• user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:e673bd5c15915a6d470299f238fd8f62' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p align=\"center\">\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\"><b>ยุคก่อนประวัติศาสตร์</b></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\"><b>ยุคหิน</b></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">ยุคหินเก่า (Paleolithic Age หรือ Old Stone Age)</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">          1. อายุประมาณ 2 ล้านปีก่อนคริสต์ศักราช<br />\n          2. ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์และเก็บผลไม้ป่า<br />\n          3. อาศัยตามถ้ำหรือที่พักหยาบๆ<br />\n          4. พึ่งพาธรรมชาติและไม่เข้าใจปรากฎการณ์ธรรมชาติ<br />\n          5. รู้จักใช้ไฟ<br />\n          6. ประกอบพิธีฝังศพอันเป็นจุดเริ่มต้นของศาสนา<br />\n          7. ภาพจิตรกรรมผนังถ้ำตามความเชื่อและพิธีกรรม</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\"> </span><span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">ยุคหินกลาง (Mesolithic Age หรือ Middle Stone Age)</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">          1. อายุประมาณ 8 พันปีก่อนคริสต์ศักราช<br />\n          2. เริ่มรู้จักเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์แบบง่ายๆ <br />\n          3. ภาพจิตรกรรมผนังถ้ำมีความซับซ้อนมากขึ้น  จุดมุ่งหมายเพื่อพิธีกรรมความเชื่อเรื่องวิญญาณ<br />\n          4. มีพิธีกรรมเกี่ยวกับพระ </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">ยุคหินใหม่</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">          1. อายุประมาณ 4 พันปีก่อนคริสต์ศักราช<br />\n          2. ผลิตอาหารได้เอง  รู้จักเก็บกักอาหาร  หยุดเร่ร่อน<br />\n          3. เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยหินประณีตขึ้น<br />\n          4. รู้จักการทอผ้า  เครื่องปั้นดินเผา  ทำเครื่องทุ่นแรง เช่น การเสียดสีให้เกิดไฟ การประดิษฐ์เรือ<br />\n          5. รวมกลุ่มเกษตรกรรมเป็นหมู่บ้าน มีการจัดระเบียบเพื่อควบคุมสังคม มีหัวหน้าชุมชน<br />\n          6. อนุสาวรีย์หิน (Stonechenge) ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นงานสถาปัตยกรรมของมนุษย์  เชื่อว่าสร้างเพื่อคำนวณทางดาราศาสตร์  พิธีกรรมทางศาสนาที่เกี่ยว<br />\n              ข้องกับการเกษตรหรือบูชาพระอาทิตย์</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small\"></span>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\"><b>เมโสโปเตเมีย</b></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">        - เป็นบริเวณที่อุดมสมบูรณืระหว่างแม่น้ำ 2 สาย คือ แม่น้ำโทกริสและแม่น้ำยูเฟรติส จึงทำให้ชนชาติต่างๆแย่งชิงผลัดเปลี่ยนเข้ามาสร้างสรรค์อารยธรรมของตน<br />\n        - ชาติแรกที่เข้ามา คือ สุเมเรียน  ซึ่งมีความเจริญด้านการเกษตร  รู้จักการชลประทานและจัดการปกครองแบบนครรัฐได้เป็นครั้งแรก<br />\n        - ประดิษฐ์อักษรลิ่ม  ลงบนแผ่นดินเหนียว  มีความเจริญด้านคณิตศาสตร์ เช่น การคูณหาร  ถอดรากกำลังสอง  เลขฐาน 60 เป็นต้น มีการติดต่อค้าขายกับภายนอก <br />\n       - นับถือเทพเจ้าหลายองค์  วิหารบูชาเทพเจ้า คือ ซิกกูแรท (Ziggurat) <br />\n        - บาบิโลเนีย  ประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมบูราบี  ใช้บทลงโทษที่รุนแรง  &quot; ตาต่อตา ฟันต่อฟัน &quot;  เพื่อสร้างระเบียบและความยุติธรรมให้แก่ดินแดน  ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกของโลก<br />\n        - อัสซีเรีย  การแกะสลักภาพนูนต่ำ (bas relief) แสดงการสู้รบของกษัตริย์อัสซูร์บาลิปาล รวบรวมงานเขียนไว้ที่ห้องสมุดเมืองนายเวห์ (Nineveh) ซึ่งเป็นห้องสมุดแห่งแรกของโลก<br />\n        - คาลเดีย  สร้างสวนลอยแห่งกรุงบสบิโลน  มีความสามารถด้านดาราศาสตร์ แบ่งสัปดาห์ 7 วัน  สามารถทำนายสุริยุปราคา และนำดาราศาสตร์มาเป็นเครื่องทำนายชะตาชีวิตมนุษย์<br />\n        - เปอร์เซีย  ระบอบการปกครองแบบจักรวรรดินิยมที่มั่นคง  ขยายการค้าไปยังดินแดนต่างๆ<br />\n        - ฟินิเซีย  มีความสามารถด้านการค้า การแลกเปลี่ยนเงินตรา เป็นชาติแรกที่มีเหรียญทองคำใช้  เป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมของชาติต่างๆในภูมิภาคนี้</span>\n</p>\n<p><span style=\"font-size: x-small\"></span></p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\"><b>อียิปต์</b></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">        - ศูนย์กลางของอารยธรรมอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำไนล์   มีปราการธรรมชาติเป็นทะเลทรายล้อมรอบ   เป็นสังคมเกษตรกรรมที่พัฒนามาจนเป็นเมือง ( โมนิส ) ขยายพื้นที่เพาะปลูก สร้างเขื่อน กษัตริย์ที่ขึ้นปกครอง เรียกว่า ฟาโรห์  เป็นกึ่งกษัตริย์กึ่งเทพเจ้า โครงสร้างทางสังคมแบ่งเป็น 3 ชนชั้น คือ*</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">        - เจริญรุ่งเรืองด้านอารยธรรม  มีการประดิษฐ์อักษรภาพ เรียกว่า เฮียโรกริฟฟิค  และบันทึกลงแผ่นกระดาษปาปิรุส ผุกพันกับพิธีกรรมและพระเจ้าตั้งแต่เกิดจนตาย  นับถือเทพเจ้าหลายองค์  เทพเจ้าสูงสุด คือ รา หรือ เร ( สุริยเทพ ) เทพเจ้าที่สำคัญ คือ เทพโอซิรุส</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">        - เชื่อเรื่องวิญญาณและเชื่อเรื่องโลกหน้า  จึงทำให้มีการทำมัมมี่  เพื่อรักษาร่างผู้ตายไม่ให้เน่าเปื่อย  สร้างพีระมิดไว้เก็บศพฟาโรห์</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">        - ศิลปะสะท้อนความคิดและความเชื่อของคนในสังคม เช่น การสร้างพีระมิด สฟิงซ์ วิหารเทพเจ้า เสาโอเบลิสก์ คัมภีร์มรณะ (Bock of the Dead)</span>\n</p>\n<p><span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\"></span></p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\"><b>กรีก</b></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">        กรีก เป็นเชื้อสายอินโด ยูโรเปี้ยน เรียกวัฒนธรรมตนเองว่า เฮเลนนีส (Hellenes) เรียกบ้านเมืองตนเองว่า เฉลลัส (Hellas) </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">    <b>    <u>ยุคเฮเลนิค</u> (Hellenic Civilization) </b></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">        - มีศูนย์กลางอยู่ที่เอเธนส์ มีการปกครองแบบนครรัฐ  ศูนย์กลางของนครรัฐอยู่ที่   อะโครโปลิส &quot;  มีความเจริญรุ่งเรืองทางการค้ามาก  การเดินทางไปค้าขายกับดินอดนต่างๆ  ทำให้ชาวกรีกมีโลกทัศน์กว้างขวางและรับวัฒนธรรมจากดินแดนต่างๆ ทำให้ชาวกรีกเป็นคนอยากรู้อยากเห็น เชื่อมั่นในเหตุผล เชื่อในดุลพินิจของตน ส่งผลต่อแนวคิดมนุษย์นิยม (Humanism)<br />\n        - สนใจในธรรมชาตินิยม (Naturalism) นับถือเทพเจ้าหลายองค์  แต่มีอิสรภาพทางความคิด  เพราะศาสนาไม่มีอิทธิพลวิถีเหนือชีวิตของคนในสังคมมากนัก<br />\n        - แนวคิดประชาธิปไตย มนุษย์ปกครองแบบนครรัฐอิสระ เช่น นครรัฐเอเธนส์ ปกครองแบบประชาธิปไตยทางตรง  โดยพลเมืองชายที่เป็นเจ้าของที่ดินและเกิดในนครรัฐจะมีสิทธิในการปกครอง มีสิทธิในการเข้าประชุมสภาราษฎร</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">        <b><u>อารยธรรมของกรีกซึ่งเป็นรากฐานของอารยธรรมตะวันตกในปัจจุบัน</u></b> ได้แก่<br />\n        <b>สถาปัตยกรรม<br />\n</b>        - เน้นความยิ่งใหญ่ เรียบง่าย กลมกลืน  <br />\n        - ไอโอนิคฅ<br />\n        - โดรินเซียน</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">        <b>ประติมากรรม<br />\n</b>        - เป็นการปั้นที่เป็นสัดส่วนและสรีระที่เป็นมนุษย์จริง  การเปลือยกายเป็นการแสดงออกถึงความงามของมนุษย์ตามธรรมชาติ เช่น นักขว้างจักร</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\"><b>     จิตรกรรม<br />\n</b>        - จิตรกรรมที่มีชื่อเสียง ได้แก่ การเขียนภาพบนเครื่องปั้นดินเผาลวดลายต่างๆ</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">        <b>วรรณกรรม<br />\n</b>       - มหากาพย์ลีเลียดและโอเดสซีของโฮมเมอร์ <br />\n        - นิทานอีสปและงานด้านปรัชญาของเพลโต โสเกรตีส อริสโตเติล </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">       <b> ละคร<br />\n</b>        - ละครสุขนาฏกรรม (Comedy)<br />\n        - ละครโศกนาฏกรรม (Teagedy) <br />\n        - การสร้างโรงมหรสพ</span>\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\"><b>โรมัน</b></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\">        - ถือว่าเป็นผู้สืบทอดวัฒนธรรมกรีก  เพราะผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมกรีกกับของอีทรัสกันเข้าด้วยกัน เช่น การวางผังเมือง  การแกะสลักเครื่องปั้นดินเผา  <br />\nท่อระบายน้ำ  การใช้ประตูโค้ง<br />\n        - โรมันปกครองแบบสาธารณรัฐ  ซึ่งประกอบด้วยประมุขฝ่ายบริหาร 2 คนและมีสภาเซานท์หรือสภาสูงจำนวน 300 คน ประกอบด้วยชนชั้นสุงและเจ้าของที่ดิน (Patrician)  ส่วนสภาราษฎรประกอบด้วยพลเมืองโรมันทั้งพาทริเชียนและพลีเบียน คือ ชนชั้นสามัญ <br />\n        - ต่อมาพวกพลีเบียนมีบทบาททางการเมืองมากขึ้นและมีสิทธิในการปกครอง  สามารถแต่งตั้งตำแหน่งทรีบูน (Tribune) ซึ่งมีสิทธิออกเสียงโหวต  ทำให้มีการ<br />\nบันทึกกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร เรียกว่า กฎหมายสิบสองโต๊ะ  ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกของโรมันที่เป็นลายลักษณ์อักษร  มีความเสมอภาคทางกฎหมาย  ทำให้การ<br />\nตัดสินคดีมีมาตรฐานเดียวกัน<br />\n        - มีการแบ่งแยกอำนาจกัน ทหารเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น จูเลียส ซีซาร์ ดำรงตำแหน่งผู้เผด็จการตลอดชีพ  ส่วนออกัสลัส ซีซาร์ ตั้งตนเป็นจักรพรรดิ  ทำให้การปกครองระบอบสาธารณรัฐสิ้นสุด  การปกครองแบบจักรพรรดิ เรียกว่า &quot; สมัยสันติภาพโรมัน &quot; อันเป็นผลให้ปรับปรุงการปกครอง ปรับปรุงภาษี  ขยายดิน<br />\nแดน  สร้างสาธารณูปโภค เช่น สะพาน ถนน ท่อน้ำ ที่จักรพรรดิรวมกันได้มั่นคงเพราะมีกฎหมายควบคุม  ตลอดจนการปลูกฝังวัฒนธรรมและภาษาละติน   ค.ศ.476 <br />\nจักรพรรดิโรมันตะวันตกถูกยึดครองโดยพวกอนารยชนเผ่าติวตัน<br />\n        - ชาวโรมันเป็นนักปฏิวัติ  นักประยุกต์  เพื่อให้เกิดประโยชน์ใช้สอย  นับถือเทพเจ้าตามอย่างกรีกแต่เปลี่ยนชื่อ   นำศิลปะมารับใช้มนุษย์แทนการรับใช้พระเจ้า<br />\n        - ชาวโรมันคำนึงถึงประโยชน์ในการใช้สอย  ความรับผิดชอบต่อสังคม  ความมีระเบียบวินัย  ความหรูหรา  ความสะดวกสบายและการแสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ของอำนาจรัฐ เช่น วิหารแพนธีออน โคลอสเซียม โรงละคร ที่อาบน้ำสาธารณะ<br />\n        - จิตรกรรม  ภาพวาดที่ฝาผนังนครปอมเปอี<br />\n        - วรรณกรรม  มหากาพย์เอเนียลของเวอร์จิล<br />\n        - กฎหมาย  กฎหมายสิบสองโต๊ะ<br />\n        - การแพทย์  การผ่าตัดหน้าท้อง</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\"><u><b>ศิลปะสมัยใหม่</b></u>  ( Modern Art )</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\"><b>1. ศิลปะจินตนิยม</b>  ( Romanticism )  ค.ศ.1800-1900<br />\n        -  ก่อเกิดในอังกฤษและฝรั่งเศสช่วงระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน  มีทรรศนะคติที่ต้องการความเป็นอิสระในการแสดงออกที่ศิลปินต้องการมากกว่าการเดินตามกฎเกณฑ์และแบบแผนทางศิลปะ  ดังที่ศิลปินลัทธิคลาสสิกใหม่ยังยึดถืออยู่<br />\n        -  เป็นศิลปะที่เน้นอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล  มุ่งสร้างสรรค์งานที่ตื่นเต้น  เร้าใจ  ก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจแก่ผู้ชม</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\"><b>2. ศิลปะสัจนิยม</b>  ( Realisticism )  กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19<br />\n        -  ศิลปินในยุคนี้ได้แก่  กุสตาฟ  คูร์เบท์ , ฌอง  ฟรังซัวส์  มิล์เลท์</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\"><b>3. ศิลปะลัทธิประทับใจ</b>  ( Impressionism )  ศิลปะแห่งความงดงามของประกายแสงและสี<br />\n        -  แสดงภาพทิวทัศน์บก  ทะเล  ริมฝั่ง  เมืองและชีวิตประจำวันที่รื่นรมย์  เช่น  การสังสรรค์  บัลเลต์  การแข่งม้า  สโมสร  นิยมเขียนภาพนอกห้องปฏิบัติงาน<br />\n        -  พยายามแสดงคุณสมบัติของแสงสี  อันเป็นผลมาจากความรู้เกี่ยวกับแสงจากสเปกตรัมและสี  ซึ่งเป็นผลผลิตจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์  <br />\n        -  ศิลปินในยุคนี้  ได้แก่  มาเนท์ , โคลด  โมเนท์ , เรอนัวร์ , เดอกาส์ , โรแดง , รอสโซ</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\"><b>4. ศิลปะลัทธิประทับใจใหม</b>่  ( Neo-Impressionism )  สีจากแสงสเปกตรัมมาสู่อนุภาค<br />\n        -  เกิดเทคนิคการระบายสีเป็นสีจากจุด  ซึ่งเป็นผลมาจากความเชื่อทางฟิสิกส์ว่า  แสง คือ อนุภาค  โดยการระบายสีให้เกิดริ้วรอยพู่กันเล็กๆด้วยสีสดใส  จุดสีเล็กๆนี้จะผสานกันในสายตาของผู้ชม  มากกว่าการผสมสีอันเกิดจากการผสมบนจานสี<br />\n        -  ศิลปินคนสำคัญ  ได้แก่  จอร์จส์ เซอราท์ , คามิลล์ พีส์ซาร์โร , พอล ซิบัค</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\"><b>5. ศิลปะลัทธิประทับใจยุคหลัง</b>  ( Post-Impressionism )</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\"><b>6. ศิลปะลัทธิบาศกนิยม</b>  ( Cubism )  ค.ศ.1907-1910</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\"><b>7. ศิลปะลัทธิเหนือจริง</b>  ( Surrealism )  ศิลปกรรมที่เปิดเผยความฝันและจิตใต้สำนึก</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: x-small; font-family: Tahoma\"><b>8. ศิลปะลัทธินามธรรม</b>  ( Abstractionism )  ศิลปะไร้รูปลักษณ์</span>\n</p>\n<p></p>\n', created = 1719541666, expire = 1719628066, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:e673bd5c15915a6d470299f238fd8f62' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

ประวัติศาสตร์สากลตามความเข้าใจของข้าพเจ้า

ยุคก่อนประวัติศาสตร์

ยุคหิน

ยุคหินเก่า (Paleolithic Age หรือ Old Stone Age)

          1. อายุประมาณ 2 ล้านปีก่อนคริสต์ศักราช
          2. ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์และเก็บผลไม้ป่า
          3. อาศัยตามถ้ำหรือที่พักหยาบๆ
          4. พึ่งพาธรรมชาติและไม่เข้าใจปรากฎการณ์ธรรมชาติ
          5. รู้จักใช้ไฟ
          6. ประกอบพิธีฝังศพอันเป็นจุดเริ่มต้นของศาสนา
          7. ภาพจิตรกรรมผนังถ้ำตามความเชื่อและพิธีกรรม

 ยุคหินกลาง (Mesolithic Age หรือ Middle Stone Age)

          1. อายุประมาณ 8 พันปีก่อนคริสต์ศักราช
          2. เริ่มรู้จักเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์แบบง่ายๆ
          3. ภาพจิตรกรรมผนังถ้ำมีความซับซ้อนมากขึ้น  จุดมุ่งหมายเพื่อพิธีกรรมความเชื่อเรื่องวิญญาณ
          4. มีพิธีกรรมเกี่ยวกับพระ 

ยุคหินใหม่

          1. อายุประมาณ 4 พันปีก่อนคริสต์ศักราช
          2. ผลิตอาหารได้เอง  รู้จักเก็บกักอาหาร  หยุดเร่ร่อน
          3. เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยหินประณีตขึ้น
          4. รู้จักการทอผ้า  เครื่องปั้นดินเผา  ทำเครื่องทุ่นแรง เช่น การเสียดสีให้เกิดไฟ การประดิษฐ์เรือ
          5. รวมกลุ่มเกษตรกรรมเป็นหมู่บ้าน มีการจัดระเบียบเพื่อควบคุมสังคม มีหัวหน้าชุมชน
          6. อนุสาวรีย์หิน (Stonechenge) ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นงานสถาปัตยกรรมของมนุษย์  เชื่อว่าสร้างเพื่อคำนวณทางดาราศาสตร์  พิธีกรรมทางศาสนาที่เกี่ยว
              ข้องกับการเกษตรหรือบูชาพระอาทิตย์

เมโสโปเตเมีย

        - เป็นบริเวณที่อุดมสมบูรณืระหว่างแม่น้ำ 2 สาย คือ แม่น้ำโทกริสและแม่น้ำยูเฟรติส จึงทำให้ชนชาติต่างๆแย่งชิงผลัดเปลี่ยนเข้ามาสร้างสรรค์อารยธรรมของตน
        - ชาติแรกที่เข้ามา คือ สุเมเรียน  ซึ่งมีความเจริญด้านการเกษตร  รู้จักการชลประทานและจัดการปกครองแบบนครรัฐได้เป็นครั้งแรก
        - ประดิษฐ์อักษรลิ่ม  ลงบนแผ่นดินเหนียว  มีความเจริญด้านคณิตศาสตร์ เช่น การคูณหาร  ถอดรากกำลังสอง  เลขฐาน 60 เป็นต้น มีการติดต่อค้าขายกับภายนอก 
       - นับถือเทพเจ้าหลายองค์  วิหารบูชาเทพเจ้า คือ ซิกกูแรท (Ziggurat)
        - บาบิโลเนีย  ประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมบูราบี  ใช้บทลงโทษที่รุนแรง  " ตาต่อตา ฟันต่อฟัน "  เพื่อสร้างระเบียบและความยุติธรรมให้แก่ดินแดน  ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกของโลก
        - อัสซีเรีย  การแกะสลักภาพนูนต่ำ (bas relief) แสดงการสู้รบของกษัตริย์อัสซูร์บาลิปาล รวบรวมงานเขียนไว้ที่ห้องสมุดเมืองนายเวห์ (Nineveh) ซึ่งเป็นห้องสมุดแห่งแรกของโลก
        - คาลเดีย  สร้างสวนลอยแห่งกรุงบสบิโลน  มีความสามารถด้านดาราศาสตร์ แบ่งสัปดาห์ 7 วัน  สามารถทำนายสุริยุปราคา และนำดาราศาสตร์มาเป็นเครื่องทำนายชะตาชีวิตมนุษย์
        - เปอร์เซีย  ระบอบการปกครองแบบจักรวรรดินิยมที่มั่นคง  ขยายการค้าไปยังดินแดนต่างๆ
        - ฟินิเซีย  มีความสามารถด้านการค้า การแลกเปลี่ยนเงินตรา เป็นชาติแรกที่มีเหรียญทองคำใช้  เป็นผู้เผยแพร่วัฒนธรรมของชาติต่างๆในภูมิภาคนี้

อียิปต์

        - ศูนย์กลางของอารยธรรมอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำไนล์   มีปราการธรรมชาติเป็นทะเลทรายล้อมรอบ   เป็นสังคมเกษตรกรรมที่พัฒนามาจนเป็นเมือง ( โมนิส ) ขยายพื้นที่เพาะปลูก สร้างเขื่อน กษัตริย์ที่ขึ้นปกครอง เรียกว่า ฟาโรห์  เป็นกึ่งกษัตริย์กึ่งเทพเจ้า โครงสร้างทางสังคมแบ่งเป็น 3 ชนชั้น คือ*

        - เจริญรุ่งเรืองด้านอารยธรรม  มีการประดิษฐ์อักษรภาพ เรียกว่า เฮียโรกริฟฟิค  และบันทึกลงแผ่นกระดาษปาปิรุส ผุกพันกับพิธีกรรมและพระเจ้าตั้งแต่เกิดจนตาย  นับถือเทพเจ้าหลายองค์  เทพเจ้าสูงสุด คือ รา หรือ เร ( สุริยเทพ ) เทพเจ้าที่สำคัญ คือ เทพโอซิรุส

        - เชื่อเรื่องวิญญาณและเชื่อเรื่องโลกหน้า  จึงทำให้มีการทำมัมมี่  เพื่อรักษาร่างผู้ตายไม่ให้เน่าเปื่อย  สร้างพีระมิดไว้เก็บศพฟาโรห์

        - ศิลปะสะท้อนความคิดและความเชื่อของคนในสังคม เช่น การสร้างพีระมิด สฟิงซ์ วิหารเทพเจ้า เสาโอเบลิสก์ คัมภีร์มรณะ (Bock of the Dead)

กรีก

        กรีก เป็นเชื้อสายอินโด ยูโรเปี้ยน เรียกวัฒนธรรมตนเองว่า เฮเลนนีส (Hellenes) เรียกบ้านเมืองตนเองว่า เฉลลัส (Hellas)

        ยุคเฮเลนิค (Hellenic Civilization)

        - มีศูนย์กลางอยู่ที่เอเธนส์ มีการปกครองแบบนครรัฐ  ศูนย์กลางของนครรัฐอยู่ที่   อะโครโปลิส "  มีความเจริญรุ่งเรืองทางการค้ามาก  การเดินทางไปค้าขายกับดินอดนต่างๆ  ทำให้ชาวกรีกมีโลกทัศน์กว้างขวางและรับวัฒนธรรมจากดินแดนต่างๆ ทำให้ชาวกรีกเป็นคนอยากรู้อยากเห็น เชื่อมั่นในเหตุผล เชื่อในดุลพินิจของตน ส่งผลต่อแนวคิดมนุษย์นิยม (Humanism)
        - สนใจในธรรมชาตินิยม (Naturalism) นับถือเทพเจ้าหลายองค์  แต่มีอิสรภาพทางความคิด  เพราะศาสนาไม่มีอิทธิพลวิถีเหนือชีวิตของคนในสังคมมากนัก
        - แนวคิดประชาธิปไตย มนุษย์ปกครองแบบนครรัฐอิสระ เช่น นครรัฐเอเธนส์ ปกครองแบบประชาธิปไตยทางตรง  โดยพลเมืองชายที่เป็นเจ้าของที่ดินและเกิดในนครรัฐจะมีสิทธิในการปกครอง มีสิทธิในการเข้าประชุมสภาราษฎร

        อารยธรรมของกรีกซึ่งเป็นรากฐานของอารยธรรมตะวันตกในปัจจุบัน ได้แก่
        สถาปัตยกรรม
        - เน้นความยิ่งใหญ่ เรียบง่าย กลมกลืน  
        - ไอโอนิคฅ
        - โดรินเซียน

        ประติมากรรม
        - เป็นการปั้นที่เป็นสัดส่วนและสรีระที่เป็นมนุษย์จริง  การเปลือยกายเป็นการแสดงออกถึงความงามของมนุษย์ตามธรรมชาติ เช่น นักขว้างจักร

     จิตรกรรม
        - จิตรกรรมที่มีชื่อเสียง ได้แก่ การเขียนภาพบนเครื่องปั้นดินเผาลวดลายต่างๆ

        วรรณกรรม
       - มหากาพย์ลีเลียดและโอเดสซีของโฮมเมอร์
        - นิทานอีสปและงานด้านปรัชญาของเพลโต โสเกรตีส อริสโตเติล

        ละคร
        - ละครสุขนาฏกรรม (Comedy)
        - ละครโศกนาฏกรรม (Teagedy)
        - การสร้างโรงมหรสพ

โรมัน

        - ถือว่าเป็นผู้สืบทอดวัฒนธรรมกรีก  เพราะผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมกรีกกับของอีทรัสกันเข้าด้วยกัน เช่น การวางผังเมือง  การแกะสลักเครื่องปั้นดินเผา  
ท่อระบายน้ำ  การใช้ประตูโค้ง
        - โรมันปกครองแบบสาธารณรัฐ  ซึ่งประกอบด้วยประมุขฝ่ายบริหาร 2 คนและมีสภาเซานท์หรือสภาสูงจำนวน 300 คน ประกอบด้วยชนชั้นสุงและเจ้าของที่ดิน (Patrician)  ส่วนสภาราษฎรประกอบด้วยพลเมืองโรมันทั้งพาทริเชียนและพลีเบียน คือ ชนชั้นสามัญ
        - ต่อมาพวกพลีเบียนมีบทบาททางการเมืองมากขึ้นและมีสิทธิในการปกครอง  สามารถแต่งตั้งตำแหน่งทรีบูน (Tribune) ซึ่งมีสิทธิออกเสียงโหวต  ทำให้มีการ
บันทึกกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร เรียกว่า กฎหมายสิบสองโต๊ะ  ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกของโรมันที่เป็นลายลักษณ์อักษร  มีความเสมอภาคทางกฎหมาย  ทำให้การ
ตัดสินคดีมีมาตรฐานเดียวกัน
        - มีการแบ่งแยกอำนาจกัน ทหารเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น จูเลียส ซีซาร์ ดำรงตำแหน่งผู้เผด็จการตลอดชีพ  ส่วนออกัสลัส ซีซาร์ ตั้งตนเป็นจักรพรรดิ  ทำให้การปกครองระบอบสาธารณรัฐสิ้นสุด  การปกครองแบบจักรพรรดิ เรียกว่า " สมัยสันติภาพโรมัน " อันเป็นผลให้ปรับปรุงการปกครอง ปรับปรุงภาษี  ขยายดิน
แดน  สร้างสาธารณูปโภค เช่น สะพาน ถนน ท่อน้ำ ที่จักรพรรดิรวมกันได้มั่นคงเพราะมีกฎหมายควบคุม  ตลอดจนการปลูกฝังวัฒนธรรมและภาษาละติน   ค.ศ.476
จักรพรรดิโรมันตะวันตกถูกยึดครองโดยพวกอนารยชนเผ่าติวตัน
        - ชาวโรมันเป็นนักปฏิวัติ  นักประยุกต์  เพื่อให้เกิดประโยชน์ใช้สอย  นับถือเทพเจ้าตามอย่างกรีกแต่เปลี่ยนชื่อ   นำศิลปะมารับใช้มนุษย์แทนการรับใช้พระเจ้า
        - ชาวโรมันคำนึงถึงประโยชน์ในการใช้สอย  ความรับผิดชอบต่อสังคม  ความมีระเบียบวินัย  ความหรูหรา  ความสะดวกสบายและการแสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ของอำนาจรัฐ เช่น วิหารแพนธีออน โคลอสเซียม โรงละคร ที่อาบน้ำสาธารณะ
        - จิตรกรรม  ภาพวาดที่ฝาผนังนครปอมเปอี
        - วรรณกรรม  มหากาพย์เอเนียลของเวอร์จิล
        - กฎหมาย  กฎหมายสิบสองโต๊ะ
        - การแพทย์  การผ่าตัดหน้าท้อง

ศิลปะสมัยใหม่  ( Modern Art )

1. ศิลปะจินตนิยม  ( Romanticism )  ค.ศ.1800-1900
        -  ก่อเกิดในอังกฤษและฝรั่งเศสช่วงระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน  มีทรรศนะคติที่ต้องการความเป็นอิสระในการแสดงออกที่ศิลปินต้องการมากกว่าการเดินตามกฎเกณฑ์และแบบแผนทางศิลปะ  ดังที่ศิลปินลัทธิคลาสสิกใหม่ยังยึดถืออยู่
        -  เป็นศิลปะที่เน้นอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล  มุ่งสร้างสรรค์งานที่ตื่นเต้น  เร้าใจ  ก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจแก่ผู้ชม

2. ศิลปะสัจนิยม  ( Realisticism )  กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19
        -  ศิลปินในยุคนี้ได้แก่  กุสตาฟ  คูร์เบท์ , ฌอง  ฟรังซัวส์  มิล์เลท์

3. ศิลปะลัทธิประทับใจ  ( Impressionism )  ศิลปะแห่งความงดงามของประกายแสงและสี
        -  แสดงภาพทิวทัศน์บก  ทะเล  ริมฝั่ง  เมืองและชีวิตประจำวันที่รื่นรมย์  เช่น  การสังสรรค์  บัลเลต์  การแข่งม้า  สโมสร  นิยมเขียนภาพนอกห้องปฏิบัติงาน
        -  พยายามแสดงคุณสมบัติของแสงสี  อันเป็นผลมาจากความรู้เกี่ยวกับแสงจากสเปกตรัมและสี  ซึ่งเป็นผลผลิตจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์  
        -  ศิลปินในยุคนี้  ได้แก่  มาเนท์ , โคลด  โมเนท์ , เรอนัวร์ , เดอกาส์ , โรแดง , รอสโซ

4. ศิลปะลัทธิประทับใจใหม่  ( Neo-Impressionism )  สีจากแสงสเปกตรัมมาสู่อนุภาค
        -  เกิดเทคนิคการระบายสีเป็นสีจากจุด  ซึ่งเป็นผลมาจากความเชื่อทางฟิสิกส์ว่า  แสง คือ อนุภาค  โดยการระบายสีให้เกิดริ้วรอยพู่กันเล็กๆด้วยสีสดใส  จุดสีเล็กๆนี้จะผสานกันในสายตาของผู้ชม  มากกว่าการผสมสีอันเกิดจากการผสมบนจานสี
        -  ศิลปินคนสำคัญ  ได้แก่  จอร์จส์ เซอราท์ , คามิลล์ พีส์ซาร์โร , พอล ซิบัค

5. ศิลปะลัทธิประทับใจยุคหลัง  ( Post-Impressionism )

6. ศิลปะลัทธิบาศกนิยม  ( Cubism )  ค.ศ.1907-1910

7. ศิลปะลัทธิเหนือจริง  ( Surrealism )  ศิลปกรรมที่เปิดเผยความฝันและจิตใต้สำนึก

8. ศิลปะลัทธินามธรรม  ( Abstractionism )  ศิลปะไร้รูปลักษณ์

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 387 คน กำลังออนไลน์