การสำรวจดาวเคราะห์
นักดาราศาสตร์ประสบความสำเร็จในการสร้างภาพที่ได้จากการสำรวจดาวเคราะห์ที่ แสดงสภาพบรรยากาศของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอื่นได้เป็นครั้งแรก
คณะนักดาราศาสตร์นำโดย เกรเกอรี ลาฟลิน จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานตาครูซ ได้สำรวจดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง มีชื่อว่า เอชดี 80606บี (HD 80606b) เป็นดาวเคราะห์แก๊สยักษ์ที่มีมวลมากกว่าดาวพฤหัสบดีสี่เท่า ข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์เป็นข้อมูลที่สำรวจในย่านรังสีอินฟราเรดโดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศสปิตเซอร์ของนาซาในช่วงเดือนพฤศจิกายน ทั้งก่อนหน้าและหลังที่ดาวเคราะห์ดวงนี้จะโคจรมาเข้าใกล้ดาวฤกษ์แม่ที่สุด
ภาพของเอชดี 80606 บีที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นแสดงเสี้ยวสีน้ำเงินบางเฉียบในด้านที่หันออกจากดาวฤกษ์ ส่วนอีกด้านหนึ่งมีสีแดงสด แสดงถึงโลกที่มีความแตกต่างอย่างสุดขั้วระหว่างกลางวันและกลางคืน
การสำรวจนี้มีโชคเข้าข้างอยู่ด้วย จากมุมมองของกล้องสปิตเซอร์ ดาวเคราะห์ดวงนี้ลบไปอยู่หลังดาวฤกษ์ (ปรากฏการณ์อุปราคาทุติยภูมิ) ในช่วงก่อนที่อุณหภูมิของดาวเคราะห์จะขึ้นสูงสุด ทำให้ยานสามารถวัดอุณหภูมิของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์แยกจากกันได้
สปิตเซอร์พบว่า ช่วงที่ดาวเคราะห์เข้าใกล้ดาวเฤกษ์ที่สุด อุณหภูมิจะพุ่งขึ้นสูงถึงประมาณ 1,230 องศาเซลเซียส ซึ่งร้อนยิ่งกว่าลาวาเหลวจากภูเขาไฟเสียอีก
เมื่อบรรยากาศของดาวเอชดี 80606บี ร้อนขึ้นและขยายใหญ่ขึ้น จะทำให้เกิดพายุใหญ่รุนแรงพัดจากด้านกลางวันไปยังด้านที่เป็นกลางคืนด้วยความเร็วถึงห้ากิโลเมตรต่อวินาที การหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์ก็ทำให้พายุม้วนเป็นวงก่อเป็นระบบพายุขนาดใหญ่ ซึ่งจะสลายตัวไปเมื่ออุณหภูมิของดาวลดลง
ดาวเอชดี 80606 บี ถูกค้นพบโดยคณะนักวิทยาศาสตร์ชาวสวิสที่หอดูดาวเจนีวาในปี 2544 โคจรรอบดาวฤกษ์เป็นวงรีครบรอบทุก 111.4 วันโลก เป็นหนึ่งในจำนวนดาวเคราะห์ระบบสุริยะอื่นประเภท "พฤหัสร้อน" ประมาณสิบสองดวงที่หมุนรอบตัวเองด้วยอัตราเท่ากับการโคจรรอบดาวฤกษ์ จึงหันหน้าเข้าหาดาวฤกษ์เพียงด้านเดียวและเป็นกลางวันตลอด ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นกลางคืนตลอด
เนื่องจากวงโคจรเป็นวงรีมากเหมือนไข่ไก่ ช่วงที่ดาวเคราะห์อยู่ใกล้ดาวฤกษ์มากที่สุดได้รับรังสีรุนแรงกว่าช่วงที่อยู่ไกลดาวฤกษ์ที่สุดถึงกว่า 800 เท่า
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีการค้นพบดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอื่นมาแล้วร่วม 330 ดวง แต่นักดาราศาสตร์เชื่อว่ายังมีอีกจำนวนมากมายมหาศาลที่รอการค้นพบอยู่
อ้างอิงจาก เว็บ http://thaiastro.nectec.or.th/news/2009/news20090201.html