ฟิสิกส์ ม.4 บทที่ 1 กลศาสตร์
บทที่ 1 กลศาสตร์
ฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ฟิสิกส์(physics)มาจากภาษากรีกที่มีความหมายว่า"ธรรมชาติ"ดังนั้นฟิสิกส์จึงควรจะหมายถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติทั้งหลายและมีความหมาย เช่นนั้น ในสมัยก่อนซึ่งบางครั้งอาจเรียกว่า"ปรัชญาธรรมชาติ"ปัจจบันความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติได้ขยายขึ้นอย่างมากทั้งในเชิงรายละเอียดเเละสาขาของความรู้ โดยเฉพาะความรู้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิทยาศาสตร์ (science) วิทยาศาสตร์โดยทั่วไปจะหมายถึงวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (natural science)และจะไม่หมายถึงเฉพาะองค์ความรู้ความเข้าใจที่สะสมไว้เท่านั้นแต่จะมีความหมายรวมถึงกิจกรรมของมนุษย์ในการค้นคว้าหาความจริงในความเป็นไปของธรรมชาติรอบตัว ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตนั่นคือวิทยาศาสตร์หมายถึงองค์ความรู้และวิธีการหาความรู้ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์หรือการศึกษาตามวิธีของวิทยาศาสตร์การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตเรียกว่าวิทยา ศาสตร์ชีวภาพ (biological science) ส่วนการศึกษาที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตเรียกว่าวิทยาศาสตร์กายภาพ (physical science) นับเป็นการแบ่งวิทยาศาสตร์อย่างกว้างๆ ฟิสิกส์จัดอยู่ในส่วนของวิทยาศาสตร์กายภาพ การแยกวิทยาศาสตร์ออกเป็นสาขามิได้หมายความว่าองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะต้องแยกจากกัน แต่องค์ความรู้ในสาขาต่างๆ สามารถนำมาสนับสนุนซึ่งกันและกันได้ เช่นความรู้และความเข้าใจต่อระบบชีวภาพในระดับที่ลึกซึ้งดังเช่นในปัจจุบันสามารถประสานกับความรู้ควายเข้าใจทางฟิสิกส์และ เคมีได้เป็นอย่างดีการแยกสาขาของวิทยาศาสตร์อาจมองว่าเป็นเพียงเพื่อความสะดวกในการเรียนแต่ในการเข้าใจต่อธรรมชาติโดยรวม อาจต้องนำความเข้าใจจากหลายสาขาวิชามาประสานกันจึงจะสมบูรณ์ดีทีสุด อย่างไรก็ตามอาจกล่าวได้ว่าวิชาวิทยาศาสตร์ทุกแขนงเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ในบรรดาสาขาต่างๆ ของวิทยาศาสตร์กายภาพ เช่น เคมี ฟิสิกส์ ธรณีวิทยา อุตุนิยมวิทยา ฯลฯ วิชาฟิสิกส์นับเป็นวิชาพื้นฐานที่สำคัญ เนื่องจากวิชาฟิสิกส์ยังคงไว้ซึ่งส่วนที่เป็นพื้นฐานของความเข้าใจต่อธรรมชาติเช่น เรื่องแรงและการเคลื่อนที่พลังงาน สมบัติต่างๆ ของสสารเช่น การนำไฟฟ้าฯลฯและเป็นพื้นฐานวิชาให้เขาอื่นนำไปประยุกต์ วิธี วิทยาศาสตร์(scientific method)กิจกรรมการค้นคว้าหาความจริงของธรรมชาติของกลุ่มบุคคลที่เรียกกันว่านักวิทยาศาสตร์นั้น กระทำกันอย่างเป็นระบบมีระเบียบ และแบบแผน แต่ไม่ถึงกับว่านักวิทยาศาสตร์ทุกคนทำงานในรูปแบบอย่างเดียวกันทั้งหมด นักวิทยาศาสตร์แต่ละคนได้ทำการค้นพบความเป็นไปของธรรมชาติอย่างไม่ซ้ำแบบกัน ทำให้ เป็นการยากที่จะกล่าวว่าวิธีเช่นไรเป็นวิธีที่เป็นแบบอย่างของนักวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีบางอย่าง ที่นับเป็นสาระสำคัญของวิธีวิทยาศาสตรด้ กล่าวคือ นักวิทยาศาสตร์ทุกคนมีจุดมุ่งหมายที่จะ ค้นคว้าหาความจริงหรือหาคำตอบที่ถูกต้องเกี่ยวกับความจริงของธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์ จะต้องมีวิธีแสดงหรือพิสูจน์ว่าคำตอบที่ได้นั้นๆ ถูกต้อง โดยถือว่าถ้าเป็นความจริงจะต้อง ทดสอบได้หรือพิสูจน์ได้. การทดลอง (experimentation) เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ใช้พิสูจน์ ความจริงต่างๆ แนวความคิดใหม่หรือทฤษฎีใหม่ นั่นคือข้อเสนอในคำอธิบายใหม่หรือ หลักการใหม่ที่จะอธิบายหรมชาติ จะต้องมีการทดลองพิสูจน์ยืนยันได้ด้วยรวมทั้งยังต้องพิสูจน์ ได้ทุกแง่ทุกมุม จึงจำเป็นที่ยอมรับกันในวงการวิทยาศาสตร์ ถ้าเมื่อใดมีการทดลองที่ขัดแย้งกับทฤษฎีที่ยอมรับอยู่แม้แต่เพียงรายเดียว และมีเหตุผลหนักแน่น นักวิทยาศาสตร์จะต้องหา แนวความคิดใหม่ที่จะอธิบายผลการทดลองที่ขัดแย้งให้ได้ คำอธิบายใหม่จะต้องอธิบายความ จริงเดิมได้ดีไม่ด้อยกว่าทฤษฎีเดิมหรือไม่ขัดแย้งกัน เมื่อมีแนวความคิดหรือทฤษฎีใหม่เกิดขึ้น ย่อมมีการคิดคาดการณ์ต่างๆ (deduction) จากทฤษฎีใหม่ในทำนองว่า "ถ้าเป็นอย่างนั้น จะต้อง... (เป็นอย่างไรต่อไป)...." ยังผลให้มีการทดลองใหม่ๆ เพื่อทดสอบทฤษฎีนั้นๆ ตอไป งานทดสอบความคิดต่อความจริงของธรรมชาติโดยวิธีของวิทยาศาสตรจงไม่มทส้นสุด ข้อสงสัยเกี่ยวกับธรรมชาติก็เกิดขึ้นได้อยู่เสมอเช่นกัน วิธีการหาความจริงต่อความเป็นไปของ ธรรมชาติของนักวิทยาศาสตร์นั้น นักวิทยาศาสตร์ตระหนักดีว่ามีโอกาสผิดพลาดได้ง่ายหากไม่ รัดกุม การเชื่อบุคคลที่น่านับถือโดยไม่พิจารณาเหตุผลให้รอบคอบอาจนำไปสู่คำตอบที่ผิดได ไม่มีสิ่งใดดีเท่ากับที่นามารถพิสูจนด้ด้วยการทดลองที่พร้อมด้วยเหตุผลตามหลักการที่ยอมรับ อยู่แล้ว วิธีป้องกันมิให้การสรุปผลการทดลองผิดพลาดก็คือ จะต้องวางตัวอยู่ในความเป็นกลาง จะต้องไม่เอนเอียงต่อการเก็บข้อมูลและต่อผลการทดลองว่าจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดล่วงหน้า และ ซื่อตรงต่อผลการทดลองที่ทำได้ การปฏิบัติเช่นนี้นับว่าเป็นส่วนสำคัญของวิธีวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (technology) หมายถึง วิทยาการที่เกี่ยวกับศิลปะในการสร้าง ผลิต หรือ ใช้อุปกรณ์ต่างๆ เพื่ออำนวยประโยชน์ต่อมนุษย์โดยตรง หรือสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์ใช้สอยได้เทคโนโลยีมีบทบาทต่ออารยธรรมของมนุษย์มาก่อนวิทยาศาสตร์ เพราะมนุษย์รู้จักใช้ เทคโนโลยีมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ก่อนประวึตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ทราบว่ามนุษยูร้จักใช้ ไฟมาตั้งแต่ยุคหิน มนุษย์รู้จักใช้ไฟหลอมโลหะสร้างเป็นเครื่องมือมาก่อนมีการบันทึกใดๆ ใน ประวัติศาสตร์มนุษย์รู้จักใช้เครื่องกลเพื่อผ่อนแรง เช่น ล้อ ลูกรอก คานงัดสูบน้ำ และ กาลักน้ำมาก่อนจะมีความเข้าใจเชิงวิทยาศาสตร์ และก่อนกาลิเลโอและนิวตันวางรากฐานวิชา กลศาสตร์ด้สำเร็จ ศิลปะในการทำเครื่องมือเครื่องใช้ถือว่าเป็นเทคโนโลยีวิธีของเทคโนโลยี ในสมัยก่อนคือ ลองทำดูและทดลองใช้ (cut and try) ด้วยวิธีการต่างๆ เมื่อทำอย่างใดได้ผลดี ก็จดจำวิธีนั้นไว้ใช้ทำต่อไป ไม่ได้อาศัยความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ เช่นเดียวกับช่างตีเหล็ก ลองวิธีต่างๆ จนมีวิธีทำให้เหล็กเป็นเหล็กกล้าและทำใช้เป็นมีดได้ โดยที่ช่างตีเหล็กไม่เข้าใจ นักว่าทำไมทำอย่างนั้นจึงทำให้เหล็กเป็นเหล็กกล้าได้ เป็นการยากที่จะนับว่าการทดลองทางวิทยาศาสตร์ด้เริ่มต้นขึ้นเมื่อใด แต่ผลงาน วิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ที่เรียนและใช้ในปัจจุบันเกิดขึ้นประมาณ 400 ปีมานี้ วิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะฟิสิกส์ค้นพบกฎเกณฑ์และทฤษฎีต่างๆ ที่ทำให้เข้าใจกลไกของธรรมชาติมากขึ้น ความรู้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์จึงมีบทบาทสำคัญต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็น อย่างยิเง เนื่องจากทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์สามารถทำนายผลของการออกแบบหรือวิธีการที่จะ กระทำได้ เช่น การทำกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (electron microscope) ซึ่งขยายได้มากกว่า กล้องจุลทรรศน์ธรรมดา เกิดขึ้นได้จากความเข้าใจสมบัติของอิเล็กตรอนในสนามแม่เหล็ก และ สามารถคำนวณได้ก่อนการสร้าง อาจกล่าวได้ว่า วิทยาศาสตร์ช่วยพัฒนาเทคโนโลยี และ เทคโนโลยีก็สนับสนุนวิทยาศาสตร์เช่นกัน เพราะบางส่วนของเทคโนโลยีมีส่วนในการสร้าง เครื่องมือที่ดีขึ้น ทำให้การค้นพบทางวิทยาศาสตร์รวดเร็วขึ้นเช่นกัน ปัจจุบันวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีจึงสัมพันธ์กันมาก ดูเสมือนว่าไม่สามารถแยกออกจากกันได้ และนิยมที่จะ พูดถึง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (scรence and Technology) ไปด้วยกันเสมอ เทคโนโลยีสมัยใหม่ อยู่บนพื้นฐานความรู้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์แทบทั้งสิ้น วิทยาศาสตร์เป็นงานที่ไม่รู้จบ เพราะเป็นงานค้นคว้าหาความจริงของธรรมชาติ ผลงาน วิทยาศาสตร์ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจใหม่ๆ เกึ่ยวกับธรรมชาติ และเกิดขึ้นต่อๆ ไปได้ทุก เวลาด้วยความพยายามของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก บางประเทศให้งบประมาณในการวิจัยมาก เนื่องจากถือว่าวิทยาศาสตร์นำความก้าวหน้ามาให้ และส่งผลใหัปรฌเทศนั้นๆ มีเทฦโนโลยีอยู่ ในระดับแนวหน้า การค้นพบและการประยุกต์มีความสัมพันธ์กัน ดังตัวอย่างเช่นความรู้ความ
1.3ปริมาณทางฟิสิกส์ (physicaI Quantiw) และหน่วย (unit) ปริมาณทางฟิสิกส์เป็นปริมาณที่สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือโดยตรงหรือโดยอ้อม- เป็น ปริมาณที่มีความหมายเฉพาะเจาะจงอน่าmใ1ดอย่างหนื่ง เช่น ปริมาตร มวล น้ำหนัก ความร็ว ความดัน แรง กระแสไฟฟ้า ความต่างศักย์ไฟฟ้า อุณหภูมิ เป็นต้น ปริมาณเหล่านี้ จะด้องมี หน่วยกำกับถึงจะมีความหมายชัดเจน เช่น ปริมาตร อาจจะมีหน่วยเป็น ลูกบาศก์เซนติเมตร ลูกบาศก์เมตร หรือลูกบาศก์ฟุต และยังมีลิตร ถัง แกลลอนอีก ซึ่งรวมแล้วมีหน่วยได หลายอย่างทึ่นิยม์ใอช้กันในที่ต่างๆ เพื่อให้การให้หน่วยเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก โดยเฉพาะ ในวงการวิทยาศาสตร์ องค์กรระหว่างชาติเพื่อการมาตรฐาน็ (lso หรือ lnternationa organization for standardization) ได้กำหนดระบบหน่วยมาตรฐานที่เรียกว่า ระบบเอสไอ (sl ตัวย่อของ systeme lnternationale) ให้ทุกประเทศใช้เป็นมาตรฐาน ระบบเอาไอ ประกอบ ด้วยสองส่วนใหญ่ คือ หน่วยฐาน (Base Units) ซึ่งนับเป็นฐานของหน่วยทั้งหลายมี 7 หน่วยได้แก่ เมตร (meteฤ m)กิโลกรัม (kilogram' kg)วินาที (second' s)แอมแปร์ เคลวิน โมล แคนเดอลา และหน่วยอนุพันธ์ (DerivedUnits) ซึ่งเป็นหน่วยที่สร้างจากหน่วยฐาน เช่น หน่วยของแรงให้ถือว่า นิวตัน (newton' N)ึ่งเป็นชื่อที่ให้เป็นเกียรติกับเชอร์ ไอแซก นิวตัน โปรดสังเกตว่าเมื่อนำชื่อนักวิทยาศาสตร์มา เป็นหน่วย การเขียนชื่อหน่อยในภาษาอังกฤษจะนำด้วยตัวเล็กธรรมดาให้ต่างจากชื่อคน แต่ สัญลักษณ์ย่อของหน่วยใช้ N ตัวใหญ่ หนวย นิวตันจะเทียบเท่ากับ กิโลกรัม เมตร่(วินาที) หรือ kg mls หน่วยของพลังงานให้ใช้หน่วยชื่อ จูล (1oule' J ) ซึ่งเป็นชื่อคนเช่นกัน หน่วยจูล เทียบเท่ากับ นิวตัน เมตร (N m) หรือเทียบหน่วยฐานคือ กิโลกรัม (เมตร) 1 (วินาที) หรือ kg m /s cวธีการเขียนหน่วยที่ lso แนะนำและเป็นที่นิยมมีหลายแบบ เช่น kg m /s2 อาจเขียนแบบ kg m s หรือ kg. m. s3 ตัวหนังสือนี้จะใช้การเว้นหนึ่งช่องแทนการคูณและ 1 แทนการหาร ดังที่ แสดง )นอกจากนี้ระบบหน่วยเอสไอยังได้กำหนดตัวนำหน้าหน่วย (pref1x) เพื่อทำให้หน่วยที่ ใช้เล็กลงหรือโตขึ้น และแนะนำให้ใช้เป็นขั้นละ 1,000 เท่า ตัวนำหน้าที่สำคัญมีดังต่อไปนี้
ตัวนำหน้ามาตรฐาน อภาษาไทย สัญลักษณ์ย่อ ตัวคุณที่เทียบเท่า femto- เฟมโต f 10-15 pico- พิโก p 10-12 nano- นาโน n 10-9 micro- ไมโคร u 10-6 milli- มลล m 10-3 kilo- กิโล k 103 mega- เมกะ M 106 giga- จิกะ G 109 tera- เทระ T 1015
ตัวอย่างการใช้ตัวนำหน้ากับหน่วย เช่น ความยาวคลื่นของแสงนิยมใช้หน่วย นาโนเมตร (nanometer' nm) ระยะทางบนถนนควรใช้หน่วย กิโลเมตร (kilometer' km) เป็นต้น รายละเอียดเพิ่มเติมสาหรับหน่วยในระบบเอาไอและหน่วยอื่นมีอยู่ในภาคผนวก
1.4 การทดลองในวิชาฟิสิกส์ การทดลองในวิชาฟิสิกส์ดังที่จะได้กระทำในบทเรียนต่างๆ ต่อไป แม้จะไม่ใช่ของใหม่ การฝึกทำจะเป็นการฝึกฝนวิธีการทำการทดลอง ตามแนวที่เป็นที่ยอมรับในวงการฟิสิกส์ การ ทำการทดลองถือเป็นส่วนสำคัญในการฝึกทำและคิดหาเหตุผลอย่างวิทยาศาสตร์เป็นการยากที่จะวางกฎเกณฑ์แน่ชัดสำหรับการทดลองทุกๆ อย่าง เนื่องจากในการ ทดลองแต่ละเรื่อง อาจมีลักษณะเฉพาะที่ต่างๆ กัน อย่างไรก็ตาม ในการทำการทดลอง มักจะทำเพื่อตอบคำถามบางอย่างหรือเพื่อหาความจริงบางอยาง (ซึ่งก็จะเป็นวัตถุประสงค์ ของการทดลอง) เพื่อให้ได้คำตอบ ก็ต้องคิดหาวิธีกาพดลองที่เหมาะสมและสอดคล้องกับอุปกรณ์ ที่มี ทำการทดลองเพื่อให้ได้ข้อมูลต่างๆ วิเคฆะห์จากข้อมูลเพื่อmุปเป็นคำตอบ พั้นตอนเหล่านี้ ดูจะเป็นกรอบที่จำเป็นสำหรับการทดลองคำตอบที่เราได้จะเป็นที่น่าเชื่อถือหรือไมต่อผู้อน เราต้องสามารถแสดงทุกขั้นตอนของการทดลองได้ ดังนั้นจึงมีการเขียนรายงานการทดลอง โดยยึดหลักการที่ว่า เขียนการทดลอง ให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายที่สุด กะทัดรัดที่สุด มีครบทุกอย่าง โดยเฉพาะข้อมูลชัดเจน (การมีรูปวาด ประกอบและการเสนอข้อมูลเป็นตารางช่วยให้ดูง่ายและเป็นที่นิยม) แสดงการวิเคราะห์และการ สรุปผล อาจตามด้วยข้อวิจารณ์หรือความคิดเห็นของตนเองเพิ่มเติมไว้ด้วย ทุกคนควรฝึกทำ สิ่งเหล่านี้ทุกการทดลอง
1.5ความไม่แน่นอนในการวัด การวัดปริมาณต่างๆ ด้วยเครื่องมือ ซึ่งจะเป็นข้อมูลของการทดลอง ย่อมไม่สามารถ วัดได้อย่างแม่นยำโดยไม่มีขีดจำกัด โดยทั่วไปจะมีความผิดพลาด (error) หรือความคลาดเคลื่อน ที่เป็นไปได้อยู่บ้างเสมอ เพียงแต่อาจจะมากหรือน้อยเท่านั้น โอกื่าสที่จะคลาดเคลื่อนจาก ความเป็นจริงของปริมาณที่วัดได้ จะมากหรือน้อยขึ้นกับแต่ละสถานการณ์ที่ทำการวัด ขึ้นกับ เครื่องมือและวิธีการที่ใช้วัดรวมทั้งยังขึ้นกับความสามารถและประสบการณ์ของผู้วัดด้วย สรุป ว่าแต่ละ3รมาณที่ทำการวัดโดยตรง A ย่อมมีฑรมาณ +1 M ซึ่งเป็นโอกาสผิดพลาดของ A ที่เป็นไปได้ (โดยมีความเชื่อมั่นเกือบ 100 % ว่าผลที่ถูกต้องอยู่ภายใน A+- A
1.6 เลขนัยสำคัญ (signincant Figure) เลขนัยสำคัญ หรือ significant f1gure ก็คือตัวเลขที่มีความหมายหรือมีความสำคัญใน ๕รมาณที่แสดงมา เช่น บอกว่าขณะนี้มีลูกหนี้เป็นหนี้อยู่ 1250 บาท เลข 1 หรือตัวเลขหน้าสุดของ รมาณมีความสำคัญหรือมีความหมายมากที่สุต ถ้าตัวเลขนี้ผิดไปความหมายจะผิดไปมาก ตัวเลข 2 หรือหลักที่สองมีความหมายรองลงมา ตัวเลข 5 หรือหลักที่สามก็มีความหมายลดลง ไปอีกแต่ยังมีความหมาย ตัวเลข 0 ถัดไปหรือหลักที่สี่ สำหรับกรณีน$ม่ชัดเจนว่าจะมี ความหมายหรือไม่ ขึ้นกับว่าเจ้าหนี้คิดประมาณนี้จริงจังเพียงใด หากว่าไม่ยอมให้ผิดไปสักบาทเดียว ก็ถือว่า เลยตัวนี้มีความหมายและจะนับได้ว่า3รมาณนี้มีจำนวนเลขนัยสำคัญ 4 ตัว หากไม่คิด ความสำคัญของเลขตัวท้ายนี้ (เฉพาะเป็นเลข 0) ก็ถือว่ามีจำนวนเลขนัยสำคัญ 3 ตัว มีวิธี เขียนตัวเลขนี้แบบตัวเลขทางวิทยาศาสตร์ ที่ให้มีจำนวนเลขนัยสำคัญที่ชัดเจนคือ 1.25 x 10 บาท ซึ่งแสดงจำนวนเลขนัยสำคัญ 3 ตัว และ 1.250 *10 บาท ซึ่งแสดงจำนวนเลขนัยสำคัญ 4 ตัว หรือหากเขียน 1,250.00 บาท จะหมายถึงจำนวนเลขนัยสำคัญู 6 ตัว ผิดไปหนึ่งสตางค ไม่ไต้ ถ้าผิดไปน้อยกว่าครึ่งสตางค์พอได้ (กรณีเป็นหนี้ธนาคาร)
ดังนั้น ในการทดลองปริมาณทุกปริมาณควรบันทึกด้วยจำนวนเลขนัยสำคัญทีj เหมาะสม ความลัฌเอียดของตัวเลขควรมากกว่าค่าโอกาสผิดพลาด แต่ไม่ควรมากเกินไป คือ ไม่เกินตัวเลขที่อาจผิดอยู่แล้วถึงสองหรือสามตัว (โอกาสผิดพลาดอาจแสดงด้วยตัวเลขหนึ่งตัว หรืออย่างมากสองตัว)
1.7การ บันทึก ข้อมูล การบันทึกข้อมูลที่จะให้กะทัดรัด ชัดเจน อ่านเข้าใจง่าย ขึ้นกับข้อมูลที่สาคัญสำหรับ การทดลองนั้นๆ หากเป็นไปได้หรือเหมาะสม มักจะนำเสนอในรูปของตารางซึ่งมีหัวของช่อง ชัดเจน ว่าเป็น3รมาณอะไร ในหน่วยอะไร ในบาง์โรมาณที่ต้องการความแน่นอนที่เชื่อถือได้ ควรวัด 3 ครั้ง หรือ 5 ครั้ง แล้วหาค่าเฉลี่ย ซึ่งการทำหลายๆ ครั้งอาจใช้เครื่องคิดเลขบางแบบ คำนวณค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( s.D.) ได้ด้วย ควรเริ่มด้วยช่องสดมภ์ (column) ที่เป็นตัวแปร ต้นที่จะวัดโดยตรง ตามด้วยตัวแปรตามีที่วัดได้โดยตรง ซึ่งสามารถบันทึกตัวลงไปทันทีที่วัดได้ แล้วจึงเพิ่มช่องต่อๆ ไปที่หาได้จากช่องแรกๆ จนได้ช่องของปริมาณที่จะใช้ในการวิเคราะห์ โดยเฉพาะที่จะใช้เขียนกราฟ นอกจากส่วนที่ทำการวัดที่สำคัญ ข้อมูลของการทดลองควรมีข้อมูลประกอบิ ซึ่งบาง ครั้งมีความหมายหรือมีความเกี่ยวข้องต่อผลการทดลองด้วย เช่น ทำการ้ใลองเมื่อใด สภาพ แวดล้อมเป็นอย่างไร เชน อุณหภูมิ ความดันบรรยากาศ ความชึ้นสัมพัทธ์ ฯลฯ
1.8การวิเคราะห์ผลการทดลอง ใช้การพิจารณาจากข้อมูลรวมทั้งการใช้การคำนวณตามความเหมาะสม เมื่อได้ผลสรุป ที่เป็น3รมาณ ควรแสดงโอกาสผิดพลาดได้ของปริมาณนั้นด้วย การใช้กราฟเส้นตรงช่วยใน การวิเคราะห์ โดยเฉพาะเมื่อหาหรือพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างสอง3รมาณที่เป็นปฏิภาคกัน กราฟเส้นโค้งใช้ดูการเปลี่ยนแปลงได้แก่ไม่สามารถพิสูจน์ความสัมพันธด้ชัดเจน สมการทางคณิตศาสตร์ของกราฟเส้นตรงจะอยู่ในรูป 9 = mx + c เมื่อ m คือ ความชัน หรือ slope และ c คือ จุดตัดแกน B กราฟเป็นดังรูป