วิธีการทางประวัติศาสตร์และหลักฐานทางประวัติศาสตร์
วิธีการทางประวัติศาสตร์
คือกระบวนการศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อให้ได้ความรู้และคำตอบที่เชื่อว่าสะท้อนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอดีตได้ถูกต้องมากที่สุด ซึ่งไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าข้อเท็จจริงที่ถูกต้องคืออะไร ดังนั้น จึงต้องมีกระบวนการศึกษา และการใช้เหตุผลในการตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐานและนำไปใช้อย่างถูกต้อง ทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่สะท้อนข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากนิทาน นิยาย หรือเรื่องบอกเล่าที่เลื่อนลอย
1. การรวบรวมหลักฐาน
2. การคัดเลือกหลักฐาน
3. การวิเคราะห์ ตีความ หลักฐาน
4. การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของหลักฐาน
5. การนำเสนอข้อเท็จจริง
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ใช้ศึกษาประวัติศาสตร์ไทย
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ใช้ศึกษาประวัติศาสตร์ไทยที่สำคัญได้แก่
-
ข้อความในศิลาจารึกส่วนใหญ่เป็นเรื่องของความเชื่อทางศาสนา เช่นจารึก “เย ธัมมา...” ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาที่พบในภาคกลางของประเทศไทย จารึกที่ต้องการประกาศบุญของผู้ที่บูรณะพระพุทธศาสนา เช่น จารึกปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา จารึกวัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีจารึกที่จัดทำขึ้นเพื่อประโยชน์ทางการเมือง และการปกครอง เช่น
-
จารึกสุโขทัยหลักที่ 38 ซึ่งเป็นกฎหมายลักษณะลักพาที่อาณาจักรอยุธยาประกาศใช้ในดินแดนที่เป็นอาณาจักรสุโขทัย จารึกเจดีย์ศรีสองรักที่จังหวัดเลย ประกาศความเป็นพันธมิตรของกษัตริย์อยุธยากับล้านช้าง จารึกหลักที่ 45 (จารึกปู่ขุนจิตขุนจอด) เป็นการประกาศการเป็นพันธมิตรระหว่างเมืองน่าน กับสุโขทัย ศิลาจารึกหลักที่ 1 จารึกพ่อขุนรามคำแหง เป็นจารึกที่สรรเสริญพระเกียรติคุณของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชในด้านต่างๆ จารึกวัดศรีชุม เป็นจารึกที่เป็นเรื่องราวของมหาเถรศรีศรัทธาจุฬามุนีศรีรัตนลังกาทวีป ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย เป็นต้น
-
2. จดหมายเหตุชาวต่างชาติ เนื่องจากดินแดนไทยเป็นเส้นทางการค้ามาตั้งแต่สมัยโบราณทำให้มีเอกสารต่างชาติบันทึกเรื่องราวของดินแดนไทยไว้ เช่น วรรณคดีอินเดียที่เรียกว่า “คัมภีร์นิเทสะ และมิลินท-ปัญหา” ในราวพุทธศตวรรษที่ 6 นับเป็นเอกสารต่างชาติที่เก่าที่สุด
-
ชาวอังกฤษ เช่น จดหมายของนายยอร์ช ไวท์ เอกสารการติดต่อของพนักงานบริษัทกับพ่อค้าอังกฤษ เรื่อง “เอกสารบันทึกความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย และต่างประเทศในคริสต์ศตวรรษที่
-
ชาวฝรั่งเศส เช่น จดหมายเหตุลาลูแบร์ จดหมายเหตุนิโคลาส แชร์แวส จดหมายเหตุเล่าเรื่องกรุงสยามของสังฆราชปัลเลกัวซ์ ชาวอเมริกัน เช่น บันทึกของหมอบรัดเลย์ เป็นต้น
-
3. จดหมายเหตุ เป็นการรวบรวมความทรงจำเกี่ยวกับประเพณีและพระราชพิธีเก่าๆ เช่น จดหมายเหตุขุนโขลน จดหมายเหตุพระราชพิธีโสกันต์เจ้านาย จดหมายเหตุสมโภชช้างเผือก เป็นต้น
-
4. พระราชพงศาวดาร เป็นการรวบรวมพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ ที่เก่าแก่ที่สุดคือ พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ ในสมัยพระนารายณ์มหาราช นอกจากนี้มีพระราชพงศาวดารฉบับพระจักรพรรดิพงศ์(จาด) ฉบับพันจันทรุมาศ(เจิม) ฉบับพระพนรัตน์ พระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียม พระราชพงศาวดารสังเขปฉบับกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา พระราชพงศาวดารเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นฉบับที่ผ่านกระบวนการชำระพระราชพงศาวดารแล้ว
-
5. เอกสารการปกครอง ส่วนใหญ่เป็นเอกสารที่มีในสมัยรัตนโกสินทร์ หลังจากที่ได้มีการจัดตั้งกรมหรือกระทรวงขึ้นแล้ว เอกสารเหล่านี้จะมีการจัดเก็บเป็นระบบขึ้น เช่น ใบบอก ซึ่งเป็นรายงานจากข้าราชการส่วนภูมิภาคส่งมาให้รัฐบาลที่กรุงเทพฯ เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เช่น การส่งส่วย การส่งสิ่งของที่ถูกเกณฑ์ รายงานเรื่องการเกษตร การรบทัพ เป็นต้น ตราสารศุภอักษร คือหนังสือจากเสนาบดีที่กรุงเทพฯ มีถึงเจ้าเมือง หรือเจ้าประเทศราช บัญชีทูลเกล้า เป็นรายงานจากเจ้าหน้าที่ส่วนกลางสรุปบัญชีเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายให้พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตร เช่นเรื่องการค้ากับเมืองจีน บัญชีไพร่กรมกองต่างๆ บันทึก เป็นเรื่องราชการต่างๆ เช่นบันทึกที่เรียกว่า “จดหมายหลวงอุดมสมบัติ”และ“บันทึกพระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว คำให้การ เช่นคำให้การของคดีอุทธรณ์ คำให้การของข้าศึก เป็นต้น
-
6. บันทึกเหตุการณ์ของบุคคลต่างๆ เช่น “ความทรงจำ” ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพจดหมายเหตุความทรงจำ ของกรมหลวงนรินทร์เทวี ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง ของนายดิเรก ชัยนาม เป็นต้น
-
7. จดหมาย เช่น พระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 เป็นต้น
-
8. หนังสือพิมพ์ ซึ่งมีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้แก่ ข่าวราชการที่เรียกว่า “ราชกิจจานุเบกษา” “บางกอก รีคอร์เดอร์” รวมทั้งหนังสือพิมพ์ในปัจจุบัน
-
9. งานนิพนธ์ทางประวัติศาสตร์ และวิทยานิพนธ์
-
10. ตำนาน เป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นมาของเมือง ปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุ โดยการบอกเล่าต่อๆ กันมา แล้วรวบรวมเขียนขึ้นภายหลัง ตำนานจึงมีเรื่องนิทาน คติชาวบ้านและข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ร่วมกัน เช่น ตำนานเมืองหริภุญไชย ตำนานหิรัญนคร ตำนานสิงหนวัติกุมาร ตำนานพระธาตุช่อแฮ ตำนานพระแก้วมรกต พงศาวดารโยนก เป็นต้น มีงานนิพนธ์บางเรื่องที่ใช้ชื่อเรียกว่า ตำนาน แต่ไม่ใช่ เช่น ตำนานวังหน้า ตำนานการเลิกบ่อนเบี้ย และเลิกหวย เป็นต้น
-
11. วรรณกรรม เช่น เรื่องมหาชาติคำหลวง ลิลิตยวนพ่าย ลิลิตโองการแช่งน้ำ เป็นต้น