซาววา กิ่วแก้ว กิ่วสามช่อง มีหลักหินสามก้อนฝังไว้กิ่วฤาษี แม่น้ำสายตา กิ่วช้าง กิ่วง้ม กิ่วเปี้ย ดอยปางแม่นาค<br />\n                 <b>ทิศตะวันตก</b>   โป่งปูดห้วยแก้วดอยปุย แม่คาว ไปทางทิศใต้กิ่วรุหลาว ดอกจิกจ้อง ขุนถ้ำ ดอยตั่ง ดอยหนอก ผาดอกวัว แซ่ม่าน ไปจรดเอาดอยผาหลักไก่ทางทิศหรดีมีเมืองในอำนาจปกครอง คือ เมืองงาว เมืองกาว สะเอียบ เชียงม่วน เมืองเทิง เมืองสระ เมืองออย สะสาว เมืองดอบ เชียงคำ เมืองลอ เมืองเชียงแลง เมืองหงาว แซ่เหียง แซ่ลุล ปากบ่อง เมืองป่าเป้า เมืองวัง แซ่ซ้อง เมืองปราบ แซ่ห่ม<br />\n                 <b>ทิศใต้</b>   สุดจรดนครเขลางค์และนครหริภุญชัย ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือต่อแดนขรนคร(เชียงของ)<br />\n                 ขุนจอมธรรมปกครองไพร่ฟ้าประชาชนโดยตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม และยึดมั่นในบวรพุทธศาสนา บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองด้วยโภคสมบัติ ฟ้าฝนตกตามฤดูกาล ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดี ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน ซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ไม่มีสงคราม เจ้าประเทศราชต่าง ๆ ก็มีสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน ทรงสั่งสอนไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดินด้วยหลักธรรม 2 ประการ คือ อปริหานิยธรรม ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม 1 ประเพณีธรรม ขนบธรรมเนียมอันเป็นระเบียบแบบแผนอันดีงานของครอบครัว 1<br />\n                 ขุนจอมธรรมครองเมืองพะเยาได้ 2 ปี มีโอรส 1 พระองค์ โหรถวายคำพยากรณ์ว่าราชบุตรองค์นี้จะเป็นจักรพรรดิราชปราบชมพูทวีป มีบุญญาธิการมากเวลาประสูติ มีของทิพย์เกิดขึ้น 3 อย่าง คือ แส้ทิพย์ พระแสงทิพย์ คณโฑทิพย์ จึงให้พระนามว่า “ขุนเจื๋อง” ต่อมาอีก 3 ปี ได้ราชบุตรอีกพระนามว่า “ขุนจอง” หรือ “ชิง” <br />\n                 ขุนจอมธรรมปกครองเมืองพะเยาได้ 24 ปี พระชนมายุได้ 49 พรรษา </td>\n</tr>\n<tr>\n<td align=\"left\" class=\"text2\"><b>ขุนเจื๋อง</b> ประสูติเมื่อปีพุทธศักราช 1641 เป็นโอรสองที่ 1 ของขุนจอมธรรม เมื่อขุนเจื๋องเจริญวัยขึ้น ทรงศึกษาวิชายุทธศาสตร์ เช่น วิชาดาบ มวยปล้ำ เพลงชัย จับช้าง จับม้า และเพลงอาวุธต่างๆ พระชนมายุได้ 16 ปี พาบริวารไปคล้องช้างที่เมืองน่านเจ้าผู้ครองเมืองน่านเห็นความสามารถแล้วพอพระทัย ยกธิดาชื่อ “จันทร์เทวี” ให้เป็นชายาขุนเจื๋อง พระชนมายุได้ 17 ปี พาบริวารไปคล้องช้างที่เมืองแพร่ เจ้าผู้ครองเมืองแพร่พอพระทัย จึงยกธิดาชื่อ “นางแก้วกษัตริย์” ให้เป็นชายา พระราชทานช้าง 200 เชือก<br />\n                 ภายหลังขุนจอมธรรมสิ้นพระชนม์ขุนเจื๋องได้ครองราชสืบแทนเมื่อพระชนมายุ 24 ปี ครองเมืองได้ 6 ปี มีข้าศึกแกว (ญวน) ยกทัพมาประชิดนครเงินยางเชียงแสน ขุนชินผู้เป็นลุง ได้ส่งสาส์นขอให้ส่งไพร่พลไปช่วยขุนเจื๋องได้รวบรวบรี้พลยกไปชุมนุมกันที่สนามดอนไชยหนองหลวง และเคลื่อนทัพเข้าตีข้าศึกแตกกระจัดกระจายไห เมื่อขุนชินทราบเรื่องก็เลื่อมใสโสมนัสยิ่งนัก ทรงยกธิดาชื่อ “พระนางอั๊วคำคอน” ให้และสละราชสมบัตินครเงินยางเชียงแสนให้ขุนเจื๋องครองแทนเมื่อขุนเจื๋องได้ครองราชเมืองเงินยางแล้ว ทรงพระนามว่า “พระยาเจื๋องธรรมมิกราช” ได้มอบสมบัติให้โอรสชื่อ“ลาวเงินเรือง” ครองเมืองพะเยาแทน หัวเมืองใหญ่น้อยเหนือใต้ยอมอ่อนน้อม ได้ราชธิดาแกวมาเป็นชายานามว่า “นางอู่แก้ว” มีโอรส 3 พระองค์คือ ท้าวผาเรืองยี่คำห้าว ท้าวสามชุมแสง ต่อมายกราชสมบัติเมืองแกวให้ท้าวผาเรือง ให้ท้าวคำห้าวไปครองเมืองล้านช้าง ท้าวสามชุมแสงไปครองเมืองน่าน ต่อมาได้โยธาทัพเข้าตีเมืองต่างๆ ที่ยังไม่ยอมสวามิภักดิ์ ทรงชนช้างกับศัตรูเสียทีข้าศึกเพราะชราภาพ จึงถูกฟันคอขาดและสิ้นพระชนม์บนหลังช้าง พวกทหารจึงนำพระเศียรไปบรรจุไว้ที่พระเจดีย์เมืองเหรัญนครเชียงแสน<br />\n                 ขุนเจื๋อง ครองราชย์สมบัติครองแค้วนล้านนาไทยได้ 24 ปี ครองเมืองแกวได้ 17 ปี รวมพระชนมายุได้ 67 ปี </td>\n</tr>\n<tr>\n<td align=\"left\" class=\"text2\">                ฝ่ายท้าวจอมผาเรืองราชบุตรขึ้นครองราชสมบัติเมืองพะเยาได้ 14 ปี ก็ถึงแก่พิราลัย ขุนแพงโอรสครองราชแทนได้ 7 ปี ขุนซองซึ่งมีศักดิ์เป็นน้า แย่งราชสมบัติ และได้ครองราชย์ เมืองพะเยาต่อมาเป็นเวลา 20 ปี และมีผู้ขึ้นครองราชสืบต่อมา จนถึงพระยางำเมืองซึ่งครองราช เป็นกษัตริย์เมืองพะเยาองค์ที่ 9 นับจากพ่อขุนจอมธรรม </td>\n</tr>\n<tr>\n<td align=\"left\" class=\"text2\"><b>พ่อขุนงำเมือง</b> ประสูติเมื่อพุทธศักราช 1781 เป็นราชบุตรของพ่อขุนมิ่งเมืองสืบเชื้อสายมาจากท้าวจอมผาเรือง พระชนมายุ 14 ปี พระราชบิดาส่งไปศึกษาเล่าเรียนศิลปะศาสตร์เทพในสำนักเทพอิสิตนอยู่ภูเขาดอยด้วน 2 ปี จบ การศึกษา พระชนมายุได้ 16 ปี พระราชบิดาส่งไปศึกษาต่อ ขอถวายตัวอยู่ในสำนักสุกันตฤาษี ณ กรุงละโว้ (ลพบรี) จึงได้รู้จักคุ้นเคยกับพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัยสนิทสนมผูกไมตรีต่อกันอย่างแน่นแฟ้น ศึกษาศิลปศาสตร์ร่วมครูอาจารย์เดียวกันเป็นสหายกันตั้งแต่นั้นมาเมื่อเรียนจบก็เสด็จกลับเมืองพะเยา<br />\n                 ปีพุทธศักราช 1310 พระราชบิดาสิ้นพระชนม์ พ่อขุนงำเมืองขึ้นครองราชย์แทน พ่อขุนงำเมืองเป็นผู้ทรงอิทธิฤทธิ์เช่นเดียวกับพระร่วง เจ้าตำนานกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ศัรทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ไม่ชอบสงคราม ปกครองบ้านเมืองด้วยความเที่ยงธรรม ผูกไมตรีจิตต่อประเทศราชและเพื่อนบ้าน ขุนเม็งรายเคยคิดยกทัพเข้าบดขยี้เมืองพะเยา พ่อขุนงำเมืองล่วงรู้เหตุการณ์ก่อนแทนที่จะยกทัพเข้าต่อต้าน ได้สั่งไพร่พลให้อยู่ในความสงบ สั่งให้เสนาอำมาตย์ออกต้อนรับโดยดี เชิญขุนเมงรายเสวยพระกระยาหารและเลี้ยงกองทัพให้อิ่ม ขุนเม็งรายจึงเลิกการทำสงคราม แต่นั้นมาพ่อขุนงำเมืองจึงยกเมืองปลายแดน ซึ่งมีเมืองพาน เมืองเชี่ยงเคี่ยน เมืองเทิง และเมืองเชียงของ ให้แก่พระเจ้าเมงราย และทำสัญญาปฏิญาณต่อกันจะเป็นมิตรต่อกันตลอดไป ฝ่ายพระยาร่วงซึ่งเป็นสหายคนสนิทก็ได้ถือโอกาสเยี่ยมพ่อขุนงำเมืองปีละ 1 ครั้ง ส่วนใหญ่เสด็จในฤดูเทศกาลสงกรานต์ได้มีโอกาสรู้จักขุนเม็งรายทั้ง 3 องค์ ได้ชอบพอเป็นสหายกันเคยหันหลังเข้าพิงกันกระทำสัจจปฏิญาณแก่กัน ณ ริมฝั่งแม่น้ำขุนภู ว่าจะไม่ผูกเวรแก่กัน จะเป็นมิตรสหายกัน กรีดโลหิตออกรวมกันขันผสมน้ำ ทรงดื่มพร้อมกัน (ภายหลังแม่น้ำนี้ได้ชื่อว่า แม่น้ำอิง)<br />\n                 ระหว่างครองราชย์ในเมืองพะเยา พ่อขุนงำเมือง เป็นผู้ทรงอุปฐากพระธาตุจอมทองซึ่งตั้งอยู่บนดอยจอมทอง ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองพะเยา ที่ประชาชนสักการะบูชามาจนตราบเท่าทุกวันนี้ </td>\n</tr>\n<tr>\n<td align=\"left\" class=\"text2\">                เมื่อพ่อขุนงำเมืองสิ้นพระชนม์ลง โอรสคือ ขุนคำแดง สืบราชสมบัติแทนเมื่อปีพุทธศักราช 1816 ขุนคำแดงมีโอรสชื่อ ขุนคำลือ ซึ่งครองราชสมบัติแทนต่อมา ในสมัยนั้น พระยาคำฟู ผู้ครองนครชัยบุรีศรีเชียงแสนชวน พระกาวเมือง เมืองน่านยกทัพตีเมืองพะเยา แต่พระยาคำฟูตีได้ก่อนเกิดขัดใจกันสู้รบกันขึ้น พระยาคำฟูเสียทีก็เลยยกทัพกลับเชียงแสน กองทัพพระยากาวเมืองน่านติดตามไป ยกทัพเลยไปตีถึงเมืองฝางได้ แต่ถูกทัพของพระยาคำฟูตีถอยล่นกลับเมืองน่าน เมืองพะเยาในสมัยนั้นอ่อนแอมากจึงได้รวมอยู่กับอาณาจักรลานนา<br />\n                 พุทธศักราช 1949 พระเจ้าไสลือไทยยกกองทัพหมายตีเมืองเชียงใหม่และผ่านเขตเมืองพะเยา หมายตี เอาเมืองพะเยาด้วย แต่ไม่สำเร็จ </td>\n</tr>\n<tr>\n<td> </td>\n</tr>\n<tr>\n<td class=\"menu2\">1. สมัยกรุงศรีอยุธยา</td>\n</tr>\n<tr>\n<td align=\"left\" class=\"text2\">                สมัยพระเจ้าติโลกราชครองอาณาจักรลานนาไทย (พุทธศักราช 1985-2025) แผ่อำนาจลงไปทางใต้ปราบปรามเมืองสองแคว เมืองเชลียง เมืองสุโขทัยตลอดถึงเมืองกำแพงเพชร อยู่ในอำนาจต่อมาในปีพุทธศักราช 1994 - 2030 พระยายุทิศเจียงเจ้าเมืองสองแควซึ่งสวามิภักดิ์พระเจ้าติโลกราชได้มาครองเมืองพะเยา ทรงสร้างพระเจดีย์วัดพระยาร่วง (วัดบุญนาค) ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเรียกว่า “หลวงพ่อนาค” ทรงก่อสร้างวิหารวัดป่าแดง หลวงพ่อดอนชัย และอัญเชิญพระพุทธปฏิมาแก่นจันทร์แดงจากวัดปทุมมาราม (หนองบัว) มาประดิษฐานไว้ด้วย ต่อมาพระเจ้าติโลกราชสั่งให้นำไปประดิษฐานไว้ ณ วัดอโศการาม (วัดป่าแดงหลวง) เชียงใหม่ นอกนั้นพระยายุทิศเจียงยังเอาช่างปั้นถ้วยชาม เครื่องสังคโลก อันเป็นศิลปของกรุงสุโขทัย ไปเผยแพร่การปั้นถ้วยชามสังคโลกด้วย ตั้งแต่นั้นมาเมืองภูกามยาวก็รวมอยู่กับอาณาจักรลานนาไทยมาโดยตลอด<br />\n                 จากหลักฐานศิลาจารึกต่างๆ ปรากฏว่าเมื่อปีพุทธศักราช 2034 พระยาเมืองยี่ครองเมืองพะยา พระยอดเชียงรายครองเมืองเชียงใหม่ กับตายายสองผัวเมียสร้างพระเจ้าตนหลวงเริ่มสร้างได้ 5 วัน พระยาเมืองยี่ถึงแก่พิราลัยต่อมาพระยอดเชียงรายก็สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกัน<br />\n                 พุทธศักราช 2039 พระเมืองแก้วราชโอรสพระยอดเชียงรายขึ้นครองเมืองเชียงใหม่พระยาหัวเคี่ยนครองเมืองพะเยา ได้ 21 ปีก็สิ้นพระชนม์<br />\n                 พุทธศักราช 2067 สร้างพระเจ้าตนหลวงเสร็จ รวมเวลาก่อสร้าง 33 ปี<br />\n                 พุทธศักราช 2111 พระเจ้าหงสาวดีเกณฑ์กองทัพพม่า ไทยใหญ่ ลื้อ มอญ ลานนาไทย ยกไปตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อตีได้แล้วให้พระมหาธรรมราชา เจ้าเมืองสองแคว ไปครองกรุงศรีอยุธยา<br />\n                 พุทธศักราช 2115 พระเจ้ากรุงหงสาวดี ได้ยกทัพตีเมืองหนองหาญ อาณาจักรลานช้างและลานนาไทยได้กวาดต้อนผู้คนไปด้วย ต่อมา พระเจ้ามังตรา (บุเรงนอง) สวรรคตและปีพุทธศักราช 2141 ผู้คนที่ถูกกวาดต้อนไปกรุงหงสาวดีก็หนีกลับมาเชียงใหม่ </td>\n</tr>\n<tr>\n<td> </td>\n</tr>\n<tr>\n<td class=\"menu2\">3. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์</td>\n</tr>\n<tr>\n<td align=\"left\" class=\"text2\">                พุทธศักราช 2330 เจ้าเมืองอังวะสั่งให้หวุ่นยีมหาไชยสุระยกทัพมาทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ ผ่านฝาง เชียงราย เชียงแสน และพะเยาด้วย ผู้คนกลัวแตกตื่นอพยพไปอยู่ลำปางทำให้เมืองพะเยาร้างไปเป็นเวลาถึง 56 ปี <br />\n                 พุทธศักราช 2386 พระยานครลำปางน้อยอินทร์กับพระยาอุปราชมหาวงศ์เมืองเชียงใหม่ลงไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทูลขอตั้งเมืองเชียงรายเป็นเมืองขึ้นของเชียงใหม่ และตั้งเมืองงาว เมืองพะเยาเป็นเมืองขึ้นของนครลำปาง ต่อมาพระองค์ทรงโปรกเกล้าฯ แต่งตั้งให้นายพุทธวงศ์ น้องคนที่ 1 ของพระยานครอินทร์เป็นพระยาประเทศอุดรทิศ ผู้ครองเมืองพะเยา ตั้งนายน้อย มหายศ และตั้งนายแก้ว มานุตตม์ น้องคนที่ 2 และ 3 เป็นพระยาอุปราชเมืองพะเยา และพระยาราชวงศ์เมืองพะเยาตามลำดับ ตั้งนายขัติยะ บุตรพระยาประเทศอุดรทิศเป็นพระยาเมืองแก้ว และตั้งนายน้อย ขัติยะ บุตรราชวงศ์หมู่ส่าเป็นพระยาราชบุตรเมืองพะเยา ผู้ครองเมืองพะเยาทุกคนจึงได้รับพระราชทานนามว่า “พระยาประเทศอุดรทิศ” แต่ประชาชนมักจะเรียกตามนามเดิม เช่นเจ้าหลวงวงศ์<br />\n                 ปีพุทธศักราช 2391 พระยาอุปราช (น้อย มหายศ) รับสัญญาบัตรขึ้นครองเมืองพะเยา จนถึงจุลศักราช 1217 ( พุทธศักราช 2398) ก็ถึงอนิจกรรม<br />\n                 พุทธศักราช 2398 พระยาราชวงศ์เมืองพะเยา (เจ้าบุรีรัตนะหรือเจ้าแก้ว ขัติยะ) ได้รับสัญญาบัตรเป็นเจ้าเมืองพะเยา ครองเมืองได้ 6 ปี ก็ถึงอนิจกรรม<br />\n                 พุทธศักราช 2403 เจ้าหอหน้าอินทะชมภู รับสัญญาบัตรเป็นผู้ครองเมืองพะเยาได้ 11 ปี ก็ถึงแก่พิราลัยเมื่อปีพุทธศักราช 2413<br />\n                 พุทธศักราช 2418 เจ้าหลวงอริยะเป็นเจ้าเมืองพะเยาถึงปีพุทธศักราช 2437 ถึงแก่อนิจกรรม เจ้าไชยวงศ์เป็นผู้ครองเมืองพะเยาต่อมาถึง 9 ปี <br />\n                 พุทธศักราช 2445 เกิดจราจลขึ้นทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ โจรผู้ลี้ภัยเงี้ยวเข้ายึดเมืองพะเยา ปล้นเอาทรัพย์สินทางราชการ ประชาชนวัดวาอารามไป คนแตกตื่นหนีไปลำปาง ได้ยกกำลังตำรวจทหารจากลำปางมาปราบ รบกันอยู่ที่บริเวณบ้านแม่กา เงี้ยวล้มตายเป็นจำนวนมาก ตำรวจ เจ้านาย กรรมการบ้านเมืองได้เกณฑ์ผู้คนก่อสร้างเสริมกำแพงเมืองให้มั่นคงมากขึ้น เมืองพะเยาในสมัยนั้นมีฐานะเป็นจังหวัด เจ้าหลวงอุดรประเทศทิศ (ไชยวงศ์) เป็นเจ้าผู้ครองเมืองพะเยา หลวงศรีสมรรตการเป็นข้าหลวงประจำจังหวัด เจ้าอุปราชมหาชัยศีติสารตำแหน่งข้าหลวงผู้ช่วยหรือปลัดจังหวัด<br />\n                 พุทธศักราช 2448 เจ้าหลวงอุดรประเทศทิศ (ไชยวงศ์) ถึงแก่พิราลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบบริเวณจังหวัดพะเยาเป็นแขวงพะเยา ให้ย้ายหลวงศรีสมรรตการ ข้าหลวงประจำจังหวัดพะเยาไปรับตำแหน่งจังหวัดอื่น และโปรดเกล้าฯ ให้อุปราชมหาชัย ศีติสารรักษาการในตำแหน่งเจ้าเมืองพะเยา<br />\n                 พุทธศักราช 2449 เจ้าอุปราช ศีติสารได้รับสัญญาบัตรเป็นพระยาประเทศอุดรทิต ดำรงตำแหน่งผู้ครองเมืองพะเยาองค์สุดท้าย การปกครองแผ่นดินสมัยนั้นมีการบริหารงานเป็นกระทรวง มณฑล จังหวัด อำเภอ ดินแดนแถบตะวันตกเฉียงเหนือเรียกว่า มณฑลพายัพ ผู้บริหารระดับกระทรวงเรียกว่า เสนาบดี ผู้บริหารระดับมณฑลเรียกว่า สมุหเทศาภิบาล ผู้บริหารระดับจังหวัดเรียกว่า ข้าหลวงประจำจังหวัด ผู้บริหารระดับอำเภอเรียกว่า เจ้าเมืองบ้างหรือนายอำเภอบ้าง<br />\n                 พุทธศักราช 2457 ยุบเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองเมืองใช้ตำแหน่งนายอำเภอแทนเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยทรงแต่งตั้งนายกลาย บุษบรรณ เป็นนายอำเภอเมืองพะเยา และได้รับแต่งตั้งฐานันดรศักดิ์เป็นรองอำมาตย์โทขุนสิทธิประศาสน์ เป็นนายอำเภอคนแรกมุ่งบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่อาณาประชาราษฎร จัดการศึกษา การอาชีพ และบำรุงพุทธศาสนาจนพุทธศักราช 2465 ย้ายไปดำรงตำแหน่งนายอำเภอแม่จัน<br />\n                 พุทธศักราช 2466 – 2469 พระแสน สิทธิเขต ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา มีเหตุการณ์สำคัญคือ เกิดเพลิงไหม้ที่ว่าการอำเภอ และสร้างหลังใหม่คือหลังปัจจุบัน<br />\n                 พุทธศักราช 2470 -2471 หลวงประดิษฐอุดมการ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองพะเยา เหตุการณ์บ้านเมืองปกติ<br />\n                 พุทธศักราช 2472 -2476 พระบริภัณฑธุรราษฎรเป็นนายอำเภอ เมื่อปีพุทธศักราช 2475 เกิดการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เปลี่ยนการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศเหตุการณ์ด้านภาคพายัพปกติ ประชาชนยังคงอยู่กันด้วยความสงบสุข<br />\n                 พุทธศักราช 2477 – 2478 นายผล แผลงศร เป็นนายอำเภอเมืองพะเยา สนใจทำนุบำรุงด้านการศาสนาเป็นพิเศษ ละเอียด สุขุม นิ่มนวลเข้ากับประชาชนได้ดีมีส่วนริเริ่มปรับปรุงกว๊านพะเยา เป็นแหล่งน้ำบำรุงพันธ์ปลา ร่วมกับกรมเกษตรการประมง<br />\n                 พุทธศักราช 2478 – 2480 พระศุภการกำจรเป็นนายอำเภอเมืองพะเยา เริ่มสำรวจกว๊านพะเยารวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่จะใช้ประกอบการพัฒนาก๊วานพะเยา ตามวัตถุประสงค์ของกรมเกษตรการประมง<br />\n                 พุทธศักราช 2480 นายอุ่นเรือน ฟองศรี ศึกษาธิการอำเภอเมืองพะเยาสร้างโรงเรียนมัธยมศึกษาขึ้น โรงเรียนแรกคือ โรงเรียนพะเยาพิทยาคม<br />\n                 พุทธศักราช 2480 ขุนนาควรรณวิโจรน์ เป็นนายอำเภอเมืองพะเยาได้ขอตั้งเทศบาลเทศบาลเมืองพะเยาขึ้น เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2480<br />\n                 พุทธศักราช 2481 นายสุจิตต์ สมบัติศิริเป็นนายอำเภอพะเยา เริ่มลงมือก่อสร้างประตูระบายน้ำกว๊านพะเยา<br />\n                 พุทธศักราช 2482 –2483 นายผล แผลงศรกลับมาดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองพะเยาอีกครั้งหนึ่ง สร้างประตูระบายน้ำกว๊านพะเยาได้เสร็จเมื่อปีพุทธศักราช 2482 สร้างที่ทำการของสถานีประมง ริเริ่มจัดหาทุนสร้างโรงพยาบาลเมืองพะเยา<br />\n                 พุทธศักราช 2484 นายสนิท จูทะรพดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองพะเยาเป็นช่วงอยู่ในภาวะสงครามมหาเอเซียบูรพา ประเทศไทยจำใจเข้าร่วมสัมพันธไมตรี กับประเทศญี่ปุ่นประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา ได้มีการระดมกำลังทหารไปตรึงชายแดนภาคเหนือ ไว้เป็นจำนวนมาก จังหวัดพะเยาในเวลานั้นจึงเต็มไปด้วยทหาร                 พุทธศักราช 2485 – 2486 นายทองสุข ชุมวงศ์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา สงครามเริ่มรุนแรงขึ้น ข้าศึกโจมตีทาง อากาศ ทรัพย์สินของทางราชการและประชาชนเสียหายมากผู้คนล้มตายและเกิดโรคระบาด คือ มาเลเรีย ซึ่งเกิดจากทหารติดเชื้อมาจากเชียงตุง ผู้คนล้มตายกันมาก มีการลักขโมยปล้นฆ่ากันบ่อยครั้ง เหตุการณ์ไม่ค่อยสงบประชาชนไม่กล้าออกไปทำมาหากิน <br />\n                 พุทธศักราช 2486 – 2490 นายฉลอง ระมิตานนท์ดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองพะเยา ประสานงานกับฝ่ายทหาร ตำรวจปราบปรามโจรผู้ร้ายได้ดี สามารคลี่คลายสถานการณ์ได้จนสงครามสงบก็หันมาฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมและส่งเสริมอาชีพของราษฎร<br />\n                 พุทธศักราช 2490 – 2496 นายผลิ ศรุตานนท์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยาเหตุการณ์สู่ภาวะปกติ เริ่มฟื้นฟูทางด้านวัตถุและจิตใจของประชาชน เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2494 อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุในองค์พระเจดีย์วัดป่าแดงหลวงดอนไชย ระหว่างเดือนกันยายน 2495 ฝนตกหนักน้ำไหลบ่าท่วมบ้านเรือนราษฎร ถนนขาดเป็นตอนๆ การคมนาคมทางบนถูกตัดขาด เป็นผู้ริเริ่มกันที่ดินเพื่อสงวนไว้เพื่อประโยชน์ของทางราชการ เช่น ที่ดิน โรงพยาบาล ศาลกลางจังหวัดและศูนย์ราชการมีพื้นที่ประมาณ 170 ไร่<br />\n                 พุทธศักราช 2496 – 2497 ขุนจิตต์ ธุรารักษ์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยาเร่งปราบปรามโจรผู้ร้าย การเล่นการพนันและส่งเสริมอาชีพ<br />\n                 พุทธศักราช 2497 - 2500 นายวิฑิต โภคะกุล ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา มีนโยบายเร่งรัดพัฒนาอาชีพ ส่งเสริมศีลธรรมจริยธรรม ทำการบูรณะถนนหนทางขุดลำเหมืองส่งน้ำจากกว๊านพะเยา สร้างโรงพยาบาลพะเยา และได้ยกฐานะเป็นนายอำเภอชั้นเอก<br />\n                 พุทธศักราช 2501 - 2502 นายวรจันทร์ อินทกฤษณ์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา เร่งรัดปรับปรุงถนนหนทาง ปราบปรามอันธพาล ร่วมริเริ่มก่อตั้งการประปาพะเยา ซึ่งสร้างเสร็จเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2501 อยู่ไม่นานก็ย้ายไปดำรงตำแหน่งปลัดจังหวัดสระบุรี ต่อมานายสวัสดิ์ อรรถศิริ มาดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยาแทนไม่นานก็ย้ายไป<br />\n                 พุทธศักราช 2502 - 2504 นายศิริ เพชรโรจน์ มาดำรงตำแหน่งแทนได้ปรับปรุงการทำงานของข้าราชการให้รัดกุม มุ่งการพัฒนาท้องถิ่นถนนหนทางสายต่างๆ แนะนำกำนันผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบลให้รู้จักการทำงานและมีความขยันหมั่นเพียร และมีการพิจารณาให้รางวัลความดีความชอบ<br />\n                 พุทธศักราช 2504 - 2511 นายจรูญ ธนะสังข์ ย้ายมาดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา ซึ่งในปีพุทธศักราช 2504 เกิดเพลิงไหม้ตลาดเมืองพะเยา ค่าเสียหายประมาณ 2 ล้านบาทเศษ<br />\n                 พุทธศักราช 2512 - 2513 นายทวี บำรุงพงษ์ มาดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยาในระยะนั้นได้มีมีการก่อตั้งแขวงการทางพะเยาขึ้น และเปิดสำนักงานเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2513 <br />\n                 พุทธศักราช 2514-2517 นายชื่น บุณย์จันทรานนท์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยาเมื่อเดือนสิงหาคม 2516 เกิดพายุฝน ฝนตกหนักน้ำไหลบ่าท่วมบ้านเรือนราษฎรเสียหายมาก<br />\n                 พุทธศักราช 2517- 2520 นายประมณฑ์ วสุวัต ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา<br />\n                 พุทธศักราช 2520 นายจรัส ฤทธิ์อุดม ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา<br />\n                 จากเมืองประวัติศาสตร์ที่มีเอกราชมาช้านาน และกลายเป็นแคว้นหนึ่งอยู่ในอาณาจักรลานนาไทย และเปลี่ยนฐานะมาเป็นจังหวัดหนึ่งขึ้นอยู่กับมณฑลพายัพมีเจ้าผู้ครองนครและถูกยุบมาเป็นอำเภอหนึ่ง ซึ่งนับตั้งแต่ช่วงที่เป็นอำเภอพะเยา (พุทธศักราช 2457-2520) ได้ 63 ปี มีนายอำเภอดำรงตำแหน่งถึง 25 นาย จนเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2520 ได้รับยกฐานะจากอำเภอพะเยาขึ้นเป็นจังหวัดพะเยามาตราบเท่าทุกวันนี้ </td>\n</tr>\n</tbody>\n</table>\n<p><strong><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'MS Sans Serif\'\" lang=\"TH\">ประวัติของจังหวัดพะเยา</span><span style=\"font-size: 14pt; font-family: \'MS Sans Serif\'\"><o:p></o:p></span></span></strong><span style=\"font-family: \'MS Sans Serif\'\"><o:p><span style=\"font-size: large; color: #000000\"> </span></o:p></span><span style=\"font-family: \'MS Sans Serif\'\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span> </span><span>                  </span><span lang=\"TH\">เมืองพะเยา มีพัฒนาการมาตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ </span>18 (<span lang=\"TH\">ก่อน พ</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 1700) <span lang=\"TH\">เป็นรัฐอิสระร่วมสมัยกับแคว้นสุโขทัย และแคว้นเชียงแสน</span>-<span lang=\"TH\">เชียงราย สมัยพุทธศตวรรษที่ </span>19 (<span lang=\"TH\">หลัง พ</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>.1800) <span lang=\"TH\">เดิมมีชื่อเรียกว่า </span>“<span lang=\"TH\">พยาว</span>” (<span lang=\"TH\">ศิลาจารึกวัดศรีชุม หลักที่ </span>2 <span lang=\"TH\">สมัยสุโขทัย</span>), <span lang=\"TH\">ภูกามยาว</span>, <span lang=\"TH\">ภูยาว </span>(<span lang=\"TH\">พงศาวดาร</span>) <span lang=\"TH\">หรือ</span>“<span lang=\"TH\">ดอยด้วน</span>” <span lang=\"TH\">หรือ </span>“<span lang=\"TH\">ดอยชมพู</span>” <span lang=\"TH\">ตามชื่อของภูเขาที่ทอดยาวจากเหนือไปใต้ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับตัวเมืองซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบริมแม่น้ำอิง</span><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-family: \'MS Sans Serif\'\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span> </span><span>                  </span><span lang=\"TH\">กษัตริย์องค์แรกที่ครองเมืองพะเยาตามที่ปรากฏในหลักฐาน คือ </span>“<span lang=\"TH\">พญางำเมือง</span>” <span lang=\"TH\">ซึ่งมีตำนานกล่าวว่าเป็นเชื้อวงศ์ขุนจอมธรรม</span>-<span lang=\"TH\">ขุนเจืองแต่โบราณ โดยที่พญางำเมืองนั้นเป็นเครือญาติของพญาเม็งราย </span>(<span lang=\"TH\">ผู้สร้างนครเชียงใหม่</span>) <span lang=\"TH\">และเป็นพระสหายของ </span>“<span lang=\"TH\">พระร่วง</span>” (<span lang=\"TH\">พ่อขุนรามคำแหง</span>) <span lang=\"TH\">แห่งกรุงสุโขทัย โดยทั้ง </span>3 <span lang=\"TH\">พระสหายเคยไปร่วมกันทำพิธีสร้างเมืองเชียงใหม่เมื่อปี พ</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 1839 <span lang=\"TH\">จนมีพระอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ปรากฏอยู่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ปัจจุบันนี้</span><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-family: \'MS Sans Serif\'\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span> </span><span>                  </span><span lang=\"TH\">ในสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา และสมัยของพระเจ้าติโลกราช มหาราชแห่งล้านนา </span>(<span lang=\"TH\">เชียงใหม่</span>) <span lang=\"TH\">มีเชื้อสายของราชวงศ์พระร่วงคนหนึ่ง ชื่อ </span>“<span lang=\"TH\">ยุทธิษฐิระ</span>” (<span lang=\"TH\">ยุทธิษเฐียร</span>) <span lang=\"TH\">ขึ้นมาครองเมืองพะเยาโดยความร่วมมือของพระเจ้าติโลกราช </span>(<span lang=\"TH\">หลังปี พ</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 1994) <span lang=\"TH\">โดยยกย่องตนเองขึ้นเป็น </span>“<span lang=\"TH\">สมเด็จพระราชโอรส</span>” <span lang=\"TH\">และสิ้นสมัยลงในปี </span>2022<o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-family: \'MS Sans Serif\'\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span> </span><span>                  </span><span lang=\"TH\">ตั้งแต่ปี พ</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 2022 <span lang=\"TH\">จนถึงปี พ</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 2101 (<span lang=\"TH\">รวม </span>79 <span lang=\"TH\">ปี</span>) <span lang=\"TH\">มีเจ้าเมือง </span>12 <span lang=\"TH\">พระองค์ ได้แก่ นางเจ้าหมื่น</span>, <span lang=\"TH\">เจ้าสี่หมื่นพะเยา</span>, <span lang=\"TH\">เจ้าสี่หมื่นพะเยา </span>(<span lang=\"TH\">คนที่ </span>2), <span lang=\"TH\">เจ้าแสนญาณกัลยา</span>, <span lang=\"TH\">เจ้าเมืองจิต</span>, <span lang=\"TH\">เจ้าเมืองส้อยพะเยา</span>, <span lang=\"TH\">เจ้าเมืองฝาง</span>, <span lang=\"TH\">เจ้าคำยอดฟ้า</span>, <span lang=\"TH\">เจ้าพระยาหน่อเชียงแสน</span>, <span lang=\"TH\">เจ้าขุนเชียงคง และพระยาเมืองตู๋ จนต้องเสียเมืองให้แก่พม่าเมื่อปี พ</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 2101 (<span lang=\"TH\">เพราะพม่าเข้าครอบครองเมืองเชียงใหม่ และดินแดนล้านนาทั้งหมดในสมัยพระเจ้าบุเรงนอง</span>) <span lang=\"TH\">พะเยาจึงกลายเป็นเมืองที่ลดความสำคัญลงไปราวกับเป็นเมืองร้าง</span><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-family: \'MS Sans Serif\'\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span> </span><span>                  </span><span lang=\"TH\">ในปี พ</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 2386 <span lang=\"TH\">แผ่นดินสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ </span>3 <span lang=\"TH\">ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองเชียงราย</span>, <span lang=\"TH\">เมืองพะเยา และเมืองงาวขึ้นใหม่ มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่าน </span>(<span lang=\"TH\">พะเยากับงาวขึ้นนต่อเมืองลำปาง</span>) <span lang=\"TH\">มีเจ้าเมืองนับได้ </span>6 <span lang=\"TH\">องค์ คือ เจ้าหลวงองค์</span>, <span lang=\"TH\">เจ้าหลวงยศ</span>, <span lang=\"TH\">เจ้าหลวงบุรีขัตติวงศา</span>, <span lang=\"TH\">เจ้าหัวหน้าอินทรชมภู</span>, <span lang=\"TH\">เจ้าหลวงอริยะและเจ้าหลวงมหาประเทศอุดรทิศ </span>(<span lang=\"TH\">ถึงแก่กรรมเมื่อปี </span>2448 <span lang=\"TH\">สมัยรัชกาลที่ </span>5)<o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-family: \'MS Sans Serif\'\"><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span> </span><span>                  </span><span lang=\"TH\">ในปี พ</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 2445 <span lang=\"TH\">ได้เกิด </span>“<span lang=\"TH\">ขบถเงี้ยวเมืองแพร่</span>” <span lang=\"TH\">หรือ </span>“<span lang=\"TH\">ขบถ พ</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>.121” <span lang=\"TH\">ขึ้น พวกเงี้ยว </span>(<span lang=\"TH\">ไทยใหญ่กลุ่มหนึ่ง</span>) <span lang=\"TH\">ได้ก่อความวุ่นวายขึ้น </span>“<span lang=\"TH\">พกาหม่อง</span>” <span lang=\"TH\">นำพรรคพวกเงี้ยวเข้าปล้นเมืองแพร่</span>, <span lang=\"TH\">น่าน และพะเยา ซึ่งพระยาประเทศอุดรทิศรู้ตัวล่วงหน้าขอกำลังตำรวจจากเมืองลำปางมาป้องกันเมืองจนพวกเงี้ยวพ่ายแพ้และหนีไปต่อมาเปลี่ยนฐานะจาก </span>“<span lang=\"TH\">เมือง</span>” <span lang=\"TH\">เป็น </span>“<span lang=\"TH\">จังหวัด</span>” <span lang=\"TH\">เรียกว่า </span>“<span lang=\"TH\">จังหวัดบริเวณพะเยา</span>” <span lang=\"TH\">ต่อมาในปี พ</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 2448 <span lang=\"TH\">ยุบลงเป็น </span>“<span lang=\"TH\">อำเภอพะเยา</span>” <span lang=\"TH\">มีเจ้าเมืองได้รับพระราชทานสัญญาบัตรจากรุงเพทฯ คือ </span>“<span lang=\"TH\">เจ้าอุปราชมหาชัย ศีติสาร</span>” <span lang=\"TH\">ต่อมาในปี พ</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 2457 <span lang=\"TH\">ยุบเป็น </span>“<span lang=\"TH\">อำเภอพะเยา</span>” <span lang=\"TH\">ขึ้นอยู่ในการปกครองของจังหวัดเชียงราย โดยมี </span>“<span lang=\"TH\">นายคลาย บุษบรรณ</span>” <span lang=\"TH\">เป็นนายอำเภอคนแรก </span>(<span lang=\"TH\">ต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น รองอำมาตย์โทขุนสิทธิประศาสน์</span>)<o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-size: large\"><span style=\"color: #000000\"><span style=\"font-family: \'MS Sans Serif\'\" lang=\"TH\">ในปี พ</span><span style=\"font-family: \'MS Sans Serif\'\">.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 2520 <span lang=\"TH\">โดยยกฐานะอำเภอพะเยาขึ้นเป็น </span>“<span lang=\"TH\">จังหวัดพะเยา</span>” <span lang=\"TH\">เมื่อวันที่ </span>20 <span lang=\"TH\">สิงหาคม </span>2520 <span lang=\"TH\">เป็นจังหวัดที่ </span>72 <span lang=\"TH\">ของประเทศ</span><o:p></o:p></span></span></span><span style=\"font-family: \'MS Sans Serif\'\"><o:p><span style=\"font-size: large; color: #000000\"> </span></o:p></span> </p>\n<p align=\"center\" class=\"menu style2\">\nประวัติเมืองพะเยา\n</p>\n<p align=\"left\" class=\"menu2\">\n                    พะเยาเป็นเมืองประวัติศาสตร์เดิมมีชื่อว่า&quot;เมืองภูกามยาวหรือพยาว&quot;เคยมีเอกราชสมบูรณ์มีกษัตริย์ปกครองสืบราชสันตติวงศ์มาปรากฎตามตำนานเมืองพะเยา            <br />\n   ดังนี้พุทธศักราช ๑๖๐๒ (จุลศักราช๔๒๑) พ่อขุนเงินหรือลาวเงินกษัตริย์ผู้ครองนครเงินยางเชียงแสนได้ให้ขุนจอมธรรมโอรสองค์ท ี่ ๒ ให้ปกครองเมืองภูกามยาว             ซึ่งเป็นหัวเมืองฝ่ายใต้ขุนจอมธรรมครองเมืองภูกามยาวได ้๒๔ ปี ก็สิ้นพระชนม์ขุนเจื่องโอรสได้ขึ้นครองราชย์แทนใน  ขณะครองเมืองได้รวบรวมลี้พลไปช่วยเมือง<br />\n            นครเงินยาง ของขุนชินผู้เป็นลุงจนรอดพ้นจากการรุกรานของแกวหรือญวนได้สำเร็จ ขุนชินทรงโสมนัสยิ่งนักจึงยกธิดาชื่อ พระนางอั๊วคำ สอนให้และสละราชสมบัติ<br />\n            ให้แก่ขุนเจื่องเมื่อขุนเจื่องได้ครองเมืองเงินยางแล้วจึงให้โอรสชื่อว่า&quot;ลาวเงินเรือง&quot;ขึ้นครองเมืองพะเยาแทนท้าวลาวเงินเรืองครองเมืองพะเยาได้๑๗ปีก็สิ้นพระชนม ์ <br />\n            ขุนแดงโอรสครองราชย์ต่อมาเป็นเวลา๗ ปีขุนชองซึ่งเป็นน้าก็แย่งราชสมบัติและได้ครองเมืองพะเยาประมาณ ๒๐ปีและมีผู้ครองราชย์สืบต่อมาจนถึงพระยางำเมือง<br />\n            กษัตริย์เมืองพะเยาองค์ที่๙ซึ่งเป็นราชบุตรของพ่อขุนมิ่งเมือง เมื่อพระชนมายุได้ ๑๖ ชันษาพระบิดาส่งไปศึกษาที่สำนักสุกันตฤาษีเมืองลพบุรี  จึงได้รู้จักกับพระร่วง <br />\n            แห่งกรุงสุโขทัยโดยได้ศึกษาศิลปศาสตร์จากอาจารย์เดียวกันและทรงเป็นสหายกันตั้งแต่นั้นมา เมื่อเรียนจบก็เสด็จกลับเมืองพะเยาปีพุทธศักราช  ๑๓๑๐    พ่อขุนมิ่ง<br />\n            เมืองพระราชบิดา  สิ้นพระชนม์จึงได้ขึ้นครองราชย์แทน  ต่อมาพ่อขุนเม็งรายได้ยกทัพมาประชิดเมืองพะเยา  พ่อขุนงำเมืองสั่งให้ไพร่พลอยู่ในความสงบและได้ให้<br />\n            เสนาอำมาต ์ ออกต้อนรับโดยดีพระองค์ได้ยกเมืองชายแดนบางเมืองให้แก่พ่อขุนเม็งรายเพื่อเป็นการสงบศึกและทั้งสองพระองค์ยังได้ทำสัญญาเป็นมิตรต่อกันตลอด<br />\n            ไปพระยาร่วงซึ่งเป็นสหายสนิทได้เสด็จมาเยี่ยมเยือนพ่อขุนงำเมืองเป็นประจำทุกปีและได้มีโอกาสรู้จักพ่อขุนเม็งรายทั้งสามพระองค์ทรงเป็นพระสหายสนิทกันมาก<br />\n            ถึงกับได้หันหลังพิงกันพร้อมกับทำสัจจปฏิญาณ แก่กัน ณ ริมฝั่งแม่น้ำกู(แม่น้ำอิง) ว่าจะไม่ผูกเวรแก่กันจะเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกันและได้กรีดโลหิตออกรวมกันในขัน<br />\n            ผสมน้ำดื่มพร้อมกัน เมื่อปีพุทธศักราช  ๑๘๑๖  พ่อขุนงำเมืองสิ้นพระชนม์ลงขุนคำแดงและขุนคำลือได้สืบราชสมบัติต่อมาตามลำดับ   ในสมัยขุนคำลือนี้เองที่เมือง<br />\n            พะเยาต้องเสียเอกราชไปพระยาคำฟู แห่งนครชัยบุรีศรีเชียงแสนได้ร่วมกับพระยากาวเมืองน่านยกทัพมาตีเมืองพะเยาพระยาคำฟูตีเมืองพะเยาได้ก่อนและได้เกิดขัด<br />\n            ใจกับพระยากาวทำให้เกิดการสู้รบพระยาคำฟูเสียทีจึงยกทัพกลับเชียงแสน  เมืองพะเยาจึงได้รวมอยู่กับอาณาจักรล้านนาตั้งแต่นั้นมาพุทธศักราช  ๒๓๘๖ พระบาท<br />\n            สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ให้เมืองพะเยาเป็นเมืองขึ้นของนครลำปางหลังจากนั้นก็ได้มีผู้ครองเมืองพะเยาต่อมาอีกหลายท่านจนถึงปีพุทธศักราช ๒๔๕๗ ได้ยุบ<br />\n            เลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองเมืองแล้วใช้ตำแหน่งนายอำเภอแทนพะเยาจึงมีฐานะเป็นอำเภอพะเยาต่อมาเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๐  พะเยาจึงได้รับการยกฐานะ<br />\n            จากอำเภอพะเยา ขึ้นเป็นจังหวัดพะเยา\n</p>\n<p>อ้างอิง <a href=\"/node/add/blog\">http://www.thaigoodview.com/node/add/blog</a></p>\n', created = 1716227000, expire = 1716313400, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:4a394b5b6011585548b02949ee376a15' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

ประวัติจังหวัดพะเยา

รูปภาพของ abp3591

ประวัติ


    ประวัติ พะเยา เป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งในแถบลานน าไทย เดิมมีชื่อว่า ภูกามยาว หรือ พยาวก่อตั้งขึ้นในพุทธศตวรษที่ 16 ปกครองโดยพ่อขุนงำเมือง ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงการปกครองตาม อิทธิพลของอาณาจักรต่าง ๆ ที่ผลัดกันมีอำนาจในแถบนี้ จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พยาวก็เปลี่ยนชื่อ เป็นพะเยา และ รวมอยู่กับจังหวัดเชียงราย จนในปี พ.ศ. 2520 จึงได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็นจังหวัดพะเยา

    อาณาเขต

    พะเยามีเนื้อที่ประมาณ 6,335 ตารางกิโลเมตร
  • ทิศเหนือ จดจังหวัดเชียงราย
  • ทิศตะวันออก จดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนล าว และน่าน
  • ทิศใต้ จดจังหวัดลำปาง และแพร่
  • ทิศตะวันตก จดจังหวัดลำปาง

    การปกครอง

  • แบ่งการปกครองออกเป็น 7 อำเภอ ได้แก่อำเภอเมืองพะเยา อำเภอจุน อำเภอเชียงคำ อำเภอเชียงม่วน อำเภอดอกคำใต้ อำเภอปง อำเภอแม่ใจ พะเยาอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 735 กิโลเมตร (สายเก่า) หรือ 691 กิโลเมตร (สายใหม่) โดยเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 1 ใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมง

แหล่งที่มา :ข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกทางการท่องเที่ยว.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย.

พะเยาเป็นเมืองประวัติศาสตร์ เดิมมีชื่อว่า เมืองภูกามยาว หรือ พยาว เคยมีเอกราชสมบูรณ์ มีกษัตริย์ปกครองสืบราชสันติวงศ์มา ปรากฎตามตำนานเมืองพะเยา ดังนี้
ขุนจอมธรรม เป็นพระราชโอรสของขุนเงินหรือลาวเงิน กษัตริย์ผู้ครองนครเงินยางเชียงแสน พุทธศักราช 1602 (จุลศักราช 421) พ่อขุนเงินหรือลาวเงิน ดำริใหพระราชโอรส 2 องค์ คือ ขุนชินให้อยู่ในราชสำนักครองนครเงินยางเชียงแสน และ ขุนจอมธรรมโอรสองค์ที่ 2ให้ปกครองเมืองภูกามยาว ซึ่งเป็นหัวเมืองฝ่ายใต้
                ขุนจอมธรรมพร้อมข้าราชการบริวารขนเอาพระราชทรัพย์บรรทุกม้า พร้อมพลช้าง พลม้า ตามเสด็จถึงเมืองภูกามยาว และตั้งรากฐานเมืองใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณเมืองหนึ่ง นามว่า “สีหราช” อยู่เชิงเขาชมภูหางดอยด้วน ลงไปจรดฝั่งแม่น้ำสายตา มีสัณฐานคล้ายลูกน้ำเต้า มีหนองน้ำใหญ่อยู่ทางตะวันตก อันหมายถึงก๊วานพะเยา และทางทิศอีสานคือ หนองหวีและหนองแว่น ต่อมารวมไพร่พลหัวเมืองต่างๆ ได้ 80,000 คน จัดแบ่งได้ 36 พันนา นาละ 500 คน มีเขตแคว้นแดนเมืองในครั้งกระโน้น ดังนี้
                ทิศบูรพา   จรดขุนผากาดจำบอน ตาดม้าน บางสีถ้ำ ไทรสามต้น สบห้วยปู น้ำพุง สบปั๋ง ห้วยบ่อทอง ตาดซาววา กิ่วแก้ว กิ่วสามช่อง มีหลักหินสามก้อนฝังไว้กิ่วฤาษี แม่น้ำสายตา กิ่วช้าง กิ่วง้ม กิ่วเปี้ย ดอยปางแม่นาค
                ทิศตะวันตก   โป่งปูดห้วยแก้วดอยปุย แม่คาว ไปทางทิศใต้กิ่วรุหลาว ดอกจิกจ้อง ขุนถ้ำ ดอยตั่ง ดอยหนอก ผาดอกวัว แซ่ม่าน ไปจรดเอาดอยผาหลักไก่ทางทิศหรดีมีเมืองในอำนาจปกครอง คือ เมืองงาว เมืองกาว สะเอียบ เชียงม่วน เมืองเทิง เมืองสระ เมืองออย สะสาว เมืองดอบ เชียงคำ เมืองลอ เมืองเชียงแลง เมืองหงาว แซ่เหียง แซ่ลุล ปากบ่อง เมืองป่าเป้า เมืองวัง แซ่ซ้อง เมืองปราบ แซ่ห่ม
                ทิศใต้   สุดจรดนครเขลางค์และนครหริภุญชัย ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือต่อแดนขรนคร(เชียงของ)
                ขุนจอมธรรมปกครองไพร่ฟ้าประชาชนโดยตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม และยึดมั่นในบวรพุทธศาสนา บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองด้วยโภคสมบัติ ฟ้าฝนตกตามฤดูกาล ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดี ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน ซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ไม่มีสงคราม เจ้าประเทศราชต่าง ๆ ก็มีสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน ทรงสั่งสอนไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดินด้วยหลักธรรม 2 ประการ คือ อปริหานิยธรรม ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม 1 ประเพณีธรรม ขนบธรรมเนียมอันเป็นระเบียบแบบแผนอันดีงานของครอบครัว 1
                ขุนจอมธรรมครองเมืองพะเยาได้ 2 ปี มีโอรส 1 พระองค์ โหรถวายคำพยากรณ์ว่าราชบุตรองค์นี้จะเป็นจักรพรรดิราชปราบชมพูทวีป มีบุญญาธิการมากเวลาประสูติ มีของทิพย์เกิดขึ้น 3 อย่าง คือ แส้ทิพย์ พระแสงทิพย์ คณโฑทิพย์ จึงให้พระนามว่า “ขุนเจื๋อง” ต่อมาอีก 3 ปี ได้ราชบุตรอีกพระนามว่า “ขุนจอง” หรือ “ชิง”
                ขุนจอมธรรมปกครองเมืองพะเยาได้ 24 ปี พระชนมายุได้ 49 พรรษา
ขุนเจื๋อง ประสูติเมื่อปีพุทธศักราช 1641 เป็นโอรสองที่ 1 ของขุนจอมธรรม เมื่อขุนเจื๋องเจริญวัยขึ้น ทรงศึกษาวิชายุทธศาสตร์ เช่น วิชาดาบ มวยปล้ำ เพลงชัย จับช้าง จับม้า และเพลงอาวุธต่างๆ พระชนมายุได้ 16 ปี พาบริวารไปคล้องช้างที่เมืองน่านเจ้าผู้ครองเมืองน่านเห็นความสามารถแล้วพอพระทัย ยกธิดาชื่อ “จันทร์เทวี” ให้เป็นชายาขุนเจื๋อง พระชนมายุได้ 17 ปี พาบริวารไปคล้องช้างที่เมืองแพร่ เจ้าผู้ครองเมืองแพร่พอพระทัย จึงยกธิดาชื่อ “นางแก้วกษัตริย์” ให้เป็นชายา พระราชทานช้าง 200 เชือก
                ภายหลังขุนจอมธรรมสิ้นพระชนม์ขุนเจื๋องได้ครองราชสืบแทนเมื่อพระชนมายุ 24 ปี ครองเมืองได้ 6 ปี มีข้าศึกแกว (ญวน) ยกทัพมาประชิดนครเงินยางเชียงแสน ขุนชินผู้เป็นลุง ได้ส่งสาส์นขอให้ส่งไพร่พลไปช่วยขุนเจื๋องได้รวบรวบรี้พลยกไปชุมนุมกันที่สนามดอนไชยหนองหลวง และเคลื่อนทัพเข้าตีข้าศึกแตกกระจัดกระจายไห เมื่อขุนชินทราบเรื่องก็เลื่อมใสโสมนัสยิ่งนัก ทรงยกธิดาชื่อ “พระนางอั๊วคำคอน” ให้และสละราชสมบัตินครเงินยางเชียงแสนให้ขุนเจื๋องครองแทนเมื่อขุนเจื๋องได้ครองราชเมืองเงินยางแล้ว ทรงพระนามว่า “พระยาเจื๋องธรรมมิกราช” ได้มอบสมบัติให้โอรสชื่อ“ลาวเงินเรือง” ครองเมืองพะเยาแทน หัวเมืองใหญ่น้อยเหนือใต้ยอมอ่อนน้อม ได้ราชธิดาแกวมาเป็นชายานามว่า “นางอู่แก้ว” มีโอรส 3 พระองค์คือ ท้าวผาเรืองยี่คำห้าว ท้าวสามชุมแสง ต่อมายกราชสมบัติเมืองแกวให้ท้าวผาเรือง ให้ท้าวคำห้าวไปครองเมืองล้านช้าง ท้าวสามชุมแสงไปครองเมืองน่าน ต่อมาได้โยธาทัพเข้าตีเมืองต่างๆ ที่ยังไม่ยอมสวามิภักดิ์ ทรงชนช้างกับศัตรูเสียทีข้าศึกเพราะชราภาพ จึงถูกฟันคอขาดและสิ้นพระชนม์บนหลังช้าง พวกทหารจึงนำพระเศียรไปบรรจุไว้ที่พระเจดีย์เมืองเหรัญนครเชียงแสน
                ขุนเจื๋อง ครองราชย์สมบัติครองแค้วนล้านนาไทยได้ 24 ปี ครองเมืองแกวได้ 17 ปี รวมพระชนมายุได้ 67 ปี
                ฝ่ายท้าวจอมผาเรืองราชบุตรขึ้นครองราชสมบัติเมืองพะเยาได้ 14 ปี ก็ถึงแก่พิราลัย ขุนแพงโอรสครองราชแทนได้ 7 ปี ขุนซองซึ่งมีศักดิ์เป็นน้า แย่งราชสมบัติ และได้ครองราชย์ เมืองพะเยาต่อมาเป็นเวลา 20 ปี และมีผู้ขึ้นครองราชสืบต่อมา จนถึงพระยางำเมืองซึ่งครองราช เป็นกษัตริย์เมืองพะเยาองค์ที่ 9 นับจากพ่อขุนจอมธรรม
พ่อขุนงำเมือง ประสูติเมื่อพุทธศักราช 1781 เป็นราชบุตรของพ่อขุนมิ่งเมืองสืบเชื้อสายมาจากท้าวจอมผาเรือง พระชนมายุ 14 ปี พระราชบิดาส่งไปศึกษาเล่าเรียนศิลปะศาสตร์เทพในสำนักเทพอิสิตนอยู่ภูเขาดอยด้วน 2 ปี จบ การศึกษา พระชนมายุได้ 16 ปี พระราชบิดาส่งไปศึกษาต่อ ขอถวายตัวอยู่ในสำนักสุกันตฤาษี ณ กรุงละโว้ (ลพบรี) จึงได้รู้จักคุ้นเคยกับพระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัยสนิทสนมผูกไมตรีต่อกันอย่างแน่นแฟ้น ศึกษาศิลปศาสตร์ร่วมครูอาจารย์เดียวกันเป็นสหายกันตั้งแต่นั้นมาเมื่อเรียนจบก็เสด็จกลับเมืองพะเยา
                ปีพุทธศักราช 1310 พระราชบิดาสิ้นพระชนม์ พ่อขุนงำเมืองขึ้นครองราชย์แทน พ่อขุนงำเมืองเป็นผู้ทรงอิทธิฤทธิ์เช่นเดียวกับพระร่วง เจ้าตำนานกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ศัรทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ไม่ชอบสงคราม ปกครองบ้านเมืองด้วยความเที่ยงธรรม ผูกไมตรีจิตต่อประเทศราชและเพื่อนบ้าน ขุนเม็งรายเคยคิดยกทัพเข้าบดขยี้เมืองพะเยา พ่อขุนงำเมืองล่วงรู้เหตุการณ์ก่อนแทนที่จะยกทัพเข้าต่อต้าน ได้สั่งไพร่พลให้อยู่ในความสงบ สั่งให้เสนาอำมาตย์ออกต้อนรับโดยดี เชิญขุนเมงรายเสวยพระกระยาหารและเลี้ยงกองทัพให้อิ่ม ขุนเม็งรายจึงเลิกการทำสงคราม แต่นั้นมาพ่อขุนงำเมืองจึงยกเมืองปลายแดน ซึ่งมีเมืองพาน เมืองเชี่ยงเคี่ยน เมืองเทิง และเมืองเชียงของ ให้แก่พระเจ้าเมงราย และทำสัญญาปฏิญาณต่อกันจะเป็นมิตรต่อกันตลอดไป ฝ่ายพระยาร่วงซึ่งเป็นสหายคนสนิทก็ได้ถือโอกาสเยี่ยมพ่อขุนงำเมืองปีละ 1 ครั้ง ส่วนใหญ่เสด็จในฤดูเทศกาลสงกรานต์ได้มีโอกาสรู้จักขุนเม็งรายทั้ง 3 องค์ ได้ชอบพอเป็นสหายกันเคยหันหลังเข้าพิงกันกระทำสัจจปฏิญาณแก่กัน ณ ริมฝั่งแม่น้ำขุนภู ว่าจะไม่ผูกเวรแก่กัน จะเป็นมิตรสหายกัน กรีดโลหิตออกรวมกันขันผสมน้ำ ทรงดื่มพร้อมกัน (ภายหลังแม่น้ำนี้ได้ชื่อว่า แม่น้ำอิง)
                ระหว่างครองราชย์ในเมืองพะเยา พ่อขุนงำเมือง เป็นผู้ทรงอุปฐากพระธาตุจอมทองซึ่งตั้งอยู่บนดอยจอมทอง ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองพะเยา ที่ประชาชนสักการะบูชามาจนตราบเท่าทุกวันนี้
                เมื่อพ่อขุนงำเมืองสิ้นพระชนม์ลง โอรสคือ ขุนคำแดง สืบราชสมบัติแทนเมื่อปีพุทธศักราช 1816 ขุนคำแดงมีโอรสชื่อ ขุนคำลือ ซึ่งครองราชสมบัติแทนต่อมา ในสมัยนั้น พระยาคำฟู ผู้ครองนครชัยบุรีศรีเชียงแสนชวน พระกาวเมือง เมืองน่านยกทัพตีเมืองพะเยา แต่พระยาคำฟูตีได้ก่อนเกิดขัดใจกันสู้รบกันขึ้น พระยาคำฟูเสียทีก็เลยยกทัพกลับเชียงแสน กองทัพพระยากาวเมืองน่านติดตามไป ยกทัพเลยไปตีถึงเมืองฝางได้ แต่ถูกทัพของพระยาคำฟูตีถอยล่นกลับเมืองน่าน เมืองพะเยาในสมัยนั้นอ่อนแอมากจึงได้รวมอยู่กับอาณาจักรลานนา
                พุทธศักราช 1949 พระเจ้าไสลือไทยยกกองทัพหมายตีเมืองเชียงใหม่และผ่านเขตเมืองพะเยา หมายตี เอาเมืองพะเยาด้วย แต่ไม่สำเร็จ
 
                สมัยพระเจ้าติโลกราชครองอาณาจักรลานนาไทย (พุทธศักราช 1985-2025) แผ่อำนาจลงไปทางใต้ปราบปรามเมืองสองแคว เมืองเชลียง เมืองสุโขทัยตลอดถึงเมืองกำแพงเพชร อยู่ในอำนาจต่อมาในปีพุทธศักราช 1994 - 2030 พระยายุทิศเจียงเจ้าเมืองสองแควซึ่งสวามิภักดิ์พระเจ้าติโลกราชได้มาครองเมืองพะเยา ทรงสร้างพระเจดีย์วัดพระยาร่วง (วัดบุญนาค) ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเรียกว่า “หลวงพ่อนาค” ทรงก่อสร้างวิหารวัดป่าแดง หลวงพ่อดอนชัย และอัญเชิญพระพุทธปฏิมาแก่นจันทร์แดงจากวัดปทุมมาราม (หนองบัว) มาประดิษฐานไว้ด้วย ต่อมาพระเจ้าติโลกราชสั่งให้นำไปประดิษฐานไว้ ณ วัดอโศการาม (วัดป่าแดงหลวง) เชียงใหม่ นอกนั้นพระยายุทิศเจียงยังเอาช่างปั้นถ้วยชาม เครื่องสังคโลก อันเป็นศิลปของกรุงสุโขทัย ไปเผยแพร่การปั้นถ้วยชามสังคโลกด้วย ตั้งแต่นั้นมาเมืองภูกามยาวก็รวมอยู่กับอาณาจักรลานนาไทยมาโดยตลอด
                จากหลักฐานศิลาจารึกต่างๆ ปรากฏว่าเมื่อปีพุทธศักราช 2034 พระยาเมืองยี่ครองเมืองพะยา พระยอดเชียงรายครองเมืองเชียงใหม่ กับตายายสองผัวเมียสร้างพระเจ้าตนหลวงเริ่มสร้างได้ 5 วัน พระยาเมืองยี่ถึงแก่พิราลัยต่อมาพระยอดเชียงรายก็สิ้นพระชนม์ในปีเดียวกัน
                พุทธศักราช 2039 พระเมืองแก้วราชโอรสพระยอดเชียงรายขึ้นครองเมืองเชียงใหม่พระยาหัวเคี่ยนครองเมืองพะเยา ได้ 21 ปีก็สิ้นพระชนม์
                พุทธศักราช 2067 สร้างพระเจ้าตนหลวงเสร็จ รวมเวลาก่อสร้าง 33 ปี
                พุทธศักราช 2111 พระเจ้าหงสาวดีเกณฑ์กองทัพพม่า ไทยใหญ่ ลื้อ มอญ ลานนาไทย ยกไปตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อตีได้แล้วให้พระมหาธรรมราชา เจ้าเมืองสองแคว ไปครองกรุงศรีอยุธยา
                พุทธศักราช 2115 พระเจ้ากรุงหงสาวดี ได้ยกทัพตีเมืองหนองหาญ อาณาจักรลานช้างและลานนาไทยได้กวาดต้อนผู้คนไปด้วย ต่อมา พระเจ้ามังตรา (บุเรงนอง) สวรรคตและปีพุทธศักราช 2141 ผู้คนที่ถูกกวาดต้อนไปกรุงหงสาวดีก็หนีกลับมาเชียงใหม่
 
                พุทธศักราช 2330 เจ้าเมืองอังวะสั่งให้หวุ่นยีมหาไชยสุระยกทัพมาทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ ผ่านฝาง เชียงราย เชียงแสน และพะเยาด้วย ผู้คนกลัวแตกตื่นอพยพไปอยู่ลำปางทำให้เมืองพะเยาร้างไปเป็นเวลาถึง 56 ปี
                พุทธศักราช 2386 พระยานครลำปางน้อยอินทร์กับพระยาอุปราชมหาวงศ์เมืองเชียงใหม่ลงไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทูลขอตั้งเมืองเชียงรายเป็นเมืองขึ้นของเชียงใหม่ และตั้งเมืองงาว เมืองพะเยาเป็นเมืองขึ้นของนครลำปาง ต่อมาพระองค์ทรงโปรกเกล้าฯ แต่งตั้งให้นายพุทธวงศ์ น้องคนที่ 1 ของพระยานครอินทร์เป็นพระยาประเทศอุดรทิศ ผู้ครองเมืองพะเยา ตั้งนายน้อย มหายศ และตั้งนายแก้ว มานุตตม์ น้องคนที่ 2 และ 3 เป็นพระยาอุปราชเมืองพะเยา และพระยาราชวงศ์เมืองพะเยาตามลำดับ ตั้งนายขัติยะ บุตรพระยาประเทศอุดรทิศเป็นพระยาเมืองแก้ว และตั้งนายน้อย ขัติยะ บุตรราชวงศ์หมู่ส่าเป็นพระยาราชบุตรเมืองพะเยา ผู้ครองเมืองพะเยาทุกคนจึงได้รับพระราชทานนามว่า “พระยาประเทศอุดรทิศ” แต่ประชาชนมักจะเรียกตามนามเดิม เช่นเจ้าหลวงวงศ์
                ปีพุทธศักราช 2391 พระยาอุปราช (น้อย มหายศ) รับสัญญาบัตรขึ้นครองเมืองพะเยา จนถึงจุลศักราช 1217 ( พุทธศักราช 2398) ก็ถึงอนิจกรรม
                พุทธศักราช 2398 พระยาราชวงศ์เมืองพะเยา (เจ้าบุรีรัตนะหรือเจ้าแก้ว ขัติยะ) ได้รับสัญญาบัตรเป็นเจ้าเมืองพะเยา ครองเมืองได้ 6 ปี ก็ถึงอนิจกรรม
                พุทธศักราช 2403 เจ้าหอหน้าอินทะชมภู รับสัญญาบัตรเป็นผู้ครองเมืองพะเยาได้ 11 ปี ก็ถึงแก่พิราลัยเมื่อปีพุทธศักราช 2413
                พุทธศักราช 2418 เจ้าหลวงอริยะเป็นเจ้าเมืองพะเยาถึงปีพุทธศักราช 2437 ถึงแก่อนิจกรรม เจ้าไชยวงศ์เป็นผู้ครองเมืองพะเยาต่อมาถึง 9 ปี
                พุทธศักราช 2445 เกิดจราจลขึ้นทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ โจรผู้ลี้ภัยเงี้ยวเข้ายึดเมืองพะเยา ปล้นเอาทรัพย์สินทางราชการ ประชาชนวัดวาอารามไป คนแตกตื่นหนีไปลำปาง ได้ยกกำลังตำรวจทหารจากลำปางมาปราบ รบกันอยู่ที่บริเวณบ้านแม่กา เงี้ยวล้มตายเป็นจำนวนมาก ตำรวจ เจ้านาย กรรมการบ้านเมืองได้เกณฑ์ผู้คนก่อสร้างเสริมกำแพงเมืองให้มั่นคงมากขึ้น เมืองพะเยาในสมัยนั้นมีฐานะเป็นจังหวัด เจ้าหลวงอุดรประเทศทิศ (ไชยวงศ์) เป็นเจ้าผู้ครองเมืองพะเยา หลวงศรีสมรรตการเป็นข้าหลวงประจำจังหวัด เจ้าอุปราชมหาชัยศีติสารตำแหน่งข้าหลวงผู้ช่วยหรือปลัดจังหวัด
                พุทธศักราช 2448 เจ้าหลวงอุดรประเทศทิศ (ไชยวงศ์) ถึงแก่พิราลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบบริเวณจังหวัดพะเยาเป็นแขวงพะเยา ให้ย้ายหลวงศรีสมรรตการ ข้าหลวงประจำจังหวัดพะเยาไปรับตำแหน่งจังหวัดอื่น และโปรดเกล้าฯ ให้อุปราชมหาชัย ศีติสารรักษาการในตำแหน่งเจ้าเมืองพะเยา
                พุทธศักราช 2449 เจ้าอุปราช ศีติสารได้รับสัญญาบัตรเป็นพระยาประเทศอุดรทิต ดำรงตำแหน่งผู้ครองเมืองพะเยาองค์สุดท้าย การปกครองแผ่นดินสมัยนั้นมีการบริหารงานเป็นกระทรวง มณฑล จังหวัด อำเภอ ดินแดนแถบตะวันตกเฉียงเหนือเรียกว่า มณฑลพายัพ ผู้บริหารระดับกระทรวงเรียกว่า เสนาบดี ผู้บริหารระดับมณฑลเรียกว่า สมุหเทศาภิบาล ผู้บริหารระดับจังหวัดเรียกว่า ข้าหลวงประจำจังหวัด ผู้บริหารระดับอำเภอเรียกว่า เจ้าเมืองบ้างหรือนายอำเภอบ้าง
                พุทธศักราช 2457 ยุบเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองเมืองใช้ตำแหน่งนายอำเภอแทนเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยทรงแต่งตั้งนายกลาย บุษบรรณ เป็นนายอำเภอเมืองพะเยา และได้รับแต่งตั้งฐานันดรศักดิ์เป็นรองอำมาตย์โทขุนสิทธิประศาสน์ เป็นนายอำเภอคนแรกมุ่งบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่อาณาประชาราษฎร จัดการศึกษา การอาชีพ และบำรุงพุทธศาสนาจนพุทธศักราช 2465 ย้ายไปดำรงตำแหน่งนายอำเภอแม่จัน
                พุทธศักราช 2466 – 2469 พระแสน สิทธิเขต ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา มีเหตุการณ์สำคัญคือ เกิดเพลิงไหม้ที่ว่าการอำเภอ และสร้างหลังใหม่คือหลังปัจจุบัน
                พุทธศักราช 2470 -2471 หลวงประดิษฐอุดมการ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองพะเยา เหตุการณ์บ้านเมืองปกติ
                พุทธศักราช 2472 -2476 พระบริภัณฑธุรราษฎรเป็นนายอำเภอ เมื่อปีพุทธศักราช 2475 เกิดการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช เปลี่ยนการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศเหตุการณ์ด้านภาคพายัพปกติ ประชาชนยังคงอยู่กันด้วยความสงบสุข
                พุทธศักราช 2477 – 2478 นายผล แผลงศร เป็นนายอำเภอเมืองพะเยา สนใจทำนุบำรุงด้านการศาสนาเป็นพิเศษ ละเอียด สุขุม นิ่มนวลเข้ากับประชาชนได้ดีมีส่วนริเริ่มปรับปรุงกว๊านพะเยา เป็นแหล่งน้ำบำรุงพันธ์ปลา ร่วมกับกรมเกษตรการประมง
                พุทธศักราช 2478 – 2480 พระศุภการกำจรเป็นนายอำเภอเมืองพะเยา เริ่มสำรวจกว๊านพะเยารวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่จะใช้ประกอบการพัฒนาก๊วานพะเยา ตามวัตถุประสงค์ของกรมเกษตรการประมง
                พุทธศักราช 2480 นายอุ่นเรือน ฟองศรี ศึกษาธิการอำเภอเมืองพะเยาสร้างโรงเรียนมัธยมศึกษาขึ้น โรงเรียนแรกคือ โรงเรียนพะเยาพิทยาคม
                พุทธศักราช 2480 ขุนนาควรรณวิโจรน์ เป็นนายอำเภอเมืองพะเยาได้ขอตั้งเทศบาลเทศบาลเมืองพะเยาขึ้น เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2480
                พุทธศักราช 2481 นายสุจิตต์ สมบัติศิริเป็นนายอำเภอพะเยา เริ่มลงมือก่อสร้างประตูระบายน้ำกว๊านพะเยา
                พุทธศักราช 2482 –2483 นายผล แผลงศรกลับมาดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองพะเยาอีกครั้งหนึ่ง สร้างประตูระบายน้ำกว๊านพะเยาได้เสร็จเมื่อปีพุทธศักราช 2482 สร้างที่ทำการของสถานีประมง ริเริ่มจัดหาทุนสร้างโรงพยาบาลเมืองพะเยา
                พุทธศักราช 2484 นายสนิท จูทะรพดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองพะเยาเป็นช่วงอยู่ในภาวะสงครามมหาเอเซียบูรพา ประเทศไทยจำใจเข้าร่วมสัมพันธไมตรี กับประเทศญี่ปุ่นประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา ได้มีการระดมกำลังทหารไปตรึงชายแดนภาคเหนือ ไว้เป็นจำนวนมาก จังหวัดพะเยาในเวลานั้นจึงเต็มไปด้วยทหาร                 พุทธศักราช 2485 – 2486 นายทองสุข ชุมวงศ์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา สงครามเริ่มรุนแรงขึ้น ข้าศึกโจมตีทาง อากาศ ทรัพย์สินของทางราชการและประชาชนเสียหายมากผู้คนล้มตายและเกิดโรคระบาด คือ มาเลเรีย ซึ่งเกิดจากทหารติดเชื้อมาจากเชียงตุง ผู้คนล้มตายกันมาก มีการลักขโมยปล้นฆ่ากันบ่อยครั้ง เหตุการณ์ไม่ค่อยสงบประชาชนไม่กล้าออกไปทำมาหากิน
                พุทธศักราช 2486 – 2490 นายฉลอง ระมิตานนท์ดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองพะเยา ประสานงานกับฝ่ายทหาร ตำรวจปราบปรามโจรผู้ร้ายได้ดี สามารคลี่คลายสถานการณ์ได้จนสงครามสงบก็หันมาฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมและส่งเสริมอาชีพของราษฎร
                พุทธศักราช 2490 – 2496 นายผลิ ศรุตานนท์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยาเหตุการณ์สู่ภาวะปกติ เริ่มฟื้นฟูทางด้านวัตถุและจิตใจของประชาชน เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2494 อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุในองค์พระเจดีย์วัดป่าแดงหลวงดอนไชย ระหว่างเดือนกันยายน 2495 ฝนตกหนักน้ำไหลบ่าท่วมบ้านเรือนราษฎร ถนนขาดเป็นตอนๆ การคมนาคมทางบนถูกตัดขาด เป็นผู้ริเริ่มกันที่ดินเพื่อสงวนไว้เพื่อประโยชน์ของทางราชการ เช่น ที่ดิน โรงพยาบาล ศาลกลางจังหวัดและศูนย์ราชการมีพื้นที่ประมาณ 170 ไร่
                พุทธศักราช 2496 – 2497 ขุนจิตต์ ธุรารักษ์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยาเร่งปราบปรามโจรผู้ร้าย การเล่นการพนันและส่งเสริมอาชีพ
                พุทธศักราช 2497 - 2500 นายวิฑิต โภคะกุล ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา มีนโยบายเร่งรัดพัฒนาอาชีพ ส่งเสริมศีลธรรมจริยธรรม ทำการบูรณะถนนหนทางขุดลำเหมืองส่งน้ำจากกว๊านพะเยา สร้างโรงพยาบาลพะเยา และได้ยกฐานะเป็นนายอำเภอชั้นเอก
                พุทธศักราช 2501 - 2502 นายวรจันทร์ อินทกฤษณ์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา เร่งรัดปรับปรุงถนนหนทาง ปราบปรามอันธพาล ร่วมริเริ่มก่อตั้งการประปาพะเยา ซึ่งสร้างเสร็จเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2501 อยู่ไม่นานก็ย้ายไปดำรงตำแหน่งปลัดจังหวัดสระบุรี ต่อมานายสวัสดิ์ อรรถศิริ มาดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยาแทนไม่นานก็ย้ายไป
                พุทธศักราช 2502 - 2504 นายศิริ เพชรโรจน์ มาดำรงตำแหน่งแทนได้ปรับปรุงการทำงานของข้าราชการให้รัดกุม มุ่งการพัฒนาท้องถิ่นถนนหนทางสายต่างๆ แนะนำกำนันผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบลให้รู้จักการทำงานและมีความขยันหมั่นเพียร และมีการพิจารณาให้รางวัลความดีความชอบ
                พุทธศักราช 2504 - 2511 นายจรูญ ธนะสังข์ ย้ายมาดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา ซึ่งในปีพุทธศักราช 2504 เกิดเพลิงไหม้ตลาดเมืองพะเยา ค่าเสียหายประมาณ 2 ล้านบาทเศษ
                พุทธศักราช 2512 - 2513 นายทวี บำรุงพงษ์ มาดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยาในระยะนั้นได้มีมีการก่อตั้งแขวงการทางพะเยาขึ้น และเปิดสำนักงานเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2513
                พุทธศักราช 2514-2517 นายชื่น บุณย์จันทรานนท์ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยาเมื่อเดือนสิงหาคม 2516 เกิดพายุฝน ฝนตกหนักน้ำไหลบ่าท่วมบ้านเรือนราษฎรเสียหายมาก
                พุทธศักราช 2517- 2520 นายประมณฑ์ วสุวัต ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา
                พุทธศักราช 2520 นายจรัส ฤทธิ์อุดม ดำรงตำแหน่งนายอำเภอพะเยา
                จากเมืองประวัติศาสตร์ที่มีเอกราชมาช้านาน และกลายเป็นแคว้นหนึ่งอยู่ในอาณาจักรลานนาไทย และเปลี่ยนฐานะมาเป็นจังหวัดหนึ่งขึ้นอยู่กับมณฑลพายัพมีเจ้าผู้ครองนครและถูกยุบมาเป็นอำเภอหนึ่ง ซึ่งนับตั้งแต่ช่วงที่เป็นอำเภอพะเยา (พุทธศักราช 2457-2520) ได้ 63 ปี มีนายอำเภอดำรงตำแหน่งถึง 25 นาย จนเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2520 ได้รับยกฐานะจากอำเภอพะเยาขึ้นเป็นจังหวัดพะเยามาตราบเท่าทุกวันนี้

ประวัติของจังหวัดพะเยา                    เมืองพะเยา มีพัฒนาการมาตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ 18 (ก่อน พ.. 1700) เป็นรัฐอิสระร่วมสมัยกับแคว้นสุโขทัย และแคว้นเชียงแสน-เชียงราย สมัยพุทธศตวรรษที่ 19 (หลัง พ..1800) เดิมมีชื่อเรียกว่า พยาว” (ศิลาจารึกวัดศรีชุม หลักที่ 2 สมัยสุโขทัย), ภูกามยาว, ภูยาว (พงศาวดาร) หรือดอยด้วนหรือ ดอยชมพูตามชื่อของภูเขาที่ทอดยาวจากเหนือไปใต้ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับตัวเมืองซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบริมแม่น้ำอิง                   กษัตริย์องค์แรกที่ครองเมืองพะเยาตามที่ปรากฏในหลักฐาน คือ พญางำเมืองซึ่งมีตำนานกล่าวว่าเป็นเชื้อวงศ์ขุนจอมธรรม-ขุนเจืองแต่โบราณ โดยที่พญางำเมืองนั้นเป็นเครือญาติของพญาเม็งราย (ผู้สร้างนครเชียงใหม่) และเป็นพระสหายของ พระร่วง” (พ่อขุนรามคำแหง) แห่งกรุงสุโขทัย โดยทั้ง 3 พระสหายเคยไปร่วมกันทำพิธีสร้างเมืองเชียงใหม่เมื่อปี พ.. 1839 จนมีพระอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ปรากฏอยู่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ปัจจุบันนี้                   ในสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา และสมัยของพระเจ้าติโลกราช มหาราชแห่งล้านนา (เชียงใหม่) มีเชื้อสายของราชวงศ์พระร่วงคนหนึ่ง ชื่อ ยุทธิษฐิระ” (ยุทธิษเฐียร) ขึ้นมาครองเมืองพะเยาโดยความร่วมมือของพระเจ้าติโลกราช (หลังปี พ.. 1994) โดยยกย่องตนเองขึ้นเป็น สมเด็จพระราชโอรสและสิ้นสมัยลงในปี 2022                   ตั้งแต่ปี พ.. 2022 จนถึงปี พ.. 2101 (รวม 79 ปี) มีเจ้าเมือง 12 พระองค์ ได้แก่ นางเจ้าหมื่น, เจ้าสี่หมื่นพะเยา, เจ้าสี่หมื่นพะเยา (คนที่ 2), เจ้าแสนญาณกัลยา, เจ้าเมืองจิต, เจ้าเมืองส้อยพะเยา, เจ้าเมืองฝาง, เจ้าคำยอดฟ้า, เจ้าพระยาหน่อเชียงแสน, เจ้าขุนเชียงคง และพระยาเมืองตู๋ จนต้องเสียเมืองให้แก่พม่าเมื่อปี พ.. 2101 (เพราะพม่าเข้าครอบครองเมืองเชียงใหม่ และดินแดนล้านนาทั้งหมดในสมัยพระเจ้าบุเรงนอง) พะเยาจึงกลายเป็นเมืองที่ลดความสำคัญลงไปราวกับเป็นเมืองร้าง                   ในปี พ.. 2386 แผ่นดินสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองเชียงราย, เมืองพะเยา และเมืองงาวขึ้นใหม่ มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่าน (พะเยากับงาวขึ้นนต่อเมืองลำปาง) มีเจ้าเมืองนับได้ 6 องค์ คือ เจ้าหลวงองค์, เจ้าหลวงยศ, เจ้าหลวงบุรีขัตติวงศา, เจ้าหัวหน้าอินทรชมภู, เจ้าหลวงอริยะและเจ้าหลวงมหาประเทศอุดรทิศ (ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2448 สมัยรัชกาลที่ 5)                   ในปี พ.. 2445 ได้เกิด ขบถเงี้ยวเมืองแพร่หรือ ขบถ พ..121” ขึ้น พวกเงี้ยว (ไทยใหญ่กลุ่มหนึ่ง) ได้ก่อความวุ่นวายขึ้น พกาหม่องนำพรรคพวกเงี้ยวเข้าปล้นเมืองแพร่, น่าน และพะเยา ซึ่งพระยาประเทศอุดรทิศรู้ตัวล่วงหน้าขอกำลังตำรวจจากเมืองลำปางมาป้องกันเมืองจนพวกเงี้ยวพ่ายแพ้และหนีไปต่อมาเปลี่ยนฐานะจาก เมืองเป็น จังหวัดเรียกว่า จังหวัดบริเวณพะเยาต่อมาในปี พ.. 2448 ยุบลงเป็น อำเภอพะเยามีเจ้าเมืองได้รับพระราชทานสัญญาบัตรจากรุงเพทฯ คือ เจ้าอุปราชมหาชัย ศีติสารต่อมาในปี พ.. 2457 ยุบเป็น อำเภอพะเยาขึ้นอยู่ในการปกครองของจังหวัดเชียงราย โดยมี นายคลาย บุษบรรณเป็นนายอำเภอคนแรก (ต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น รองอำมาตย์โทขุนสิทธิประศาสน์)ในปี พ.. 2520 โดยยกฐานะอำเภอพะเยาขึ้นเป็น จังหวัดพะเยาเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2520 เป็นจังหวัดที่ 72 ของประเทศ 

อ้างอิง http://www.thaigoodview.com/node/add/blog

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 310 คน กำลังออนไลน์