ไดโอด
หน้าหลัก > อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ > ไดโอด
ไดโอด (Diode) ไดโอด เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญตัวหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เรียงกระแส กล่าวคือ ยอมให้กระแสไหลผ่านได้ทางเดียว (ยกเว้นไดโอดบางชนิด เช่น ซีเนอร์ไดโอด ที่เมื่อถูกกระแสไหลย้อนกลับที่สูงมากสามารถยอมให้กระแสไหลได้ ซึ่งไดโอดชนิดอื่นจะเสียสภาพความเป็นไดโอดไป) ไดโอดมี 2 ชนิดได้แก่ ไดโอดชนิดจุดสัมผัส (Point-contact diode) และไดโอดชนิดหัวต่อ P-N (P-N junction diode) ซึ่งรายละเอียดของเว็บไซต์หลายแห่งจะบอกถึงลักษณะของไดโอดเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ของ SchoolNet ซึ่งในสื่อออนไลน์นี้จะขอกล่าวถึงชนิดของไดโอดตามลักษณะการใช้งาน โดยไดโอดแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะดังนี้
1. ไดโอดเรียงกระแส (Rectifier diode) มีคุณสมบัติ คือ ยอมให้กระแสไหลผ่านทางเดียว ใช้ในการเปลี่ยนกระแสไฟฟ้าจากไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternative current) เป็นไฟฟ้ากระแสตรง (Direct current) 2. ตัวตรวจจับไดโอด (Detector diode) เป็นไดโอดชนิดแก้ว ใช้ตรวจจับสัญญาณ พบได้ในเครื่องวิทยุ โทรทัคน์ เครื่องรับสัญญาณดาวเทียม 3. ไดโอดความถี่สูง (High frequency diode) เป็นไดโอดที่ใช้ในงานที่ใช้ความถึ่สูง เช่น โทรทัคน์ คอมพิวเตอร์ เครื่องรับดาวเทียม เป็นต้น 4. ซีเนอร์ไดโอด (Zener diode) เป็นไดโอดชนิดพิเศษ ที่เมื่อถูกกระแสไหลย้อนกลับที่สูงมากสามารถยอมให้กระแสไหลได้ ใช้ตั้งค่ากระแสหรือความต่างศักย์เบรกดาวน์ (Breakdown Current/Voltage) เช่น ซีเนอร์ไดโอดขนาด 5.1 โวลต์ ต่อในวงจร ถ้าความต่างศักย์ไฟฟ้าที่ตกคร่อมตัวซีเนอร์ไดโอดเกินกว่า 5.1 โวลต์ จะเกิดกระแสไหลย้อนในตัวซีเนอร์ไดโอดได้ 5. ไดโอดกระแสสูง (High voltage diode) ใช้ในงานควบคุมมอเตอร์กระแสสูง ส่วนมากมักใช้ในเครื่องจักร
6. ไดโอดเปล่งแสง (Light emitting diode) เป็นไดโอดที่ใช้สารประเภทแกลเลี่ยมอาร์เซ็นไนต์ฟอสไฟต์ (Gallium Arsenide Phosphide สัญลักษณ์ย่อ GaAsP) หรือสารแกลเลี่ยมฟอสไฟต์ (Gallium Phosphide สัญลักษณ์ย่อ GaP) มาทำเป็นสารกึ่งตัวนำชนิด p และ n แทนสารกึ่งตัวนำซิลิกอน (Si) และเจอร์มาเนียม (Ge) ที่พบในไดโอดชนิดอื่นๆ 7. โฟโตไดโอด (Photodiode) เป็นไดโอดที่อาศัยแสงจากภายนอกผ่านเลนซ์ ซึ่งฝังตัวอยู่ระหว่างรอยต่อ p-n เพื่อกระตุ้นให้ไดโอดทำงาน
แหล่งข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวกับไดโอด [1] http://www.cpe.ku.ac.th/~yuen/204471/device/diode_transistor/diode.htm [2] http://www.oknation.net/blog/sl-aom/2007/12/15/entry-2
|